NVMe™ SSD ล่าสุดจาก Kioxia พร้อมใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ Supermicro PCIe® 4.0 และแพลตฟอร์มจัดเก็บข้อมูล

Logo

KIOXIA CM6, CD6 Series PCIe® 4.0 NVMe™ SSD ผ่านการรับรองว่าสามารถเร่งประสิทธิภาพการทำงานของแอพพลิเคชันบน Supermicro Systems รุ่นใหม่ได้

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–25 ก.พ. 2564

การเปลี่ยนไปใช้ PCIe® 4.0 ได้ดำเนินอย่างเต็มที่และ Kioxia Corporation ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำ  ได้ประกาศว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ KIOXIA CM6 และ โซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) CD6 Series PCIe® 4.0 NVM Express™ (NVMe) สำหรับองค์กรและศูนย์ข้อมูล ได้รับการรับรองว่าสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์ม Super Micro Computer, Inc. (Supermicro) ที่ใช้ PCIe® 4.0 รวมถึงระบบแร็คเมาท์ที่พร้อมใช้งานสำหรับองค์กรซึ่งประกอบด้วย Ultra, WIO, BigTwin, FatTwin, SuperBlade, 1U/2U NVMe™ all flash arrays, ระบบเร่ง GPU และ SuperWorkstations

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210224006220/en/

KIOXIA CM6, CD6 Series PCIe® 4.0 NVMe™ SSDs (Photo: Business Wire)

KIOXIA CM6, CD6 Series PCIe® 4.0 NVMe ™ SSD (รูปภาพ: บิสิเนสไวร์)

ผู้ใช้กำลังเปลี่ยนไปใช้งาน NVMe™ SSD เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพขององค์กร สถาปัตยกรรมศูนย์ข้อมูลบนคลาวด์ และแอพพลิเคชันที่เน้นประสิทธิภาพและการใช้งานแบบ latency-sensitive  ที่ศูนย์กลางของเทรนด์นี้คือความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับหน่วยเก็บข้อมูลที่ใช้ NVMe™โดยที่ PCIe® 4.0 เป็นการอัพเกรดประสิทธิภาพล่าสุดและ SSD CM6 และ CD6 Series ของ Kioxia กำลังมอบความสามารถที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้

ในขณะที่ NVMe™ SSD กำลังเจาะแพลตฟอร์มเซิร์ฟเวอร์มากขึ้น ความสามารถในการทำงานร่วมกันเป็นสิ่งที่สำคัญ  ความมุ่งมั่นของ Kioxia ในการนำนวัตกรรมมาสู่ลูกค้ารวมถึงการสร้างความมั่นใจว่าการจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าจะทำงานได้ตามที่คาดหวังและ Kioxia ได้ร่วมมือกับซัพพลายเออร์เช่น Supermicro เพื่อให้ได้มาซึ่งการทำงานที่เหมาะสมและเต็มประสิทธิภาพ

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง:

* KIOXIA CM6 Enterprise SSD: https://business.kioxia.com/en-jp/ssd/enterprise-ssd.html#cm6

* KIOXIA CD6 Data Center SSD: https://business.kioxia.com/en-jp/ssd/data-center-ssd.html#cd

* PCIe เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ PCI-SIG

* NVMe และ NVM Express เป็นเครื่องหมายจดทะเบียนหรือไม่ได้จดทะเบียนของ NVM Express, Inc. ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ

* Supermicro, BigTwin, FatTwin และ SuperBlade เป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Super Micro Computer, Inc. หรือบริษัทในเครือในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่นๆ ที่กล่าวถึงในที่นี้อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษั นั้น ๆ

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia เป็นผู้นำระดับโลกในด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำ โดยทุ่มเทให้กับการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายหน่วยความจำแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD)  ในเดือนเมษายน 2560 Toshiba Memory ได้แยกตัวออกจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจำแฟลช NAND ในปี 2530  Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วยหน่วยความจำด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและมีคุณค่าต่อสังคม เทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3D ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของ Kioxia คือ BiCS FLASH™ โดยกำลังกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมการจัดเก็บข้อมูลในแอพพลิเคชั่นความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี SSD ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล

สอบถามข้อมูลสำหรับลูกค้า:
Kioxia Corporation
Sales Promotion Division (ฝ่ายส่งเสริมการขาย)
โทร: + 81-3-6478-2427

https://business.kioxia.com/en-jp/buy/global-sales.html

* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาของบริการ และข้อมูลการติดต่อถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210224006220/en/

สอบถามข้อมูลสำหรับสื่อมวลชน:

Kioxia Corporation
Sales Strategic Planning Division (ฝ่ายกลยุทธ์การขาย)
Koji Takahata
โทร: + 81-3-6478-2404

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Stephanie Sprangers ผู้ก่อตั้ง Glamhive และ Nicole Chavez สไตลิสต์คนดังประกาศเรื่องการประชุมสุดยอด Digital Winter Style and Beauty Summit

Logo

การประชุมจะเป็นการรวมตัวกันของผู้นำในอุตสาหกรรมสไตล์และความงาม เพื่อพูดคุยเรื่องแฟชั่น ความงาม และการเป็นผู้ประกอบการ

ซีแอตเติล และ ลอสแอนเจลิส–(BUSINESS WIRE)–24 ก.พ. 2564

Glamhive ประกาศการประชุมออนไลน์ครั้งที่ 4 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 การประชุมสุดยอด Glamhive Digital Winter Style and Beauty Summit (การประชุมสุดยอดสไตล์ฤดูหนาวด้านความงามออนไลน์)  จะรวบรวมผู้นำแฟชั่นและความงามชั้นนำตั้งแต่ Cindy Eckert สไตลิสต์ของ Kristen Bell ที่กลายมาเป็นเป็นผู้ประกอบการและนักลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยเหล่าผู้นำด้านนวัตกรรมจะพูดคุยเกี่ยวกับแฟชั่น ความงาม การเป็นผู้ประกอบการและอื่น ๆ ซึ่ง Stephanie Sprangers และ Nicole Chavez จะร่วมเป็นเจ้าภาพในงานนี้

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210224005275/en/

The Glamhive Digital Winter Style and Beauty Summit will bring together top fashion and beauty leaders (Graphic: Mary Kay Inc.)

