Tag Archives: holdings:

SBC Medical Group Holdings ประกาศการเจรจาร่วมกันเกี่ยวกับสัญญาหลักเพื่อเข้าซื้อกิจการ Aesthetic Healthcare Holdings Pte. Ltd ซึ่งเป็นเจ้าของคลินิกเวชศาสตร์ความงามหลายแห่งในสิงคโปร์

Logo

Aesthetic Healthcare สร้างฐานที่มั่นคงเพื่อขยายธุรกิจสู่เอเชียและยกระดับความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินงานของ SBC ในตลาดโลก

SBC จะใช้ประโยชน์จากการผนึกกำลังด้านการดำเนินงานและดำเนินกลยุทธ์การเติบโตเพื่อขยายธุรกิจในแนวดิ่งและเข้าถึงภูมิภาคใหม่

TOKYO

SBC Medical Group Holdings Inc. รายงานงบการเงินไตรมาส 3 ปี 2024

Logo

เออร์ไวน์ แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–14 พฤศจิกายน 2024

SBC Medical Group Holdings Incorporated (“SBC Medical” หรือ “บริษัท”) ซึ่งเป็นเจ้าของ ผู้ดําเนินการ และผู้ให้บริการด้านการบริหารจัดการและผลิตภัณฑ์สำหรับศูนย์บำบัดความงามระดับโลก ในวันนี้ได้ประกาศงบการเงินก่อนตรวจสอบไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024

งบการเงินที่สำคัญไตรมาส 3 ปี 2024

  • รายได้รวม ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 53 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12% จาก 47 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2023
  • รายได้รวม ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 160 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% จาก 131 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023
  • รายได้จากการดําเนินงาน ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 13 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลง 31% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2023
    • ผลลัพธ์นี้ได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายค่าตอบแทนตามหุ้น 12.8 ล้านเหรียญสหรัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจดทะเบียนของบริษัท
  • รายได้จากการดําเนินงาน ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 65.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 40.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2023
    • ผลลัพธ์นี้ได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายค่าตอบแทนตามหุ้น 12.8 ล้านเหรียญสหรัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจดทะเบียนของบริษัท
  • EBITDA1 ซึ่งคํานวณโดยการนำค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่ายมาบวกกับรายได้จากการดําเนินงาน ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 68 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2023 EBITDA margin อยู่ที่ 42% ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024
  • รายได้สุทธิที่เป็นของ SBC Medical Group Holdings Incorporated ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 8 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2023
  • รายได้สุทธิที่เป็นของ SBC Medical Group Holdings Incorporated ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 60% จาก 25 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023
  • จํานวนคลินิกพันธมิตร อยู่ที่ 224 แห่ง ณ วันที่ 30 กันยายน 2024 เพิ่มขึ้น 24 แห่งจากวันที่ 30 กันยายน 2023

1 EBITDA และ EBITDA Margin เป็นการวัดผลทางการเงินแบบ non-GAAP (ไม่ได้อยู่ในมาตรฐานบัญชี) สําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวัดผลทางการเงินแบบ non-GAAP  โปรดดูหัวข้อ “การใช้การวัดผลทางการเงินแบบ non-GAAP ” และตารางที่มีชื่อว่า “การกระทบยอดก่อนตรวจสอบของผลลัพธ์แบบ GAAP (ตามมาตรฐานบัญชี) และแบบ non-GAAP  “

  • จํานวนลูกค้า ในงวดสิบสองเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 4.3 ล้านราย ซึ่งเพิ่มขึ้น 13.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
  • อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ต่อปี) ซึ่งหมายถึงกําไรสุทธิต่อปีที่เป็นของบริษัทหารด้วยค่าเฉลี่ยของส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2023 และ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 31% ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 1 จุดเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
  • กําไรต่อหุ้น (พื้นฐาน) ซึ่งหมายถึงกําไรสุทธิที่เป็นของบริษัทหารด้วยจํานวนหุ้นที่ชำระแล้วเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักอยู่ที่ 0.42 เหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

“การประกาศผลประกอบการครั้งแรกของเราในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นก้าวสําคัญสําหรับ SBC Medical หลังจากประสบความสำเร็จในการควบรวมธุรกิจกับ Pono Capital Two แล้ว SBC Medical เริ่มซื้อขายบน Nasdaq ภายใต้สัญลักษณ์ 'SBC' เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2024” Yoshiyuki Aikawa ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SBC Medical กล่าว “ผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาสนี้ โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 161 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น 59% เน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงบวกของแผนริเริ่มเชิงกลยุทธ์ของเรา เช่น การปรับโครงสร้างค่าสิทธิและการขยายเครือข่ายคลินิก นอกจากนี้ ด้วยงบดุลที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเงินสด 137 ล้านเหรียญสหรัฐ เราจึงมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนโดยมีนโยบายเงินทุนที่ชัดเจน เราให้ความสําคัญกับผู้ถือหุ้นเป็นอย่างยิ่ง และยังคงให้ความสําคัญกับมูลค่าของผู้ถือหุ้นต่อไปผ่านผลตอบแทนที่สม่ำเสมอด้วยการเติบโตของธุรกิจที่แข็งแกร่ง การลงทุนต่อเชิงกลยุทธ์ และฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ถือหุ้นทุกคนรวมถึงนักลงทุนรายย่อยของเรา จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตและความสําเร็จของเรา”

งบการเงินไตรมาส 3 ปี 2024

รายได้รวมในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 160 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23% จาก 131 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 รายได้รวมในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 53 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 12% จาก 47 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2023 การเพิ่มขึ้นนี้มีสาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทเริ่มเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าจากคลินิกแฟรนไชส์ของเรา และเนื่องจากการขยายของจํานวนคลินิกแฟรนไชส์ของเรา ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานทั้งหมดในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 56 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 20% จาก 47 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเที่ยบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานทั้งหมดในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 29 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้น 118% จาก 13 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2023 การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานทั้งหมดนั้นมีสาเหตุหลักมาจากการให้คําปรึกษาที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนและค่าธรรมเนียมวิชาชีพ ค่าตอบแทนตามหุ้น และค่าใช้จ่ายสํานักงานที่สูงขึ้น

EBITDA ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 68.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 22% จาก 56.3 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้ แต่หักล้างไปบางส่วนด้วยค่าปรึกษาที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนและค่าธรรมเนียมวิชาชีพ EBITDA ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 14.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 36% จาก 23.3 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2023 สาเหตุหลักมาจากการให้คําปรึกษาที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนและค่าธรรมเนียมวิชาชีพ ค่าตอบแทนตามหุ้น และค่าใช้จ่ายสํานักงานที่สูงขึ้น

รายได้สุทธิในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 40.1 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 24.3 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้รวม แต่หักล้างไปบางส่วนจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานทั้งหมด รายได้สุทธิในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 อยู่ที่ 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 8.1 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2023 การลดลงมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานที่สูงขึ้น

ข้อมูลกระแสเงินสดและสภาพคล่องที่สำคัญ

ณ วันที่ 30 กันยายน 2024 SBC Medical ยังคงรักษาสถานะสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดรวม 137.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 103.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2023 การเพิ่มขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการสร้างเงินสดที่แข็งแกร่งจากกิจกรรมดําเนินงาน การจัดการการลงทุนอย่างรอบคอบ กลยุทธ์การจัดสรรเงินทุนที่มีวินัย

กระแสเงินสดจากการดําเนินงาน

เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดําเนินงานอยู่ที่ 27 ล้านเหรียญสหรัฐสในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 เพิ่มขึ้น 23% จาก 22 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2023 การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนหลักจากรายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้น 15 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากค่าใช้จ่ายค่าตอบแทนตามหุ้น 12.8 ล้านเหรียญสหรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ล่าสุดของบริษัท และการปรับปรุงในการจัดเก็บบัญชีลูกหนี้ ปัจจัยเชิงบวกเหล่านี้ถูกหักล้างไปบางส่วนด้วยการเปลี่ยนแปลงของบัญชีเจ้าหนี้และหนี้สินภาษี ซึ่งสะท้อนถึงการมุ่งเน้นของบริษัทในการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมการดําเนินงานที่กําลังเติบโต

กระแสเงินสดจากการลงทุน

เงินสดสุทธิที่ใช้ในกิจกรรมการลงทุนมีมูลค่ารวม 5 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 ลดลงจาก 8 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2023 ปัจจัยหลักหลักที่ส่งผลให้ลดลงนี้ ได้แก่ การชําระเงินในนามของบุคคลที่เกี่ยวข้องมูลค่า 5.2 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทยังคงจัดสรรเงินทุนอย่างมีกลยุทธ์เพื่อใช้กับสินทรัพย์ที่มีผลกระทบสูงซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโตในระยะยาว

กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน

เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงินมีมูลค่ารวม 11 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 เพิ่มขึ้นจาก 6 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2023 ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เพิ่มขึ้นนี้ ได้แก่ รายได้จากการปรับโครงสร้างทุนแบบย้อนกลับ สุทธิจากต้นทุนธุรกรรม 11.7 ล้านเหรียญสหรัฐ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสําคัญกับการเติบโตแบบยั่งยืนของบริษัทฯ ผ่านกระแสเงินสดจากการดําเนินงานมากกว่าการจัดหาเงินทุนจากภายนอก โดยไม่มีหนี้สินใหม่ที่มีนัยสำคัญเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว

ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน

กระแสเงินสดของ SBC Medical ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 0.5 ล้านเหรียญสหรัฐเนื่องจากค่าเงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ บริษัทฯ ยังคงติดตามความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และใช้กลยุทธ์เพื่อบรรเทาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนของสกุลเงิน

ด้วยเงินสดสํารองที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดจากการดําเนินงานที่ดี SBC Medical มั่นใจในความสามารถในการตอบสนองความต้องการสภาพคล่องในระยะสั้น และจัดหาเงินทุนสําหรับความคิดริเริ่มการเติบโตในอนาคต ฝ่ายบริหารเชื่อว่าสถานะเงินสดในปัจจุบันควบคู่ไปกับกระแสเงินสดจากการดําเนินงานที่วางแผนไว้จะเพียงพอที่จะรองรับการดําเนินธุรกิจและการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทในอีก 12 เดือนข้างหน้า

เกี่ยวกับ SBC Medical

SBC Medical ซึ่งมีสํานักงานใหญ่ในเมืองเออร์ไวน์ แคลิฟอร์เนีย และโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นเจ้าของและให้บริการด้านการจัดการและผลิตภัณฑ์แก่ศูนย์เสริมความงาม บริษัทมุ่งเน้นที่การให้บริการด้านการบริหารจัดการอย่างครบวงจรแก่คลินิกแฟรนไชส์เป็นหลัก ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จํากัดเพียงความต้องการด้านการโฆษณาและการตลาดผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ (เช่น เครือข่ายโซเชียลมีเดีย) การบริหารจัดการพนักงาน (เช่น การสรรหาและการฝึกอบรม) การจองคิวสําหรับลูกค้าคลินิกแฟรนไชส์ การช่วยเหลือในการเช่าที่พักและการเช่าสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับพนักงานแฟรนไชส์ การก่อสร้างและการออกแบบคลินิกแฟรนไชส์ การจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์และวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ (ขายต่อ) การจัดหาผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางให้กับคลินิกแฟรนไชส์เพื่อขายต่อให้กับลูกค้าคลินิก  การออกใบอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่อยู่ระหว่างรอรับสิทธิบัตรและไม่ได้จดสิทธิบัตร การใช้เครื่องหมายการค้าและตราสินค้า โซลูชั่นซอฟต์แวร์ไอที (รวมถึงแต่ไม่จํากัดเพียงการให้คําปรึกษาทางการแพทย์ทางไกล) การจัดการโปรแกรมรางวัลสำหรับลูกค้าของคลินิกแฟรนไชส์ (โปรแกรมคะแนนความภักดีของลูกค้า)  และเครื่องมือการชําระเงินสําหรับคลินิกแฟรนไชส์

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://sbc-holdings.com/

การใช้การวัดผลทางการเงินแบบ non-GAAP

บริษัทใช้การวัดผลแบบ non-GAAP  เช่น EBITDA ในการประเมินผลการดําเนินงานและเพื่อวัตถุประสงค์ในการตัดสินใจทางการเงินและการดําเนินงาน บริษัทเชื่อว่าการวัดผลทางการเงินแบบ non-GAAP  ช่วยระบุแนวโน้มที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัท บริษัทเชื่อว่าการวัดผลทางการเงินแบบ non-GAAP  ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับผลการดําเนินงานของบริษัท เพิ่มความเข้าใจโดยรวมเกี่ยวกับผลการดําเนินงานในอดีตของบริษัทและแนวโน้มในอนาคต และช่วยให้มองเห็นตัวชี้วัดหลักที่ฝ่ายบริหารของบริษัทใช้ในการตัดสินใจทางการเงินและการดําเนินงานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

