Tag Archives: green

เส้นทางที่เป็นไปได้สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน: APO เปิดตัวกลยุทธ์ Green Productivity 2.0 ที่การประชุม Workshop Meeting ของผู้นำกลุ่ม NPO ครั้งที่ 65

Logo

นาดี ฟิจิ–(BUSINESS WIRE)–28 ตุลาคม 2024

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (The Asian Productivity Organization – APO) ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop Meeting – WSM) ของผู้นำในกลุ่มองค์กรเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ (NPO) ครั้งที่ 65 ในเมืองนาดี ประเทศฟิจิตั้งแต่วันที่ 23 ถึง 25 ตุลาคม งานประจำปีนี้จัดขึ้นโดยรัฐบาลฟิจิ โดยมีหัวหน้ากลุ่ม NPO และที่ปรึกษา 51 คนจากสมาชิก APO 19 ประเทศ เพื่อช่วยกันกำหนดอนาคตของการผลิตที่ยั่งยืนในภูมิภาค โดยมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (Green Productivity – GP) และปัญญาประดิษฐ์ (AI)

(Photo: Business Wire)

(รูปภาพ: Business Wire)

เซสชั่นเปิดงานครั้งแรกได้รับเกียรติจากการมาเยือนของรองนายกรัฐมนตรีมาโนอา เซรู นาคาอุซาบาเรีย คามิคามิกาของฟิจิ ซึ่งเน้นย้ำถึงการต้องเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เหมือนใครของประเทศหมู่เกาะในการสร้างสมดุลการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน เขากล่าวว่า “ในฐานะชาวเกาะที่วิถีชีวิตถูกคุกคามจากผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรง ชาวฟิจิรู้สึกถึงแรงกดดันสองประการในการแสวงหาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่พยายามบรรเทาผลกระทบด้านลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปด้วยกัน”

ไฮไลท์ของการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้คือการเปิดตัวกลยุทธ์ Green Productivity 2.0 ของ APO: รายงานจาก The Road Ahead ศาสตราจารย์โยอิชิโร มัตสึโมโตะ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (MOFA) ของญี่ปุ่น และสมาชิกสภาที่ปรึกษาการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GPA) ของ APO ได้นำเสนอวิวัฒนาการของแนวคิดการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (Green Productivity – GP) นับตั้งแต่ APO เริ่มต้นขึ้นในปี 1994 รายงานฉบับนี้นำเสนอแผนงานที่มีแนวคิดก้าวหน้าสำหรับรัฐบาล ธุรกิจ และบุคคลทั่วไปในการนำกลยุทธ์ GP 2.0 มาใช้ โดยผสานประสิทธิภาพการผลิตเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การนำเสนอจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงดร. ชินซู ลิน ประธานคณะทำงานด้านเทคนิคเกี่ยวกับ GP 2.0 และตัวแทนจาก Korea Development Institute (KDI) และ MOFA ของญี่ปุ่นช่วยเน้นย้ำว่าการนำกลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GO) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาบูรณาการจะสามารถส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนในภูมิภาคได้อย่างไร

ประธานาธิบดีฟิจิเอชอี ราตู วิเลียม ไมวาลิลี คาโตนิเวียร์ได้เป็นผู้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานเลี้ยงต้อนรับซึ่งจัดโดยประธาน APO ปี 2024-25 และผู้อำนวยการฟิจิโจเน มาริติโน่ เนมานี่ เขาเรียกร้องให้มีความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและเน้นย้ำบทบาทของ GP ในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน “มาร่วมกันควบคุมพลังการผลิตเพื่อปกป้องโลกของเรา” เขาเร่งเร้า โดยเน้นย้ำถึงความทุ่มเทของฟิจิในการเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก นอกจากนี้ เนมานี ประธาน APO ก็ยังได้ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมสภาที่ปรึกษาการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GPA) ของ APO จากศาสตราจารย์เรียวอิจิ ยามาโมโตะ ซึ่งฝากเชื้อเชิญมาโดยศาสตราจารย์มัตสึโมโตะอีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฟิจิในการพัฒนาความคิดริเริ่มด้านความยั่งยืนในระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ การประชุม WSM ยังมีเซสชั่นการวางแผนเชิงกลยุทธ์ซึ่งผู้นำในกลุ่ม NPO หารือเกี่ยวกับแผนโครงการสำหรับปี 2025 และ 2026 ด้วย แผนเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนสมาชิก APO ในการใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GO) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านการผลิตที่เร่งด่วน และกำหนดรูปแบบการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ขององค์กรหลังวิสัยทัศน์ปี 2025