งานประชุม Glamhive Digital Winter Style and Beauty Summit จะรวบรวมผู้นำแฟชั่นและความงามชั้นนำมาไว้ด้วยกัน (กราฟฟิค: Mary Kay Inc. )

“ฉันชอบที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมสุดยอดด้านสไตล์และความงามของ Glamhive โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ การประชุมสุดยอดจะก่อให้เกิดความรู้สึกของความกลมเกลียวเป็นชุมชน ซึ่งปัจจุบันยังเป็นสิ่งที่ขาดไปในโลกของนักทำงานสร้างสรรค์ นอกจากนี้ฉันยังได้ทำความรู้จักสร้างคอนเนคชันกับศิลปินคนอื่น ๆ เรื่อยมา” Nicole Chavez สไตลิสต์คนดังกล่าว Nicole เป็นหนึ่งในสไตลิสต์ที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในปัจจุบัน ลูกค้าของเธอรวมถึงดาราระดับ A-List อาทิเช่น Kristen Bell, Rachel Bilson, Jessica Simpson, Ellie Bamber, Scarlett Johansson, Catherine Zeta-Jones และอื่น ๆ อีกมากมาย ผลงานของเธอได้รับการนำเสนอในสิ่งพิมพ์หลายฉบับรวมถึง W, InStyle และ Harper's Bazaar

“วิสัยทัศน์ของ Glamhive คือการให้สร้างประโยชน์จากการทำงานร่วมกับสไตลิสต์ส่วนตัวที่มีให้กับทุกคนทุกที่ ส่วนงานดิจิทัลต่าง ๆ ของเราก็ถือเป็นส่วนเสริมที่ยอดเยี่ยม สิ่งดี ๆ ที่เกิดจากวิกฤตปีที่ผ่านมาก็คือการที่เราสามารถนำการประชุมสุดยอดด้านสไตล์ของเราไปสู่โลกดิจิทัล ซึ่งจะทำให้ทุกคนในทุก ๆ ที่สามารถพบปะและเรียนรู้จากสิ่งที่ดีที่สุดในธุรกิจได้” Stephanie Sprangers ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Glamhive กล่าว โดย Sprangers เป็นผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Glamhive ซึ่งเป็นบริการจัดแต่งสไตล์ส่วนตัวออนไลน์ที่นำเสนอสไตลิสต์ส่วนตัวและช่างแต่งหน้าผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับคัดเลือกโดยตรงจากฮอลลีวูดและอินสตาแกรมให้กับทุกคน โดย Glamhive ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทซึ่งช่วยให้สไตลิสต์สามารถแนะแนวทางให้แก่ลูกค้าผ่านประสบการณ์การจัดแต่งทรงผมแบบออนไลน์ได้ 100% ทำให้ผู้คนสามารถทำงานกับสไตลิสต์ได้ทุกที่ในโลก

ตั๋วสำหรับกิจกรรมตลอดทั้งวันจะทำให้คนเข้าถึงวิทยากรกว่า 60 ท่าน ด้านล่างนี้แสดงภาพรวมของหัวข้อบางส่วนที่วิทยากรระดับ All-Star นี้จะได้พูดถึง

ภาพรวมของหัวข้อ:

ประกอบด้วยสองแทร็ก และ 22 เซ็กเมนท์ ภาพรวม:

  • สไตล์สำหรับพรมแดง: สร้างช่วงเวลาแบบไอคอน
  • แนวโน้มปี 2021: สไตล์หลังโควิด
  • การเอาชนะเกมสไตล์วินเทจ คือ อาวุธลับของคุณ
  • คู่มือสไตลิสต์: จะสร้างสไตล์ทีดีที่สุดในชีวิตได้อย่างไร
  • Beauty Boss Babe: บทสัมภาษณ์กับ Jamie Kern Lima
  • สุดยอดคำแนะนำสำหรับผม “แบบง่าย ๆ “
  • เข้าสังคมกันเถอะ: เทรนด์ความงาม Instagram และ TikTok ที่ดีที่สุด
  • โหราศาสตร์แห่งแฟชั่น กับ Susan Miller
  • มากกว่าที่ตาเห็น: เสื้อผ้าของคุณบอกอะไรเกี่ยวกับคุณ
  • ROI ของสไตล์: การแต่งตัวให้ดีสร้างความคุ้มค่าแค่ไหน
  • ฉันสร้างสิ่งนี้ได้อย่างไร: ขอคำแนะนำที่ดีจากผู้หญิงที่ก้าวสู่จุดสูงสุด

วิทยากร:

วิทยากร ได้แก่ สไตลิสต์คนดัง ช่างแต่งหน้า ผู้สร้างอิมเมจที่ทำงานกับบุคคลชื่อดังในฮอลลีวูดและอีกมากมาย รวมถึง

Angelina Jolie, Serena Williams, Mandy Moore, Sarah Jessica Parker, Kristen Bell, Khloe Kardashian, Robert Downey Jr., Keanu Reeves, Sharon Stone, Miranda Lambert, Julianne Moore และอีกมากมาย

สไตลิสต์คนดัง:

Nicole Chavez, Jill + Jordan, Jeanne Yang, Jennifer Rade, Tara Swennen, Janelle Miller, Lindsey Dupuis, Tiffany Gifford, Kesha McLoud, และ Sonia Young.

ช่างแต่งหน้า + ช่างทำผมที่มีชื่อเสียง:

Tommy Buckett, Todd Harris, Diana Madison, Danny Moon, AJ Crimson และ Helen Reavey.

ผู้ประกอบ การนักออกแบบ และผู้นำทางธุรกิจ:

Claire Sulmers (Fashion Bomb Daily), Hillary Kerr (WhoWhatWear), Tara Rudes Dann (L'Agence), Steven Dann (Designer), Cindy Eckert (The Pink Ceiling Fund), Helen Ravey (Act+Acre), Cassandra Cadwell (Violet Grey), Michelle Waugh (Designer), Clarissa Egana (Port De Bras), Amy Rosoff Davis (Celebrity Trainer), Jamie Kern Lima (IT Cosmetics).

โมเดอเรเตอร์:

Brian Underwood (O Magazine), Brooke Jaffe (Penske Media), Pandora Amoratis (Daily Mail), Andrea Lavanthal (PEOPLE), Robin Nazzaro (O Magazine), Alexis Bennett (Vogue) and Kibwe Chase-Marshall (The Kelly Initiative).

ตั๋วเข้าร่วมการประชุมตลอดทั้งวันราคา 149 ดอลลาร์ ผู้สนับสนุนการนำเสนอของ Glamhive Digital Winter Style and Beauty Summit ได้แก่ Mary Kay Inc. และ Mary Kay Global Design Studio

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.glamhive.com/upcoming.

เกี่ยวกับ Glamhive

Glamhive ก่อตั้งขึ้นโดย Stephanie Sprangers ผู้ประกอบการในปี 2560 โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะทำให้การตกแต่งเสริมสไตล์เข้าถึงปัจเจกชน และยังมีหลักการว่า ความเชื่อมั่นที่มาพร้อมกับความเย้ายวนใจไม่ควรเป็นเฉพาะของคนรวยและคนดังเท่านั้น

ประสบการณ์การจัดแต่งทรงผมออนไลน์ช่วยให้ทุกคนที่สามารถเข้าถึงการเชื่อมต่อ WiFi ได้พบกับสไตลิสต์ที่จะให้การสนับสนุนแก่พวกเขาเพื่อสร้างเวอร์ชันที่ดีที่สุดของพวกเขา แพลตฟอร์ม Glamhive เป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่ไร้รอยต่อสำหรับสไตลิสต์ เพื่อช่วยให้พวกเขาขยายเครือข่ายและธุรกิจของพวกเขาได้บนโลกออนไลน์ 100%

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฉีกกฎเกณฑ์แบบเดิม ได้ก่อตั้งบริษัทด้านความงามของเธอมานานกว่า 57 ปี โดยมีเป้าหมายสามประการ คือ มอบโอกาสที่คุ้มค่าสำหรับผู้หญิง ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อาจต้านทานได้ และการทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น ความฝันดังกล่าวได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์โดยมีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay ทุ่มเทให้กับการค้นคว้าวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัยเครื่องสำอางค์สี น้ำหอม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Mary Kay มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิงและครอบครัวด้วยการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ จากทั่วโลกโดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง การปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงภายในครัวเรือน การทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และการส่งเสริมเด็ก ๆให้ทำตามความฝันของตน ดังนั้นวิสัยทัศน์อันดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ในคอนเซปท์ ก้าวไปด้วยกันทีละลิปสติกยังคงส่องสว่างนำทางต่อไป อ่านเพิ่มเติมที่ MaryKay.com.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210224005275/en/

Stephanie Sprangers, ผู้ก่อตั้ง + ซีอีโอ, Glamhive

stephanie@glamhive.com

+1.206.851.0446

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย






OAG และ IATA เสริมสร้างความร่วมมือด้านข้อมูลเพื่อต่อสู้กับความผันผวนของตลาดและการกำหนดการ

Logo

ข้อมูลที่ครอบคลุมจัดทำโดยระบบคลาวด์แพลตฟอร์มใหม่ของ OAG เพื่อช่วยขับเคลื่อนเครื่องมือตลาดอัจฉริยะ Airport IS ของ IATA

บอสตัน–(BUSINESS WIRE)–24 กุมภาพันธ์ 2564

OAG ผู้ผู้ให้บริการข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกด้านการท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก ตกลงเป็นพันธมิตรกับ International Air Transport Association (IATA) เพื่อจัดหากำหนดการและข้อมูลอ้างอิงผ่านระบบคลาวด์แพลตฟอร์มใหม่ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างผู้นำการบินทั้งสอง OAG จะจัดหาเครื่องมือวิเคราะห์ชั้นนำของตลาดให้กับ IATA ซึ่งจะนำเสนอเป็นส่วนหนึ่งของรายการทั้งหมดควบคู่ไปกับ Airport IS และเครื่องมืออื่น ๆ ที่มีอยู่ต่อไปในอนาคต

การสร้างขึ้นบนระบบคลาวด์แพลตฟอร์ม Snowflake การจัดหาข้อมูลอ้างอิง และการกำหนดเวลา ช่วยให้ลูกค้าได้รับข้อมูลตารางเวลาเวอร์ชันที่สมบูรณ์และใหม่ที่สุดที่มีอยู่ในตลาด

 “ผลกระทบอย่างต่อเนื่องของ COVID-19 ส่งผลต่อความผันผวนของการคมนาคม ทำให้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ของเราด้วยข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุด” Charles de Gheldere ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลการบินของ IATA กล่าว “ความร่วมมือที่แข็งแกร่งของเรากับ OAG ช่วยจัดหาข้อมูลที่ใหม่และถูกต้องให้กับลูกค้าในสนามบิน และระบบแพลตฟอร์มบนคลาวด์ที่มีนวัตกรรมที่สูง ทันสมัยและยืดหยุ่น ข้อเสนอ IATA และ OAG ที่รวมกันช่วยให้สนามบินทำงานได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่นำทางในช่วงเวลาที่คาดเดาไม่ได้มากที่สุดในช่วงหนึ่งในอุตสาหกรรมของเรา”

Phil Callow ประธานบริหารของ OAG กล่าวเสริมว่า “เทคโนโลยีที่มีคุณภาพสูง ยืดหยุ่นและสร้างสรรค์ของเราช่วยให้ปรับตัวเข้ากับความผันผวนของตลาดที่กำลังดำเนินอยู่ได้ โดยการส่งมอบข้อมูลเวอร์ชันที่เหมาะสมที่สุดสู่มือของลูกค้าโดยตรง ความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นของเรากับ IATA และการลงทุนในระบบคลาวด์แพลตฟอร์มใหม่ของเราถือเป็นขั้นตอนล่าสุดในการเดินทางอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีที่ดีที่สุด”

การเป็นพันธมิตรแบบระยะหลายปีมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2564 และนับเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่กำลังพัฒนากับทั้งสององค์กร

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ OAG ในการใช้เทคโนโลยีล่าสุดเพื่อขับเคลื่อนโลกแห่งการเดินทางคลิกที่นี่

เกี่ยวกับ OAG

OAG เป็นผู้ให้บริการข้อมูลการเดินทางชั้นนำระดับโลกที่เสริมสร้างการเติบโตและนวัตกรรมของระบบนิเวศการเดินทางทางอากาศตั้งแต่ ปี 2472

OAG มีสำนักงานใหญ่ในสหราชอาณาจักรมีการดำเนินงานทั่วโลกทั้งในสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ลิทัวเนีย และจีน

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดดูที่: www.oag.com และสามารถติดตามเราทาง Twitter ได้ที่ @OAG Aviation

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่นี่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210224005505/en/

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ:
Caroline Mather, Marketing Director, OAG
Corporate Ink for OAG
pressoffice@oag.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Jellyfish เข้าซื้อกิจการ 5 บริษัท เร่งการขับเคลื่อนการขยายตัวทั่วโลกด้วยความสามารถทางดิจิทัลใหม่ ๆ

Logo

Jellyfish ขยายฐานรากระดับโลกด้วยข้อมูลและความสามารถในการวิเคราะห์ที่ถูกปรับปรุงเพิ่มเติมด้วยข้อเสนอใหม่ในด้านอีคอมเมิร์ซ การสร้างเนื้อหา ความคิดสร้างสรรค์ และการปรับให้เข้ากับท้องถิ่น (localization)

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–23 ก.พ. 2564

Jellyfish พันธมิตรด้านการตลาดดิจิทัลของแบรนด์ชั้นนำระดับโลก อาทิเช่น Samsung, Uber, Nestle, Deckers, Spotify และ eBay ได้ประกาศถึงการเข้าซื้อกิจการ 5 บริษัท ซึ่งแต่ละแห่งเป็นผู้นำในด้านพื้นที่ดิจิทัลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี โดยการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ Jellyfish เกิดขึ้นจากบริบทของการร่วมมือกัน และการต้องการแก้ปัญหาที่อุตสาหกรรมเอเจนซี่แบบเดิมต้องเผชิญ ทั้งนี้เป็นเพราะความสามารถของบริษัทจะขึ้นอยู่กับการช่วยเหลือแบรนด์ต่างในเส้นทางการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิทัล การขยายตัวของ Jellyfish เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการเข้าซื้อกิจการก่อนหน้านี้ ด้วยการลงทุนครั้งใหญ่จาก Fimalac Group ในปี 2562 อนึ่ง บริษัท Jelly Fish เป็นตัวแทนของธุรกิจดิจิทัลรูปแบบใหม่ที่บริการด้านเอเจนซี่จะถูกรวมกับการให้คำปรึกษา การฝึกอบรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า บริษัท Jellyfish ซึ่งเปิดตัวในปี 2548 ได้กลายเป็นหนึ่งในพันธมิตรไม่กี่แห่งของ Google Marketing Platform ที่ได้รับการคัดเลือกมาจากบริษัททั่วโลก โดยมีการเติบโตเฉลี่ย 45% ต่อปีอย่างต่อเนื่องในช่วงแปดปีที่ผ่านมา

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210223005716/en/

Rob Pierre, Chief Executive Officer, Jellyfish (Photo: Business Wire)

Rob Pierre, ซีอีโอของ Jellyfish (ภาพ: Business Wire)

การคาดการณ์ของ eMarketer ในปัจจุบันระบุว่าการใช้จ่ายด้านโฆษณาสื่อทั้งหมดคาดว่าจะสูงถึง 6 แสนล้านในปี 2564 ดังนั้นเพื่อให้มีความสามารถด้านการแข่งขันในตลาดที่สูงและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านสื่อ บริษัทต่าง ๆ จะต้องรีบฉวยโอกาสจากภูมิทัศน์ดิจิทัลที่กำลังอิ่มตัว พร้อมกับให้การสื่อสารที่ราบรื่นและสอดคล้องในทุกช่องทางและจุดติดต่อ  การเร่งตัวของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิทัลเพื่อตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ มีความต้องการมากขึ้นที่จะร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ ที่สามารถช่วยนำทางและตอบสนองความท้าทายในการขับเคลื่อนการเติบโตและความยั่งยืน

“ภารกิจของเราคือการตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกค้าของเรามีทรัพยากรทั้งหมดที่จำเป็นในการรองรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มที่และบรรลุผลลัพธ์ที่อยู่เหนือทุกความคาดหวัง นับจากหนึ่งปีแห่งการหยุดชะงักและการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในการตลาดดิจิทัลที่ผ่านมา Jellyfish เติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลกและได้เข้าสู่ตลาดใหม่ในออสเตรเลียและเม็กซิโกและมีการเพิ่มความรับรู้ของแบรนด์มากขึ้นในฝรั่งเศส บราซิล และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเพิ่มขีดความสามารถและมุ่งหาทรัพยากรบุคคลหน้าใหม่ที่โดดเด่นทั่วโลก บริษัทมุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาและการปรับให้เข้ากับท้องถิ่น (localization) งานด้านอีคอมเมิร์ซ ความคิดสร้างสรรค์ และการเพิ่มประสิทธิภาพข้อมูล” Rob Pierre CEO ของ Jellyfish กล่าว “การเข้าซื้อกิจการเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันความโดดเด่นและการเติบโตในตลาด เราเชื่อว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรืออยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับลูกค้าของเรา” Pierre กล่าวเสริม

“การเข้าซื้อกิจการเหล่านี้นำมาซึ่งการปรับปรุงที่มีประสิทธิภาพให้กับกลุ่มบริการของเราโดยการขยายความเชี่ยวชาญเชิงลึก การเข้าถึงทางภูมิศาสตร์และข้อเสนอของเราในหลายทวีปและภูมิภาค” Chris Lee, ซีโอโอ จาก Jellyfish กล่าว

ความเชี่ยวชาญที่เพิ่มขึ้นด้านเทคโนโลยี:

Seelk

ซอฟต์แวร์และการให้ปรึกษาสำหรับ Amazon Marketplace

Splash

เทคโนโลยีและบริการที่สร้างสรรค์พร้อมการแปลทั่วโลก

Quill

เนื้อหาประสิทธิภาพระดับโลกสำหรับอีคอมเมิร์ซ

Webedia Brand Services

การทำ Gamification เนื้อหาข้อมูล บริการเทคโนโลยี และกลยุทธ์ข้อมูลระดับองค์กร

การขยายตัวทั่วโลก:

Data Runs Deep – ออสเตรเลีย

การให้คำปรึกษา การนำไปใช้ และการฝึกอบรมสำหรับโซลูชันข้อมูล

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทที่ Jellyfish ซื้อกิจการคลิก ที่นี่

การเข้าซื้อกิจการล่าสุดอื่น ๆ ที่ขยายขอบเขตทั่วโลกของเรา:

Reamp – บราซิล

การตลาดแบบเป็น programmatic marketing,  มาร์เกตติ้งอัตโนมัติ (marketing automation) และ digital campaign performance (ได้มา ณ H2 ปี 2563)

San Pancho – เม็กซิโกและโคลอมเบีย

ความสามารถด้านการตลาดดิจิทัลแบบเต็มช่องทางและความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ (ได้มา ณ H2 ปี 2563)

เกี่ยวกับ Jellyfish

Jellyfish ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Fimalac Group ซึ่งเป็นพันธมิตรระดับโลกในด้านการตลาดดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงของแบรนด์ชั้นนำของโลก เช่น Samsung, Uber, Nestle, Orange, Spotify และ eBay โดย Jellyfish เป็นธุรกิจดิจิทัลรูปแบบใหม่ที่มีการรวมบริการด้านเอเจนซี่เข้ากับการให้คำปรึกษาการฝึกอบรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ด้วยการมีพนักงานมากกว่า 2,000 คนในสำนักงาน 40 แห่งทั่วโลกและด้วยการขยายขอบเขตต่อไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ Jellyfish ตั้งเป้าที่จะเป็นพันธมิตรระดับโลกตัวเลือกแรกสำหรับความต้องการด้านดิจิทัลสำหรับทุก ๆ แบรนด์  Jellyfish เปิดตัวในปี 2548 และกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่พันธมิตรทางการตลาดของ Google ที่มีการจัดการทั่วโลกที่ถูกคัดเลือกมา ทั้งนี้ Jellyfish ซึ่งมีการเติบโตโดยเฉลี่ย 45% ต่อปีอย่างต่อเนื่องในช่วงแปดปีที่ผ่านมา ภูมิใจที่ได้อยู่แถวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลของโลก

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210223005716/en/

สำหรับสื่อมวลชนกรุณาติดต่อ

Julia Angelen Joy, Media Frenzy Global

julia@mediafrenzyglobal.com

208.996.9844

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

HanesBrands ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบริษัท ที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลกประจำปี 2564

Logo

การสมัครครั้งแรกกับ Ethisphere ทำให้บริษัทได้อยู่ในรายชื่อ 135 บริษัททั่วโลกที่ได้รับการยอมรับในการดำเนินธุรกิจที่มีจริยธรรม

วินสตัน-ซาเลม นอร์ทแคโรไลนา–(บิสิเนสไวร์)–23 ก.พ.2564

HanesBrands (NYSE: HBI) ผู้นำด้านการตลาดที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและเป็นผู้นำระดับโลกด้านเครื่องแต่งกายพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งใน บริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลกปี 2563 โดย Ethisphere ผู้นำระดับโลกในการกำหนดและพัฒนามาตรฐานของธุรกิจที่มีจริยธรรม

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210223005687/en/

HanesBrands เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องแต่งกายเพียงสองรายที่ได้รับการยอมรับจาก 135 บริษัทใน 22 ประเทศและ 47 อุตสาหกรรม  กระบวนการประเมินของ Ethisphere ประกอบด้วยคำถามมากกว่า 200 ข้อเกี่ยวกับวัฒนธรรม การปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม กิจกรรมด้านจริยธรรม และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การกำกับดูแล ความหลากหลาย และการริเริ่มเพื่อสนับสนุนห่วงโซ่คุณค่าที่แข็งแกร่ง ในปีนี้ Ethisphere ยังได้ประเมินว่าความสามารถของผู้สมัครในการปรับตัวและตอบสนองต่อการระบาดด้านสุขภาพทั่วโลก ความปลอดภัย ความเสมอภาคและการไม่แบ่งแยก และความยุติธรรมในสังคม

“เรามีความมุ่งมั่นอย่างมากในการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบและเราภูมิใจมากที่ได้รับการยอมรับจาก Ethisphere” ซีอีโอก Steve Bratspies ล่าว “รางวัลนี้เป็นผลมาจากพนักงาน 61,000 คนทั่วโลกที่มุ่งมั่นที่ดำเนินธุรกิจของเราในทางที่ถูกต้อง  ผู้บริโภครับรู้ได้ว่าเมื่อเขาเลือกเครื่องแต่งกายของเราพวกเขากำลังเลือกบริษัทที่มุ่งมั่นอย่างยิ่งต่อความยั่งยืน”

HBI มีความมุ่งมั่นมายาวนานในการเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจที่มีจริยธรรม  เมื่อเร็วๆ นี้ ทางบริษัทได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งใน 100 บริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในประเทศเป็นปีที่สองโดย Barron's และได้รับคะแนนระดับผู้นำ A หลังจากสองปีที่ได้รับคะแนน A- ในรายงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ CDP 2020  HBI ยังเป็นบริษัทเครื่องแต่งกายเพียงแห่งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัล Energy Star Sustained Excellence จากสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา

ในเดือนตุลาคมปี 2563 HBI ได้ประกาศเป้าหมายด้านความยั่งยืนทั่วโลกสำหรับปี 2573 ซึ่งรวมถึงความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมที่อิงวิทยาศาสตร์ เป้าหมายในการปรับปรุงชีวิตของผู้คนอย่างน้อย 10 ล้านคน และการใช้พลาสติกและวัตถุดิบที่ยั่งยืนในผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์  เป้าหมายดังกล่าวเปิดตัวผ่านเว็บไซต์ด้านความยั่งยืนใหม่ซึ่งออกแบบมาเพื่อเพิ่มความโปร่งใสของบริษัทและการรายงานเกี่ยวกับตัวชี้วัดที่สำคัญ รวมถึงความหลากหลาย เกณฑ์มาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชน และการประเมินความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน

“ในขณะที่เรารับมือกับความท้าทายที่ยากลำบากในปี 2563 เราได้เห็นบริษัทต่างๆ ที่เป็นผู้นำเหนือสถาบันอื่นๆ ในการได้รับความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียผ่านความยืดหยุ่นและความมุ่งมั่นในจริยธรรมและความซื่อสัตย์” Timothy Erblich CEO ของ Ethisphere กล่าว “บริษัท ที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลกยังคงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ในการมอบคุณค่าสูงสุดและการส่งผลดีต่อชุมชนที่พวกเขาให้บริการ  ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ HanesBrands ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลก”

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดของโลกและความมุ่งมั่นที่จะHanesBrand รับผิดชอบ

สถาบัน Ethisphere Institute

Ethisphere® Institute เป็นผู้นำระดับโลกในการกำหนดและพัฒนามาตรฐานการดำเนินธุรกิจที่มีจริยธรรมขององค์กร ความไว้วางใจในตลาด และความสำเร็จทางธุรกิจ  Ethisphere มีความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในการวัดและกำหนดมาตรฐานจริยธรรมโดยใช้ข้อมูลเชิงลึกซึ่งช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถปรับปรุงลักษณะขององค์กร วัดผล และปรับปรุงวัฒนธรรมของตน  Ethisphere ยกย่องความสำเร็จที่เหนือกว่าผ่านโครงการยกย่องบริษัทที่มีจริยธรรมมากที่สุดในโลกและมอบชุมชนผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้วย Business Ethics Leadership Alliance (BELA) ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Ethisphere ได้ที่: https://ethisphere.com

HanesBrands

HanesBrands ซึ่งตั้งอยู่ในวินสตัน-ซาเลม นอร์ทแคโรไลนาเป็นผู้ขายชุดชั้นในและเครื่องแต่งกายพื้นฐานในชีวิตประจำวันในอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชียแปซิฟิกชั้นนำที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม  บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์เครื่องแต่งกายได้แก่ Hanes, Champion, Bonds, Maidenform, DIM, Bali, Playtex, Bras N Things, Nur Die/Nur Der, Alternative, L’eggs, JMS/Just My Size, Lovable, Wonderbra, Berlei และ Gear for Sports  บริษัทจำหน่ายเสื้อยืด ยกทรง กางเกงชั้นใน ชุดชั้นใน ถุงเท้า ชุดชั้นใน และชุดแอคทีฟที่ผลิตในห่วงโซ่ทุนต่ำระดับโลก บริษัทอยู่ใน Fortune 500 และเป็นสมาชิกของดัชนีหุ้น S&P 500 (NYSE:HBI) Hanes มีพนักงานประมาณ 61,000 คนในกว่า 40 ประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทที่ www.Hanes.com/corporate และห้องแถลงข่าวที่ https://newsroom.hanesbrands.com/ เชื่อมต่อกับบริษัทผ่านโซเชียลมีเดีย: Twitter (@hanesbrands), Facebook (www.facebook.com/hanesbrandsinc), Instagram (@hanesbrands) และ LinkedIn (@Hanesbrandsinc)

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210223005687/en/

ติดต่อ:

Carole Crosslin
(336) 671-3704
carole.crosslin@hanes.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Hillstone Networks ช่วยศูนย์ข้อมูลในการทำลายอุปสรรคด้านความปลอดภัย

Logo

X8180 ที่ในรูปแบบของ 3U ฟอร์มแฟคเตอร์ มอบประสิทธิภาพการทำงานที่สูง บริการด้านความปลอดภัย และประสิทธิภาพโดยรวม

ซานตาคลาร่า, แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–24 ก.พ. 2564

Hillstone Networks ผู้ให้บริการชั้นนำด้านความปลอดภัยเครือข่ายระดับองค์กรและโซลูชันการจัดการความเสี่ยง ได้ประกาศเกี่ยวกับความสำเร็จแบบกระโดดในด้านความปลอดภัยของศูนย์ข้อมูลด้วยผลิตภัณฑ์ Hillstone Networks X8180 นับจากวันนี้ลูกค้าจะสามารถรักษาความปลอดภัยเครือข่ายของตนด้วยประสิทธิภาพที่มากขึ้นแต่ใช้พลังงานที่ลดลง พร้อม ๆ ไปกับการเพิ่มขึ้นด้านความเสถียร ความสามารถในการปรับขนาด และความสามารถในการปรับแต่งที่อยู่ในรูปแบบของฟอร์มแฟคเตอร์ขนาดเล็ก

ภูมิทัศน์ด้านความปลอดภัยในปัจจุบันมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการทำงานทางไกล การย้ายไปสู่ระบบคลาวด์ การแพร่กระจาย IoTและ การเพิ่มขึ้นของพื้นที่สำหรับการโจมตี

“ความปลอดภัยยังคงเป็นปัญหาอันดับ 1 ขององค์กร มันเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความปลอดภัยให้กับศูนย์ข้อมูล แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าในปัจจุบัน” Tim Liu, CTO และผู้ร่วมก่อตั้ง Hillstone Networks กล่าว “ เรารับฟังลูกค้าของเราและภูมิใจที่จะนำเสนอ x8180 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งที่ราคาไม่สูง”

X8180 ตัวนี้ได้ลด CAPEX และ OPEX ลง แต่ไม่ลดทอนคุณสมบัติระดับองค์กร ส่วนการใช้ 3RU ทำให้ได้ปริมาณงานต่อ RU ที่สูง และใช้พลังงาน  Gbps ต่ำต่อปริมาณงาน โดยมีสัดส่วนพลังงานต่อปริมาณงานอยู่ที่ 2.9  เมื่อใช้ระดับพลังงานภายใต้การใช้พลังงานสูงสุดที่ 1000W จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ให้บริการองค์กรขนาดใหญ่ รัฐบาล และเครือข่ายผู้ให้บริการ ทั้งนี้ X8180 มีวางจำหน่ายทั่วไปอย่างเต็มรูปแบบ และรองรับระบบเสมือนจริงจำนวนมาก และมาพร้อมกับคุณสมบัติที่สมบูรณ์แบบเพื่อปกป้องเครือข่ายศูนย์ข้อมูล

จุดเด่น

  • ขนาดเล็กแต่ประสิทธิภาพสูง: ปริมาณงานต่อหน่วยเวลา หรือ throughput อยู่ที่ 450 Gbps; 130 ล้านเซสชันพร้อมกัน และ 2.5 ล้านเซสชันใหม่ / วินาที
  • ขยายและปรับเปลี่ยนได้: อินเทอร์เฟซ 10/100GE พร้อมรองรับ 25/40GE ใช้งานได้กับระบบเสมือนมากถึง 1,000 ระบบ อาทิเช่น dual-stack, tunnel, DNS64 / NAT64 เป็นต้น
  • Intelligence2: สถาปัตยกรรมที่ยืดหยุ่นรองรับ SDS สามารถป้องกัน Botnet C&C ช่วยให้เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มคลาวด์อย่างราบรื่น

ข้อมูลเพิ่มเติม

สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ทั้งหมดสำหรับ Hillstone X8180 ได้ ที่นี่

เกี่ยวกับ Hillstone Networks

โซลูชันการรักษาความปลอดภัยและการจัดการความเสี่ยงของเครือข่ายองค์กรของ Hillstone Networks ได้มอบการมองเห็นข้อมูลข่าวกรองและการป้องกัน เพื่อทำให้แน่ใจว่าองค์กรต่าง ๆ สามารถสังเกตเห็นและเข้าใจภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างทั่วถึง และสามารถดำเนินการตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว โซลูชันของ Hillstone ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิเคราะห์ชั้นนำและได้รับความไว้วางใจจากองค์กรระดับโลก สามารถครอบคลุมทั่วทั้งองค์กรตั้งแต่ระดับแนวหน้าไปจนถึงระบบคลาวด์ และยังสามารถช่วยลดต้นทุนโดยรวมในการเป็นเจ้าของอีกด้วย หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมไปที่ www.hillstonenet.com

ติดต่อ:

Zeyao Hu

ผู้จัดการฝ่ายการตลาด

inquiry@hillstonenet.com

การจัดประชุมสัมมนาออนไลน์ (Online Symposium) โดย JETRO – สังคมแห่งอนาคตหลังจากความคาดหวังจากการระบาดใหญ่สำหรับงานเอ็กซ์โป 2568 และศักยภาพของภูมิภาคคันไซ โอซาก้า

Logo

โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–20 กุมภาพันธ์ 2564

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) และสมาคมญี่ปุ่น เพื่องานแสดงสินค้าโลกปี 2568 จะมีการจัดงานสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อเรื่อง “Future Society after the Pandemic, EXPO 2025 และ the Potential of the Osaka Kansai Region” ในวันที่ 3 มีนาคม 2564 นี้

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย รับชมฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210219005225/en/

(Graphic: Business Wire)

(กราฟิก: Business Wire)

นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ยังกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญระดับโลก ในการประชุมสัมมนาครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมจะร่วมหารือกันว่า งาน  EXPO 2025 Osaka Kansai สามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร

ในส่วนแรกการประชุมสัมมนาร่วมทบทวนบทบาทและความสำคัญของงาน EXPO 2025 Osaka Kansai นอกเหนือจากการคาดการณ์ในอนาคตอันใกล้หลังจากการระบาดของโควิด-19 ส่วนที่สองจะเน้นไปที่ระบบนิเวศและฟังก์ชันนวัตกรรมของภูมิภาคคันไซ

รายละเอียดของงาน

วันที่: วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 เวลา 14:00-16:30 น. ตามเวลาของประเทศญี่ปุ่น (JST)
สถานที่: ออน์ไลน์ (การไลฟ์สตรีมมิ่งผ่าน Zoom)
ภาษา: ญี่ปุ่น อังกฤษ (การล่ามแบบพูดพร้อม)
ผู้จัดงาน: องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) สมาคมญี่ปุ่นเพื่องานแสดงสินค้าโลกปี 2568
ผู้ร่วมจัดงาน: สำนักงานเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมคันไซ
การลงทะเบียน: จากเว็บไซต์ (https://www.jetro.go.jp/en/events/20210303.html)

วาระการประชุม:

[กล่าวเปิดงาน]

Hiroyuki Ishige เลขาธิการ สมาคมญี่ปุ่นเพื่องานนิทรรศการโลกปี 2568 (Secretary-General, Japan Association for the 2025 World Exposition)

Nobuhiko Sasaki ประธานกรรมการและประธานบริหาร JETRO (Chairman and CEO, JETRO)

[คำปราศรัย]

“อนาคตเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ – ความร่วมมือคือทางออก” 

Richard Baldwin ศาสตราจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ สถาบันการศึกษา Graduate เจนีวา (Professor of International Economics, Graduate Institute, Geneva)
“สังคมแห่งอนาคต และงานเอ็กซ์โป 2568 โอซาก้า คันไซ” (“Future Society and EXPO 2025 Osaka Kansai”)

Hiroshi Ishiguro ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโอซาก้า และ ATR Intelligent Robotics and Communication Laboratories

[การนำเสนอและการอภิปราย]

งานนำเสนอ 1 เรื่อง: “นวัตกรรมและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)”

Jonas Svensson หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก UNOPS (Head of Global Innovation and Technology, UNOPS)

งานนำเสนอ 2: “แบบจำลอง Living Laboratory เพื่อร่วมสร้างนวัตกรรมที่ยั่งยืน” 

Matt van Leeuwen ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายนวัตกรรม บริษัท SUNWAY Group (Chief Innovation Officer, SUNWAY group)

การอภิปราย: “ ในฐานะแพลตฟอร์มนวัตกรรมแบบเปิด ภูมิภาคคันไซจะร่วมมือกับสังคมโลก และมีส่วนช่วยในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ได้อย่างไร 

ผู้ร่วมอภิปราย:

-Yasuo Kitaoka ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สำนักงาน Co-creation มหาวิทยาลัยโอซาก้า (Executive Assistant to the Director, Co-creation Bureau, Osaka University) ผู้อำนวยการแผนกนวัตกรรม (Director, Innovation Division)

-Yoshimasa Sakai ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์ สมาคมญี่ปุ่นเพื่องานแสดงสินค้าโลกปี 2568 (Director-General of Public Relations Strategy Bureau, Japan Association for the 2025 World Exposition)

-Jonas Svensson หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก UNOPS (Head of Global Innovation and Technology, UNOPS)

-Chikara Takagishi  ผู้จัดการทั่วไปอาวุโสฝ่ายบริหารเมือง บริษัท Hankyu Hanshin Properties Corp. (Senior General Manager of Urban Management Division, Hankyu Hanshin Properties Corp.)

-Shogoro Fujiki ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร บริษัท Biome Inc. (Founder & CEO, Biome Inc.)

[กล่าวปิดงาน]

Takeshi Yonemura ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมคันไซ (Director-General, Kansai Bureau of Economy Trade and Industry)

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210219005225/en/

ติดต่อ:

JETRO Osaka
Toyokazu Fukuyama
อีเมล์: osc@jetro.go.jp
โทร: +81-6-4705-8604 (9:00-17:00 น. วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ยกเว้นวันหยุดราชการของญี่ปุ่น)

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย


Guru IoT พัฒนาวีลแชร์ซึ่งขับเคลื่อนด้วยตัวเองแบบดิจิทัลสำหรับผู้ด้อยโอกาส

Logo

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–22 กุมภาพันธ์ 2564

Guru IoT (ประธาน Song Su-han) ผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ Internet-of-Things จากเกาหลีกล่าวว่า ขณะนี้พวกเขากำลังพัฒนาระบบเคลื่อนที่อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองโดยใช้ข้อมูลแผนที่ดิจิทัลแฝด หรือ digital-twin map data

เนื่องจากเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งใช้ในการเคลื่อนที่ด้วยตนเองนั้นใช้เซ็นเซอร์ LiDAR เพื่อสร้างแผนที่แบบเรียลไทม์จึงไม่สามารถผลิตขึ้นสำหรับตลาดมวลชน (mass market) ได้ แต่รถวีลแชร์แบบขับเคลื่อนด้วยตนเองที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลแผนที่ 3 มิติแบบดิจิทัลซึ่งอยู่ภายใต้การพัฒนาของ Guru IoT ได้ใช้เทคโนโลยีในการซิงโครไนซ์ข้อมูลแผนที่ที่เซิร์ฟเวอร์จัดเก็บภายในช่วงเวลาหนึ่งในเซิร์ฟเวอร์ซึ่งสามารถใช้แทนที่ข้อมูลเซ็นเซอร์ พร้อม ๆ ไปกับการปรับปรุงความแม่นยำในการขับขี่ด้วยตนเองด้วยการปรับเปลี่ยนข้อมูลเซ็นเซอร์

วีลแชร์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองของ Guru IoT สามารถนำทางผ่านฝูงชนหรือสิ่งกีดขวางทางกายภาพได้โดยการลดความเร็ว การหลีกเลี่ยงอุปสรรค และการหยุด นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยเช่นฟังก์ชั่นป้องกันการสั่นสะเทือนและการพลิกคว่ำที่ไม่มีในรถเข็นไฟฟ้าอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น รถเข็นหุ่นยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองสามารถรักษาความเร็วคงที่บนทางลาดชันโดยการให้คนขับดึงด้วยสองมือ หากผู้ขับขี่สูญเสียการยึดเกาะรถเข็นจะหยุดเอง

วีลแชร์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้เพิ่มความปลอดภัยด้วยการเพิ่มคุณสมบัติต่าง ๆ เช่นการบำรุงรักษาระยะปลอดภัยการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเบรกฉุกเฉินและสัญญาณเตือนการทำงานผิดปกติตามมาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่ด้วยตนเองตามที่กระทรวงที่ดินและการขนส่งเสนอ ตลอดจนการตรวจสอบเส้นทางผ่านข้อมูลที่ซิงโครไนซ์กับเซิร์ฟเวอร์อีกด้วย

Song Su-han ประธาน Guru IoT กล่าวว่า“ วีลแชร์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองของเราเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการแสดงให้เห็นว่าหุ่นยนต์และมนุษย์สามารถทำงานร่วมกันได้ดีจากมุมมองด้านการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ พวกเราที่ Guru IoT จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้นด้วยการผสมผสานแนวคิดดี ๆ เข้ากับเทคโนโลยีที่เรากำลังพัฒนาอยู่ “

ติดต่อ:

Guru IoT Co., Ltd.

Seongsu Yeo

+82-2-6953-9610

ssyeo@guruiot.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

หุ่นยนต์ดูแลสัตว์เลี้ยง PEDDY ดึงดูดความสนใจจากเจ้าของสัตว์เลี้ยง

Logo

โซล เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–18 กุมภาพันธ์ 2564

PEDDY หุ่นยนต์ดูแลสัตว์เลี้ยงที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นของขวัญชิ้นเยี่ยมสำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีค่าของพวกเขา

ตามที่สถาบันเศรษฐกิจชนบทของเกาหลี (KREI) ระบุว่าตลาดที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงในปี 2564 จะสูงขึ้นถึง 3,000.2 พันล้านวอนจาก 2,332.2 พันล้านวอนในปี 2560 ตลาดจะเติบโตเป็น 4,173.9 พันล้านวอนในปี 2565 และเป็น 6,005.5 พันล้านวอนภายในปี 2570 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสำหรับช่วงปี 2564-2570 อยู่ที่ประมาณ 14.5%

หุ่นยนต์ดูแลสัตว์เลี้ยงที่พัฒนาโดย Guru IoT เป็นบริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ IoT ซึ่งเป็นเพื่อนเล่นที่ดีสำหรับแมวและสุนัขที่บ้าน โดยหลังจากวางสมาร์ทโฟนบนหุ่นยนต์และสร้างการเชื่อมต่อผ่านแอปแล้วจะมีฟังก์ชันการทำงานทั้งหมดของสมาร์ทโฟนเช่น วิดีโอแชทแบบเรียลไทม์ การบันทึกการเล่นวิดีโอเล่นซ้ำ การเล่นเพลงซ้ำ และการถ่ายภาพ ซึ่งมีอยู่ในหุ่นยนต์

นอกจากนี้ยังสามารถให้อาหารสัตว์เลี้ยงในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตามจำนวนที่ต้องการ ด้วยเซ็นเซอร์ที่ตรวจจับอุณหภูมิ ความชื้น และเสียง โดยหุ่นยนต์สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว หรือจากเสียงเห่าของสุนัขหรือแมวเหมียวได้

เจ้าหน้าที่ของ Guru IoT กล่าวว่า “เนื่องจากจำนวนเจ้าของสัตว์เลี้ยงในเกาหลีมีมากกว่า 10 ล้านคน ระดับความนิยมของเครื่องใช้สัตว์เลี้ยงจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงนี้ เราขอแนะนำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงตัดสินใจซื้อหุ่นยนต์ดูแลสัตว์เลี้ยง PEDDY สำหรับให้เป็นเพื่อนของพวกเขา”

หุ่นยนต์พี่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง PEDDY มีอยู่บนเว็บไซต์ของ Guru IoT (https://en.guruiot.com/)

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ:

Guru IoT Co., Ltd.
Seongsu Yeo
+82-2-6953-9610
ssyeo@guruiot.com

SYNERGY & iNube ร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อนำผู้ให้บริการด้านดิจิทัลและ E-insurance แบบใหม่มาสู่ธุรกิจประกันภัย

Logo

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–18 กุมภาพันธ์ 2564

SYNERGY Strategic Solutions Limited ผู้ให้บริการด้านการให้คำปรึกษาด้านดิจิทัลและอินชัวร์เทคในฮ่องกงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ iNube Software Solutions Pvt. Ltd. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชันการประกันภัยดิจิทัล เพื่อขยายข้อเสนอปัจจุบันสำหรับการประกันภัยด้วยผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเฉพาะกลุ่มและแพลตฟอร์มการประกันภัยรายย่อย (micro-insurance) ที่เปิดใช้งานผ่านสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Insurance)

ความร่วมมือกับ iNube ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ SYNERGY สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริการให้คำปรึกษาเท่านั้น แต่ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และโซลูชันสำเร็จรูปให้กับบริษัทประกันภัยทั่วฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เวียดนาม และไทย ด้วยความร่วมมือครั้งนี้หลายบริษัทคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นระหว่าง 20%-30% ตามเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า

ในส่วนของความร่วมมือดังกล่าว Pradeep Satya ประธานบริหารและผู้ก่อตั้ง SYNERGY กล่าวว่า “ด้วยเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในทุก ๆ ด้านของธุรกิจประกันภัย บริษัทประกันภัยแบบเดิมได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการเร่งการเดินทางสู่ดิจิทัลเพื่อให้ยังคงสามารถแข่งขันได้ในธุรกิจประกันภัยนี้ โดยยังมีความจำเป็นที่ต้องพัฒนาสำหรับโซลูชันหลักแบบแยกส่วน (Modular) และแนวคิดในการทำงานยุคใหม่ที่เน้นการตัดสินใจและทำงานอย่างรวดเร็ว (Agile) เรามองหาผลิตภัณฑ์หลักที่กำหนดค่าได้ง่าย ปรับใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และดูแลรักษาง่าย กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ iNube เหมาะสมอย่างยิ่งกับเรา ในขณะที่ลูกค้าของเราได้เริ่มต้นช่องทางการกระจายแบบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แสดงความสนใจที่ตรงหรือใกล้เคียง (affinity) และ อีคอมเมิร์ซ (e-commerce) เราตั้งใจที่จะร่วมกันสร้างโซลูชันที่ดีที่สุดในระดับเดียวกันและหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เป็นพันธมิตรในการสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าของเรา”

Vinodkumar A Iyer ประธานบริหารของ iNube Software Solutions ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนกล่าวว่า “เมื่อรวมกับความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งและความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมประกันภัย ทำให้ iNube ได้นำเสนอโซลูชันซอฟต์แวร์ที่ทันสมัยซึ่งมีความสำคัญต่อความสำเร็จทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องของบริษัทประกันภัย ด้วยความร่วมมือครั้งนี้ iNube จะใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ได้ในการเสริมสร้างสถานะในตลาดเอเชียและการค้นหาลูกค้าใหม่ สำหรับกลุ่ม Digital Insurance Solutions ของเรานั้นเมื่อรวมกับคำแนะนำของ SYNERGY ในด้านนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรา พวกเรามั่นใจในการร่างแผนงานที่จะช่วยให้เราเพิ่มคุณค่าและประโยชน์ให้กับลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ได้มากขึ้น เราตื่นเต้นมากกับความร่วมมือครั้งนี้และหวังว่าจะได้นำเสนอคุณค่าและประโยชน์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้กับธุรกิจประกันภัย”

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อเราที่ media@synergysolutions.asia

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210218005638/en/

ติดต่อ

Anita Bhat
media@synergysolutions.asia

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Thai Herald

Thai Herald