การวัดผลทางการเงินแบบ non-GAAP  ไม่ได้ถูกกําหนดไว้ภายใต้มาตรฐานบัญชีของสหรัฐอเมริกา (U.S. GAAP) และไม่ได้นําเสนอแบบ GAAP ของสหรัฐอเมริกาการวัดผลทางการเงินแบบ non-GAAP  มีข้อจํากัดในเรื่องเครื่องมือวิเคราะห์ และเมื่อประเมินผลการดําเนินงาน กระแสเงินสด หรือสภาพคล่องของบริษัท นักลงทุนไม่ควรพิจารณาแยกออก หรือพิจารณาแทนผลขาดทุนสุทธิ กระแสเงินสดจากกิจกรรมการดําเนินงาน หรืองบกำไรขาดทุนอื่นๆ และข้อมูลกระแสเงินสดที่จัดทําขึ้นแบบ GAAP ของสหรัฐอเมริกา

บริษัทบรรเทาข้อจํากัดเหล่านี้โดยการกระทบยอดการวัดผลทางการเงินแบบ non-GAAP  เข้ากับการวัดผลการดําเนินงานแบบ GAAP ของสหรัฐอเมริกาที่เทียบเคียงได้มากที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้ควรนำมาพิจารณาเมื่อประเมินผลการดําเนินงานของบริษัท

สําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวัดผลทางการเงินแบบ non-GAAP  โปรดดูตารางที่หัวข้อ “การกระทบยอดก่อนตรวจสอบของผลลัพธ์แบบ GAAP  และแบบ non-GAAP”

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตไม่ใช่ข้อเท็จจริงในอดีตหรือข้อความเกี่ยวกับสภาวะปัจจุบัน  แต่เป็นเพียงการแสดงความเชื่อของบริษัทเกี่ยวกับเหตุการณ์และผลการดําเนินงานในอนาคตเท่านั้น ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วหลายสิ่งมีความไม่แน่นอนโดยและอยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัท ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้สะท้อนถึงมุมมองปัจจุบันของบริษัท เกี่ยวกับผลการดําเนินงานทางการเงินของบริษัท การเติบโตของรายรับและรายได้ แนวโน้มและโอกาสทางธุรกิจ และแผนการจัดสรรเงินทุนและสภาพคล่อง ในบางกรณี ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตสามารถระบุได้ด้วยการใช้คําต่างๆ เช่น “อาจ” “ควร” “คาดหมายว่า” “คาดการณ์ว่า” “พิจารณา” “ประมาณการ” “เชื่อว่า” “มีแผนจะ” “คาดว่า” “ทำนาย” “อาจเป็นไปได้” หรือ “หวังว่า” หรือความหมายเชิงลบของคําเหล่านี้หรือคําที่คล้ายคลึงกัน บริษัทขอเตือนผู้อ่านว่าอย่าพึ่งพาข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตใดๆ มากเกินไป ซึ่งเป็นปัจจุบัน ณ วันที่เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เท่านั้น และอาจมีความเสี่ยง ความไม่แน่นอน สมมติฐาน หรือการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ต่างๆ ที่ยากต่อการคาดการณ์หรือวัดผลได้ ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเป็นความคาดหวังในปัจจุบันของฝ่ายบริหาร มิได้เป็นการรับรองการดําเนินงานในอนาคต บริษัทไม่มีภาระผูกพันหรือยอมรับภาระผูกพันใดๆ ในการเผยแพร่ข้อมูลอัปเดต หรือการแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตต่อสาธารณะ เพื่อสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในการคาดการณ์ หรือการเปลี่ยนแปลงในเหตุการณ์ เงื่อนไข หรือสถานการณ์ที่ข้อความดังกล่าวอ้างถึง เว้นแต่ตามที่กฎหมายกําหนด ปัจจัยที่อาจทําให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญจากการคาดการณ์ในปัจจุบันอาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว และบริษัทไม่สามารถคาดการณ์ได้ทั้งหมด ปัจจัยดังกล่าวรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ธุรกิจ การแข่งขัน การตลาด และข้อกำหนดด้านกฎระเบียบในระดับโลก ระดับภูมิภาค หรือระดับท้องถิ่น รวมถึงปัจจัยต่างๆ ที่ระบุไว้ภายใต้หัวข้อ “ปัจจัยเสี่ยง” และที่อื่นๆ ในเอกสารที่บริษัทยื่นต่อสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐอเมริกา (“SEC”) ซึ่งสามารถเข้าถึงได้บนเว็บไซต์ของ SEC ที่ www.sec.gov

SBC MEDICAL GROUP HOLDINGS INCORPORATED

งบดุลรวมที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ

30 กันยายน

31 ธันวาคม

2024

2023

สินทรัพย์

สินทรัพย์หมุนเวียน:

เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด

$

137,393,070

$

103,022,932

บัญชีลูกหนี้

1,944,604

1,437,077

บัญชีลูกหนี้– กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

27,835,179

33,676,672

สินค้าคงเหลือ

1,985,883

3,090,923

ลูกหนี้สัญญาเช่าเงินทุน หมุนเวียน – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

8,443,338

6,143,564

ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมลูกค้า หมุนเวียน

16,125,086

8,484,753

ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 

8,372,668

10,050,005

รวมสินทรัพย์หมุนเวียน

202,099,828

165,905,926

สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน:

ทรัพย์สินและอุปกรณ์สุทธิ

13,194,414

13,582,017

สินทรัพย์ไม่มีตัวตนสุทธิ

16,218,233

19,739,276

การลงทุนระยะยาว

4,905,115

849,434

ค่าความนิยมสุทธิ

3,545,391

3,590,791

ลูกหนี้สัญญาเช่าเงินทุน ไม่หมุนเวียน – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

4,629,047

3,420,489

สินทรัพย์สิทธิการใช้สัญญาเช่าดําเนินงาน

5,251,418

5,919,937

สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี

624,564

ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมลูกค้า ไม่หมุนเวียน

6,590,301

6,444,025

การชําระคืนเงินต้นล่วงหน้าระยะยาว

4,308,810

4,099,763

การลงทุนระยะยาวใน MCs – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

19,561,069

19,811,555

ทรัพย์สินอื่น

15,550,402

15,442,058

รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน

94,378,764

92,899,345

รวมสินทรัพย์

$

296,478,592

$

258,805,271

หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

หนี้สินหมุนเวียน:

บัญชีเจ้าหนี้

$

14,873,829

$

26,531,944

ส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปี

136,683

156,217

ตั๋วเงินจ่าย หมุนเวียน – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

10,202,360

3,369,203

รายได้รับล่วงหน้าจากลูกค้า

565,495

2,074,457

รายได้รับล่วงหน้าจากลูกค้า – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

18,994,015

23,058,175

ภาษีเงินได้ค้างจ่าย

8,000,808

8,782,930

หนี้สินตามสัญญาเช่าดําเนินงาน หมุนเวียน

4,060,844

3,885,812

หนี้สินค้างจ่ายและหนี้สินหมุนเวียนอื่น

12,054,047

21,009,009

เนื่องจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน

3,532,453

3,583,523

รวมหนี้สินหมุนเวียน

72,420,534

92,451,270

หนี้สินไม่หมุนเวียน:

เงินให้กู้ยืมระยะยาว

686,470

1,062,722

ตั๋วเงินจ่าย ไม่หมุนเวียน – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

11,659,022

11,948,219

หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี

3,515,825

6,013,565

หนี้สินตามสัญญาเช่าดําเนินงาน ไม่หมุนเวียน

1,528,972

2,444,316

หนี้สินอื่น

1,147,345

1,074,930

รวมหนี้สินไม่หมุนเวียน

18,537,634

22,543,752

รวมหนี้สิน

90,958,168

114,995,022

ส่วนของผู้ถือหุ้น:

หุ้นบุริมสิทธิ (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.0001 เหรียญสหรัฐ จำนวนหุ้นที่ได้รับอนุญาต 20,000,000 หุ้น ไม่มีหุ้นที่ออกและชำระแล้ว ณ วันที่ 30 กันยายน 2024 และ 31 ธันวาคม 2023) (1)

หุ้นสามัญ (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.0001 เหรียญสหรัฐ จำนวนหุ้นที่ได้รับอนุญาต 400,000,000 หุ้น หุ้นที่ออกและชำระแล้ว  103,020,816 หุ้น และ 94,192,433 หุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2024 และ 31 ธันวาคม 2023) (1)

10,302

9,419

ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น (1)

60,825,115

36,879,281

ลูกหนี้หุ้นทุนซื้อคืน (หุ้นสามัญ 270,000 หุ้น) – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(2,700,000

)

กำไรสะสม

182,923,786

142,848,732

ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นสะสม

(36,078,149

)

(37,578,255

)

รวมส่วนของผู้ถือหุ้นของ Total SBC Medical Group Holdings Incorporated

204,981,054

142,159,177

ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม

539,370

1,651,072

รวมส่วนของผู้ถือหุ้น

205,520,424

143,810,249

รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

$

296,478,592

$

258,805,271

(1)

ปรับปรุงย้อนหลังสําหรับผลกระทบของการปรับโครงสร้างทุนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเนื่องจากการรวมธุรกิจแบบย้อนกลับมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2024

SBC MEDICAL GROUP HOLDINGS INCORPORATED

งบกําไรขาดทุนและงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ

สําหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน

สําหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน

2024

2023

2024

2023

รายได้สุทธิ – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

$

51,209,243

$

45,119,709

$

152,718,488

$

125,336,653

รายได้สุทธิ

1,875,640

2,158,976

8,276,517

5,856,076

รวมรายได้สุทธิ

53,084,883

47,278,685

160,995,005

131,192,729

ต้นทุนรายได้ตามจริง

9,845,793

13,780,309

38,816,865

37,256,066

กําไรขั้นต้น

43,239,090

33,498,376

122,178,140

93,936,663

ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน:

ค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไปและการบริหาร

16,597,032

13,446,618

43,784,637

46,885,138

ค่าตอบแทนตามหุ้น

12,807,455

12,807,455

ขาดทุนจากการยักยอก

28,516

380,766

รวมค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน

29,404,487

13,475,134

56,592,092

47,265,904

รายได้จากการดําเนินงาน

13,834,603

20,023,242

65,586,048

46,670,759

รายได้อื่น (ค่าใช้จ่าย):

รายได้จากดอกเบี้ย

7,950

10,234

37,283

86,345

ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย

(5,466

)

(3,978

)

(15,898

)

(37,380

)

รายได้อื่น

65,922

1,138,869

721,894

3,875,723

ค่าใช้จ่ายอื่น 

(795,158

)

(98,314

)

(2,746,450

)

(581,239

)

กําไรจากการจําหน่ายของบริษัทย่อย

3,813,609

รวมรายได้อื่น (ค่าใช้จ่าย)

(726,752

)

1,046,811

1,810,438

3,343,449

กำไรก่อนภาษีเงินได้

13,107,851

21,070,053

67,396,486

50,014,208

ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้

10,273,384

13,012,262

27,254,478

25,683,244

กำไรสุทธิ

2,834,467

8,057,791

40,142,008

24,330,964

หัก: กําไรสุทธิ (ขาดทุน) ที่เกิดจากส่วนได้เสียที่ไม่มีอํานาจควบคุม

1,573

(298,623

)

66,954

(696,812

)

กําไรสุทธิที่เป็นของ SBC Medical Group Holdings Incorporated

$

2,832,894

$

8,356,414

$

40,075,054

$

25,027,776

กําไร (ขาดทุน) เบ็ดเสร็จอื่น:

ส่วนปรับปรุงจากการแปลงค่าสกุลเงินต่างประเทศ

20,783,646

(974,249

)

1,543,245

(19,825,222

)

การจําแนกประเภทกําไรทียังไม่เกิดขึ้นจากตราสารหนี้เผื่อขายเป็นกําไรสุทธิตามจริง สุทธิจากผลกระทบทางภาษีเป็นศูนย์และ (97,856) เหรียญสหรัฐ ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 และ 2023 ตามลําดับ ไม่มีและ (97,856) เหรียญสหรัฐ ในงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2024 และ 2023 ตามลําดับ

(205,383

)

(8,760

)

รวมกําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ

23,618,113

6,878,159

41,685,253

4,496,982

หัก: กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่เกิดจากส่วนได้เสียที่ไม่มีอํานาจควบคุม

180,093

(387,948

)

110,093

(1,129,475

)

กําไรขาดทุนเบ็ดเสร็จที่เป็นของ SBC Medical Group Holdings Incorporated

$

23,438,020

$

7,266,107

$

41,575,160

$

5,626,457

กําไรสุทธิต่อหุ้นที่เป็นของ SBC Medical Group Holdings Incorporated (1)

กำไรต่อหุ้นปรับลด

$

0.03

$

0.09

$

0.42

$

0.27

จำนวนหุ้นเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักที่ชำระแล้ว (1)

กำไรต่อหุ้นปรับลด

95,095,144.00

94,192,433.00

94,495,533.00

94,192,433.00

(1)

ปรับปรุงย้อนหลังสําหรับผลกระทบของการปรับโครงสร้างทุนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเนื่องจากการรวมธุรกิจแบบย้อนกลับมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2024

SBC MEDICAL GROUP HOLDINGS INCORPORATED

งบกระแสเงินสดรวมที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ

สําหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่

30 กันยายน

2024

2023

กระแสเงินสดจากกิจกรรมดําเนินงาน

กำไรสุทธิ

$

40,142,008

$

24,330,964

การปรับเพื่อกระทบยอดกำไรสุทธิกับเงินสดสุทธิที่ได้จากกิจกรรมดําเนินงาน:

ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่าย

2,867,781

9,688,640

ค่าใช้จ่ายการเช่าที่ไม่ใช่เงินสด

2,908,990

2,424,220

สํารองหนี้เสีย (กลับรายการ)

(127,196

)

282,934

ค่าตอบแทนตามหุ้น

12,807,455

ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของทรัพย์สินและอุปกรณ์

204,026

กําไรที่เกิดขึ้นจริงจากเงินลงทุนระยะสั้น

(223,164

)

การเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนระยะยาว

1,682,282

กําไรจากการจําหน่ายของบริษัทย่อย

(3,813,609

)

ขาดทุน (กําไร) จากการจําหน่ายทรัพย์สินและอุปกรณ์และสินทรัพย์ไม่มีตัวตน

185,284

(249,532

)

ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี

(2,154,837

)

(1,379,922

)

การเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดําเนินงาน

บัญชีลูกหนี้

(804,000

)

(924,061

)

บัญชีลูกหนี้ – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

4,971,911

(19,979,099

)

สินค้าคงเหลือ

763,075

(4,038,874

)

ลูกหนี้สัญญาเช่าเงินทุน – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(3,430,267

)

17,241,740

ลูกหนี้สินเชื่อของลูกค้า

12,860,220

ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น

902,230

8,173,153

การชําระคืนเงินต้นล่วงหน้าระยะยาว

432,380

(1,991,626

)

สินทรัพย์อื่น

(348,178

)

(1,884,352

)

บัญชีเจ้าหนี้

(10,511,619

)

6,712,977

ตั๋วเงินจ่าย – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(14,030,092

)

ความก้าวหน้าจากลูกค้า

(1,401,437

)

(681,973

)

รายได้รับล่วงหน้าจากลูกค้า – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(3,565,778

)

(7,430,332

)

ภาษีเงินได้ค้างจ่าย

(549,446

)

16,518,062

หนี้สินตามสัญญาเช่าดําเนินงาน

(2,971,946

)

(2,335,113

)

หนี้สินค้างจ่ายและหนี้สินหมุนเวียนอื่น

(9,010,270

)

298,743

ค่าใช้จ่ายชดเชยการเกษียณอายุค้างจ่าย – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(22,082,643

)

หนี้สินอื่น

81,290

79,215

เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดําเนินงาน

27,886,231

22,753,983

กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน

การซื้อทรัพย์สินและอุปกรณ์

(1,974,285

)

(2,299,045

)

การซื้อสินทรัพย์ไม่มีตัวตน

(1,683,030

)

การซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพ

(1,700,000

)

(1,000,000

)

การชําระคืนเงินต้นล่วงหน้าสําหรับทรัพย์สินและอุปกรณ์

(843,740

)

(417,353

)

รายได้รับล่วงหน้าจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(617,804

)

(1,017,292

)

การชําระเงินในนามของบุคคลที่เกี่ยวข้องกัน

(5,245,990

)

การซื้อเงินลงทุนระยะสั้น

(2,106,720

)

การซื้อเงินลงทุนระยะยาว

(331,496

)

เงินลงทุนระยะยาวใน MCs – กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(26,780

)

เงินสดที่ได้รับจากการเข้าซื้อกิจการของบริษัทย่อย สุทธิจากเงินสดที่ได้รับ

722,551

เงินกู้ยืมระยะยาวแก่ผู้อื่น

(80,793

)

(421,429

)

การชําระคืนจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน

5,990,990

734,358

การชําระคืนจากผู้อื่น

62,927

47,356

รายได้จากการขายเงินลงทุนระยะสั้น

4,125,813

รายได้จากการเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิต

3,954,760

การจําหน่ายบริษัทย่อย สุทธิจากเงินสดที่จําหน่ายไป

(815,819

)

รายได้จากการจําหน่ายทรัพย์สินและอุปกรณ์

1,971

8,046,007

เงินสดสุทธิจากกิจกรรมการลงทุน (ใช้ใน)

(5,554,039

)

8,659,196

กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน

การกู้ยืมจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน

12,310,106

รายได้จากการปรับโครงสร้างทุนแบบย้อนกลับ สุทธิจากต้นทุนการทําธุรกรรม

11,707,417

รายได้จากการออกหุ้นสามัญ

10

รายได้จากการใช้สิทธิของใบสําคัญแสดงสิทธิ

31,374

การชําระคืนเงินกู้ยืมระยะยาว

(89,448

)

(8,691,462

)

การชําระคืนให้แก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน

(65,305

)

(7,619,266

)

ถือว่าเป็นเงินสมทบที่เกี่ยวข้องกับการกําจัดทรัพย์สินและอุปกรณ์

9,620,453

ถือว่าเป็นเงินสมทบที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างองค์กร

642,748

เงินสดสุทธิจากกิจกรรมจัดหาเงิน

11,584,038

6,262,589

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

453,908

(11,982,793

)

เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่เพิ่มขึ้นสุทธิ

34,370,138

25,692,975

เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ ต้นงวด

103,022,932

51,737,994

เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นงวด

$

137,393,070

$

77,430,969

การเปิดเผยข้อมูลกระแสเงินสดเพิ่มเติม

เงินสดที่จ่ายดอกเบี้ยจ่าย

$

15,898

$

37,380

เงินสดที่จ่ายภาษีเงินได้

$

31,332,123

$

12,608,072

กิจกรรมจัดหาเงินและกิจกรรมลงทุนที่ไม่ใช่เงินสด

ทรัพย์สินและอุปกรณ์ที่โอนจากการชําระคืนเงินต้นล่วงหน้าระยะยาว

$

164,781

$

7,681,830

สินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่โอนจากการชําระคืนเงินต้นล่วงหน้าระยะยาว

$

$

17,666,115

การชําระหนี้ให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกันเกี่ยวกับการจําหน่ายทรัพย์สินและอุปกรณ์

$

$

4,163,604

สินทรัพย์สิทธิการเช่าดําเนินงานที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนกับหนี้สินตามสัญญาเช่าดําเนินงาน

$

$

1,029,518

การวัดค่ามูลค่าใหม่ของหนี้สินตามสัญญาเช่าดำเนินงานและสินทรัพย์สิทธิการใช้อันเนื่องมาจากการแก้ไขสัญญาเช่า

$

2,408,752

$

2,110,079

การออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกันที่เกี่ยวข้องในการให้บริการสินเชื่อ

$

20,398,301

$

การออกหุ้นสามัญให้แก่กิจการที่เกี่ยวข้องกันจากการแปลงหุ้นกู้แปลงสภาพ

$

2,700,000

$

การออกหุ้นสามัญเป็นหุ้นจูงใจ

$

34

$

การชําระคืนเงินกู้ให้แก่กิจการที่เกี่ยวข้องกับการออกหุ้นสามัญ

$

$

795

การพิจารณาซื้อที่ไม่ใช่เงินสดสําหรับการซื้อสินทรัพย์

$

$

705,528

SBC MEDICAL GROUP HOLDINGS INCORPORATED

การกระทบยอดผลของ GAAP และ Non-GAAP ที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ

สําหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน

สําหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน

2024

2023

2024

2023

รายได้จากการดําเนินงาน

13,834,603

20,023,242

65,586,048

46,670,759

ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่าย

1,018,359

3,287,809

2,867,781

9,688,640

EBITDA

14,852,962

23,311,051

68,453,829

56,359,399

อัตรากําไร EBITDA

28

%

49

%

42

%

43

%

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ในเอเชีย:

SBC Medical Group Holdings Incorporated

Hikaru Fukui / Head of Investor Relations

E-mail: ir@sbc-holdings.com

ในสหรัฐอเมริกา:

ICR LLC

Bill Zima / Managing Partner

Email: bill.zima@icrinc.com

ที่มา: SBC Medical Group Holdings Incorporated.

Perma-Pipe International Holdings, Inc. ประกาศได้รับสัญญามูลค่า 15 ล้านดอลลาร์ในภูมิภาคอเมริกาและตะวันออกกลาง

Logo

สปริง เท็กซัส–(BUSINESS WIRE)–07 พฤศจิกายน 2024

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (Nasdaq: PPIH) ประกาศในวันนี้ว่าบริษัทได้รับรางวัลโครงการใหม่มูลค่า 6 ล้านดอลลาร์ในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศว่าได้รับรางวัลโครงการใหม่มูลค่า 9 ล้านดอลลาร์ในทวีปอเมริกา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค

รางวัลโครงการใหม่เหล่านี้จะใช้ความสามารถในการเคลือบป้องกันการกัดกร่อนของ Perma-Pipe และระบบฉนวน XTRU-THERM® ซึ่งเป็นโฟมโพลียูรีเทนแบบสเปรย์หุ้มด้วยปลอกโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง

รางวัลโครงการใหม่เหล่านี้ช่วยเสริมงานในมือของเราซึ่งมีการเติบโตอย่างมาก แบ็คล็อกอยู่ที่ 75.0 ล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2024 และขณะนี้เกิน 100.0 ล้านดอลลาร์

Marc Huber รองประธานอาวุโสประจําภูมิภาคอเมริกาของ Perma-Pipe กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีกับรางวัลเหล่านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในตลาดอเมริกา และการเสริมสร้างตําแหน่งของเราในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาอย่างต่อเนื่อง”

Saleh Sagr รองประธานอาวุโสประจําภูมิภาค MENA ของ Perma-Pipe กล่าวว่า “รางวัลล่าสุดใน MENA ส่วนใหญ่มอบให้กับโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในเขตภูมิภาค GCC รางวัลเหล่านี้ยืนยันตําแหน่งผู้นําในตลาดของเรา และเปิดโอกาสให้เราได้สาธิตผลิตภัณฑ์และบริการชั้นนําของอุตสาหกรรมให้กับลูกค้าใหม่ได้ชม”

David Mansfield ประธานและซีอีโอกล่าวว่า “การเติบโตในทุกภูมิภาคเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์โดยรวมของเรา และเราภูมิใจที่ได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น ซึ่งช่วยให้ Perma-Pipe สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับตําแหน่งผู้นําในตลาดต่อไปได้

Perma-Pipe International Holdings, Inc.

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (Nasdaq: PPIH, “Perma-Pipe” หรือ “บริษัท”) เป็นผู้นําระดับโลกในด้านระบบท่อหุ้มฉนวนล่วงหน้าและระบบตรวจจับการรั่วไหลสําหรับน้ำมันและก๊าซ ระบบทำความร้อนและความเย็นในเขตพื้นที่ และการใช้งานอื่นๆ บริษัทใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการประดิษฐ์ที่กว้างขวางเพื่อพัฒนาโซลูชันระบบท่อที่ช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการขนส่งของเหลวหลายประเภทอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยรวมแล้ว Perma-Pipe มีการดําเนินงานใน 15 แห่งใน 6 ประเทศ