ในขณะที่ภูมิภาคเผชิญกับความท้าทายระดับโลกอย่างต่อเนื่อง การประชุม WSM ครั้งที่ 65 ก็ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำของ APO ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังเสริมสร้างความมุ่งมั่นร่วมกันของเศรษฐกิจสมาชิกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นอีกด้วย

เกี่ยวกับ APO

Asian Productivity Organization (APO) เป็นองค์กรร่วมระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคที่มุ่งมั่นเพื่อปรับปรุงผลิตภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านความร่วมมือร่วมกัน โดยไม่มีความเกี่ยวข้องด้านการเมือง ไม่แสวงหาผลกำไร และไม่เลือกปฏิบัติ APO ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้งแปดประเทศ และปัจจุบันประกอบด้วยประเทศสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย อิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สปป.ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ไทย เตอร์กิเย และเวียดนาม

APO มีการดำเนินการเพื่ออนาคตของภูมิภาคโดยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิก ผ่านบริการให้คำปรึกษาด้านนโยบายระดับชาติ ทำหน้าที่เป็นคลังความคิด มีโครงการริเริ่มเพื่อสร้างขีดความสามารถระดับสถาบัน และแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มผลิตภาพ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54142727/en

ติดต่อ

หากต้องการรายละเอียด โปรดติดต่อ:
Digital Information Unit, APO: pr@apo-tokyo.org เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org

แหล่งข้อมูล: Asian Productivity Organization (APO)

SRS Distribution บริษัทในเครือของ Leonard Green & Partners และ Berkshire Partners บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการของ The Home Depot ในราคา 18.25 พันล้านเหรียญสหรัฐ

Logo

LOS ANGELES & BOSTON–(BUSINESS WIRE)–28 มีนาคม 2024

SRS Distribution (“SRS”) บริษัทในเครือของ Leonard Green & Partners และ Berkshire Partners บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการของ The Home Depot ในราคา 18.25 พันล้านเหรียญสหรัฐ รายละเอียดของการซื้อขายในครั้งนี้ได้รับการเผยแพร่ต่อสาธารณะในข่าวประชาสัมพันธ์ที่ออกโดย The Home Depot และ SRS เมื่อเช้าวันนี้ SRS เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาคารที่พักอาศัยและอาคารพาณิชย์ชั้นนำในสหรัฐอเมริกา โดยมีสาขามากกว่า 760 แห่งใน 47 รัฐ The Home Depot เป็นผู้ค้าปลีกอุปกรณ์ปรับแต่งที่พักอาศัยรายใหญ่ที่สุดของโลก

เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสในการลงทุนและเป็นพันธมิตรกับ SRS และพนักงานกว่า 11,000 คน” Jonathan Seiffer หุ้นส่วนอาวุโสของ Leonard Green & Partners กล่าว “เราขอขอบคุณอย่างจริงใจและขอแสดงความยินดีกับทีมงานทั้งหมดของ SRS สำหรับประวัติศาสตร์การเติบโตที่น่าทึ่ง ความสำเร็จและทุกการดำเนินงานที่บรรลุความสำเร็จที่ผ่านมาของ SRS จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากผู้นำที่ยอดเยี่ยมอย่างซีอีโอ Dan Tinker และทีมงาน และประธาน Ron Ross รวมถึงวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และรูปแบบการดำเนินงานที่มีการสร้างไว้ใน SRS”

“นับจากที่เรามีการลงทุนใน SRS เมื่อ 11 ปีที่แล้ว เรามีความสุขที่ได้ร่วมมือและเป็นหุ้นส่วนกับซีอีโอ Dan Tinker และทีมผู้บริหารของ SRS ทุกคน และเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้บรรลุเป้าหมายความสำเร็จในการซื้อขายกิจการให้กับ The Home Depot ตามการประกาศในครั้งนี้” Josh Lutzker กรรมการผู้จัดการของ Berkshire Partners กล่าว “SRS เริ่มต้นจากบริษัทเล็กๆ ระดับภูมิภาค และเติบโตขึ้นจนเป็นแพลตฟอร์มระดับประเทศที่รองรับตลาดหลายแห่ง เราทุกคนมีความภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับทีมงานที่ยอดเยี่ยมและเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวการเติบโตของบริษัท”

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับ The Home Depot ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากความมุ่งมั่นและทุ่มเทของทีมงานทุกคนที่ SRS” Dan Tinker ประธานและซีอีโอของ SRS Distribution กล่าว “ผมมีความภูมิใจในบริษัทของเรา วัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง และเรื่องราวการเติบโตที่น่าประทับใจของเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราบรรลุความสำเร็จมากมายสำหรับลูกค้า ซัพพลายเออร์ ชุมชน และพนักงานของเรา ผมขอขอบคุณในการสนับสนุนและคำแนะนำที่เราได้รับจากหุ้นส่วนของเรา – Leonard Green & Partners และ Berkshire Partners บริษัททั้งสองนี้มีการนำเสนอแนวทางการทำงานร่วมกันในระยะยาวเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างมูลค่า ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในธุรกิจของเรา”

Berkshire Partners มีการลงทุนใน SRS ในปี 2013 เมื่อบริษัทสร้างรายได้ประมาณ 650 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสาขาน้อยกว่า 100 แห่ง จำหน่ายวัสดุมุงหลังคาที่พักอาศัยเป็นหลัก ในวันนี้ SRS มีสาขามากกว่า 760 แห่งในเกือบทุกรัฐ และสร้างรายได้สูงกว่า 10 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

ในปี 2018 Leonard Green & Partners กลายเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของ SRS โดย Berkshire Partners ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญ ตลอดระยะเวลาการเป็นหุ้นส่วน บริษัทไพรเวทอีควิตี้ทั้งสองได้ช่วยกันพัฒนาและสร้างทีมผู้นำที่ดีเยี่ยมที่สุดให้กับ SRS ในการเข้าสู่ภาคส่วนธุรกิจการจัดจำหน่ายด้านการจัดสวนในปี 2019 และการจัดจำหน่ายสระว่ายน้ำในปี 2021 SRS ยังขยายอุตสาหกรรมที่ให้บริการอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้ง SRS ยังมีความมุ่งมั่นที่โดดเด่นเพื่อให้พนักงานมีส่วนเป็นเจ้าของ ซึ่งขับเคลื่อนวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ โครงการส่งเสริมความเป็นเจ้าของสำหรับพนักงานและโปรแกรมการปันหุ้นของบริษัทส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและผลการดำเนินงานของบริษัทที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เกี่ยวกับ LGP

LGP เป็นบริษัทลงทุนไพรเวทอีควิตี้ชั้นนำที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1989 และตั้งอยู่ที่ Los Angeles โดยมีสินทรัพย์ภาพใต้การบริหารจัดการกว่า 75 พันล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทเป็นพันธมิตรกับทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และร่วมกับผู้ก่อตั้งเพื่อลงทุนในบริษัทชั้นนำในตลาด นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้น LGP มีการลงทุนในบริษัทกว่า 120 แห่งในรูปแบบของการซื้อกิจการแบบดั้งเดิม การทำธุรกรรมภาคเอกชน การเพิ่มทุน การเพิ่มหุ้น และการลงทุนในตราสารสาธารณะและตราสารหนี้ที่ผ่านการคัดเลือก บริษัทมุ่งเน้นในบริษัทที่ให้บริการ รวมถึงบริการสำหรับผู้บริโภค การดูแลสุขภาพ และธุรกิจ รวมถึงการค้าปลีก การจัดจำหน่าย และอุตสาหกรรม สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.leonardgreen.com

เกี่ยวกับ Berkshire Partners

Berkshire Partners เป็นนักลงทุนที่เชี่ยวชาญในหลายภาคส่วน โดยพนักงานเป็นเจ้าของ 100% ทั้งภาคเอกชนและสาธารณะ ทีมไพรเวทอีควิตี้ของบริษัทมีการลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีและมีการเติบโตในภาคส่วนบริการและอุตสาหกรรม เทคโนโลยีและการสื่อสาร ผู้บริโภค และการดูแลสุขภาพ นับตั้งแต่ก่อตั้ง Berkshire Partners มีการลงทุนในไพรเวทอีควิตี้มากกว่า 150 รายการ และมีประวัติในการร่วมมือกันกับทีมผู้บริหารมาอย่างยาวนานในการขยายบริษัทที่มีการลงทุนไว้ Stockbridge ซึ่งเป็นกลุ่มไพรเวทอีควิตี้ของบริษัทได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี 2007 มีการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอที่กระจุกตัวเพื่อแสวงหาการลงทุนระยะยาวที่น่าดึงดูดใจ Stockbridge และไพรเวทอีควิตี้ของบริษัทจะร่วมมือกันและใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมโดยรวมในภาคส่วนต่างๆ บ่อยครั้ง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.berkshirepartners.com

