ผู้บริโภคเพิ่มแรงกดดันทำให้เกิดนวัตกรรม ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–28 สิงหาคม 2563

บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธานบริษัท อินฟอร์ อาเชียน

imgผู้บริโภคจำนวนมากเอาจริงเอาจังกับเรื่องคุณภาพอาหารที่จะบริโภค ผลกระทบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องถึงสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากผู้ผลิตอาหาร เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจึงจำต้องเร่งให้มีการแนะนำ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่เปลี่ยนไปในเรื่องของความสดใหม่ ผลดีต่อสุขภาพ และความใส่ใจในกระบวนการผลิต เทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้  ปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยเรื่องอาหารการกินในทุกวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรสชาติ ความสดใหม่ และความสะดวกสบายเท่านั้น  เมื่อต้องเลือกซื้ออาหารให้กับครอบครัว ผู้บริโภคจะใช้วิจารณญาณให้ความสำคัญในประเด็นสุขภาพ ประโยชน์ต่อร่างกายและเหตุปัจจัยทางสังคมอีกด้วย  โดยพวกเขาจะอ่านฉลากโภชนาการ หาข้อมูลตัวตนหรือความเป็นมาของซัพพลายเออร์ การคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ และการรักษาความยั่งยืนของสภาพแวดล้อม  มาตรฐานต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคคาดหวังไว้เหล่านี้ ล้วนเพิ่มแรงกดดันให้กับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ทว่าบริษัททั้งหลายที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยก็ควรจะไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้  เพราะการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความตระหนักรู้และรับผิดชอบต่อสังคม จะช่วยให้บริษัทสร้างความแตกต่างที่คุ้มค่าได้

ความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในด้านต่าง ๆ

เริ่มต้นจากแหล่งเพาะปลูก – ปัจจุบันผู้บริโภคต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของอาหารและเส้นทางที่เริ่มต้น จากแหล่งเพาะปลูกมาจนถึงจานอาหารมากขึ้น  จากรายงาน “แนวโน้มทิศทางอุตสาหกรรมอาหารของตลาดประเทศอาเซียนและจีน” ระบุถึงการที่ประชากรในเขตเมืองจะยอมจ่ายเพิ่มเพื่อคุณภาพที่ดีกว่า รวมถึงการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุชาวไทยและชาวสิงคโปร์ ทำให้ประชากรใส่ใจเรื่องสุขภาพและข้อมูลอาหารมากขึ้น  มูลนิธิ The International Food Information Council (IFIC) ระบุในรายงานล่าสุดเกี่ยวกับแนวโน้มด้านอาหาร ปี 2562 ว่า “ชาวอเมริกันมีความต้องการเสพข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับอาหารที่พวกเขาบริโภคเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา และเทคโนโลยีก็ช่วยผู้ที่ชมชอบการรับประทานอาหารได้มากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน…นอกจากนี้ยังได้ช่วยผลักดันให้เกิดความโปร่งใสด้านซัพพลายเชนอาหารอีกด้วย” 

โภชนเภสัช ไม่ใช่คนรุ่นมิลเลนเนียลเท่านั้นที่มองหาทางเลือกที่เกี่ยวกับสุขภาพอย่างจริงจัง  คนทุกวัยต่างหันมาใช้วิตามิน เกลือแร่ และส่วนประกอบอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อกระดูก ข้อต่อ ระบบภูมิคุ้มกัน การย่อยอาหาร และสุขภาพสมองของตน  จากงานวิจัยของ Mintel ระบุว่า 20% ของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ใช้อาหารเสริมเพื่อสุขภาพเกี่ยวกับข้อต่อ และเนื่องจากผู้บริโภคต่างเสาะหาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ ที่ช่วยลดอาการอักเสบได้ ดังนั้นจึงเกิดผลิตภัณฑ์มากมายหลายชนิดที่มีส่วนผสมของขิง ขมิ้น สารสกัดชาเขียว และเห็ดต่าง ๆ ที่สามารถใช้รักษาโรคได้

เมื่อสุขภาพและความงามไปด้วยกัน – ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มสามารถใช้ประโยชน์จากงานวิจัยที่จัดทำโดยอุตสาหกรรมความงามซึ่งครั้งหนึ่งเคยเปิดเผยถึงผลเบอรี่และเครื่องเทศบางชนิดที่ให้ประโยชน์ในการชะลอวัยได้  นอกจากนี้สิ่งที่ได้รับความสนใจอื่น ๆ ได้แก่กรดไขมันโอเมก้า-3 ไบโอติน อโลเวร่า และโคเอนไซม์คิวเท็น ซึ่งเป็นสารอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ  ที่ผ่านมาบริษัทต่าง ๆ ไม่ค่อยเต็มใจลงทุนทางด้านนี้มากเท่าใดนัก เนื่องจากข้อจำกัดในการอ้างอิงถึงคุณประโยชน์ต่าง ๆ ด้านสุขภาพ  ปัจจุบันผู้บริโภคที่มีข้อมูลพร้อม ต้องการข้อมูลพื้นฐานและคำอธิบายต่าง ๆ บนบรรจุภัณฑ์น้อยลง ดังนั้นความท้าทายของผู้ผลิตจึงอยู่ที่การตัดสินใจเลือกส่วนผสมให้เหมาะกับชนิดของผลิตภัณฑ์มากกว่า

ความยั่งยืน – มูลนิธิ IFIC ระบุว่า “ความเคลื่อนไหวด้านความยั่งยืนนั้นเกิดขึ้นเป็นวัฎจักร เนื่องจากมีวิธีใหม่ ๆ ในการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมตลอดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ นับตั้งแต่เรื่องแหล่งวัตถุดิบไปจนถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ การกำจัดขยะ หรือการนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง วิธีการแบบ 360 องศานี้สะท้อนให้เห็นถึงหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีการรักษาทรัพยากรต่าง ๆ ไว้ใช้งานให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เป็นการนำเอาคุณค่าของทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนำวัสดุกลับไปใช้งานใหม่อีกครั้งเมื่อหมดอายุการใช้งาน”

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลาสติก – วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทำจากพลาสติกได้กลายเป็นหัวข้อร้อนแรงระดับโลก ซึ่งผลักดันให้เกิดความต้องการด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ  วัสดุบรรจุภัณฑ์ชีวฐานจะกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตบรรจุภัณฑ์รุ่นใหม่ ๆ ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม  ความคิดริเริ่มต่าง ๆ เช่น โครงการ “Loop” หรือ “Upcycling SE Project” ก็กำลังพยายามที่จะนำแนวความคิดเรื่องบรรจุภัณฑ์ที่สามารถส่งคืนและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ขยะน้อยลง – ในปี 2561 ได้เกิดความตระหนักรู้เกี่ยวกับ “ผลผลิตที่ไม่น่ากิน: ugly produce” ขึ้น พืชผักผลไม้ที่มีคุณสมบัติไม่ตรงตามข้อกำหนดที่ผู้ค้าปลีกระบุได้รับโอกาสอีกครั้งหนึ่ง โดยทางเทสโก้ได้กลายเป็นผู้ค้าปลีกพิเศษแต่เพียงผู้เดียวที่จำหน่ายน้ำผลไม้ประเภท “Waste NOT” หลากหลายชนิดซึ่งล้วนแล้วแต่ทำมาจากผลผลิตที่ถูกระบุว่า “ไม่น่ากิน” ทั้งสิ้น

การอนุรักษ์ดิน – ดินดีอุดมสมบูรณ์ด้วยสารอาหารเป็นรากฐานของอาหารเพื่อสุขภาพ  บริษัทต่าง ๆ ควรเข้ามามีบทบาทในการทำให้ดินอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ เช่น แบรนด์สินค้าอาหารสำหรับทารกของประเทศอเมริกา “Gerber” ที่กำลังหวังว่าแนวทางแบบองค์รวมและเกษตรอินทรีย์ที่อยู่ในสายผลิตภัณฑ์ “Clean Field Farming” ของบริษัทฯ จะประสบความสำเร็จ และช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งช่วยปรับปรุงระบบนิเวศให้ดีขึ้นด้วย  นอกจากนี้ Annie’s Homegrown ก็ยังเป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่ช่วยสร้างความรับรู้ให้แก่ผู้บริโภคในเรื่องนี้

การลดน้ำตาล – จากรายงานคำแนะนำในการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกัน ปี 2558-2563 (Dietary Guidelines for Americans 2015-2020) พบว่าคนจำนวนมากเชื่อคำแนะนำในการให้รับประทานน้ำตาลน้อยลง โดย 77% กล่าวว่าพวกเขากำลังค่อย ๆ จำกัดหรือหลีกเลี่ยงน้ำตาลในอาหาร และอีก 59% เห็นว่าน้ำตาลเป็นของไม่ดี  สารให้ความหวานจากพืชแบบใหม่หรือที่ได้จากผลิตภัณฑ์นม กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับผู้ผลิตในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์แบบคลาสสิกให้ดีขึ้น

มังสวิรัติ – การรับประทานอาหารที่มาจากพืชเป็นหลักยังคงได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้น โดยยอดขายอาหาร “ทางเลือกมังสวิรัติ” เพิ่มขึ้นถึง 20% ตั้งแต่ปี 2560  จากโพลล์ของ Gallup พบว่ามีชาวอเมริกันเพียง 5% เท่านั้นที่ระบุว่าเป็นมังสวิรัติ และอีก 3% เป็นวีแกน แต่สำหรับคนอื่น ๆ มีการเพิ่มผักชนิดต่าง ๆ และลดการบริโภคโปรตีนเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพทั่วไป สำหรับประเทศไทยพบว่ามีชาวไทยเพียง 3.3% ที่เป็นมังสวิรัติ

แล้วเทคโนโลยีช่วยให้ผู้ผลิตก้าวทันความต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างไร

เพื่อให้ก้าวทันต่อเหตุการณ์ ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มจะต้องทันเทรนด์ต่าง ๆ และอัปเดตการนำเสนอ ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเทคโนโลยีสามารถช่วยได้หลากหลายวิธีดังนี้

นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ – การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างรวดเร็วถือเป็นเรื่องที่จำเป็น  กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แสดงถึงทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพได้ อีกทั้งยังมีการเพิ่มแร่ธาตุและสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับความสมดุลของสุขภาพเข้าไปในผลิตภัณฑ์ด้วย  การลดน้ำตาล สีสังเคราะห์ และวัตถุกันเสียในผลิตภัณฑ์สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคยุคใหม่จำนวนมากได้เช่นกัน  โซลูชั่นด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กรที่ทันสมัย (enterprise resource planning – ERP) สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มโดยเฉพาะจะช่วยจัดการเรื่องสูตรอาหาร วัตถุดิบ และสูตรในการผลิตต่าง ๆ ทำให้มั่นใจว่าสามารถรักษาคุณภาพให้ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด  ส่วนโซลูชั่นในการจัดการวงจรการผลิต (Product lifecycle management – PLM) ยังช่วยเร่งความเร็วในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ จัดการขั้นตอนต่าง ๆ พร้อมปรับปรุงการบริหารจัดการโครงการ การทำงานร่วมกัน และการทดสอบผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น

ฉลากชัดเจน (Clean labels) – ความโปร่งใสและความชัดเจนในกระบวนการผลิตอาหารกำลังทวีความ สำคัญมากยิ่งขึ้น ฉลากสินค้าเป็นกลยุทธ์สำคัญในการถ่ายทอดข้อความต่าง ๆ (ที่ต้องการสื่อถึงผู้บริโภค) บริษัทที่ปรึกษาด้านอุตสาหกรรม RSM กล่าวว่า “ปัจจุบันผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทันที หากเขาไม่เข้าใจหรือไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ผลิตขึ้นมาอย่างไรและมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ก็มีแนวโน้มว่าพวกเขาจะไม่สนใจผลิตภัณฑ์นั้น ๆ  ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มสามารถหันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยจัดรูปแบบและเนื้อหาของป้ายกำกับแบบ clean label ให้เป็นไปตามข้อบังคับปัจจุบัน  โซลูชั่น PLM ช่วยปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ง่าย และเป็นไปอย่างถูกต้องครบถ้วนตามข้อกำหนด

การวางแผนด้านซัพพลาย – เมื่อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ออกสู่ตลาด และเริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้น ความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วคือสินค้ามีไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย  บริษัทต่าง ๆ ต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์ และใช้ประโยชน์จากเครื่องมือการวางแผนด้านซัพพลายเชน เพื่อให้ผู้ค้าปลีกสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้

การสามารถตรวจสอบย้อนกลับระบบซัพพลายเชน – มูลนิธิ  International Food Information Council (IFIC) ระบุว่าเรื่องนี้ติดหนึ่งในห้าอันดับแรกของแนวโน้มด้านอาหารในปี 2562 และคาดว่าจะยังเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้บริโภคต่อไปอีก และจะทำให้เกิดความต้องการโซลูชั่นที่สามารถให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน  ผู้ผลิตอาหารจำนวนมากขึ้นทราบดีว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ มีราคาถูกลง และสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านั้นในการจัดการกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเชนได้  โซลูชั่นการจัดการซัพพลายเชนสมัยใหม่ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการมองภาพรวมและการติดตามตรวจสอบซัพพลายเออร์

การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ – โซลูชั่นธุรกิจอัจฉริยะ (business intelligence – BI) ที่ทันสมัยที่มีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ติดตั้งมาด้วย จะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ คาดการณ์แนวโน้ม และความต้องการของตลาด  ข้อมูลเชิงลึกที่วิเคราะห์ถึงอนาคตจะช่วยในการเตรียมวัตถุดิบ และวางแผนการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ได้ เช่น ด้านเครื่องจักร บรรจุภัณฑ์ และบุคลากร

สรุปประเด็นสำคัญ

โลกของการผลิตอาหารและเครื่องดื่มมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรื่องรสชาติเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัย หลากหลายประการที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ทุกวันนี้ประเด็นด้านสุขภาพ ความสมดุลของร่างกาย และเหตุปัจจัยทางสังคม เช่น ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ต่างก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิตจะเห็นเรื่องนี้เป็นความท้าทายหรือเป็นโอกาสในการปรับให้เข้ากับลูกค้า และด้วยการมีเทคโนโลยีทันสมัยพร้อมใช้งานจะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถคว้าโอกาสในการเร่งเปิดตัว และนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดใจผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นตัวช่วยนำพาบริษัทก้าวไปสู่ความเจริญเติบโตในอนาคต 

โค้งสุดท้าย! มูลนิธิเอสซีจี ชวนน้องประถมฯ ประกวดวาดภาพระบายสี “เด็กไทยสู้ภัยโควิด”

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–26 สิงหาคม 2563

imgใกล้ปิดรับสมัครแล้ว สำหรับการประกวดวาดภาพระบายสี ในโครงการประกวดวาดภาพระบายสี “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” (Thai Kids Fight COVID) ซึ่งจัดโดย มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับ มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ ขอเชิญชวนน้อง ๆ นักเรียนระดับประถมศึกษาทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน เข้าร่วมการประกวดวาดภาพระบายสี ในหัวข้อการดูแลตัวเองที่โรงเรียน ให้ห่างไกลจากโควิด -19 เพื่อให้เด็กนักเรียนได้เห็นความสำคัญของการป้องกันตนเอง  รวมไปถึงการปลูกฝังเรื่องสุขลักษณะในชีวิตประจำวัน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางกายภาพ การล้างมือ เป็นต้น โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2563

การประกวดเป็น 2 ประเภท คือ ระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น ปีที่ 1 – 3  และ ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ปีที่ 4 – 6 โดยวาดภาพผลงานลงบนกระดาษขนาด A3 ไม่จำกัดเทคนิคการวาด สามารถใช้สีได้ทุกประเภท ซึ่งจะคัดเลือกผู้เข้ารอบจำนวน ประเภทละ 20 ภาพ โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในวันที่ 5 กันยายน 2563 แล้วเปิดให้ทางบ้านร่วมโหวตผ่าน Facebook มูลนิธิเอสซีจี ระหว่างวันที่  6 – 18 กันยายน โดยภาพที่มียอด Like สูงสุดจะได้รับรางวัลขวัญใจมหาชน ซึ่งรอบสุดท้ายจะตัดสินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และประกาศผลผู้ชนะรางวัลในวันที่ 19 กันยายน 2563 ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลจำนวน 20,000 บาท รวมเงินรางวัล 160,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย นอกจากนี้โรงเรียนต้นสังกัดของนักเรียนที่ได้รับรางวัลทั้งหมด จะได้รับชุดอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ประกอบไปด้วย เครื่องวัดอุณหภูมิ โรงเรียนละ 2 เครื่อง และสเปรย์แอลกอฮอล์ โรงเรียนละ 100 ขวด

น้อง ๆ นักเรียนระดับประถมศึกษาที่สนใจ รีบคลิกดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.scgfoundation.org และส่งภาพผลงานมาที่ มูลนิธิเอสซีจี หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2586 2042 และ 0 2586 1190 และเฟซบุ๊กมูลนิธิเอสซีจี https://www.facebook.com/SCGFoundation/

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ มูลนิธิเอสซีจี โทร 0 2586 2042 หรือ 0 2586 1190

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th
อุษณีย์ ถาวรกาญจน์ โทร.081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

Dataiku ระดมทุน 100 ล้านดอลลาร์เพื่อขยายความเป็นผู้นำในด้านตลาด AI ขององค์กร

Logo

Stripes เป็นผู้นำรอบ Series D ในขณะที่ Tiger Global Management จะเข้ามาร่วมลงทุนกับบริษัทที่ร่วมลงทุนอยู่ก่อนแล้วอย่าง Battery Ventures, CapitalG, Dawn Capital, FirstMark Capital และ ICONIQ

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–24 ส.ค. 2563

Dataiku ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Enterprise AI และแมชชีนเลิร์นนิงชั้นนำระดับโลกประกาศในวันนี้ ว่าด้วยรอบการลงทุน Series D มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ซึ่งจะถูกนำโดย Stripes พร้อมกับการลงทุนครั้งใหญ่โดย Tiger Global Management และการมีส่วนร่วมจากบริษัทที่ลงทุนไว้อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งได้แก่ Battery Ventures, CapitalG, Dawn Capital, FirstMark Capital และ ICONIQ การระดมทุนครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ Dataiku ยังคงขับเคลื่อน AI ภายในองค์กรต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยการให้บริการลูกค้ากว่า 300 รายที่เข้าใจว่ากลยุทธ์ AI แบบทำงานร่วมกันและแบบ end-to-end หรือ แบบที่มีกระบวนการลอจิสติกส์ครบวงจร มีความสำคัญต่อความสำเร็จของพวกเขา

“ความเป็นผู้นำของเราในด้าน AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ สำหรับองค์กรยังคงดึงดูดนักลงทุนระดับโลกที่เข้าใจว่าฐานลูกค้าและโซลูชันของ Dataiku นั้นอยู่ในระดับโลกอย่างแท้จริง และเราอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนใครในการช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ใช้งานศักยภาพที่ยังไม่ได้ถูกใช้ในด้าน AI เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงองค์กร” Florian Douetteau  ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Dataiku กล่าว “ในตลาดธุรกิจทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในปี 2563 AI ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของความสำเร็จขององค์กรที่ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในตลาดแนวดิ่งที่สำคัญทุกแห่ง”

Dataiku ก่อตั้งขึ้นในปี 2556 โดยมีพันธกิจในการนำโครงการแมชชีนเลิร์นนิงและ AI ออกจากห้องทดลองและนำมาใช้ในการดำเนินงานประจำวันของบริษัทต่าง ๆ อย่างแท้จริง Dataiku ให้บริการลูกค้าหลายร้อยรายทั่วโลก ซึ่งรวมถึง Schlumberger, GE Aviation, Sephora, Unilever, BNP Paribas, Premera Blue Cross, Kuka และ Santander โดยทีมงานของบริษัทมีมากกว่า 450 คนทั่วโลกทั้งในนิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน แฟรงก์เฟิร์ต ดูไบ อัมสเตอร์ดัม ซิดนีย์ และสิงคโปร์

“ความก้าวหน้าของ AI ในองค์กรได้ก้าวไปอย่างรวดเร็วจากการทดลองไปสู่การใช้งานจริงที่ปรับขนาดได้ในปี 2563 และ Dataiku อยู่ในระดับแนวหน้าของการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่พร้อมใช้งานสำหรับองค์กรที่ปลอดภัย ครอบคลุมทุกด้าน และมีความพร้อมในเชิงองค์กรที่มากที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นในการวิจัยอย่างกว้างขวางของเราในตลาดนี้” Ron Shah หุ้นส่วนของ Stripes กล่าว “สิ่งที่เราได้เห็นใน Dataiku ไม่เพียงแต่แค่เรื่องความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่พร้อมต่ออนาคตสำหรับลูกค้าในเกือบทุกวงการอุตสาหกรรมและทุกภูมิศาสตร์ที่สำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือการมีทีมงานมืออาชีพที่ทุ่มเทและองค์กรระดับโลกที่ทำงานเพื่อทำให้มั่นใจได้ถึงความไว้วางใจ ความปลอดภัยและศักยภาพด้านการรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดฝันผ่านการใช้แมชชีนเลิร์นนิ่ง เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนครั้งนี้” Paul Melchiorre หุ้นส่วนด้านปฏิบัติการของ Stripes กล่าวเสริม

“ตลาดของวงการนี้ ยังคงยืนยันให้แนวทางการทำงานร่วมกันของ Dataiku เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเก็บเกี่ยวประโยชน์จากการใช้ AI ทั่วทั้งองค์กร” Evgenia Plotnikova หุ้นส่วนของ Dawn Capital กล่าว “ความคล่องตัวจากการใช้ AI ไม่เคยเป็นศักยภาพที่สำคัญมากเท่านี้มาก่อนในองค์กร”

เกี่ยวกับ Dataiku

Dataiku เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์ม AI และแมชชีนเลิร์นนิงชั้นนำของโลกซึ่งสนับสนุนความคล่องตัวในความพยายามด้านข้อมูลขององค์กรผ่าน AI ที่ทำงานร่วมกัน ยืดหยุ่น และมีความรับผิดชอบในระดับองค์กร บริษัทหลายร้อยแห่งใช้ Dataiku เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ และทำให้มั่นใจว่าพวกเขายังคงก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงการใช้โมเดลที่ขับเคลื่อนการตรวจจับการฉ้อโกง การป้องกันการปั่นป่วนด้านลูกค้า การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ การเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชน และอื่น ๆ อีกมากมาย Dataiku ถูกสร้างขึ้นสำหรับ บริษัทที่ต้องการพัฒนา AI ให้ถูกใช้อย่างทั่วถึงทั่วทั้งองค์กร เพื่อนำความคล่องตัวและความพร้อมมาสู่ธุรกิจผ่านการใช้ข้อมูลมาสู่ทุกคน ตั้งแต่นักวิเคราะห์ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล

เกี่ยวกับ Stripes

Stripes เป็น บริษัทหลักทรัพย์เพื่อการเติบโตชั้นนำที่นำเสนอแนวทางการเป็นผู้ประกอบการที่ไม่เหมือนใครในการลงทุนในธุรกิจซอฟต์แวร์และธุรกิจผู้บริโภคที่มีการเติบโตสูงทั่วโลก กว่าทศวรรษที่ผ่านมา Stripes ได้ร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ ที่มีความสำคัญในตลาดเพื่อให้การสนับสนุนที่จำเป็นในการเร่งการเติบโตและการบรรลุวิสัยทัศน์ในระยะยาว ภารกิจของ Stripes คือการมีวัฒนธรรม ชุดทรัพยากร และความเชี่ยวชาญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการมีข้อได้เปรียบที่ไม่มีใครเทียบได้ในตลาดที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Stripes ได้ที่ https://www.stripes.co/.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200823005026/en/

ติดต่อ:

Laurel Toney

dataiku@strangebrewstrategies.com

สคฝ. เผยสถิติผู้ฝาก 6 เดือนแรก รวม 80 ล้านราย ย้ำมาตรการคุ้มครองเงินฝากมั่นคงสูง พร้อมเปิดศูนย์บริการให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก 1158 และช่องทางออนไลน์ ให้ข้อมูลการคุ้มครองแก่ประชาชน

Logo

imgกรุงเทพฯ 24 สิงหาคม 2563 – สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) หรือ DPA เสริมความมั่นใจการคุ้มครองเงินฝากในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน ย้ำมาตรการการคุ้มครองเงินฝากที่เป็นบัญชีเงินฝากสกุลเงินบาทภายในประเทศ ครอบคลุมบัญชีของผู้ฝากที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ในสถาบันการเงินภายใต้การคุ้มครองทั้ง 35 แห่ง ซึ่งหากสถาบันการเงินภายใต้การคุ้มครองถูกปิดกิจการ สคฝ. จะคืนเงินฝากภายใน 30 วัน โดยข้อมูลในช่วงครึ่งปี 2563 ระหว่างเดือน มกราคม ถึง มิถุนายน พบว่า ประเทศไทย มีจำนวนผู้ฝากในระบบสถาบันการเงินภายใต้ความคุ้มครองของ สคฝ. รวม 80.82 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.38 หรือราว 1.1 ล้านราย และจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง มีจำนวนทั้งสิ้น 14.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.12 เมื่อเทียบกับข้อมูล ณ สิ้นปี 2562 โดยกว่าร้อยละ 98 เป็นผู้ฝากรายย่อย
มีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลการคุ้มครองเงินฝากเพิ่มเติมได้ที่ www.dpa.or.th   ศูนย์บริการให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก โทร. 1158 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/dpathailand             

นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) หรือ DPA กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนทั่วทุกมุมโลก โดย สคฝ. มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองเงินฝากแก่ผู้ฝาก ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ฝากเงินเป็นสกุลเงินบาทกับสถาบันการเงินภายใต้กฎหมาย ว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากทั้ง 35 แห่ง ซึ่งจะคุ้มครองทันทีในลักษณะ 1 รายชื่อผู้ฝากต่อ 1 สถาบันการเงิน ในบัญชีเงินฝาก 5 ประเภท ได้แก่ 1. เงินฝากกระแสรายวัน 2. เงินฝากออมทรัพย์ 3. เงินฝากประจำ 4. บัตรเงินฝาก และ 5. ใบรับฝากเงิน อย่างไรก็ตาม ในกรณีสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองถูกเพิกถอนใบอนุญาต ผู้ฝากจะได้รับเงินฝากคืนภายใน 30 วัน ตามวงเงินที่กฎหมายกำหนด โดยปัจจุบันวงเงินคุ้มครองเงินฝากอยู่ที่ 5 ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินคุ้มครองดังกล่าว สามารถครอบคลุมการคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนของผู้ฝาก 80.51 ล้านราย หรือคิดเป็นร้อยละ 99.63 ของผู้ฝากทั้งระบบ สำหรับเงินฝากที่เกินวงเงินการคุ้มครอง ผู้ฝากมีโอกาสได้รับเงินฝากคืนเพิ่มเติม จากการชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการในภายหลัง                

จากข้อมูลสถิติการฝากเงินในสถาบันการเงิน ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเงินฝากย้อนหลัง 3 ปี พบแนวโน้มจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองของระบบสถาบันการเงินเป็นไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2560 – 2562 มีเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง จำนวน 12.54 ล้านล้านบาท 13.02 ล้านล้านบาท และ 13.56 ล้านล้านบาท ตามลำดับ และจากข้อมูลในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 ระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน พบว่า
ประเทศไทย มีจำนวนผู้ฝากในระบบสถาบันการเงินภายใต้ความคุ้มครองของ สคฝ. รวม 80.82 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.38 หรือราว 1.1 ล้านราย และมีจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองมีจำนวนทั้งสิ้น 14.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.12 เมื่อเทียบกับข้อมูลเมื่อสิ้นปี 2562 โดยกว่าร้อยละ 98 เป็นผู้ฝากรายย่อยที่มีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท

จากข้อมูลพบว่า ปัจจุบันปริมาณเงินฝากมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ฝากเกือบทุกกลุ่ม โดยปริมาณเงินฝากเพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่ม “ผู้ฝากบุคคลธรรมดา” และ “ผู้ฝากภาคธุรกิจ องค์กรภาครัฐ และกองทุนต่าง ๆ” อีกทั้งมีการขยายตัวใน
ทุกระดับวงเงินฝาก โดยเกือบครึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินฝากในระดับเงินฝากวงเงินสูงกว่า 25 ล้านบาท อย่างไรก็ดี
จากปริมาณเงินฝากที่ขยายตัวในอัตราสูง เป็นผลมาจากความผันผวนในตลาดการเงิน ทำให้นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนมาเข้าเงินฝากมากขึ้นเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากเงินฝากมีความปลอดภัยสูง เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นในตลาดเงินที่ผลตอบแทนลดลง และยังมีแนวโน้มการออมเพื่อสำรองการใช้จ่ายในอนาคต

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลผลตอบแทนตามประเภทสินทรัพย์เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ระหว่าง 2553 – 2562 พบว่า ผลตอบแทนการฝากเงินประเภทออมทรัพย์อยู่ที่ร้อยละ 0.72 ประเภทฝากประจำ 1 ปีอยู่ที่ร้อยละ 1.88 ประเภทพันธบัตร 3 ปีอยู่ที่ร้อยละ 2.41 ทองคำอยู่ที่ร้อยละ 2.31 JUMBO25 (หุ้น) อยู่ที่ร้อยละ 10.01 ทั้งนี้ แม้ว่าการฝากเงินยังเป็นช่องทางที่มั่นคงและมีความปลอดภัยสูง แต่ผู้ฝากยังสามารถพิจารณาการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ตามความเหมาะสมและความต้องการของตนเอง โดยต้องพิจารณาและศึกษาการจัดสรรสินทรัพย์อย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัยในการบริหารการเงินอย่างยั่งยืน ขณะนี้ สคฝ. อยู่ระหว่างการศึกษาผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ เพื่อพิจารณาขยายการคุ้มครองในอนาคต นายทรงพล กล่าวทิ้งท้าย

 ประชาชนและองค์กรต่าง ๆ สามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝากได้ที่ www.dpa.or.th
ศูนย์บริหารให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก โทร. 1158 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/dpathailand    

###

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชนติดต่อ

เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์ – JC&CO PUBLIC COMMUNICATIONS –

ชิดชนก ทองดี / +6698-494-9351 / chidchanokt@jcco.co.th  

ปัณณทัต กิตติพงศ์ยิ่งยง / 6662-445-9966 / pannatatk@jcpr.co.th

** MEDIA HOTLINE: 063-641-9549 (ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์) **

“สหพัฒน์” เปิดโครงการ “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ครั้งที่ 23 จัดติวฟรีออนไลน์รูปแบบใหม่ให้น้อง ม.ปลายก่อนเข้ามหาวิทยาลัย

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–24 สิงหาคม 2563

imgนางชัยลดา ตันติเวชกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทสหพัฒนพิบูลย์ จำกัด (มหาชน) และ นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย คุณนฤมล ชวเลขยางกูร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ฟร็อกดิจิตอล กรุ๊ป จำกัด เปิดโครงการ “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ครั้งที่ 23 ซึ่งเป็นครั้งแรกของการติวฟรีรูปแบบใหม่ Live Streaming Class ติวฟรีแบบใหม่ อยู่ไหนก็ติวได้” ผ่านระบบ Interactive Video Platform บนเว็บไซต์ Sahapat Admission ณ ลานอเนกประสงค์ เนชั่นทีวี เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั่วประเทศ ได้เตรียมความพร้อมก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเข้มข้นไปพร้อมกัน

#SahatpatAdmission23

#ติวฟรีแบบใหม่อยู่ไหนก็ติวได้

###

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร. 081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

JMT เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ รุ่นอายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี และรุ่นอายุ 3 ปี 6 เดือน ดอกเบี้ย 4.40% ต่อปี เสนอขายวันที่ 28 และ 31 สิงหาคม และ 1 กันยายน นี้

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–24 สิงหาคม 2563

imgบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน)  (“บริษัท” หรือ “JMT”) เสนอขายหุ้นกู้ อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี และรุ่นอายุ 3 ปี 6 เดือน ดอกเบี้ย 4.40% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 1 แสนบาทสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ และทวีคูณครั้งละ 1 แสนบาท ผู้ที่สนใจสามารถจองซื้อได้ที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โดยจะเสนอขายหุ้นกู้วันที่ 28 และ 31 สิงหาคม และ 1 กันยายน 2563 นี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ “BBB” แนวโน้ม “Stable” โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563

สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ในการลงทุนเพิ่ม และ/หรือดำเนินการทั่วไปของบริษัท นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) กล่าว่า “บริษัทฯ มองว่าในช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่บริษัทฯ จะซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติม เราพร้อมเป็นพาร์ทเนอร์กับสถาบันการเงินทุกแห่ง ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถบริหารจัดการให้สามารถมีผลประกอบการได้ตามเป้าหมายได้ สามารถทำกำไรรายไตรมาสเป็นสถิติสูงสุด และมีกระแสเงินสดที่จัดเก็บจากลูกหนี้ที่เติบโตกว่าร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนของปีที่แล้ว”

JMT เป็นบริษัทในเครือ เจมาร์ท ซึ่ง JMT ดำเนินธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้สิน และ ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินมาบริหาร โดยปัจจุบันบริษัทมีกองหนี้ด้อยคุณภาพที่อยู่ภายใต้การบริหารมากกว่า 189,000 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้นำในการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพอันดับต้นของประเทศ ที่มีทิศทางผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ มามากกว่า 20 ปี โดยล่าสุด ในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 227 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ 52% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 762 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการขยายตัวที่ 29% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า โดยบริษัทยังมีแผนเดินหน้าซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง จากการที่หนี้ด้อยคุณภาพในระบบยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ยังไม่ได้ส่งผลกระทบในการจัดเก็บหนี้ของบริษัท โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 นั้น บริษัทมียอดจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) เท่ากับ 1,699 ล้านบาท หรือเท่ากับอัตราการขยายตัวที่ 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า

“แลคตาซอย” ชวนโพสต์ท่า สู้สู้ คู่กับกล่องเเลคตาซอย ครีเอทท่าเด็ดพร้อมข้อความให้กำลังใจลุ้นรับรางวัลใหญ่

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–24 สิงหาคม 2563

imgแลคตาซอย ชวนมาร่วมสนุกกับกิจกรรม “โชว์ท่า..เเลคตาซอย สู้ๆ เติมพลัง ในวันใหม่” ด้วยกติกาแสนง่าย เพียงโพสต์รูปโชว์ท่าสู้ๆ คู่กับกล่องเเลคตาซอย 300 มิลลิลิตร หรือ 500 มิลลิลิตร  พร้อมคำให้กำลังใจเพื่อนๆ ให้สู้ๆ ไปด้วยกัน นำมาโพสต์ลงเฟซบุ๊กของตนเองและตั้งค่าเป็นสาธารณะ ติด #Lactasoy #แลคตาซอย เเคปภาพมายืนยันการร่วมกิจกรรมที่ FB: Lactasoy https://www.facebook.com/lactasoyclub/ ระยะเวลาการร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 63 ถึง 24 ก.ย. 63 นี้เท่านั้น

ผู้โชคดีที่ร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัลใหญ่ ได้แก่ รางวัลที่ 1 iPad 10,900.- รางวัลที่ 2 หม้อทอดไร้น้ำมัน tefal 5,900.-  รางวัลที่ 3 เครื่องชงกาแฟแรงดัน mini mex 4,290.-  รางวัลที่ 4 เครื่องสกัดน้ำผักผลไม้ electrolux 3,200.-  ประกาศผลวันที่ 30 ก.ย. 63 ทาง FB: Lactasoy https://www.facebook.com/lactasoyclub/

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร. 081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

ความปกติใหม่ได้นำมาสู่ยุคใหม่ แต่เรายังสามารถเดินทางต่อไปได้: คือข้อความที่แข็งแกร่งในงานประชุมวิชาการออนไลน์ครบรอบ 53 ปีอาเซียนที่จัดโดย AJC

Logo

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–21 ส.ค. 2563

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ศูนย์อาเซียนญี่ปุ่น (AJC) ร่วมกับคณะกรรมการอาเซียนในโตเกียว (ACT) ซึ่งประกอบด้วยเอกอัครราชทูตอาเซียนไปยังประเทศญี่ปุ่น ได้จัดงานประชุมวิชาการออนไลน์ครบรอบ 53 ปีอาเซียนภายใต้แนวคิด “หลังจาก Covid-19 ก้าวสู่ความปกติใหม่” ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจากทั้งญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียน

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200821005186/en/

H.E. Dato Lim Jock Hoi, Secretary-General of ASEAN, delivered his keynote address (Photo: Business Wire)

H.E. Dato Lim Jock Hoi เลขาธิการอาเซียนกล่าวปาฐกถาพิเศษ (ภาพ: Business Wire)

H.E. Mr. Myint Thu เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ประจำญี่ปุ่นและประธาน ACT ได้เปิดการประชุมสัมมนา โดยทางเอกอัครราชทูต Myint Thu เรียกร้องให้อาเซียนและญี่ปุ่นจัดการกับความท้าทายใหม่ร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลและดำเนินมาตรการรับมือกับผลกระทบของการระบาดทั่วโลก

หลังจากกล่าวเปิดงาน H.E. Dato Lim Jock Hoi เลขาธิการอาเซียนได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ  Dato Lim ให้ความมั่นใจในความมุ่งมั่นของอาเซียนในการต่อสู้กับโรคระบาดผ่านการดำเนินการที่เด็ดขาดและรอบคอบ  ตัวอย่างที่ยกมา ได้แก่ การจัดตั้ง “กองทุนอาเซียนเพื่อตอบสนองต่อ COVID-19” และ “คลังเครื่องมือทางการแพทย์ประจำภูมิภาคอาเซียน”; และการใช้ “แผนปฏิบัติการฮานอยเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนและการเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทานเพื่อตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19”

Dato Lim ยังยอมรับว่าโลกหลังการแพร่ระบาดจะนำเสนอการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในรูปแบบของกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กับอาเซียน โดยอาจสามารถรับมือกับปัญหานี้ด้าน 5 มาตรการ: มาตรการแรก การตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นต่างๆ มาตรการที่สอง แนวโน้มต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล มาตรการที่สาม การมุ่งเน้นไปที่การค้าและการลงทุนภายในอาเซียน  มาตรการสี่ การมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการแข่งขันในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุนและศูนย์กลางการค้าและการผลิต  และสุดท้ายคือการเสริมสร้างการใช้ประโยชน์จาก FTA ของอาเซียน

ในระหว่างการอภิปรายในช่วงหลังของการประชุมสัมมนาที่มีเครือข่ายการผลิตระหว่างประเทศ (IPN) เป็นประเด็นหลัก Dr. Fukunari Kimura ศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเคโอและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สถาบันวิจัยเศรษฐกิจอาเซียนและเอเชียตะวันออก (ERIA) ได้แบ่งปันมุมมองของเขาว่าเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกกำลังประสบกับการขาดอุปสงค์และอุปทานฉับพลัน ซึ่งจะตามมาด้วยอุปสงค์อย่างมากอีกครั้งด้วยเครือข่ายการผลิตที่ถูกปรับเปลี่ยนใหม่  ศาสตราจารย์ Kimura ยังได้นำเสนอกรอบนโยบายเบื้องต้นสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนในการก้าวเข้าสู่มาตรฐานใหม่โดยแบ่งออกเป็น (i) การตอบสนองฉุกเฉิน (ii) นโยบายการถอนตัวและ (iii) นโยบายสำหรับภาวะปกติใหม่

Dr. Seiya Sukegawa ศาสตราจารย์คณะรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยโคคุชิคังประเทศญี่ปุ่นได้ตอบสนองโดยเน้นย้ำถึงการสร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานขึ้นมาใหม่ผ่านห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่นและการจัดการเฉพาะกรณีแทนที่จะเป็นอุปทานที่แสวงหาประสิทธิภาพและการจัดการแบบทันเวลา  Dr. Maria Socorro G. Bautista ศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์กล่าวว่าอาเซียนในฐานะผู้สนับสนุนการค้าเสรีควรกำหนดแนวทางในการเพิ่มอุปสงค์โดยรวมและดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ภูมิภาคเนื่องจากดูเหมือนจะมีผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่พึงประสงค์แม้จะมีส่วนร่วมใน IPN  ทั้ง Kimura และ Bautista ไม่คิดว่าจะมีการปรับขนาดใหญ่

ในการกล่าวสรุปคุณ Masataka Fujita เลขาธิการ AJC ได้สะท้อนความรู้สึกของเอกอัครราชทูต Myint Thu ว่าถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับอาเซียนและญี่ปุ่นในการมองว่าการแพร่ระบาดครั้งนี้เป็นปัญหาร่วมกันและควรดำเนินกลยุทธ์ที่สร้างสรรค์และยืดหยุ่นร่วมกัน

AJC เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นโดยประเทศสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่นในปี 2524 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ตลอดจนการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่น  AJC จัดงาน ASEAN Anniversary Symposium ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อรำลึกถึงการก่อตั้งอาเซียนโดยนำผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของอาเซียนและภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นมารวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นปัจจุบันในอาเซียน

เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของศูนย์อาเซียน – ญี่ปุ่น: https://www.asean.or.jp/en/

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200821005186/en/

ติดต่อ:

Office of Secretary General, PR (ฝ่ายประชาสัมพันธ์สำนักงานเลขาธิการ)
Tomoko Miyauchi
ASEAN-Japan Center
โทร: +81-3-5402-8118
E-mail: toiawase_ga@asean.or.jp

“มาม่าคัพ Spicy Carbonara” รสชาติเผ็ดร้อน ถูกปากคนชอบความแซ่บ

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–21 สิงหาคม 2563

imgบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ส่งเมนูความแซ่บ “มาม่าคัพ Spicy Carbonara” อร่อยได้ทุกที่ Spicy กว่าเดิม เอาใจคนชอบรักเส้นด้วยเส้นที่หนานุ่มกว่าเดิม ผสานกับรสชาติคาโบนาร่าที่สไปซี่เข้มข้นขึ้นอย่างลงตัว สำหรับใครที่ชอบรสชาติจัดจ้านรับรองว่าถูกปากถูกใจ อดใจไม่ไหวอย่างแน่นอน รีบไปลิ้มลองความอร่อยกันได้แล้ววันนี้ที่ร้าน 7-11 ทุกสาขา ในราคา 15 บาท

###

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์ โทร.081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

การท่องเที่ยวฮ่องกง เตรียมนำเทศกาล Hong Kong Wine & Dine Festival สู่โลกออนไลน์

Logo

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–21 สิงหาคม 2563

ด้วยสถานการณ์ความไม่แน่นอนจากวิกฤติการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 การท่องเที่ยวฮ่องกงได้ประกาศเตรียมจัดงานใหญ่ประจำปีอย่างเทศกาล “Hong Kong Wine & Dine Festival” ในรูปแบบออนไลน์เป็นครั้งแรก

Hong Kong Wine & Dine Festival (Photo: Business Wire)

Hong Kong Wine & Dine Festival (รูปภาพ: Business Wire)

ดร.วาย เค แปง (Dr YK Pang) ประธานการท่องเที่ยวฮ่องกง กล่าวถึงการจัดงานรูปแบบใหม่ครั้งนี้ว่า “เทศกาล Hong Kong Wine & Dine ถือเป็นหนึ่งในอีเว้นท์ที่มีชื่อเสียงที่สุดสำหรับทั้งชาวฮ่องกงและนักท่องเที่ยวตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมานับตั้งแต่มีการจัดงานขึ้นเป็นครั้งแรก แม้ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปีนี้ เราก็หวังว่าผู้คนจะยังได้สัมผัสประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมอาหารที่มีเอกลักษณ์ของฮ่องกง พร้อมกับช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของฮ่องกงท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทายเช่นนี้ การจัดงานในรูปแบบเทศกาลออนไลน์ในปีนี้จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดการด้านสาธารณสุขและความปลอดภัย”

ดร. แปง กล่าวเพิ่มเติมว่า “เทศกาล Hong Kong Wine & Dine ในรูปแบบออนไลน์นี้ จะยังคงบรรยากาศที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวาอันเป็นสเน่ห์ของงานนี้เอาไว้อย่างครบถ้วน ด้วยการมอบประสบการณ์การลิ้มรสอาหารและไวน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟนำเสนอโดยกูรูผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ด้วยรูปแบบงานเทศกาลออนไลน์ เราได้ขยายระยะเวลาของเทศกาลออกไป จากปกติ 4 วันเป็นหลายสัปดาห์ เพื่อให้ผู้คนสามารถร่วมงานได้จากทุกที่ทุกเวลามากยิ่งขึ้น”

เพื่อรักษากลิ่นอายและเอกลักษณ์แบบฉบับของเทศกาลให้ได้มากที่สุด การท่องเที่ยวฮ่องกงเลยสร้างพื้นที่ออนไลน์เพื่อเป็นศูนย์กลางรวบรวมโปรแกรมและกิจกรรมต่าง ๆ ของเทศกาลที่จะเกิดขึ้นเข้าไว้ด้วยกัน บริษัทผู้จัดจำหน่ายไวน์หลากหลายแบรนด์เตรียมมอบส่วนลดพิเศษ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่คัดสรรมาสำหรับเทศกาลนี้โดยเฉพาะ โดยผู้ร่วมงานสามารถเลือกดูและซื้อผลิตภัณฑ์ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ตามความสะดวก นอกจากนี้ จะมีการเชิญนักวิจารณ์อาหารและไวน์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ รวมถึงเชฟและผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ มาบรรยายแนะนำการจับคู่ไวน์กับเมนูอาหารชั้นเลิศในรูปแบบของกิจกรรมเวิร์กชอปและคลาสออนไลน์ด้วย

งานเทศกาล Hong Kong Wine & Dine Festival เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2552 หลังจากฮ่องกงและเมืองบอร์กโดซ์ (Bordeaux) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือด้านธุรกิจที่เกี่ยวกับไวน์ร่วมกัน เทศกาลกลางแจ้งขนาดใหญ่นี้เลยกลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ในเวลาอันรวดเร็ว และได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน10เทศกาลอาหารและไวน์นานาชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกโดยนิตยสาร Forbes Traveler

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน “Hong Kong Wine & Dine Festival” สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์การท่องเที่ยวฮ่องกง DiscoverHongKong.com

-จบ –

สื่อมวลชนสามารถดาวน์โหลดรูปภาพ ได้จากลิงก์ด้านล่างนี้

หากสื่อมวลชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ

คุณวันดี เลิศสุพงศ์กิจ หรือคุณกมลพิชญ์ พรมบาง

ศูนย์ข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวฮ่องกงสำหรับสื่อมวลชน

แฟรนคอม เอเชีย

02 233 4329 ต่อ 17 หรือ pr@francomasia.com

Thai Herald

Thai Herald