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

ข้อความและข้อมูลอื่น ๆ ที่มีอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ซึ่งสามารถระบุได้โดยใช้คําศัพท์ที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า ถือเป็น “ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต” ตามความหมายของมาตรา 27A ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ ปี 1993 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม และมาตรา 21E ของบทบัญญัติกฎหมายหลักทรัพย์ ปี 1934 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม และอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ความปลอดภัยที่สร้างขึ้นโดยหลักเกณฑ์ดังกล่าว  ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จํากัดเพียง ข้อความเกี่ยวกับผลการดําเนินงานและการดําเนินงานที่คาดหวังในอนาคตของบริษัท ข้อความเหล่านี้ควรได้รับการพิจารณาว่าอยู่ภายใต้ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนมากมายที่มีอยู่ในการดําเนินงานและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของบริษัท ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนดังกล่าวรวมถึงแต่ไม่จํากัดเพียงสิ่งต่อไปนี้: (i) ผลกระทบของไวรัสโคโรนา (“COVID-19”) ต่อผลการดําเนินงาน สถานะทางการเงิน และกระแสเงินสดของบริษัท (ii) ความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อปริมาณการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทของลูกค้า (iii) ความสามารถของบริษัทในการปฏิบัติตามพันธสัญญาทั้งหมดในวงเงินสินเชื่อของบริษัท (iv) ความสามารถของบริษัทในการชําระหนี้และต่ออายุวงเงินสินเชื่อระหว่างประเทศที่กำลังจะหมดอายุ (v) ความสามารถของบริษัทในการดําเนินการตามแผนกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลกําไรและกระแสเงินสดที่เป็นบวก (vi) ผลกระทบจากความอ่อนแอและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก (vii) ความผันผวนของราคาเหล็กและความสามารถของบริษัทในการชดเชยการเพิ่มขึ้นของราคาเหล็กผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ (viii) ระยะเวลาในการรับคําสั่งซื้อ การดําเนินการ การส่งมอบ และการยอมรับผลิตภัณฑ์ของบริษัท (ix) การใช้จ่ายของภาครัฐในโครงการที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทลดลง และความท้าทายต่อสภาพคล่องและการเข้าถึงเงินทุนของลูกค้าที่ไม่ใช่ภาครัฐของบริษัท (x) ความสามารถของบริษัทในการเจรจาข้อตกลงการเรียกเก็บเงินตามความคืบหน้าสําหรับสัญญาขนาดใหญ่ได้สําเร็จ (xi) การกําหนดราคาเชิงรุกของคู่แข่งที่มีอยู่และการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ในตลาดที่บริษัทดําเนินธุรกิจอยู่ (xii) ความสามารถของบริษัทในการซื้อวัตถุดิบในราคาที่เหมาะสมและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับซัพพลายเออร์ (xiii) ความสามารถของบริษัทในการผลิตสินค้าที่ปราศจากข้อบกพร่องที่แฝงอยู่ และการกู้คืนจากซัพพลายเออร์ที่อาจจัดหาวัสดุที่มีข้อบกพร่องให้กับบริษัท (xiv) การลดหรือยกเลิกคําสั่งซื้อที่รวมอยู่ในแบ็คล็อกของบริษัท (xv) ความสามารถของบริษัทในการเรียกเก็บเงินลูกหนี้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการในตะวันออกกลาง (xvi) ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินธุรกิจระหว่างประเทศของบริษัท (xvii) ความสามารถของบริษัทในการดึงดูดและรักษาผู้บริหารระดับสูงและบุคลากรหลัก (xviii) ความสามารถของบริษัทในการบรรลุผลประโยชน์ที่คาดหวังจากความคิดริเริ่มการเติบโต (xix) ความสามารถของบริษัทในการตีความการเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบและกฎหมายภาษี (xx) ความสามารถของบริษัทในการใช้ผลขาดทุนสุทธิจากการดําเนินงานที่ยกไป (xxi) การกลับรายการของรายได้และกําไรที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้อันเป็นผลมาจากการประมาณการที่ไม่ถูกต้องซึ่งทําขึ้นโดยเชื่อมโยงกับการรับรู้รายได้ตามเปอร์เซ็นต์ของงานที่แล้วเสร็จของบริษัท (xxii) ความล้มเหลวของบริษัทในการสร้างและรักษาการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพต่อการรายงานทางการเงิน และ (xxiii) ผลกระทบของภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์ต่อระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท ผู้ถือหุ้น นักลงทุนที่มีศักยภาพ และผู้อ่านรายอื่น ๆ ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบในการประเมินข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า และควรระวังอย่าพึ่งพาข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าวมากเกินไป ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่ทําในที่นี้จัดทําขึ้นเฉพาะ ณ วันที่เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เท่านั้น และเราไม่มีภาระผูกพันในการอัปเดตข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใด ๆ ต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่นๆ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่อาจส่งผลต่อผลการดําเนินงานของเราสามารถดูได้จากเอกสารที่ยื่นต่อสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถดูได้ที่ https://www.sec.gov และภายใต้หัวข้อศูนย์นักลงทุนในเว็บไซต์ของเรา (http://investors.permapipe.com)

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Perma-Pipe International Holdings, Inc.

David Mansfield ประธานและซีอีโอ

นักลงทุนสัมพันธ์ Perma-Pipe
investor@permapipe.com
847.929.1200

ที่มา: Perma-Pipe International Holdings, Inc.

Plocamium Holdings เล็งเห็นโอกาสสร้างมูลค่าในตลาดที่มีการเติบโตสูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–27 สิงหาคม 2024

Plocamium Holdings บริษัทชั้นนำด้านการลงทุนและการเงินได้เผยแพร่การวิเคราะห์เชิงลึกที่เน้นให้เห็นโอกาสที่เติบโตไม่หยุดนิ่งของหุ้นนอกตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นที่เวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์ การศึกษาวิจัยนี้เน้นย้ำถึงศักยภาพของภูมิภาคแห่งนี้ในการเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการขยายเศรษฐกิจที่มั่นคง กรอบการทำงานกับทางรัฐที่เอื้ออำนวย และแนวโน้มในการเติบโตของตลาด

“กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับหุ้นนอกตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่เพียงกำลังเจริญเติบโต แต่ยังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย” Lily Raaka ผู้ดำรงตำแหน่ง Research Director ของ Plocamium Holdings กล่าว “ข้อมูลที่เราค้นพบบ่งชี้ว่าเวียดนาม ไทย และฟิลิปปินส์มีความพร้อมที่จะสร้างผลตอบแทนได้เป็นจำนวนมาก โดยแต่ละตลาดต่างก็มีโอกาสที่แตกต่างกันไปอย่างไม่ซ้ำกันซึ่งเหมาะกับกลยุทธ์การลงทุนที่เฉพาะเจาะจง”

“ขณะที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการพัฒนาเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างไม่หยุดนิ่งต่อไปเรื่อย ๆ โอกาสด้านการลงทุนในหุ้นนอกตลาดจึงมีอยู่อย่างมากมายและหลากหลาย” James Tannahill ผู้ดำรงตำแหน่ง President ของ Plocamium กล่าว

เวียดนาม: ศูนย์การผลิตและการดูแลสุขภาพเชิงกลยุทธ์

เวียดนามถือเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ในด้านการลงทุนในหุ้นนอกตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนการผลิตและการดูแลสุขภาพ การดำเนินการริเริ่มทางเศรษฐกิจเชิงกลยุทธ์ของประเทศ รวมถึงการร่วมมืออย่างครอบคลุมกับสหรัฐฯ ในปี 2013 และการร่วมเป็นสมาชิกในองค์การการค้าโลก ช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้อย่างมาก เมื่อรัฐบาลดำเนินการขยายขีดจำกัดด้านกรรมสิทธิ์ของต่างชาติ เวียดนามจึงดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศจำนวนมากได้อย่างต่อเนื่อง

ไทย: โอกาสสำหรับผู้เล่นในตลาดเฉพาะกลุ่ม

ประเทศไทยนำเสนอโอกาสที่น่าสนใจสำหรับบริษัทหุ้นนอกตลาดในตลาดระดับกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยีชีวภาพและสารสนเทศ ถึงแม้จะมีความท้าทายด้านการเมือง แต่ความคล่องตัวและการมีธุรกิจครอบครัวอยู่อย่างแพร่หลายในประเทศไทยก็สร้างจุดเริ่มต้นดำเนินการที่แตกต่างจากประเทศอื่นให้กับนักลงทุน การดำเนินการริเริ่มของรัฐบาล รวมถึงปัจจัยจูงใจด้านภาษีและทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน ยิ่งส่งเสริมแวดวงการลงทุนให้แข็งแกร่ง ประเทศไทยจึงเป็นแหล่งลงทุนเป้าหมายที่น่าดึงดูดใจ

ฟิลิปปินส์: เศรษฐกิจดิจิทัลกำลังมาแรง

ฟิลิปปินส์กำลังกลายเป็นศูนย์รวมสตาร์ตอัปทางดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านการดำเนินการริเริ่มต่าง ๆ เช่น แผนดำเนินการสำหรับสตาร์ตอัปทางดิจิทัลของฟิลิปปินส์ แม้ว่าความท้าทายอย่างการทุจริตจะยังคงมีอยู่ แต่จำนวนผู้ประกอบอาชีพวัยหนุ่มสาวที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และปัจจัยจูงใจที่ทางรัฐให้การสนับสนุนของประเทศก็ส่งผลให้ฟิลิปปินส์เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสำหรับการลงทุนในภาคส่วนเทคโนโลยีและเกษตรกรรม

เกี่ยวกับ Plocamium Holdings

Plocamium Holdings ใช้ความเชี่ยวชาญหลายทศวรรษในการร่วมมือกับผู้สนับสนุนและผู้ประกอบการด้านหุ้นนอกตลาด โดยมุ่งเน้นเผยให้เห็นการเติบโตและขับเคลื่อนความสำเร็จระยะยาว Plocamium จัดตั้งอยู่ในนิวยอร์ก โดยมุ่งมั่นดำเนินการอย่างเป็นเลิศและลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะสร้างมูลค่าให้กับพันธมิตรของตน

โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ plocamium.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สื่อมวลชน:
media@plocamium.com
plocamium.com/contact

แหล่งที่มา: Plocamium Holdings

Kirin Holdings เริ่มเตรียมข้อเสนอซื้อ FANCL A เข้าเป็นบริษัทย่อยในเครือ โดยมีการถือหุ้นทั้งหมด

Logo

  • ส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลกผ่านธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • มุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในบริษัทด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก
  • เมื่อรวมเข้ากับการเข้าซื้อกิจการของ Blackmores จะช่วยเพิ่มมูลค่าของกลุ่มบริษัทและเสริมสร้างฐานการดำเนินงานทั่วโลกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–14 มิถุนายน 2024

Kirin Holdings Company, Limited (Kirin Holdings) (TOKYO: 2503) ตัดสินใจซื้อหุ้นสามัญของ FANCL Corporation (FANCL) (TOKYO: 4921) เพิ่มเติมผ่านข้อเสนอซื้อหุ้นและใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้น ภายใต้พระราชบัญญัติระบบทางการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน (พระราชบัญญัติฉบับที่ 25 ปี 1948 และข้อแก้ไขเพิ่มเติม) โดยจัดให้ FANCL เป็นบริษัทในเครือ โดยถือหุ้นทั้งหมด

  • ภูมิหลัง

ภายใต้วิสัยทัศน์การบริหารระยะยาวของ Kirin Group Vision 2027 นั้น Kirin Holdings มุ่งมั่นที่จะ “กลายเป็นผู้นำระดับโลกในด้าน CSV โดยการสร้างมูลค่าในภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่อาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนถึงเภสัชกรรม” ด้วยการเปิดตัวธุรกิจในกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ เพิ่มเติมจากภาคส่วนอาหารและเภสัชกรรม และด้วยการเปลี่ยนปัญหาด้านสุขภาพของผู้บริโภคให้เป็นโอกาสในการเติบโต ด้วยความสามารถด้านการวิจัยและการพัฒนาในเทคโนโลยีการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงภูมิคุ้มกันวิทยา ช่วยให้ Kirin Holdings สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งสำหรับธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เพื่อพัฒนาให้เป็นหน่วยธุรกิจที่จะรับผิดชอบการเติบโตในระยะยาวของ Kirin Group ในปี 2019 Kirin Holdings ได้เข้าซื้อหุ้นของ FANCL ประมาณ 33% (ตามสิทธิในการออกสิทธิและเสียง) และได้ทำข้อตกลงด้านการลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ ในปี 2023 Kirin Holdings เข้าซื้อกิจการของ Blackmores Limited (Blackmores) ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติออสเตรเลียซึ่งดำเนินธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ   (สุขภาพเชิงธรรมชาติ) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงทำให้สามารถสร้างรากฐานธุรกิจที่มั่นคงในตลาดต่างประเทศ

ภายใต้วิสัยทัศน์ของ FANCL Group VISION2030 FANCL มุ่งมั่นที่จะทำให้โลกมีสุขภาพที่ดีขึ้นและสวยงามยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็กลายเป็นบริษัทที่ได้รับความนิยมชมชอบทั่วโลก ด้วยการตอบสนองต่อการเปลี่ยนเปลงในสภาพแวดล้อมทางสังคมผ่านมาตรการต่างๆ อาทิเช่น การรับมือกับปัญหาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจาก COVID-19 FANCL ได้กระชับความสัมพันธ์กับผู้บริโภคและเสริมสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืน นับจากนี้ไป FANCL ตั้งเป้าที่จะเสร้มสร้างความมั่นคงให้กับรากฐานการดำเนินงานภายในประเทศ และลงทุนเพื่อกระแสเงินสดในญี่ปุ่นอย่างจริงจังในการดำเนินงานในต่างประเทศของ FANCL เพื่อพัฒนาให้เป็นตัวขับเคลื่อนในการเติบโต

ด้วยปรัชญาและทิศทางเดียวกันในการมุ่งสู่การเติบโตผ่านการแก้ไขปัญหาสังคมด้านสุขภาพ Kirin Holdings และ FANCL ได้กระชับความเข้าใจในแนวเดียวกันโดยการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นับตั้งแต่มีการสรุปข้อตกลงด้านการลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจในปี 2019 นอกเหนือจากนี้ ในขณะที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมภายนอกร่วมกัน เช่น COVID-19 ทั้งสองบริษัทมีการร่วมมือกันในด้านวัสดุ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และแบรนด์ การวิจัยและพัฒนาธุรกิจร่วมกัน และการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน

  • วัตถุประสงค์ในการจัดให้ FANCL เป็นบริษัทในเครือที่มีการถือหุ้นทั้งหมด

จุดแข็งของ Kirin Holding ได้แก่ การวิจัยด้านภูมิคุ้มกันวิทยาที่มีการดำเนินงานมาอย่างยาวนาน โดยมีความสามารถในการพัฒนาและผลิตส่วนผสมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงสำหรับเทคโนโลยีการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพ และฐานธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีการเข้าซื้อกิจการผ่านการเข้าซื้อกิจการของ Blackmores

จุดแข็งของ FANCL อยู่ที่ความสามารถในการเชื่อมต่อและเข้าใจผู้บริโภคผ่านช่องทาง D2C (การจำหน่ายผ่านร้านค้าออนไลน์และทางร้านค้าที่มีการบริหารโดยตรง) ซึ่งคิดเป็น 70% ของยอดขาย และในด้านเทคโนโลยีสำหรับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ โดยใช้ความคิดเห็นจากผู้บริโภคในการวิจัยและพัฒนา เพื่อลดข้อคิดเห็นใน “แง่ลบ” โดยมีความเป็นกลาง ซึ่งมีการดำเนินการมาตลอดอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