เกี่ยวกับ SRS Distribution

SRS Distribution ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี 2008 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ McKinney, Texas และได้กลายเป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาคารที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท มีการสร้างกลยุทธ์การเติบโตที่แตกต่างกันและมีวัฒนธรรมการเป็นผู้ประกอบการที่มุ่งเน้นในการให้บริการแก่ลูกค้า การเป็นพันธมิตรกับซัพพลายเออร์ และการดึงดูดผู้ที่มีความสามารถที่ดีเยี่ยมในอุตสาหกรรม ในปัจจุบัน SRS มีการดำเนินงานภายใต้กลุ่มแบรนด์ท้องถิ่นที่แตกต่างกัน โดยมีสาขากว่า 760 แห่งใน 47 รัฐ SRS Distribution เป็นบริษัทในเครือของ Leonard Green & Partners, L.P. และ Berkshire Partners LLC สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.srsdistribution.com

ราคาที่นำเสนอได้รับการรับรองโดยผู้บริหารของบริษัทในเครือซึ่ง Berkshire Partner เป็นเจ้าของกองทุน ผู้บริหารไม่ได้รับค่าตอบแทนในการให้การรับรอง อย่างไรก็ตาม ผลจากโครงสร้างการเป็นเจ้าของบริษัทในเครือของ Berkshire Partners Private Equity ทำให้เกิดความขัดแย้งในผลประโยชน์ร่วม เนื่องด้วยผู้บริหารมีแรงจูงใจที่จะแถลงเชิงบวกเกี่ยวกับ Berkshire Partners และประสบการณ์ที่มีต่อ Berkshire Partners เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับ Berkshire Partners

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Leonard Green & Partners (LGP)
communications@leonardgreen.com

Berkshire Partners
Greg Winter
617-316-6260
gwinter@berkshirepartners.com

SRS Distribution
PR@srsdistribution.com

แหล่งข้อมูล: Berkshire Partners

J&J Green Paper และ Sintesa Group ประสานความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อผลิตสารเคลือบกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและต่อสู้กับขยะพลาสติกทั่วโลก

Logo

ไมอามี–(BUSINESS WIRE)–14 มิถุนายน 2023

J&J Green Paper, Inc. (JJGP) บริษัทในเดลาแวร์ของสหรัฐอเมริกา ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระดับโลกกับ Sintesa Group บริษัทการลงทุนเชิงกลยุทธ์ชั้นนำของอินโดนีเซียที่สืบทอดมายาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ โดยมีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการลงทุนเพื่อผลกระทบเชิงบวก

การร่วมทุนนี้จะนำเอาเทคโนโลยีที่ได้รับการจดสิทธิบัตรของ JJGP และความเป็นผู้นำอันเหนือชั้นของ Sintesa Group มาใช้เพื่อสร้างกำลังการผลิตทั่วโลกสำหรับ JANUS® ซึ่งเป็นสารเคลือบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับบรรจุภัณฑ์กระดาษที่พัฒนาโดย JJGP โดยนำมาใช้แทนโพลิเอทิลีนและกำจัดความอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับโพลิเอทิลีน

JANUS เป็นสารเคลือบกันความชื้นจากธรรมชาติที่ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์กระดาษ เป็นเทคโนโลยีที่รีไซเคิลได้ ย่อยสลายได้ และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทำให้สามารถใช้แทนโพลิเอทิลีนที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กระดาษแบบดั้งเดิมในปัจจุบันได้ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาการกำจัดขยะทั่วโลกและการทำลายสิ่งแวดล้อม JANUS เป็นสารประกอบที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพด้วยแนวทางห่วงโซ่คุณค่าอาหารที่ยั่งยืน ตลอดจนการใช้งานและคุณประโยชน์หลากหลายที่สอดคล้องกับปรัชญาของ Sintesa

“ความมุ่งมั่นของ Sintesa ในการส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนและโลกนั้นสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราอย่างสมบูรณ์แบบ” Rick Bulman ประธาน JJGP กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นและพร้อมที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในเชิงบวกที่เป็นรูปธรรมในอินโดนีเซียและทั่วทั้งโลกด้วยการส่งเสริมแนวทางใหม่ในการจัดการความอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมของโพลิเอทิลีน”

Sintesa Group เริ่มต้นจากการเป็นธุรกิจครอบครัวที่มีความปรารถนาที่จะรักษาความยืดหยุ่นในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงยึดถือความยั่งยืนเป็นแนวทางกลยุทธ์ที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ภายใต้การนำของ Abyasa Kamdani สมาชิกในครอบครัวรุ่นที่สี่ Sintesa มั่นใจว่าการลงทุนในอนาคตจะสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทในการเป็นบริษัทที่มีความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน

“เรามุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรที่มีความคิดก้าวหน้าที่สามารถช่วยแก้ปัญหาอย่างเป็นผล เพื่อสร้างภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้น และท้ายที่สุดคือโลกที่ยั่งยืน” Kamdani หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Sintesa กล่าว “การสร้างอนาคตที่ดีขึ้นนั้นอยู่ในมือของเรา โดยการมุ่งมั่นเพื่อสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง” บริษัทของเราและ JJGP จะร่วมกันมีส่วนร่วมในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวในกลุ่มประเทศอาเซียนโดยการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติวงการ ตลอดจนช่วยสนับสนุนการเกษตร จัดการความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มีความรับผิดชอบ”

Bulman ตอบรับความพยายามนี้ โดยกล่าวว่าเทคโนโลยียั่งยืนที่นำมาใช้ในอินโดนีเซียนั้นคาดว่าจะผลักดันความคิดริเริ่มในการพัฒนาทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียนในอีกหลายปีข้างหน้า เขาเสริมว่าเร็ว ๆ นี้ JJGP จะเปิดตัวพันธมิตรที่ปรึกษาเพิ่มเติมทั่วโลกซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนวัตถุประสงค์ของบริษัทในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และภูมิภาคอื่น ๆ

“ความสามารถที่หลากหลายของ JANUS จะช่วยให้ไม่มีผลิตภัณฑ์จำนวนมากกองทิ้งไว้ในบ่อขยะเป็นเวลาหลายศตวรรษอีกต่อไป” Bulman กล่าว “นั่นเป็นเป้าหมายของเรามาโดยตลอด และเรามั่นใจว่าการร่วมทุนครั้งนี้จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมากและรวดเร็วกว่าที่ผู้บริโภคคาดคิด”

เกี่ยวกับ Sintesa Group

Sintesa Group เป็นบริษัทการลงทุนเชิงกลยุทธ์ชั้นนำของอินโดนีเซียที่มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน Sintesa Group (PT Widjajatunggal Sejahtera) เริ่มต้นจากการเป็นธุรกิจครอบครัวในปี 1919 และได้เปลี่ยนเป็นบริษัทโฮลดิ้งมืออาชีพที่มุ่งเน้นการสร้างธุรกิจใหม่ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ใหม่กับผู้เล่นทางธุรกิจที่มีศักยภาพ Sintesa Group ดำเนินการธุรกิจภายใต้ 4 เสาหลัก ได้แก่ ทรัพย์สิน สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอุตสาหกรรม และพลังงาน และบริหารจัดการบริษัทในเครือมากกว่า 15 แห่ง โดยมีบริษัทสองแห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย Sintesa Group รวมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) เข้ากับโมเดลธุรกิจและหลักการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบโดยพัฒนาแผนการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Roadmap) ของตนเอง ที่เรียกว่า Sintesa for the Earth (Sintesa เพื่อโลก) เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ของบริษัทในการเป็นบริษัทที่มีความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน

www.sintesagroup.com

เกี่ยวกับ J&J Green Paper

J&J Green Paper, Inc. เป็นบริษัทในเดลาแวร์ สหรัฐอเมริกา ที่ได้พัฒนาสารประกอบที่ได้รับการจดสิทธิบัตรและมีกระบวนการผลิตจากธรรมชาติทั้งหมดจนเป็นกระดาษกันความชื้น ซึ่งไม่เพียงแค่กำจัดปิโตรเคมีที่พบในกระดาษมาตรฐานและบรรจุภัณฑ์กระดาษ และก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการสลายตัวของกระดาษเหล่านั้นเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติเป็นไปตามมาตรฐานที่เข้มงวดของสหภาพยุโรปและประเทศต่าง ๆ ในการกำจัดพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งด้วย โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.jjgreenpaper.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Inka Prawirasasra
AVP ฝ่ายสื่อสารองค์กรและความยั่งยืน
Sintesa Group
inka.prawirasasra@sintesagroup.com
085282807879

แหล่งที่มา: J&J Green Paper, Inc.

ในงาน MWC 2023 GIGABYTE จะมีการนำเสนอโซลูชัน 5G Edge และ Green Computing พร้อมเปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่แห่ง “Power of Computing”

Logo

TAIPEI–(BUSINESS WIRE)–15 กุมภาพันธ์ 2023

GIGABYTE ผู้นำด้านนวัตกรรมฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์และโซลูชันเซิร์ฟเวอร์ จัดงานแสดงผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ในงาน MWC 2023 (บูธ #5F60 ฮอลล์ 5) โดยเป็นครั้งแรกที่ GIGABYTE นำเสนอร่วมกับ Giga Computing ซึ่งเป็นบริษัทใหม่ล่าสุดภายในเครือ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในโซลูชันสำหรับองค์กร โดยจะร่วมกันเปิดตัวโซลูชันไอทีล่าสุดสำหรับ edge computinggreen computing, AI, ศูนย์ข้อมูล HPC และการใช้งานระบบคลาวด์สำหรับองค์กร โดยจะมีการแสดงภาพรวมของ “Power of Computing” และวิธีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและเปิดกว้างโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ของโลก