ในการจัดให้ FANCL เป็นบริษัทในเครือที่มีการถือหุ้นทั้งหมด จะช่วยให้ Kirin Holdings สามารถเร่งสร้างโมเดลธุรกิจที่โดดเด่นด้วยการเสริมสร้างจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบริษัทเข้าด้วยกัน และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในการบริหารร่วมกัน และการส่งเสริมการจัดการเชิงบูรณาการ โดยการจำหน่ายส่วนผสมที่สร้างขึ้นผ่านเทคโนโลยีการหมักแบบธรรมชาติ และการใช้ประโยชน์จากความเข้าใจของลูกค้าที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ Kirin Holdings และ FANCL และนำเสนอแก่ผู้บริโภคผ่านหลากหลายช่องทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Kirin Group ยังมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้บริโภคทั้งในธุรกิจเครื่องสำอางค์และอาหารเพื่อสุขภาพ และยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาดโลกนอกเหนือจากตลาดในญี่ปุ่นอีกด้วย

การเปลี่ยนให้ FANCL เป็นบริษัทในเครือที่มีการถือหุ้นทั้งหมดนี้ คาดว่า จะช่วยให้สามารถสร้างความสามารถที่หลากหลายซึ่งอยู่นอกขอบเขตปัจจุบันในการลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น การเสริมสร้างการใช้ประโยชน์จากฐานการดำเนินงานและข้อมูลการสั่งซื้อในญี่ปุ่นและต่างประเทศ การส่งเสริมการวิจัยร่วมกัน และการปรับใช้เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมเชิงกว้าง ในฐานะบริษัทหลักที่ดำเนินงานในธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพของ Kirin Group FANCL จะมีการเสริมเพิ่ม “ความเป็น FANCL” ในแบรนด์ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงปรัชญาการก่อตั้ง ซึ่งเป็นที่มาของความแข็งแกร่ง นอกเหนือจากการเพิ่มมูลค่าองค์กรของ FANCL แล้ว ทั้งสองบริษัทจะทำงานร่วมกันนอย่างใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ เพื่อให้กลายเป็นหนึ่งในธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และบรรลุเป้าหมายในการเติบโตสำหรับ Kirin Group โดยรวมและเสริมสร้างมูลค่าองค์กรให้ดียิ่งขึ้น

  • โครงร่างการทำธุรกรรม

บริษัทที่จะเข้าซื้อกิจการ

FANCL Corporation (รหัสหลักทรัพย์: 4921)

วิธีการเข้าซื้อกิจการและกระบวนการ

การประมูลเข้าซื้อกิจการ (TOB รวมถึงใบสำคัญแสดงสิทธิในหุ้น)

*หาก TOB ประสบความสำเร็จ และไม่ส่งผลให้ได้มาซึ่งหุ้นทั้งหมด จะมีการดำเนินการ “ความต้องการซื้อหุ้น เช่น การจ่ายเงินสด” หรือ “การรวมบัญชีหุ้น”

ระยะเวลา TOB

ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 17 เดือนมิถุนายน ปี 2024

ถึงวันจันทร์ที่ 29 เดือนกรกฎาคม ปี 2024 (30 วันทำการ)

ราคา TOB

หุ้นสามัญ: 2,690 ต่อหุ้น

(ราคาปิดระดับพรีเมียมในวันที่ 13 เดือนมิถุนายน: 42.74% ค่าเฉลี่ย 3 เดือน: 37.17%, EV/EBITDA 17.8 เท่าของปีงบประมาณ สิ้นสุดเดือนมีนาคม ปี 2024)

สิทธิในการซื้อหุ้น: หนึ่งต่อหนึ่งเยน

จำนวนหุ้นที่จะซื้อ

จำนวนหุ้นที่จะซื้อ: 82,051,400 หุ้น

จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่จะซื้อ: 41,117,700 หุ้น (จำนวนหุ้นจะต้องผ่านมติพิเศษในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ FANCL สำหรับหุ้นจำนวนนี้ รวมกับจำนวนหุ้นที่ถือครองโดย Kirin Holdings)

จำนวนหุ้นสูงสุดที่จะซื้อ: N/A

ราคาซื้อรวม

ประมาณ 220.0 พันล้านเยน

วิธีการระดมทุน

กู้เงินผ่านระบบหนี้แบบมีดอกเบี้ย *จะไม่มีการจัดหาเงินทุนจากตราสารทุน

ผลลัพธ์สำหรับปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 เดือนมีนามคม ปี 2024

รายได้ 110.9 พันล้านเยน กำไรจากการดำเนินงาน 12.6 พันล้านเยน (Japan GAAP)

อื่นๆ

ตามรายงานจากคณะกรรมการพิเศษที่จัดตั้งขึ้นโดย FANCL คณะกรรมการฝ่ายบริหารของ FANCL ในวันที่ 14 เดือนมิถุนายน ปี 2024 ได้มีมติให้ (i) แสดงความเห็นยืนยันเกี่ยวกับข้อเสนอซื้อหุ้น (ii) แนะนำให้ผู้ถือหุ้นทำการประมูลหุ้นในข้อเสนอซื้อหุ้น และ (iii) ให้สิทธิในการตัดสินใจแก่ผู้ถือสิทธิในการเข้าซื้อหุ้นว่า จะเสนอซื้อสิทธิในการเข้าซื้อหุ้นในข้อเสนอซื้อหุ้นหรือไม่

สำหรับข้อสอบถามเกี่ยวกับข้อเสนอซื้อหุ้น

NOMURA SECURITIES CO., LTD (ตัวแทนสำหรับข้อเสนอซื้อหุ้น)

+81-(0)120-043-335

เวลาทำการ 8:40-17:10 JST ในวันธรรมดา, 9:00-17:00 JST ในวันเสาร์ (ยกเว้นวันหยุด)

สามารถดูรายละเอียดได้ที่ “ประกาศเกี่ยวกับการเตรียมข้อเสนอซื้อใบหุ้น เป็นต้น ของ FANCL CORPORATION (รหัสหลักทรัพย์ 4921)” ลงวันที่ 14 เดือนมิถุนายน ปี 2024

เกี่ยวกับ Kirin Holdings

Kirin Holdings Company, Limited เป็นบริษัทต่างชาติที่มีการดำเนินงานในภาคส่วนอาหารและเครื่องดื่ม (ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม) ภาคส่วนเภสัชกรรม (ธุรกิจยา) และภาคส่วนวิทยาศาสตร์สุขภาพ (ธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพ) ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก

Kirin Holdings มีรากฐานจาก Japan Brewery ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1885 โดย Japan Brewery ได้เปลี่ยนเป็น Kirin Brewery ในปี 1907 จากนั้น บริษัทมีการขยายธุรกิจด้านเทคโนโลยีการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพเป็นเทคโนโลยีหลัก และเข้าสู่ธุรกิจยาในปี 1980 โดยยังคงเป็นศูนย์กลางการเติบโตระดับโลก ในปี 2007 มีการก่อตั้ง Kirin Holdings ขึ้นในฐานะบริษัทโฮลดิ้งเต็มรูปแบบ และในปัจจุบัน มุ่งเน้นในการขยายธุรกิจภาคส่วนวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ

ภายใต้วิสัยทัศน์ของ Kirin Group Vision 2027 (KV 2027) ซึ่งเป็นแผนการจัดการระยะยาวที่มีการเปิดตัวในปี 2019 โดย Kirin Group มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำระดับโลกใน CSV* โดยสร้างมูลค่าทั่วโลกทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงธุรกิจยา นับจากนี้ไป Kirin Group จะยังคงใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของบริษัทเพื่อสร้างมูลค่าทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจผ่านทางธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืนในมูลค่าองค์กร

* การสร้างมูลค่าร่วม: เป็นการผสานรวมมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้บริโภคและสังคมร่วมกันโดยรวม

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
Corporate Communication Department Kirin Holdings Company, Limited
Nakano Central Park South, 4-10-2 Nakano, Nakano-ku, Tokyo
https://www.kirinholdings.com/en/
kirin-cc@kirin.co.jp

แหล่งข้อมูล: Kirin Holdings Company, Limited

การค้นพบครั้งแรกของญี่ปุ่น*1 เกี่ยวกับการทำงานของไขมันในอวัยวะภายในและภูมิคุ้มกันในการวิจัยร่วมกันของ Kirin Holdings และ Kao

Logo

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–27 พฤศจิกายน 2023

Kirin Holdings Company, Limited (TOKYO:2503) และ Kao Corporation (TOKYO:4452) จะเข้าร่วมในการศึกษาเรื่องการส่งเสริมสุขภาพ Wakayama ซึ่งเป็นการศึกษาตามรุ่น*2 ซึ่งนำโดย Wakayama Medical University และจัดขึ้นโดย Health Promotion Research Center (HPRC) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Kao และ Kirin Holdings ทำการศึกษาร่วมกันตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2022 เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในอวัยวะภายในกับการทำงานของเซลล์พลาสมาไซตอยด์เดนไตรติก (pDC*3)*4 ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมการสร้างภูมิคุ้มกัน

Joint Research Results (Summary) (Graphic: Business Wire)

ผลการวิจัยร่วม (สรุป) (กราฟิก: Business Wire)

ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการมุ่งเน้นความสนใจไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนและภูมิคุ้มกัน เนื่องจากมีรายงานว่า โรคอ้วนทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสที่รุนแรงมากขึ้น*5 การศึกษานี้เป็นการศึกษาครั้งแรกในญี่ปุ่น*1 เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในอวัยวะภายในและการทำงานของคุ้มภูมิกัน และยืนยันว่าระดับไขมันในอวัยวะภายในสูงมีความสัมพันธ์กับการทำงานของ pDC ที่ต่ำ (การทำงานของภูมิคุ้มกันต่ำ) และระดับไขมันในอวัยวะภายในสูงและการทำงานของ pDC ต่ำมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโคโรนาไวรัสและไข้หวัดใหญ่ การค้นพบนี้ยังไม่มีการรายงานในเอกสารใดๆ ในโลก*6 จะมีการแสดงผลลัพธ์ในการประชุมประจำปีครั้งที่ 44 ของสมาคมญี่ปุ่นเพื่อการศึกษาเรื่องโรคอ้วน และการประชุมประจำปีครั้งที่ 41 ของสมาคมญี่ปุ่นเพื่อการรักษาโรคอ้วน ซึ่งจะมีการจัดขึ้นในจังหวัดมิยางิ ในวันที่ 25 (เสาร์) และ 26 (อาทิตย์) เดือนพฤศจิกายน ปี 2023

*1 อ้างอิงจากบทความและข้อมูลบทคัดย่อที่ตีพิมพ์ใน Pubmed และ Journal of Health Care and Society Web (ณ วันที่ 22 เดือนพฤศจิกายน ปี 2023 ตามข้อมูลจาก KnowledgeWire)
*2 หนึ่งในวิธีการวิจัยเชิงสังเกตทางระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์ โดยการสร้างกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยเฉพาะของโรคและกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้อง และการคำนวณอัตราอุบัติการณ์ของโรคเป้าหมายภายในแต่ละกลุ่ม ช่วยให้สามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยของโรคและการระบาดได้
*3 เซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมเมื่อมีแบคทีเรียหรือไวรัสเข้าสู่ร่างกาย การทำให้ pDC ทำงานจะช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันต่างๆ เช่น เซลล์ NK ทีเซลล์ และบีเซลล์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส
*4 เปอร์เซ็นต์ของ pDC ที่สร้างปัจจัยต้านไวรัสตามการกระตุ้นที่เลียนแบบการติดเชื้อไวรัส
*5 Ghilotti F et al. J Epidemiol. 2019; 48(6): 1783-1794
Popkin BM et al. Obes Rev. 2020; 21(11): e13128
*6 อ้างอิงจากข้อมูลบทความที่ตีพิมพ์ใน Pubmed และ Journal of Health Care and Society Web (ณ วันที่ 22 เดือนพฤศจิกายน ปี 2023 ตามข้อมูลจาก KnowledgeWire)

ผลลัพธ์การวิจัยร่วม (บทสรุป)

การค้นพบครั้งแรกของญี่ปุ่น*1
(1) มีการค้นพบว่า การทำงานของ pDC จะลดลงในบุคคลที่มีไขมันในอวัยวะภายในสูง
(2) มีเปอร์เซ็นต์สูงที่ผู้มีไขมันในอวัยวะภายในสูงและการทำงานของ pDC ต่ำจะติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่และไข้หวัดใหญ่ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีไขมันในอวัยวะภายในสูง

ผลกระทบที่ได้รับ
ขอแนะนำว่า การรักษามวลไขมันในอวัยวะภายในต่ำและการทำงานของ pDC สูงนั้น มีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโคโรนาไวรัสและไข้หวัดใหญ่

ผลการวิจัยร่วม

ความเป็นมาและวัตถุประสงค์

มีการระบุโรคอ้วนโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า เป็น “ภาวะที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการสะสมไขมันที่ผิดปกติหรือมากเกินไป” และมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคเรื้อรัง มีการศึกษาผลกระทบจากโรคอ้วนที่มีต่อสุขภาพในหลายประเทศ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนและภูมิคุ้มกันได้รับความสนใจ เนื่องจากมีการรายงานว่า โรคอ้วนนำไปสู่การติดเชื้อไวรัสที่รุนแรงยิ่งขึ้น*7

การวิจัยนี้จัดทำขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิจัยเรื่องการส่งเสริมสุขภาพ Wakayama โดยมีการตั้งเป้าไปที่ผู้อยู่อาศัยใน Wakayama มาตั้งแต่ปี 2011 Kao ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยเรื่องโรคอ้วนจากไขมันในอวัยวะภายใน ซึ่งถือว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับโรคที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต และ Kirin Holdings ซึ่งมีการวิจัยในสาขาภูมิคุ้มกันวิทยามานานกว่า 35 ปี ได้ร่วมมือกันเพื่อชี้แจงความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในอวัยวะภายในและการทำงานของ pDC
*7 Pranata R et al. Clin Nutr ESPEN. 2021; 43: 163-168

การศึกษาเรื่องการส่งเสริมสุขภาพ Wakayama คืออะไร

นี่เป็นการศึกษาตามรุ่นที่นำโดย Wakayama Medical University ตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งปัจจุบันกำลังดำเนินการร่วมกับ HPRC เพื่อระบุปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของโรคต่างๆ ในหมู่ประชากรที่อาศัยอยู่ใน Wakayama

ในปัจจุบัน มีการวิจัยที่ดำเนินการในโครงการเกี่ยวกับวิถีชีวิต โรคที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต และมวลกล้ามเนื้อ ส่งผลให้เกิดการค้นพบมากมาย รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและการพัฒนาของหลอดเลือด และความสัมพันธ์ระหว่างประวัติในการหกล้อมและการทำงานด้านกายภาพโดยสมัครใจ นี่เป็นครั้งแรกที่โครงการทำการวิจัยเกี่ยวกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

Kirin Holdings และ Kao ดำเนินงานร่วมกันเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างมวลไขมันในอวัยวะภายในและการทำงานของ pDC ในการศึกษาการส่งเสริมสุขภาพใน Wakayama เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภคในอนาคต

วิธีการวิจัย

ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2022 มีการจัดการตรวจสุขภาพเฉพาะสำหรับ Wakayama ที่มีผู้อยู่อาศัย 223 คน ช่วงอายุ 50–55 ปี จากการดำเนินการนี้ ช่วยให้ Kao ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมตามวิถีชีวิตและบริเวณไขมันในอวัยวะภายใน ในขณะที่ Kirin มีการวัดข้อมูลจากการทำงานของ pDC ในเลือด จะมีการแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ระหว่างทั้งสองทีม และมีการศึกษาและวิเคราะห์ร่วมกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในอวัยวะภายในและการทำงานของ pDC มีการแบ่งกลุ่มที่ศึกษาออกเป็นดังนี้

บริเวณไขมันในอวัยวะภายใน: จากค่ามัธยฐานที่ 77 ซม.2 สำหรับค่าทั้งหมด จะมีการกำหนดให้ระดับไขมันในอวัยวะภายในที่น้อยกว่า 77 ซม.2 ให้เป็นกลุ่มไขมันในอวัยวะภายในต่ำ และกลุ่มที่มีระดับไขมันในอวัยวะภายในสูงกว่า 77 ซม.2 จะถือว่าเป็นกลุ่มไขมันในอวัยวะภายในสูง

การทำงานของ pDC: ขึ้นอยู่กับค่ามัธยฐานที่ 9.52% สำหรับค่าทั้งหมด จะมีการกำหนดให้กลุ่มที่มีการทำงานของ pDC อยู่ที่ 9.52% หรือน้อยกว่าเป็นกลุ่มที่มีการทำงานของ pDC ต่ำ และกลุ่มที่มีการทำงานของ pDC อยู่ที่ 9.52% หรือสูงกว่าเป็นกลุ่มที่มีการทำงานของ pDC สูง

ผลลัพธ์

ผลลัพธ์ที่ 1: ความสัมพันธ์ระหว่างบริเวณไขมันในอวัยวะภายในและการทำงานของ pDC
กลุ่มที่มีค่าบริเวณไขมันในอวัยวะภายในสูงจะมีการทำงานของ pDC ต่ำกว่ากลุ่มที่มีค่าบริเวณไขมันในอวัยวะภายในต่ำอย่างมีนัยสำคัญ (ภาพที่ 1)

ผลลัพธ์ที่ 2: ผลกระทบของบริเวณไขมันในอวัยวะภายในและการทำงานของ pDC ต่อการติดโรคติดเชื้อ
กลุ่มที่มีค่าบริเวณไขมันในอวัยวะภายในสูงมีอุบัติการณ์ในการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่สูงกว่ากลุ่มที่มีค่าต่ำ โดยมีอัตราส่วนโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูงถึง 7 เท่า*8 ในขณะเดียวกัน กลุ่มที่มีการทำงานของ pDC ต่ำมีอุบัติการณ์ในการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่สูงกว่ากลุ่มที่มีการทำงานของ pDC สูง โดยมีอัตราส่วนโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูงถึง 5 เท่า (ภาพที่ 2)

ยังมีการแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็นสี่กลุ่ม เพื่อยืนยันผลเสริมฤทธิ์สำหรับบริเวณไขมันในอวัยวะภายในสูงหรือต่ำ และการทำงานของ pDC และพบว่า กลุ่มที่มีบริเวณไขมันในอวัยวะภายในสูงและการทำงานของ pDC ต่ำ มีอุบัติการณ์ในการติดเชื้อไวรัสโคโรนนาสายพันธุ์ใหม่สูงกว่ากลุ่มที่มีบริเวณไขมันอวัยวะภายในต่ำและการทำงานของ pDC สูง โดยมีอัตราส่วนโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูงถึง 20 เท่า และมีการตรวจพบผลลัพธ์เช่นเดียวกันสำหรับไข้หวัดใหญ่ (ภาพที่ 3)
*8 อัตราส่วนโอกาสที่จะเกิดขึ้นเป็นค่าที่ใช้เพื่อแสดงความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้น อัตราส่วนโอกาสที่จะเหิดขึ้นและความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นมีความสัมพันธ์เชิงบวก

ผลการวิจัยเกี่ยวกับการทำงานร่วมกัน

นับเป็นครั้งแรกในโลกที่การทำงานร่วมกันนี้ มีการวิจัยพบว่า ผู้ที่มีระดับบริเวณไขมันในอวัยวะภายในสูงมีการทำงานของ pDC ต่ำ นอกจากนี้ ยังมีการแนะนำว่า บริเวณไขมันในอวัยวะภายในและการทำงานของ pDC ตามลำดับ ส่งผลต่อความไวในการติดเชื้อโคโรนาไวรัสและไข้หวัดใหญ่ และผู้ที่มีบริเวณไขมันอวัยวะภายในสูงและการทำงานของ pDC ต่ำ จะมีความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้เป็นพิเศษ

ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีค่าบริเวณไขมันในอวัยวะภายในสูงและการทำงานของ pDC ต่ำเพื่อการจัดการมวลไขมันในอวัยวะภายในและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

เกี่ยวกับ Kirin Holdings

Kirin Holdings Company, Limited เป็นบริษัทระดับโลกที่ดำเนินงานในภาคส่วนอาหารและเครื่องดื่ม (ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม) ภาคส่วนเภสัชกรรม (ธุรกิจเภสัชกรรม) และภาคส่วนวิทยาศาสตร์สุขภาพ (ธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพ) ทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก

Kirin Holdings มีรากฐานมาจาก Japan Brewery ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1885 Japan Brewery ได้เปลี่ยนเป็น Kirin Brewery ในปี 1907 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทได้ขยายธุรกิจเกี่ยวกับการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพเป็นเทคโนโลยีหลัก และเข้าสู่ธุรกิจเภสัชกรรมในปี 1980 โดยยังคงเป็นศูนย์กลางระดับโลกที่ยังคงเติบโตอยู่ ในปี 2007 Kirin Holdings ก่อตั้งขึ้นเป็นบริษัทโฮลดิ้ง และปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่การขยายขอบเขตภาคส่วนวิทยาสาสตร์สุขภาพ

ภายใต้วิสัยทัศน์ Kirin Group Vision 2027 (KV 2027) ซึ่งเป็นแผนการบริหารระยะยาวที่เปิดตัวในปี 2019 Kirin Group ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำระดับโลกในด้าน CSV*9 เพื่อสร้างมูลค่าในโลกของอาหารและเครื่องดื่มไปจนถึงภาคส่วนเภสัชกรรม นับจากนี้ไป Kirin Group จะยังคงใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตนเพื่อสร้างมูลค่าทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจผ่านธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บรรลุการเติบโตที่ยั่งยืนในคุณค่าขององค์กร
*9 การสร้างคุณค่าร่วมกัน: มูลค่าเพิ่มร่วมกันสำหรับผู้บริโภคและสังคมโดยรวม

เกี่ยวกับ Kao Corporation

Kao สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งนำเสนอการดูแลและเติมเต็มให้กับชีวิตของผู้คนทั้งหมดและโลกใบนี้ Kao เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในเอเชีย โอเชียเนีย อเมริกาเหนือ และยุโรป ผ่านผลงานของแบรนด์ชั้นนำกว่า 20 แบรนด์ เช่น Attack, Bioré, Goldwell, Jergens, John Frieda, Kanebo, Laurier, Merries, และ Molton Brown เมื่อมีการรวมเข้ากับธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซึ่งมีส่วนช่วยในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย Kao สร้างรายได้ประมาณ 1,420 พันล้านเยนจากยอดขายต่อปี Kao มีพนักงานประมาณ 33,500 คนทั่วโลก และมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 135 ปีในด้านนวัตกรรม โปรดเข้าชมข้อมูลที่อัปเดตในเว็บไซต์ของ Kao Group https://www.kao.com/global/en/

Kao มีการก่อตั้งกลยุทธ์ ESG คือ Kirei Lifestyle Plan ในเดือนเมษายน ปี 2019 ตั้งแต่ปี 2021 Kao มีการส่งเสริมแผนระยะกลางตาม “การปกป้องขีวิตในอนาคต” และส่งเสริม “ความยั่งยืนเป็นหลัก” เป็นวิสัยทัศน์ Kao จะยังคงบูรณาการมุมมอง ESG เข้ากับการบริหารจัดการบริษัท โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาธุรกิจและจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้บริโภคและสังคม และทำงานตามจุดประสงค์ “เพื่อสร้างโลก Kirei เพื่อทุกชีวิตสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน”

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:

https://www.businesswire.com/news/home/53862302/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
Corporate Communication Department
Kirin Holdings Company, Limited
Nakano Central Park South, 4-10-2 Nakano, Nakano-ku, Tokyo
https://www.kirinholdings.com/en/
kirin-cc@kirin.co.jp

Corporate PR, Corporate Strategy
Kao Corporation
1-14-10, Nihonbashi Kayabacho, Chuo-ku, Tokyo
https://www.kao.com/global/en/
corporate_pr@kao.com

แหล่งข้อมูล: Kirin Holdings Company, Limited




Alpaca และ SBI Holdings ของญี่ปุ่น ประกาศความร่วมมือและการลงทุนเชิงกลยุทธ์มูลค่า 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเร่งธุรกิจของ Alpaca ในเอเชีย

Logo

Alpaca แซงหน้าธุรกิจ 150 แห่ง ที่เปิดตัวบนแพลตฟอร์มนายหน้า และเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตแบบเร่งตัวร่วมกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในแต่ละภูมิภาคหลัก

ซานมาเทโอ แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE )–13 ตุลาคม 2023

Alpaca แพลตฟอร์มนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ระดับโลกสำหรับการซื้อขายหุ้นและสกุลเงินดิจิทัลที่รองรับการเปิดตัวธุรกิจการลงทุนหลายร้อยแห่งทั่วโลก วันนี้ได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ SBI Group (“SBI”) ซึ่งเป็นกลุ่มบริการทางการเงินในญี่ปุ่นที่มีนายหน้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด (บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับสอง) ในญี่ปุ่นโดยมีรายได้และมีสินทรัพย์มากกว่า 400 พันล้านเยนภายใต้การจัดการการลงทุน VC/PE

Alpaca and Japan’s SBI Holdings Announce Partnership and Strategic Investment to Accelerate Alpaca’s Asian Business (Graphic: Business Wire)

Alpaca และ SBI Holdings ของญี่ปุ่น ประกาศความร่วมมือและการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อเร่งธุรกิจของ Alpaca ในเอเชีย (กราฟิก: Business Wire)

ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยให้ Alpaca สามารถเร่งการขยายธุรกิจและขยายการเข้าถึงไปยังสถาบันการเงินระดับองค์กรเพื่อการเคลียร์และดำเนินการหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ในเอเชีย

ในฐานะส่วนหนึ่งของความร่วมมือครั้งใหม่ SBI ได้ลงทุน 15 ล้านเหรียญสหรัฐใน Alpaca นอกจากนี้ SBI ยังได้ตกลงกับ Alpaca เพื่อให้คำมั่นสัญญาในการขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคตของ Alpaca ผ่านความพยายามในการพัฒนาธุรกิจร่วมกันและการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม

Alpaca ยังคงจัดหาทรัพยากรที่ทุ่มเทให้กับการขยายธุรกิจในเอเชียผ่านใบอนุญาตนายหน้า-ตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับเมื่อเร็ว ๆ นี้ภายใต้ Japan FSA ด้วยใบอนุญาตในญี่ปุ่น Alpaca สามารถจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์สำหรับสถาบันการเงินระดับองค์กรและบริษัทสตาร์ทอัพ เพื่อเสนอบริการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ให้กับลูกค้าปลายทางได้อย่างง่ายดาย

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับ SBI ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของเรา และเพื่อขยายขอบเขตการดำเนินงานของเราในภูมิภาคเอเชีย” กล่าวโดย Yoshi Yokokawa ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Alpaca “ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเร่งภารกิจของเราในการเปิดบริการทางการเงินแก่ทุกคนบนโลกอย่างมีนัยสำคัญ เงินทุนพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ SBI ช่วยให้เราสามารถเพิ่มสถานะของเราในภูมิภาคเอเชียได้อย่างมีนัยสำคัญ เร่งการให้บริการสถาบันการเงินระดับองค์กร และเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการของท้องถิ่น เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ปลดล็อกศักยภาพอันมหาศาลนี้”

“การลงทุนของเราใน Alpaca สอดคล้องโดยตรงกับวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของเรา เพื่อแสดงความมุ่งมั่นของเราในการเร่งสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าปลายทาง” กล่าวโดย Shohei Yamada รองผู้จัดการทั่วไปของ SBI Investment “เรารู้สึกประหลาดใจกับการเติบโตและความเร็วของนวัตกรรมที่ Alpaca ได้แสดงให้เห็น และรู้สึกตื่นเต้นที่จะสนับสนุนการขยายธุรกิจต่อไปในภูมิภาคเอเชีย”

นอกจากการเติบโตของ Alpaca ในญี่ปุ่นแล้ว แพลตฟอร์มนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของ Alpaca ยังสนับสนุนธุรกิจหลายร้อยรายในเกือบ 30 ประเทศ เช่น ตุรกี ซาอุดีอาระเบีย อินโดนีเซีย ไทย และอินเดีย Alpaca ระดมทุนได้มากกว่า 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากนักลงทุนชั้นนำในอุตสาหกรรมทั่วโลก

เกี่ยวกับ Alpaca

Alpaca เป็นแพลตฟอร์มนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ API แห่งแรกของนักพัฒนาที่รองรับธุรกิจหลายร้อยแห่งทั่วโลก Alpaca นำเสนอการซื้อขายหุ้นและสกุลเงินดิจิทัล ข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ และโครงสร้างพื้นฐานด้านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบ end-to-end ผ่าน API ที่ทันสมัย Alpaca ระดมทุนได้มากกว่า 120 ล้านดอลลาร์ และได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำในอุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งรวมถึง Portage Ventures, Spark Capital, Tribe Capital, Social Leverage, Horizons Ventures, Unbound, SBI Group, Eldridge, Positive Sum, Elefund และ Y Combinator

เกี่ยวกับ SBI Group

SBI Group ก่อตั้งขึ้นในปี 1999 ในฐานะผู้บุกเบิกบริการทางการเงินบนอินเทอร์เน็ตในญี่ปุ่น เป็นกลุ่มการเงินทางอินเทอร์เน็ตแบบครบวงจรที่ดำเนินงานทั่วโลก ครอบคลุมธุรกิจหลัก 5 ประเภท ได้แก่ “ธุรกิจบริการทางการเงิน” เช่น ธุรกิจหลักทรัพย์ การธนาคาร และประกันภัย “ธุรกิจการลงทุน” ซึ่งดำเนินธุรกิจการลงทุนในหุ้นนอกตลาด รวมถึงการร่วมลงทุน “ธุรกิจบริหารสินทรัพย์” ที่ให้บริการด้านการบริหารสินทรัพย์ที่หลากหลาย “ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล” ซึ่งดำเนินการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและบริการแลกเปลี่ยน และ “ธุรกิจที่ไม่ใช่ทางการเงิน” ซึ่งรวมถึงกิจกรรมทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ การดูแลสุขภาพและสารสนเทศทางการแพทย์, Web3 และตลาดใหม่ในต่างประเทศ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sbigroup.co.jp/english/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/53604043/en

รายชื่อติดต่อ

press@alpaca.markets
ทีมการตลาด Alpaca

ที่มา: Alpaca

SciMed (Asia) บริษัทฝ่ายขายและบริการด้านชีววิทยาศาสตร์ในเครือของ PHC Holdings Corporation กลายเป็นบริษัทในเครืออย่างเต็มตัวจากการเข้าซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจของ PHC Group เพื่อสนับสนุนนักวิจัยและผู้ให้บริการด้านสุขภาพในเอเชียแปซิฟิก

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–15 มิถุนายน 2023

PHC Holdings Corporation (สำนักงานใหญ่: มินาโตะ โตเกียว ญี่ปุ่น, ประธาน กรรมการผู้แทน และซีอีโอ: Shoji Miyazaki ซึ่งต่อไปเรียกบริษัทนี้ว่า PHCHD) ประกาศว่า บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นที่เหลืออีก 30% ของบริษัทในเครือ SciMed (Asia) Pte. Ltd. (สำนักงานใหญ่: สิงคโปร์ ซึ่งต่อไปเรียกบริษัทนี้ว่า SciMed) ทำให้ SciMed กลายเป็นบริษัทในเครือของ PHCHD อย่างเต็มตัว โดยก่อนหน้านี้ PHCHD ถือหุ้นใน SciMed อยู่ 70% PHC Group บริษัทระดับโลกที่ประกอบด้วย PHCHD และบริษัทในเครือ จะใช้การซื้อกิจการครั้งนี้เพื่อขยายธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ไปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

SciMed นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านชีววิทยาศาสตร์ ซึ่งรวมถึงตู้แช่แข็งอุณหภูมิต่ำพิเศษและตู้อบ CO2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และโอเชียเนีย นับตั้งแต่ปี 1992 PHC Group และกลุ่มบริษัทก่อนหน้าได้ร่วมมือกับ SciMed เพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาคเหล่านี้ผ่านเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง ตลอดจนความเชี่ยวชาญในสาขาชีววิทยาศาสตร์ของ SciMed และความสามารถในการให้บริการของตน ในเดือนกรกฎาคม 2020 นั้น PHCHD เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน SciMed จาก 14.99% เป็น 70% ซึ่งทำให้กลายเป็นบริษัทในเครือของ PHCHD*

ตลาดอุปกรณ์ชีววิทยาศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะเติบโตอย่างมาก โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการขยายตัวระดับภูมิภาคในอุตสาหกรรมเภสัชกรรมและการสร้างสถาบันทางการแพทย์ใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของชีวเภสัชภัณฑ์ เช่น ยาแอนติบอดีและวัคซีน ในฐานะบริษัทในเครืออย่างเต็มตัว SciMed จะสามารถบรรลุความร่วมมือเชิงลึกกับแผนกและบริษัทในเครืออื่น ๆ ของ PHC Group และปรับปรุงโครงสร้างการขายและการตลาดทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และโอเชียเนีย สิ่งนี้จะส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และเร่งการสร้างโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่สนับสนุนนักวิจัยและผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่เผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาการรักษาขั้นสูง

Nobuaki Nakamura เจ้าหน้าที่องค์กรและหัวหน้าร่วมฝ่ายการวินิจฉัยและชีววิทยาศาสตร์ของ PHCHD กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับ SciMed ในฐานะบริษัทในเครืออย่างเต็มตัวของเรา เราได้ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ SciMed กลายเป็นบริษัทในเครือในปี 2020 โดย SciMed มีความพร้อมที่ดีที่จะกลายเป็นสถานที่ปฏิบัติการในเอเชียสำหรับธุรกิจอื่น ๆ ของ PHC Group ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจะขยายกิจกรรมการขายในธุรกิจที่มีอยู่และส่งเสริมการเข้าถึงขอบเขตของการรักษาขั้นสูงอย่างเต็มรูปแบบ เช่น เซลล์บำบัดและยีนบำบัด PHC Group จะยังคงสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างธุรกิจทั่วโลกของเรา และมีส่วนร่วมในการส่งเสริมนักวิจัยในการพัฒนาวิธีการรักษาขั้นสูงเพื่อช่วยสร้างอนาคตของการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น”

ภาพรวมของ SciMed
ชื่อบริษัท: SciMed (Asia) Pte. Ltd.
สำนักงานใหญ่: สิงคโปร์
ก่อตั้ง: 1992
กรรมการผู้จัดการ: Sachihiko Kataoka
ธุรกิจ: การขายและบริการอุปกรณ์และสินค้าอุปโภคบริโภคด้านชีววิทยาศาสตร์
จำนวนพนักงาน: 75 (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2023)
จำนวนไซต์ธุรกิจ: 1

www.phchd.com/global/news/2020/0707

เกี่ยวกับ PHC Holdings Corporation

PHC Holdings Corporation (TSE 6523) เป็นบริษัทด้านการดูแลสุขภาพระดับโลกที่มีพันธกิจในการสนับสนุนสังคมสุขภาพผ่านโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพที่มีผลกระทบเชิงบวกและพัฒนาชีวิตของผู้คน โดยมีบริษัทย่อยในเครือ ได้แก่ PHC Corporation, Ascensia Diabetes Care Holdings AG, Epredia Holdings Ltd., Wemex Corporation และ LSI Medience Corporation บริษัทเหล่านี้ร่วมกันพัฒนา ผลิต จำหน่าย และให้บริการโซลูชันด้านการจัดการโรคเบาหวาน โซลูชันด้านการดูแลสุขภาพ การวินิจฉัย และชีววิทยาศาสตร์ ยอดขายสุทธิรวมในปีงบประมาณ 2022 อยู่ที่ 356.4 พันล้านเยน โดยมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการทั่วโลกในกว่า 125 ประเทศและภูมิภาค PHC Group เป็นคำเรียกรวมที่หมายรวมถึง PHC Holdings Corporation และบริษัทย่อยในเครือทั้งหมด
URL: www.phchd.com

เกี่ยวกับ SciMed (Asia) Pte. Ltd.

SciMed (Asia) Pte. Ltd. มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ เป็นผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการชั้นนำในด้านชีวการแพทย์ ชีววิทยาศาสตร์ การดูแลสุขภาพ การค้นคว้ายา เวชภัณฑ์ ห้องปฏิบัติการ การทดสอบทางอุตสาหกรรม และตลาดเกษตรกรรม SciMed ได้กลายเป็นบริษัทในเครือของ PHC Holding Corporation อย่างเต็มตัวในปี 2023 เพื่อพัฒนาการขายและการตลาดในธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และโอเชียเนีย
URL: scimed.com.sg/about-scimed

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ช่องทางติดต่อสำหรับสื่อ
Hiroko Arai
ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร
PHC Holdings Corporation
+81-3-6778-5311
อีเมล: phc-cp@gg.phchd.com

ฝ่ายการตลาด แผนกชีวการแพทย์
PHC Corporation
+80-4816-3259
อีเมล: masayo.okada@phchd.com

แหล่งที่มา: PHC HOLDINGS CORPORATION

บริษัทวิศวกรรมระดับโลก JGC Holdings เลือกให้ Boomi ปรับปรุงระบบธุรกิจให้ทันสมัย

Logo

แพลตฟอร์มการผสานรวมที่ได้รับรางวัลของ Boomi ในฐานะบริการ (iPaaS) ได้รับเลือกจากประวัติการใช้งานทั่วโลกและความสามารถในการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มต่าง ๆ

TOKYO & CHESTERBROOK, Pa.–(BUSINESS WIRE)–31 พฤษภาคม 2023

Boomi™ ผู้นำด้านการเชื่อมต่ออัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ ได้ประกาศในวันนี้ว่า JGC Holdings Corporation (“JGC”) ซึ่งเป็นบริษัทด้านวิศวกรรมระดับโลก ได้เลือกแพลตฟอร์ม Boomi เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้ทันสมัยและสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของบริษัท

Global Engineering Company JGC Holdings Selects Boomi To Modernize Its Business Systems (Graphic: Business Wire)

บริษัทวิศวกรรมระดับโลก JGC Holdings เลือกให้ Boomi ปรับปรุงระบบธุรกิจให้ทันสมัย (กราฟิก: Business Wire)

JGC ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ดำเนินธุรกิจในหลายภูมิภาคทั่วโลก โดยต้องการสถาปัตยกรรมไอทีแบบ hub-and-spoke เพื่อเชื่อมต่อแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น เมื่อพิจารณาถึงความซับซ้อนของการพัฒนาระบบใหม่ JGC จึงใช้แนวทางแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อรวมแพลตฟอร์ม software as a service (SaaS) เช่น Coupa และ ServiceNow ขนาดของโครงการที่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เฟซ ระบบ และแพลตฟอร์มจำนวนมากนั้น ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น JGC ติดต่อ Nomura Research Institute (NRI) เพื่อแนะนำผู้จำหน่ายที่มีชื่อเสียงซึ่งมีประวัติการทำงานที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์ในการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มที่หลากหลายและทำให้โครงการที่ซับซ้อนง่ายขึ้น

“Boomi เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการสี่รายในกระบวนการคัดเลือกและมีประสบการณ์มากมายในการแก้ปัญหาความท้าทายของลูกค้าตลอดเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล” กล่าวโดย Mr. Atsuo Honiden ผู้จัดการกลุ่ม Procurement DX Group แผนกจัดส่งโครงการดิจิทัลของ JGC “Boomi เหมาะสมที่สุดทั้งในแง่ของเทคโนโลยีและความคุ้มค่า นอกจากนี้ โซลูชันของ Boomi ยังตรงกับวิสัยทัศน์ของเราในการค่อย ๆ รวมระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ได้สถาปัตยกรรมแบบ hub-and-spoke”

“Boomi มีผลงานที่พิสูจน์แล้วในการใช้งานทั่วโลกและจัดหาโซลูชันที่คุ้มค่าสำหรับโครงการจัดซื้อจัดจ้างของ JGC Corporation” กล่าวโดย Mr. Akira Matsumoto กรรมการผู้จัดการองค์กรอาวุโส ผู้จัดการแผนก DX Platform Division ของ Nomura Research Institute, Ltd. “ตัวเชื่อมต่อต่าง ๆ ของ Boomi ช่วยให้เราสามารถใช้สถาปัตยกรรมแบบ hub-and-spoke ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเชื่อมต่อระบบหลายระบบในเฟส”

Kazunori Hori ผู้อำนวยการที่ญี่ปุ่นของ Boomi กล่าวว่า “Boomi เป็นบริษัทผสานรวมอิสระบนคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีฐานลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้จำหน่ายแพลตฟอร์มการผสานรวม เราเชื่อมโยงทุกคนเข้ากับทุกสิ่ง และภูมิใจในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ปลายทางที่ไม่ซ้ำกันมากกว่า 200,000 รายการ ช่วยให้ลูกค้าของเรา เช่น JGC สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ”

Boomi นำเสนอชุมชนที่กำลังเติบโตซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 100,000 คน และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้รวมระบบระดับโลก (GSI) ที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ iPaaS บริษัทมีเครือข่ายพันธมิตรทั่วโลกประมาณ 800 ราย ซึ่งรวมถึง Accenture, Deloitte, SAP และ Snowflake และทำงานร่วมกับผู้ให้บริการคลาวด์ไฮเปอร์สเกลเลอร์รายใหญ่ที่สุด ที่มี Amazon Web Services, Google และ Microsoft เป็นต้น

นับรวมอยู่ใน Deloitte Technology Fast 500™ และ Inc. 5000 ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุดในอเมริกา Boomi ได้รับรางวัล International Stevie® Awards สามรางวัลสำหรับบริษัทแห่งปี (สองปีติดต่อกัน) และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ได้แก่ รางวัล Gold Globee® Award ในหมวด Platform as a Service (PaaS), รางวัล Merit Award for Technology ในหมวด Cloud Services และรางวัล Stratus Award ในฐานะ Global Leader in Cloud Computing 2022 และได้รับการจัดอันดับอันทรงเกียรติระดับ 5 ดาว ใน CRN Partner Program Guide เป็นเวลาสองปีติดต่อกัน

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Boomi

Boomi ตั้งเป้าหมายที่จะทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นโดยเชื่อมโยงทุกคนเข้ากับทุกสิ่ง ทุกที่ ผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มการผสานรวมบนคลาวด์ในรูปแบบบริการ (iPaaS) และปัจจุบันเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำระดับโลกด้านบริการ (SaaS) Boomi นำเสนอฐานลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้จำหน่ายแพลตฟอร์มการผสานรวมและเครือข่ายทั่วโลกที่มีพันธมิตรประมาณ  800 ราย รวมถึง Accenture, Capgemini, Deloitte, SAP และ Snowflake องค์กรระดับโลกหันมาใช้แพลตฟอร์มที่ได้รับรางวัลของ Boomi เพื่อค้นหา จัดการ และจัดการข้อมูล ขณะที่เชื่อมต่อแอปพลิเคชัน กระบวนการ และผู้คนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ http://www.boomi.com

© 2022 Boomi, LP. Boomi, โลโก้ 'B', Boomiverse เป็นเครื่องหมายการค้าของ Boomi, LP หรือบริษัทย่อยหรือบริษัทในเครือ สงวนลิขสิทธิ์ ชื่อหรือเครื่องหมายอื่น ๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53408276/en

ติดต่อ

มีเดีย:
Jasmine Ee
หัวหน้าฝ่ายสื่อและนักวิเคราะห์สัมพันธ์ของ APJ
jasmine.ee@boomi.com

แหล่งที่มา: Boomi

Kirin Holdings และ Kao เริ่มทำการวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องและภูมิคุ้มกันวิทยา

Logo

Tokyo–(BUSINESS WIRE)–11 พฤศจิกายน 2022

ตั้งแต่เดือนนี้ Kirin Holdings Company, Limited (Kirin Holdings) และ Kao Corporation (Kao) จะเข้าร่วมในการศึกษาตามรุ่นของ “วิจัยส่งเสริมสุขภาพวาคายามะ”*1 ซึ่งนำโดย Wakayama Medical University และเรียบเรียงโดยศูนย์วิจัยส่งเสริมสุขภาพ (HPRC) ที่เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Kirin Holdings และ Kao จะร่วมกันทำการวิจัยเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องกับการทำงานของเซลล์เดนไดรต์ในพลาสมาไซทอยด์*2 (pDCs) ซึ่งเป็นตัวนำสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันและอื่น ๆ

*1 วิธีการวิจัยเชิงสังเกตวิธีหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยของโรคและการเกิดโรค โดยจัดกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยโรคเฉพาะและกลุ่มคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยโรคเฉพาะ และสามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยและการเกิดโรคได้โดยการคำนวณอุบัติการณ์ของโรคเป้าหมายในแต่ละกลุ่ม

*2 เซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีบทบาทสำคัญในฐานะตัวนำหลักเมื่อแบคทีเรียหรือไวรัสเข้าสู่ร่างกาย การทำงานของ pDC จะกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันต่าง ๆ เช่น เซลล์ NK เซลล์ T และเซลล์ B เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส

โครงร่างการวิจัย

  1. หัวข้อการวิจัย
  2. โครงสร้างการวิจัย
    Kirin Central Research Institute, Kirin Holdings Company, Limited
    R&D-Health & Wellness Products Research, R&D-Biological Science Research , Kao Corporation
    Wakayama Medical University
  3. เป้าหมาย
    ชายและหญิงที่เป็นผู้ใหญ่ 300 คนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดวาคายามะ (ตามแผน)

ความเป็นมา

โรคอ้วนได้รับการกำหนดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าเป็น “การสะสมไขมันผิดปกติหรือมากเกินไปซึ่งอาจนำไปสู่สุขภาพที่ไม่ดี” ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น ทั่วโลกกำลังศึกษาผลกระทบของโรคอ้วนต่อสุขภาพ และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนกับภูมิคุ้มกันกำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากโรคอ้วนมีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสที่รุนแรงมากขึ้น*3

วัตถุประสงค์

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องกับกิจกรรมของ pDC โดยผสมผสานความสามารถในด้านการวิจัยมากกว่า 35 ปีของ Kirin Holdings ที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันวิทยาเข้ากับความสามารถในด้านการวิจัยของ Kao ที่เกี่ยวกับการลดการสะสมไขมันในช่องท้อง ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต งานวิจัยนี้จะดำเนินการเป็นการศึกษาเพิ่มเติมสำหรับ “วิจัยส่งเสริมสุขภาพวาคายามะ” ซึ่งได้ดำเนินการกับผู้อยู่อาศัยในจังหวัดวาคายามะมาตั้งแต่ปี 2011

ในเดือนนี้ จะมีการตรวจสุขภาพเฉพาะในจังหวัดวาคายามะสำหรับผู้อยู่อาศัยที่มีอายุ 40-55 ปี Kao จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปริมาณไขมันในช่องท้อง ในขณะที่ Kirin Holdings จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของเซลล์เดนไดรต์ รวมถึง pDCs ในเลือด โดยทั้งคู่จะแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ร่วมกัน และจะมีการศึกษาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างไขมันในช่องท้องและกิจกรรมของ pDC

*3 Int J Epidemiol. 2019;48(6):1783-1794. https://doi.org/10.1093/ije/dyz129
Obes Rev. 2020;21(11):e13128. https://doi.org/10.1111/obr.13128

วิจัยส่งเสริมสุขภาพวาคายามะคืออะไร

นี่เป็นการศึกษาตามรุ่นที่นำโดย Wakayama Medical University ตั้งแต่ปี 2011 และขณะนี้ได้ดำเนินการร่วมกับ HPRC โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของโรคต่าง ๆ ในหมู่คนท้องถิ่นในจังหวัดวาคายามะ

จนถึงปัจจุบัน มีการวิจัยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตและมวลกล้ามเนื้อ และได้มีการตีพิมพ์เอกสารต้นฉบับเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อกับการเริ่มมีภาวะหลอดเลือดแข็ง ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประวัติการล้มและปริมาณการออกกำลังกายที่เจตนา

Kirin และ Kao จะส่งเสริมความคิดริเริ่มที่มุ่งลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภคในอนาคต โดยการชี้แจงความสัมพันธ์ระหว่างมวลไขมันในอวัยวะภายในและกิจกรรม pDC ผ่านวิจัย HPRC

เกี่ยวกับ Kirin Holdings

Kirin Holdings Company, Limited เป็นบริษัทระหว่างประเทศที่ดำเนินการในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม (ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม) ส่วนของยา (ธุรกิจยา) และในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (ธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพ) ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก

Kirin Holdings สืบทอดมาจาก Japan Brewery ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1885 โดย Japan Brewery ได้กลายเป็น Kirin Brewery ในปี 1907 ตั้งแต่นั้นมา บริษัทก็ได้ขยายธุรกิจด้วยการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพเป็นเทคโนโลยีหลัก และเข้าสู่ธุรกิจเภสัชกรรมในปี 1980 ซึ่งทั้งหมดยังคงเป็นศูนย์กลางการเติบโตระดับโลก ในปี 2007 Kirin Holdings ก่อตั้งขึ้นในฐานะบริษัทโฮลดิ้งอย่างแท้จริง และปัจจุบันนี้กำลังมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ

ภายใต้วิสัยทัศน์ Kirin Group Vision 2027 (KV 2027) ซึ่งเป็นแผนการจัดการระยะยาวที่เปิดตัวในปี 2019 ทำให้ Kirin Group มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำระดับโลกในด้าน CSV* ซึ่งสร้างมูลค่าให้กับโลกของอาหารและเครื่องดื่มไปจนถึงยา ในอนาคต Kirin Group จะยังคงใช้จุดแข็งต่าง ๆ เพื่อสร้างมูลค่าทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจผ่านธุรกิจของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืนในค่านิยมขององค์กร

* การสร้างคุณค่าร่วมกัน: รวมมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้บริโภคและสังคมโดยรวม

เกี่ยวกับ Kao Corporation

Kao สร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงซึ่งให้การดูแลและเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตของทุกคนและโลกใบนี้ ด้วยผลงานของแบรนด์ชั้นนำกว่า 20 แบรนด์ เช่น Attack, Bioré, Goldwell, Jergens, John Frieda, Kanebo, Laurier, Merries และ Molton Brown โดย Kao เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในเอเชีย โอเชียเนีย อเมริกาเหนือ และยุโรป Kao สร้างยอดขายต่อปีได้ประมาณ 1,420 พันล้านเยน เมื่อรวมกับธุรกิจเคมีภัณฑ์ซึ่งมีส่วนช่วยในหลากหลายอุตสาหกรรม Kao มีพนักงานประมาณ 33,500 คนทั่วโลกและมีประวัติยาวนานถึง 135 ปีในด้านนวัตกรรม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ Kao Group สำหรับข้อมูลล่าสุด https://www.kao.com/global/en/

Kao Group ได้กำหนดกลยุทธ์ ESG ของ Kirei Lifestyle Plan ในเดือนเมษายน ปี 2019 และในปี 2021 Kao ได้เปิดตัวแผนระยะกลางปี ​​2025 (K25) ซึ่งประกาศว่า “การปกป้องชีวิตในอนาคต” และการส่งเสริมให้ “ความยั่งยืนเป็นหนทางเดียว” เป็นวิสัยทัศน์ของบริษัท Kao Group จะยังคงรวมกลยุทธ์ ESG เข้ากับแนวทางการจัดการ นอกจากนี้ยังจะพัฒนาธุรกิจ จัดหาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีขึ้นสำหรับผู้บริโภคและสังคม และทำงานตามวัตถุประสงค์ “เพื่อให้เกิดโลก Kirei ที่ทุกชีวิตอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนสมานฉันท์”

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Press Contact
Corporate Communication Department Kirin Holdings Company, Limited
Nakano Central Park South, 4-10-2 Nakano, Nakano-ku, Tokyo
https://www.kirinholdings.com/en/
kirin-cc@kirin.co.jp

Corporate PR, Corporate Strategy, Kao Corporation
1-14-10, Nihonbashi Kayabacho, Chuo-ku, Tokyo
https://www.kao.com/global/en/
corporate_pr@kao.com

แหล่งข้อมูล: Kirin Holdings Company, Limited