At MWC 2023, GIGABYTE to Present 5G Edge and Green Computing Solutions, Unveiling New Visions of “Power of Computing” (Photo: Business Wire)

ในงาน MWC 2023 GIGABYTE จะมีการนำเสนอโซลูชัน 5G Edge และ Green Computing พร้อมเปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่แห่ง “Power of Computing” (ภาพ: Business Wire)

ตั้งแต่วันที่ 27 เดือนกุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 2 เดือนมีนาคม ในงาน MWC GIGABYTE จะมีการนำเสนอเซิร์ฟเวอร์ซีรีส์ใหม่ที่มุ่งเน้นผลกระทบที่เกิดใน HPC การพัฒนา AI และระบบการประมวลผลบนคลาวด์ ด้วยความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน โซลูชันเซิร์ฟเวอร์ของ GIGABYTE เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและมีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในสถาบันการศึกษา ศูนย์การบินและอวกาศ บริการคลาวด์สาธารณะ บริษัทผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ และสตูดิโอผลิตแอนิเมชั่น เพื่อเปิดกว้างศักยภาพของนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ

ศูนย์ข้อมูล Edge จะช่วยเพิ่มการเติบโตของระบบนิเวศ 5G

ในระหว่างงาน MWC GIGABYTE จะมีการเปิดตัว เซิร์ฟเวอร์สำหรับ edge computing รุ่นล่าสุด โดยเซิร์ฟเวอร์ edge เหล่านี้จะสามารถประมวลผลข้อมูลด้วยความเร็วในการรับส่งข้อมูลและประสิทธิภาพในการประมวลผลที่ดีเยี่ยมโดยใช้พลังงานที่น้อยลง การออกแบบแชชซีที่มีความลึกน้อยลงจะช่วยให้เซิร์ฟเวอร์มีขนาดที่เข้ากับพื้นที่ที่จำกัดใกล้กับแหล่งข้อมูล โดยเป็นส่วนที่สำคัญในการรองรับอุปกรณ์ IoT แบบเรียลไทม์ปริมาณมาก

ด้วยขอบเขตการครอบคลุมที่เพิ่มขึ้นในเครือข่าย 5G ระบบการผลิตแบบอัจฉริยะ เทคโนโลยียานยนต์ และ เมืองอัจฉริยะ ที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความต้องการของศูนย์ข้อมูล edge จำนวนสูง โดยโซลูชันเซิร์ฟเวอร์ edge ที่สมบูรณ์ของ GIGABYTE มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมให้องค์กรและสถาบันสามารถเปิดกว้างโอกาสการดำเนินการธุรกิจภายใต้ระบบ 5G ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

โซลูชัน Green Computing ของ GIGABYTE จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล พร้อมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยลง

การที่ศูนย์ข้อมูลมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงขึ้นถือเป็นความท้าทายที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมายให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ รวมถึงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าและสภาพอากาศที่รุนแรงทำให้โซลูชันการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูลยิ่งทำให้เป็นความต้องการที่สำคัญในกลยุทธ์ด้านไอที

GIGABYTE เตรียมนำเสนอ โซลูชันการระบายความร้อน และเซิร์ฟเวอร์ที่สอดคล้องกันในงาน MWC โดยจะมีการนำโซลูชันดังกล่าวมาใช้ในโรงหล่อ IC เพื่อปรับปรุงระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการกระจายความร้อนของศูนย์ข้อมูล HPC ให้ดียิ่งขึ้น โดยมีระดับ PUE (ประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน) ลดลงเป็นอย่างมากต่ำกว่า 1.08 และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ HPC ให้มากขึ้นกว่า 10% โดยจะเป็นศูนย์ข้อมูลแม่แบบตัวอย่างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

GIGABYTE มีการสร้างมาตรฐานระดับสูงสำหรับเทคโนโลยี green computing สำหรับสายการผลิตเซิร์ฟเวอร์โดยรวม โดยเป็นที่รู้จักกันดีในด้านการออกแบบระบบระบายความร้อนระดับพรีเมียมและประสิทธิภาพที่โดดเด่นแม้จะมีโหลดการประมวลผลที่หนักหน่วง โดยมีสถาบันต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยและบริษัทโทรคมนาคมเข้าร่วมมือกับ GIGABYTE เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ดีเยี่ยมโดยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่น้อยลง

ในงาน MWC ที่กำลังจะมาถึงนี้ GIGABYTE ขอแสดงความยินดีต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อสำรวจวิสัยทัศน์อย่างชาญฉลาดและยั่งยืนยิ่งขึ้นผ่าน “Power of Computing” โดยไฮไลต์ในบูธจะเป็นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีของ edge computing, green computing, AI, ศูนย์ข้อมูล HPC และ enterprise cloud รวมถึงวิธีการผสานรวมโอกาสความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

เกี่ยวกับ GIGABYTE

GIGABYTE เป็นกลุ่มนักวิศวกร ผู้มีวิสัยทัศน์ และเป็นผู้นำในโลกแห่งเทคโนโลยีที่ใช้ความเชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์ นวัตกรรมที่ได้รับการจดสิทธิบัตร และความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ในการสร้าง แรงบันดาลใจ และพัฒนาให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น GIGABYTE เป็นรากฐานที่สำคัญในชุมชน HPC โดยมีชื่อเสียงในด้านความเป็นเลิศที่ได้รับรางวัลเกี่ยวกับเมนบอร์ดและกราฟิกการ์ดมากว่า 30 ปี นำธุรกิจไปสู่ความสำเร็จด้วยความเชี่ยวชาญด้านเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ GIGABYTE ทุ่มเทในการคิดค้นโซลูชันอัจฉริยะที่ปรับแปลงระบบดิจิทัลจาก edge เป็นคลาวด์ และช่วยให้ลูกค้าสามารถมองเห็นภาพรวม วิเคราะห์ และแปลงข้อมูลดิจิทัลให้เป็นข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ และ “ยกระดับชีวิตของคุณ” พร้อมกับอยู่ในระดับแนวหน้าของเทคโนโลยี

เยี่ยมชม GIGABYTE MWC event page

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/53314598/en

ติดต่อ

สื่อ: Michael Pao brand@gigabyte.com

แหล่งข้อมูล: GIGABYTE

Black & Veatch และ The Green Solutions ลงนาม MoU เพื่อพัฒนาการผลิตพลังงานสีเขียวในเวียดนาม

Logo

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–4 เมษายน 2565

Black & Veatch และ The Green Solutions (TGS) ได้ลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) เพื่อพัฒนาการผลิตและการจัดหาไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสีเขียวในเวียดนาม

TGS เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการผลิต และการบริการของโครงการพลังงานหมุนเวียน และเป็นผู้นำในการใช้ประโยชน์จากพลังงานสีเขียวในเวียดนามเพื่อนำไปผลิตไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสีเขียว Black & Veatch เป็นผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาพลังงานไฮโดรเจน ได้นำความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีของพลังงานสะอาดและการแปรรูปแอมโมเนียมาสู่โครงการ

“The Green Solutions มีความมุ่งมั่นที่จะใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในด้านพลังงานหมุนเวียนในเวียดนาม และการเป็นพันธมิตรกับ Black & Veatch จะทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนแนวปฏิบัติให้ดีที่สุดในโลกพร้อมกับสอดคล้องกับข้อกำหนดของเอเชีย และมีส่วนสนับสนุนต่อโครงการที่ปลอดจากจากปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของภูมิภาคในอนาคต” Winnie Huynh ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ TGS กล่าว

ไฮโดรเจนสามารถนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า การจัดเก็บพลังงาน และโซลูชั่นการขนส่งขั้นสูง ในขณะที่แอมโมเนียสามารถทำให้เป็นของเหลวสำหรับการจัดเก็บและการขนส่งทั่วโลก ซึ่งสามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานจำนวนมากเพื่อผลิตไฟฟ้าหรือสารเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ

ภายใต้ MoU โดย Black & Veatch และ TGS ตั้งเป้าที่จะผลิตแอมโมเนียสีเขียวจำนวน 180,000 ตันและไฮโดรเจนสีเขียวจำนวน 30,000 ตันต่อปี เพื่อสนับสนุนความพยายามในการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับภูมิภาค

TGS ได้แต่งตั้ง Black & Veatch เพื่อศึกษาการผลิตและการเก็บรักษาไฮโดรเจนสีเขียวในเวียดนามโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมที่จ่ายผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้า การศึกษายังรวมถึงการพัฒนาโรงงานผลิตแอมโมเนียสีเขียว ตลอดจนการกำหนดค่าโรงงานและการทบทวนเทคโนโลยี ความเสี่ยงในการวิวัฒนาการของเทคโนโลยีและการบรรเทาผลกระทบเบื้องต้น การออกแบบแนวคิด การประเมินต้นทุนตามลำดับความสำคัญ และการคำนวณต้นทุนที่ปรับระดับได้ Augustus Global Investments จะจัดหาเงินทุนเพื่อการพัฒนาเบื้องต้นสำหรับโครงการนี้

“ด้วยประวัติศาสตร์ 80 ปีของเราในการทำงานกับการผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนียในอุตสาหกรรมปุ๋ย ความพร้อมที่จะนำความความรู้ความเชี่ยวชาญในทุกขั้นตอนของโครงการด้านไฮโดรเจน ตั้งแต่การให้บริการเป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคและการออกแบบไปจนถึงการดำเนินงานของโครงการ ในฐานะที่เป็นบุกเบิกในการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจรของไฮโดรเจนและแอมโมเนีย Black & Veatch เองก็มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่จะมุ่งเน้นด้านความยั่งยืนอย่างเช่น The Green Solutions ในขณะที่เราเองก็ยังมีเป้าหมายที่จะช่วยในการลดการปล่อยคาร์บอนในเอเชียด้วยการเพิ่มการนำเอาไฮโดรเจนสีเขียวและแอมโมเนียสีเขียวมาใช้” Narsingh Chaudhary รองประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Black & Veatch กล่าว

“Augustus ผสมผสานปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) เข้ากับกระบวนการลงทุนและการจัดการที่หลากหลายของเรา เรายินดีที่จะสนับสนุนธุรกิจที่คิดถึงอนาคตอย่างเช่น The Green Solutions และ Black & Veatch ที่พวกเขาทำงานเพื่อตระหนักถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการกำจัดคาร์บอนของเอเชีย” Fadi Krikor ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Augustus Global Investments กล่าว

MoU ตอบสนองต่อการมองโลกในทางที่ดีของเอเชียสำหรับเชื้อเพลิงสีเขียวอย่างเช่น ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย ตามผลรายงาน Black & Veatch’s 2022 Asia Electric Report ร้อยละ 73 ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าไฮโดรเจนจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนภายใน 10 ปีนับจากนี้มากกว่าเทคโนโลยีอื่นใด นอกจากนี้ผลรายงานยังเผยว่าร้อยละ 46 คิดว่าจะเป็นทางเลือกที่สะอาดและราคาไม่แพงสำหรับการผลิตก๊าซภายในปี 2573

ในฐานะที่เป็นพันธมิตรด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลก Black & Veatch มีประสบการณ์ที่แข็งแกร่งในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและวัตถุดิบตั้งต้นจากก๊าซธรรมชาติ การบำบัดน้ำสำหรับงานอุตสาหกรรม การสร้างและการทำให้บริสุทธิ์ของไฮโดรเจน การบีบอัดไฮโดรเจน การจัดการและการผลิตพลังงาน และการเลือกเทคโนโลยีการจัดเก็บที่คุ้มค่า

คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดภาพที่สนับสนุน

หมายเหตุของบรรณาธิการ:

  • Black & Veatch ได้รับเลือกให้เป็น Owner's Engineer โดย Intermountain Power Agency (IPA) สำหรับโครงการ Intermountain Power Project Renewal Project (IPPRP) ซึ่งเป็นหนึ่งในการติดตั้งของเทคโนโลยีกังหันแบบเผาไหม้ที่แรกซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้ไฮโดรเจนสีเขียวในปริมาณสูง
  • Black & Veatch ได้จัดเตรียมการออกแบบแนวความคิดและดำเนินการประเมินต้นทุนสำหรับการรวมก๊าซไฮโดรเจนจากโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้เคียงเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการเผาไหม้ในโรงงานไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม Long Ridge Energy Terminal 485-MW GE 7HA.02
  • Black & Veatch ได้รับการคัดเลือกจาก Enegix Energy ให้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโรงงานไฮโดรเจนสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก world’s largest green hydrogen plant โรงงานแห่งนี้ตั้งเป้าหมายการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวมากกว่า 600 ล้านกิโลกรัมต่อปี

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch คือบริษัทออกแบบด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลกที่มีพนักงาน 100 เปอร์เซ็นต์ร่วมเป็นเจ้าของ มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในด้านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2458 เป็นต้นมา เราได้ช่วยลูกค้าของเราพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยการพัฒนาความยืดหยุ่น และคุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญท ในปี 2563 บริษัทมีรายได้รวมในการดำเนินงานกว่า 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และทางสื่อสังคม

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220328005361/en/

ติดต่อ:

EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | +65 9875 8907 M | Chialp@bv.com
24-HOUR MEDIA HOTLINE | +1 855-999-5991

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย