Pickering Electronics เซ็นสัญญากับ Wiselink สำหรับตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย

Logo

ผลิตภัณฑ์ reed relay ชั้นนำที่ได้รับการสนับสนุนโดยพันธมิตรผู้จัดจำหน่าย 'มุ่งสู่ความเป็นเลิศและความพึงพอใจของลูกค้า'

แคล็กตันออนซี อังกฤษ–(บิสิเนสไวร์)–08 ธ.ค. 2563

Pickering Electronics บริษัท reed relay ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการย่อขนาดและประสิทธิภาพมานานกว่า 50 ปี ได้ลงนามในข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดจำหน่ายกับ Wiselink ซึ่งครอบคลุมประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201208005810/en/

Pickering Electronics Signs With Wiselink in Singapore, Malaysia and Thailand (Graphic: Business Wire)

Pickering Electronics Signs เซ็นสัญญากับ Wiselink สำหรับตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย (กราฟฟิค: Business Wire)

Wiselink ให้ความสำคัญอย่างมากในการส่งมอบคุณภาพที่ดีที่สุดให้กับ ลูกค้าของตน  บริษัททำหน้าที่เป็นพันธมิตรด้านช่องทางการจัดหาให้กับซัพพลายเออร์กว่า 35 รายและลูกค้า OEM และ CEM มากกว่า 2,500 รายในอุตสาหกรรมต่างๆ  Keith Moore ซีอีโอของ Pickering ให้ความเห็นว่า: “Wiselink เป็นพันธมิตรเชิงรุกของเราในภูมิภาคที่สำคัญนี้ โดยทุ่มเทเพื่อความเป็นเลิศและความพึงพอใจของลูกค้า”

Pickering เป็นที่รู้จักสำหรับนวัตกรรม reed relays ซึ่งเป็นอุปกรณ์สวิทช์ reed ที่มีสูญญากาศพ่นรูทีเนียมเพื่อให้มั่นใจถึงความมั่นคงยาวนานถึงการดำเนินงาน 5×109 รอบ  โครงสร้างขดลวดและเทคโนโลยี SoftCenter™ ยังช่วยเพิ่มความเสถียรและความทนทานในขณะที่การใช้การคัดกรองแม่เหล็กแบบ Mu-metal (ทั้งภายนอกหรือภายใน) ทำให้ PCB มีความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์แบบเคียงข้างกันสูงเป็นพิเศษ โดยมีปฏิสัมพันธ์แม่เหล็กน้อยที่สุดซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและพื้นที่ได้มาก  นอกจากนี้ reed relay ของ Pickering ยังได้รับการทดสอบ 100% สำหรับการทำงานทั้งหมด รวมถึงการวิเคราะห์รูปคลื่นหน้าสัมผัส พร้อมการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อรักษาความสม่ำเสมอ

สามารถอ่านข้อดีอื่นๆ ของ reed relay ของ Pickering ได้ที่นี่

เกี่ยวกับ Pickering Electronics

Pickering Electronics ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อนเพื่อออกแบบและผลิต reed relay คุณภาพสูง โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้ในอุปกรณ์เครื่องมือวัดและทดสอบ  ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Single-in-Line (SIL/SIP) ของ Pickering ได้รับการพัฒนามากที่สุดในอุตสาหกรรมรีเลย์โดยมีอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งจำนวนมากถึง 25%.  Reed relay แบบ SIL/SIP ขนาดเล็กเหล่านี้ขายในปริมาณมากให้กับบริษัท ATE และบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ทั่วโลก

Pickering Electronics เป็นส่วนหนึ่งของ Pickering Group ของเอกชน ประกอบด้วยผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามรายรวมถึง Pickering Interfaces ที่ออกแบบและผลิตผลิตภัณฑ์การสลับสัญญาณและการจำลองสัญญาณแบบแยกส่วนและ Pickering Connect ซึ่งเป็นผู้ออกแบบและผลิตสายเคเบิลและตัวเชื่อมต่อ

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201208005810/en/

ติดต่อ:

Poppy Moore
Marketing Communications Manager (ผู้จัดการฝ่ายการสื่อสาร)
Pickering Electronics Ltd.
poppy.moore@pickeringrelay.com 
โทร: +44 1255 428141
www. pickeringrelay.com

หรือหน่วยงาน:

Nick Foot
PR Director (ผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสาร)
BWW Communications
Nick.foot@bwwcomms.com 
โทร: +44 1491-636393
www.bwwcomms.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

NHS เลือก Q-nomy Inc. และ ACF Technologies เพื่อสนับสนุนแคมเปญฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส โควิด -19 ในสหราชอาณาจักร

Logo

ระบบการจองการฉีดวัคซีนแห่งชาติที่ได้รับการพิสูจน์แล้วผ่านความพยายามในการทดสอบ COVID-19

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–8 ธ.ค. 2563

Q-nomy Inc. ผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านโซลูชันการเพิ่มประสิทธิภาพประสบการณ์ของลูกค้า ที่ติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลายช่องทาง หรือแบบ Omnichannel ประกาศในวันนี้ว่าการฉีดวัคซีน COVID-19 ทั้งหมดทั่วสหราชอาณาจักรจะถูกจัดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มการนัดหมาย Q-Flow® ซึ่งจัดทำโดย ACF Technologies ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในสหราชอาณาจักร

ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป โซลูชันการจัดตารางเวลาขององค์กร Q-Flow การจองออนไลน์ และการจัดการการแบบที่มีการโต้ตอบ (interactive) จะถูกนำมาใช้เพื่อช่วยงาน National Health Service (NHS) ทั้งนี้เพราะการจองนัดหมายการฉีดวัคซีนจำนวนมาก อีกทั้งยังมีความจำเป็นในการแจ้งเตือนลูกค้าในสถานที่มากกว่าหนึ่งพันแห่งทั่วสหราชอาณาจักร โดยก่อนหน้านี้ ACF ยังได้รับเลือกให้ส่งมอบโซลูชันการจัดการการนัดหมายสำหรับโปรแกรมทดสอบ COVID-19 ทั่วประเทศของสหราชอาณาจักร อีกด้วย

“ในช่วงแปดเดือนที่ผ่านมา Q-Flow ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่โดดเด่นในฐานะโซลูชันการจัดตารางเวลาจำนวนมากสำหรับโปรแกรมทดสอบ COVID-19 ของ NHS เราภูมิใจมากที่ NHS ได้เลือก ACF Technologies และ Q-nomy อีกครั้งเพื่อสนับสนุนความพยายามในการฉีดวัคซีนระดับชาติที่ยิ่งใหญ่นี้” Lior Miller รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ Q-nomy กล่าว “ Q-Flow ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการโต้ตอบและการรับส่งข้อมูลในขนาดระดับนี้ และจะพร้อมให้บริการในปริมาณการจองได้ถึง 500,000 นัดต่อวัน”

“ผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับทีมงานในสหราชอาณาจักรของเรา” Andy Hart กรรมการผู้จัดการ ACF Technologies EMEA กล่าว “ ไม่มีเวลาไหนที่เราจะผนึกกำลังและสร้างความแตกต่างได้ดีไปกว่าตอนนี้ ด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจในชาติและความปรารถนาที่จะสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และเพื่อนร่วมงาน เราจึงทำทุกอย่างเพื่อการมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับโควิด -19”

เกี่ยวกับ Q-nomy Inc.

Q-nomy เป็นผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ชั้นนำที่ให้บริการโซลูชันการจัดการกระบวนการทางธุรกิจที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Q-nomy ช่วยให้ธุรกิจและองค์กรทั่วโลกทำงานได้ดีขึ้นโดยการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าผ่านช่องทางติดต่อทั้งทางกายภาพและทางดิจิทัล Q-nomy มีสถานที่ตั้งมากกว่า 1200 แห่งใน 5 ทวีปที่อยู่ในองค์กรด้านการดูแลสุขภาพ รัฐบาล การเงินโทรคมนาคม การค้าปลีก และการศึกษา

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.qnomy.com/mass-scheduling-app

เกี่ยวกับ ACF Technologies

ACF Technologies เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในการนำเสนอโซลูชันการจัดการการนัดหมายระดับองค์กรที่ทันสมัยที่สุดในโลก บริษัทตั้งขึ้นเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ด้วยประสบการณ์เกือบสองทศวรรษในหลายอุตสาหกรรมเราจึงเป็นผู้นำระดับโลกในการจัดการโฟลว์ขั้นสูงของลูกค้า แนวทางการให้คำปรึกษาเป็นหลักของเราช่วยให้ลูกค้ามีความคล่องตัวในทุกปฏิสัมพันธ์ตั้งแต่การจัดตารางนัดหมาย ไปจนถึงการมาถึง ณ สถานที่ โดยอาศัยข้อเสนอแนะหลังการให้บริการ โซลูชันของบริษัทช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้น และส่งมอบผลกำไรที่แข็งแกร่งขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติมไปที่: https://www.acftechnologies.com/healthcare

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201208005499/en/

ติดต่สำหรับสื่อของ Q-nomy:

Lior Miller – Lior.Miller@qnomy.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

57 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังสตรีมเนื้อหาวิดีโอ OTT มากขึ้นเนื่องจาก วิกฤต COVID-19 อ้างอิงจากข้อมูลจากการวิจัยครั้งใหม่ของ The Trade Desk

Logo

คาดว่าจะสามารถรักษาการรับชมแบบสตรีมมิ่งเอาไว้ได้ 73 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจเพิ่มการชมแบบสตรีมมิ่งได้อีก หลังจากผ่านพ้นการแพร่ระบาดของโควิด

ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 89 เปอร์เซ็นต์จะดูโฆษณาเพื่อแลกกับการการรับชมโปรแกรมฟรี

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–8 ธ.ค. 2563

วันนี้ The Trade Desk (NASDAQ: TTD) ได้ประกาศผลการวิจัยชิ้นแรกในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภค 180 ล้านคนสตรีมเนื้อหา over-the-top (OTT) แปดพันล้านชั่วโมงต่อเดือนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ทำให้ OTT เป็นหนึ่งในช่องทางสื่อที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค โดยบริการ OTT ช่วยให้ผู้ชมสามารถสตรีมเนื้อหาวิดีโอที่ผลิตแบบมืออาชีพผ่านการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ตามต้องการจากอุปกรณ์ใด ๆ ซึ่งรวมถึง สมาร์ททีวี คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ต่าง ๆ

การศึกษาซึ่งสำรวจพฤติกรรมการใช้งานและการรับชมบนแพลตฟอร์ม OTT ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทยและเวียดนามแสดงให้เห็นว่า COVID-19 ได้ช่วยเร่งการนำ OTT มาใช้ ผู้ใช้ OTT มากกว่าครึ่ง (57 เปอร์เซ็นต์) กล่าวว่าพวกเขาสตรีมเนื้อหา OTT มากขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาด นิสัยเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปแม้หลังจากผ่านวิกฤต COVID-19 ไปแล้ว โดยร้อยละ 73 วางแผนที่จะรักษาระดับการบริโภคหรือเพิ่มการบริโภค OTT หลังจากการระบาดของ Covid สิ้นสุดลง

“การระบาดของโควิดได้นำไปสู่การเปลี่ยนไปสู่ระบบ ​​OTT อย่างรวดเร็วและที่ไม่มีวันย้อนกลับ เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจเนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นและเนื้อหา OTT สะดวกและเข้าถึงได้มากขึ้นกว่าที่เคย” Mitch Waters รองประธานอาวุโสฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ของ The Trade Desk กล่าว “การวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปในทิศทางเดียวเท่านั้น ผู้โฆษณาเข้าใจสิ่งนี้ พวกเขาต้องการทำแคมเปญเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคในที่ที่พวกเขาอยู่และเพื่อให้พวกเขาสามารถปรับใช้ข้อมูลกับแคมเปญวิดีโอในรูปแบบที่ไม่สามารถทำได้ผ่านช่องทางดั้งเดิม เช่น การใช้โทรทัศน์แบบสามัญ "

การศึกษายังแสดงให้เห็นว่า OTT มีศักยภาพที่จะทำลายไพรม์ไทม์ทีวีแบบเดิมอย่างเห็นผล โดยผู้ชม OTT ส่วนใหญ่ (70 เปอร์เซ็นต์) ชอบที่จะรับชมระหว่างเวลา 20.00 น. -12.00 น. ทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างการสตรีมมิ่งกับการดูทีวีแบบเดิมสำหรับผู้ชมในช่วงไพรม์ไทม์ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชม OTT เกือบหนึ่งในห้าไม่ได้ดูทีวีแบบดั้งเดิมเลยในช่วงสามเดือนก่อนการสำรวจ นอกจากนี้ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มองหา OTT สำหรับเนื้อหาที่พวกเขาชื่นชอบ โดย 58 เปอร์เซ็นต์ปรับทีวีเป็นแบบ OTT เพื่อรับชมรายการโปรดของพวกเขาเทียบกับเพียง 48 เปอร์เซ็นต์ที่รับชมผ่านการออกอากาศแบบดั้งเดิม

ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ คือการที่ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยินดีที่จะรับชมโฆษณาสำหรับการรับชมเนื้อหาฟรี ในภูมิภาคนี้มีผู้คนมากกว่า 100 ล้านคนใช้แพลตฟอร์ม OTT ที่รองรับโฆษณา โดยผู้ชมส่วนใหญ่ (89 เปอร์เซ็นต์) ยินดีที่จะดูโฆษณาเพื่อแลกกับการเข้าถึงโปรแกรมต่าง ๆ ฟรี

"เนื่องจากบริการสตรีมมิ่งยังคงให้บริการเนื้อหาสตรีมมิ่งที่มากขึ้นและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเนื้อหา OTT แบรนด์ต่างๆจึงสามารถสร้างประสบการณ์การโฆษณาที่น่าดึงดูด ซึ่งผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยินดีที่จะบริโภค" Waters กล่าว "และด้วยการใช้ OTT ผู้ลงโฆษณาจึงมีโอกาสลงทุนในแนวทางและแพลตฟอร์มการโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลซึ่งจะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในอนาคตใหม่ของทีวี"

ข้อค้นพบที่สำคัญจากการวิจัย ได้แก่ :

  • ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 180 ล้านคนใช้บริการสตรีมมิ่ง OTT
  • ผู้ชมสตรีม OTT แปดพันล้านชั่วโมงต่อเดือนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในอินโดนีเซียเพียงแห่งเดียวมีการสตรีมสามพันล้านชั่วโมง ตลาดชั้นนำอื่น ๆ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (สตรีม 2.2 พันล้านชั่วโมง / เดือน) ไทย (1.41 พันล้านชั่วโมง / เดือน) และเวียดนาม (1 พันล้านชั่วโมง / เดือน)
  • 57 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชม OTT เพิ่มการสตรีมระหว่าง COVID และ 73 เปอร์เซ็นต์วางแผนที่จะรักษาหรือเพิ่มการบริโภค OTT แม้ว่าจะผ่านพ้นการเกิดโรคระบาด การเพิ่มการรับชมแบบสตรีมมิ่งระหว่างช่วงวิกฤต COVID เกิดขึ้นเร็วที่สุดในอินโดนีเซียโดยสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้น 66 เปอร์เซ็นต์ เวียดนาม 59 เปอร์เซ็นต์และมาเลเซีย 58 เปอร์เซ็นต์
  • ในภูมิภาคนี้มี 17 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชม OTT ไม่ได้ดูทีวีแบบดั้งเดิมใด ๆ ในช่วงสามเดือนก่อนตอบแบบสำรวจ ตัวเลขดังกล่าวสูงขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์ (22 เปอร์เซ็นต์) และมาเลเซีย (23 เปอร์เซ็นต์)
  • ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร้อยละ 89 จะดูโฆษณาเพื่อแลกกับการสตรีมเนื้อหาฟรี อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มีความอดทนต่อโฆษณาเป็นพิเศษ โดยจำนวนผู้ชมยินดีที่จะรับชมเนื้อหาฟรีสี่รายการขึ้นไปต่อชั่วโมง ที่ 38 เปอร์เซ็นต์และ 42 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ
  • ผู้ลงโฆษณาสามารถเข้าถึงผู้บริโภคมากกว่า 100 ล้านคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนแพลตฟอร์มที่รองรับโฆษณา การสตรีมที่สนับสนุนการโฆษณาเป็นที่นิยมโดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งผู้ลงโฆษณาสามารถเข้าถึงผู้ชม OTT ชาวไทยได้ 7 ใน 10 คน

วิธีสำรวจ

รายงานนี้ได้รับมอบหมายจาก The Trade Desk และดำเนินการโดย Kantar ซึ่งให้ข้อมูลการตลาดข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาชั้นนำของโลก โดย Kantar ได้ทำการสำรวจผู้บริโภค 4,500 คนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปในฟิลิปปินส์ สิงคโปร์มาเลเซีย เวียดนาม ไทย และอินโดนีเซียในเดือนกันยายน 2563

เกี่ยวกับ The Trade Desk

The Trade Desk™ เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ให้อำนาจผู้ซื้อด้านโฆษณา ผู้ซื้อโฆษณาสามารถสร้าง จัดการ และเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาดิจิทัลผ่านรูปแบบการให้บริการตนเองด้วยแพลตฟอร์มคลาวด์ การผสานรวมกับข้อมูลสำคัญ คลัง และพันธมิตรผู้เผยแพร่โฆษณา ช่วยให้มั่นใจถึงความสามารถในการเข้าถึงและการตัดสินใจสูงสุดและ API ขององค์กรทำให้ใช้งานการพัฒนาที่กำหนดเองได้บนแพลตฟอร์ม The Trade Desk มีสำนักงานใหญ่ในเวนทูรา แคลิฟอร์เนีย มีสำนักงานอยู่ทั่วอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม thetradedesk.com หรือติดตามเราบน Facebook, Twitter, LinkedIn และ YouTube.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201207006003/en/

ติดต่อ:

Jennie Johnson

The Trade Desk

jennie.johnson@thetradedesk.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Egon Zehnder ชี้ให้เห็นความก้าวหน้าที่เชื่องช้าและไม่มากพอในรายงานผลการสำรวจความหลากหลายในคณะกรรมการบริหารทั่วโลกของ กระตุ้นให้มีการเร่งลงมือเพื่อผลที่ชัดเจน

Logo

  • ตำแหน่งในคณะกรรมการบริหาร 23.3% ในปัจจุบันเป็นของผู้หญิง เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 20.4% ในปี 2561
  • จำนวนผู้อำนวยการที่เป็นคนผิวสีคิดเป็นเพียง 4.1% ของผู้อำนวยการในสหรัฐฯ ในบริษัทระดับ Russell 3000 ในสหราชอาณาจักร 37% ของบริษัทระดับ FTSE 100 ไม่พบว่ามีผู้อำนวยการที่ไม่ใช่คนผิวขาว
  • มีผู้ที่เป็นชาว LGBTQ+ อย่างเปิดเผยเพียง 24 คนที่ได้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารที่มีมากกว่า 5,000+ ตำแหน่งในบริษัทระดับ Fortune 500
  • การแต่งตั้งสมาชิกคณะกรรมการบริหารใหม่คิดเป็นเพียง 13.5% ของทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 11.4% ในปี 2561 จากจำนวนดังกล่าว มี 30% ที่เป็นผู้หญิง เพิ่มขึ้นจาก 27%

ลอนดอน & นิวยอร์ก & ซูริก–(BUSINESS WIRE)–05 ธันวาคม 2563

วันนี้ Egon Zehnder บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลก ได้เผยแพร่รายงานผลการสำรวจความหลากหลายในคณะกรรมการบริหารทั่วโลกประจำปี 2563 (2020 Global Board Diversity Tracker) โดยตลอด 16 ปีที่ผ่านมา Egon Zehnder จะสำรวจความหลากหลายทางเพศและความเป็นนานาชาติของคณะกรรมการบริหารทั่วโลกทุก ๆ สองปี

รายงานในปีนี้ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัท 1,685 แห่งใน 44 ประเทศ ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 48 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนให้เกิดผลที่จับต้องได้ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ Egon Zehnder ได้ขยายขอบเขตให้ครอบคลุมหัวข้ออื่น ๆ ในด้านความหลากหลาย โดยนำเสนอกรณีศึกษาร่วมกับผู้อำนวยการ (director) ผู้บริหารระดับสูง (chief executive) และประธาน (chair) ต่าง ๆ เพื่อหารือถึงการยอมรับในความแตกต่างด้านชาติพันธุ์ รสนิยมทางเพศ และมุมมองต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกันในห้องประชุมคณะกรรมการบริหาร

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นมีความชัดเจน ถึงแม้ทั่วโลกจะมีความก้าวหน้าในเรื่องความหลากหลายทางเพศ แต่อัตราการเปลี่ยนแปลงนั้นยังถือว่าเล็กน้อย แม้ความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกจะได้รับความสนใจมากขึ้น ซึ่งจุดประกายให้เกิดการพูดคุยและความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่การทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมนั้นยังเป็นเรื่องท้าทาย

อีกหนึ่งภาระเร่งด่วนที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากความจำเป็นในการเพิ่มอัตราการขยายความหลากหลาย คือ การออกข้อบังคับให้มีการปรับวิธีคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมและการผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในคณะกรรมการบริหาร ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากสมาชิกใหม่ บริษัทต่าง ๆ จะต้องเพิ่มการลงมือทำเพื่อสร้างผลลัพธ์ร่วมกันแทนที่การเพิ่มหรือส่งต่อตำแหน่งเพียงอย่างเดียว

เวลานี้ ความสนใจในเรื่องความหลากหลายในคณะกรรมการบริหารที่เพิ่มขึ้นช้า ๆ แต่คงที่ รวมกับการเคลื่อนไหวทางสังคมอันทรงพลังที่เกิดขึ้นในปีนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะลงมือปฏิบัติ วันนี้ เหล่าผู้นำมีทั้งความสนใจ ความสอดคล้อง และการดำเนินการ ซึ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจครั้งสำคัญเพื่อให้เกิดความหลากหลายที่มากขึ้นในคณะกรรมการบริหารของพวกเขารวมถึงองค์กรทั้งองค์กร “ข่าวเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับการเสนอข้อกำหนดคณะกรรมการบริหารใหม่ของ Nasdaq เป็นสัญญาณที่เป็นรูปธรรมของการพูดคุยถึงเรื่องนี้ที่มากขึ้น” Pamela Warren ประธานร่วมแห่งสภาสากลว่าด้วยความเท่าเทียม ความหลากหลาย และการมีส่วนร่วมภายในบริษัท กล่าว “การรับรู้ถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความไม่พอใจต่อการไม่ลงมือดำเนินการใด ๆ ที่สูงขึ้น”

Jill Ader ประธานแห่ง Egon Zehnder กล่าวว่า “ปัจจุบัน เราเห็นถึงความสนใจและการรับรู้ว่าเราต้องการให้คณะกรรมการบริหารมีความหลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ดี ความหลากหลายนั้นไม่จำกัดเฉพาะในเรื่องเพศเท่านั้น ในตอนนี้การก้าวข้ามการวัดผลด้าน D&I แบบเดิม ๆ จึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคย รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญการสร้างทีมที่เป็นตัวแทนของผู้คนที่มีภูมิหลังแตกต่างกัน สมาชิกในคณะกรรมการบริหารมีอำนาจที่จะเปลี่ยนระบบปกครองให้ทันสมัยจากก้าวอันกล้าหาญเพียงไม่กี่ก้าว การเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่แค่เอื้อม”

ผลลัพธ์ที่สำคัญ

ขณะที่ความก้าวหน้ามุ่งไปทางด้านความหลากหลายทางเพศ ช่วงเวลาไม่กี่ปีนับจากนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปลดล็อกพลังแห่งความคิดที่หลากหลาย:

  • ปีนี้ 89% ของบริษัทขนาดใหญ่มีผู้หญิงอย่างน้อยหนึ่งคนในคณะกรรมการบริหารเพิ่มขึ้นจาก 85% ในปี 2561 และประเทศต่าง ๆ 18 ประเทศ เพิ่มขึ้นจาก 13 ประเทศในปี 2561 มีผู้หญิงโดยเฉลี่ย 3 คนขึ้นไปอยู่ในคณะกรรมการบริหารของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด
  • ในการศึกษาของเรา มี 25 ประเทศ รวมถึงจีน บราซิล เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา ที่บริษัทขนาดใหญ่ยังไม่มีผู้หญิงอยู่ในคณะกรรมการบริหาร
  • 8 ใน 18 ประเทศที่มีผู้หญิงโดยเฉลี่ยสามคนขึ้นไปในคณะกรรมการบริหาร มีโควตาหรือข้อบังคับที่กำหนดให้จ้างผู้หญิง สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศล่าสุดที่ได้เพิ่มโควตานี้เข้าไป

ขณะนี้มีความจำเป็นอย่างมากที่คณะกรรมการบริหารจะขยายคุณค่าของความหลากหลายให้ครอบคลุมกว่าเฉพาะเรื่องเพศหรือกลุ่มชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่ง:

  • ปัจจุบัน ขณะที่มีการมุ่งเน้นไปที่ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และเชื้อชาติ ซึ่งถือว่ามีความเหมาะสม แต่ในสหรัฐอเมริกา จำนวนผู้อำนวยการที่เป็นคนผิวดำคิดเป็นเพียง 4.1% ของผู้อำนวยการทั้งหมดในบริษัทระดับ Russell 3000
  • ในสหราชอาณาจักร Parker Review Committee ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริหารที่ไม่แสวงหาผลกำไร ตั้งเป้าหมายให้บริษัทในกลุ่ม FTSE 100 มีผู้อำนวยการที่ไม่ใช่คนขาวอย่างน้อยหนึ่งคนภายในปี 2564 และบริษัทในกลุ่ม FTSE 250 จะต้องดำเนินการเช่นเดียวกันภายในปี 2567 ในช่วงต้นปี 2563 พบว่า 37% ของบริษัทในกลุ่ม FTSE 100 ที่รายงานผลไม่มีตัวแทนดังกล่าวในคณะกรรมการบริหารของพวกเขา และมีเพียง 54% ของบริษัทในกลุ่ม FTSE 250 ที่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
  • ใน 70 ประเทศ การเป็นชาว LGBTQ + อย่างเปิดเผยยังคงผิดกฎหมาย แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาเองที่มีการออกความคุ้มครองมากมายสำหรับชาว LGBTQ +  ข้อมูลจาก Out Leadership เผยว่า จากตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารในบริษัทระดับ Fortune 500 กว่า 5,000 ตำแหน่ง มีคณะกรรมการบริหารเพียง 24 คน เท่านั้นที่เป็นชาว LGBTQ + อย่างเปิดเผย ในจำนวนนี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นคนผิวสีและไม่มีผู้หญิงผิวสีเลยแม้แต่คนเดียว

เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกจะต้องให้ผู้หญิงและกลุ่มคนที่มักถูกมองข้ามขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำ ไม่เฉพาะการเป็นสมาชิกในคณะกรรมการบริหารเท่านั้น ตัวแทนที่เป็นผู้หญิงจะช่วยสร้างผลลัพธ์ให้สำเร็จได้แบบทวีคูณ ด้วยความสามารถที่จะช่วยให้ผู้สมัครที่มีความหลากหลายประสบความสำเร็จ และเพิ่มความหลากหลายผ่านเครือข่ายของพวกเธอ:

  • ปัจจุบัน มีผู้หญิง 27.3% เป็นผู้นำในคณะกรรมการบริหารทั่วโลก เพิ่มขึ้นจาก 25.5% ในปี 2561
  • อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้หญิงที่เป็นประธานคณะกรรมการมีเพียง 2.1% เพิ่มขึ้นจาก 1.5% ในปี 2561
  • ทั่วโลก การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารใหม่คิดเป็นเพียง 13.5% ของตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารทั้งหมดในปี 2563 เพิ่มจาก 11.4% ในปี 2561 จากตัวเลขดังกล่าว เป็นผู้หญิง 30% เพิ่มขึ้นจาก 27% ในปี 2561 ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งนี้หมายถึงว่าจากจำนวนผู้อำนวยการทั้งหมด มีเพียง 4% เท่านั้นที่เป็นผู้หญิง เพิ่มขึ้นเพียง 0.9% จากปี 2561

แผนดำเนินการ

Egon Zehnder เชื่อว่าจะต้องมีการดำเนินการทั้งในระยะยาวและระยะสั้นหลายด้าน เพื่อสร้างความแตกต่างในแง่ของความหลากหลายให้ประสบความสำเร็จ:

  • สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงจากหัวแถว –แทนที่จะทำให้ผู้บริหารเสียชื่อเสียง สิ่งสำคัญกว่าคือการเปลี่ยนคำวิจารณ์ให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ ๆ
  • การไม่แบ่งแยกเป็นสิ่งสำคัญ – ความหลากหลายทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน หรือแม้แต่ความเห็นต่าง ซึ่งจะนำไปสู่ความคิดรูปแบบใหม่ ๆ ในที่สุด
  • การใช้อำนาจผ่านตัวเลข – เสียงของคนส่วนน้อยจะถูกละเลยตราบที่คนส่วนใหญ่ที่มีอำนาจเหนือกว่ายังคงอยู่
  • เฟ้นหาศักยภาพ – ความอยากรู้อยากเห็น การมี่ส่วนร่วม ข้อมูลเชิงลึก และความมุ่งมั่นคือคุณลักษณะที่ดีของความเป็นผู้นำ
  • ขยายเครือข่าย – มองให้ไกลกว่าคนใกล้ตัว และตั้งใจขยายเครือข่ายเพื่อให้ครอบคลุมถึงผู้คนที่จะนำมาซึ่งมุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่าง
  • สร้างช่องทางเชื่อมต่อให้กับผู้อื่น – ให้ซีอีโอเป็นผู้รับผิดชอบต่อพันธกิจเรื่องเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของเจตนารมย์นี้
  • ฉกฉวยโอกาส – ใช้โอกาสจากการพูดคุยที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเพื่อเรียนรู้จากมุมมองใหม่ ๆ

คุณสามารถดูคำแนะนำและผลการศึกษาทั้งหมดจากรายงานงานนี้ สร้างรายงานแบบกำหนดเองโดยใช้การวัดผลต่างๆ รวมถึงกลุ่มและประเทศ และดูวิดีโอกรณีศึกษาได้ที่ www.egonzehnder.com/global-board-diversity-tracker

บทสัมภาษณ์

รายงานนี้ประกอบด้วยมุมมองแบบเจาะลึกจากกลุ่มผู้บริหาร

บทสัมภาษณ์ผู้บริหารที่สำคัญ ๆ จากรายงาน มีดังนี้:

“คุณต้องเป็นตัวแทนของชุมชนที่คุณรับใช้ การเสียชีวิตอันน่าเศร้าของ George Floyd เป็นการจุดประกายให้กับเรื่องความเท่าเทียมทางเชื้อชาติขึ้นมากจริง ๆ” – Kathleen Taylor ประธาน Royal Bank of Canada

“ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องยอมรับว่าสิ่งที่เรากำลังพูดคุยกันวันนี้ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 20, 30, 40 ปีที่แล้ว น่าเสียดายที่มันไม่ได้เกิดขึ้น แต่วันนี้เรามีโอกาสแล้วที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นนับจากนี้ไป เรามีหน้าที่ที่จะต้องสร้างโลกที่ดีกว่าให้กับพนักงาน บริษัท และลูก ๆ ของพวกเรา” – Enrique Lores ซีอีโอ HP Inc.

“เมื่อผู้คนมาถึงที่ทำงาน พวกเขาควรต้องรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขามีโอกาสที่จะก้าวหน้า หากพวกเขามองไม่เห็นตัวเองนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับกลางหรือระดับสูงของบริษัท หรือมองไม่เห็นตัวเองในคณะกรรมการบริหาร ก็ยากที่พวกเขาจะรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัท” – Jim Fitterling ซีอีโอและประธาน Dow Inc.

“หากคุณเป็นชาวละติน หญิงหรือชาย เมื่อคุณได้รับการทาบทามให้รับตำแหน่งในคณะกรรมการบริหาร มันมักจะมีเหตุผลเสมอ เช่น ช่วยให้พวกเขาเข้าใจตลาด ช่วยให้พวกเขาเข้าใจพลังและศักยภาพ ช่วยให้พวกเขาคิดเกี่ยวกับวิธีพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดที่สื่อถึงความจริงใจและเกี่ยวข้องกับชุมชนของเรา” – Monica Lozano ผู้อำนวยการฝ่ายเป้าหมาย Bank of America

“ผมรู้สึกเสมอว่าตัวเองได้รับเกียรติในการมาเป็นผู้นำ ซึ่งส่วนหนึ่งของความท้าทายคือการสร้างเงื่อนไขให้กับทุกคนเพื่อให้คนเหล่านั้นทำงานให้กับบริษัทได้อย่างสุดความสามารถ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะต้องสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับธุรกิจหากคุณไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เมื่อมาทำงาน” – Robert Hanson รองประธานบริหารและประธานแผนกไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Constellation Brands

“เราคงไม่อาจ . . . ในสามหรือสี่ปีนับจากนี้ ก้าวจากบริษัทสัญชาติบราซิลที่มีแบรนด์และตลาดเดียว สู่การเป็นองค์กรระดับโลกที่มีแบรนด์และช่องทางจำหน่ายหลากหลายได้หากไม่ใช่เพราะความเชื่อมั่นอันแรงกล้าต่อความจำเป็นในการนำความสามารถและศักยภาพที่มีความแตกต่าง รวมถึงความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่างมาไว้ในการดำเนินงานของเรา” – Roberto Marques ประธานและซีอีโอ Natura & Co.

“ความหลากหลายนำมาซึ่งความเห็นต่าง เมื่อคุณต้องตัดสินใจทางธุรกิจ การที่ทุกคนในที่ประชุมเห็นตรงกันแบบไม่มีข้อขัดแย้งคือสิ่งที่แย่และเป็นการเสียเวลาอย่างที่สุด เมื่อฉันนึกถึงการมีผู้หญิงจำนวนมากขึ้นในคณะกรรมการบริหารที่เข้ามาจุดประกายให้กับการหารือและทำลายความสอดคล้องทางสังคมนั้น นั่นเป็นเรื่องสำคัญมาก” – Nadia Shouraboura ผู้อำนวยการ, X5, Blue Yonder, Ferguson plc, MTS Group

หมายเหตุบรรณาธิการ:

เกี่ยวกับ Egon Zehnder

Egon Zehnder เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการเป็นผู้นำแถวหน้าของโลก โดยมีเป้าหมายหนึ่งเดียวคือช่วยให้บุคลากรและองค์กรพัฒนา เรารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สามารถทำได้ และเรามีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบบริการให้คำปรึกษาด้านความเป็นผู้นำที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของเรา

บริษัทของเราประกอบด้วยที่ปรึกษามากกว่า 500 คน ประจำสำนักงาน 68 แห่ง ใน 40 ประเทศ ซึ่งนำจุดแข็งของแต่ละคนมารวมกันเพื่อสร้างทีมงานที่มีพลังรวมกันเป็นหนึ่งเดียว บริการของเราประกอบด้วย การพัฒนาความเป็นผู้นำ ประสิทธิพลระดับบุคคล ทีม และองค์กร การเฟ้นหาซีอีโอและการสืบทอดตำแหน่ง การเฟ้นหาผู้บริหารและการประเมิน ที่ปรึกษาคณะกรรมการ และการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ http://www.egonzehnder.com และติดตามเราได้ที่ LinkedIn และ Twitter

ติดต่อ:

Jennifer Reingold
ผู้อำนวยการฝ่ายเนื้อหา
Jennifer.reingold@egonzehnder.com
โทร +1 646 337 5566

Stacy Drumtra
ผู้อำนวยการร่วมฝ่ายการตลาด
หัวหน้าฝ่ายการตลาดและการสื่อสารประจำสหรัฐฯ
stacy.drumtra@egonzehnder.com
โทร +1 312-260-8974

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

UVD Robots ชนะการประกวดราคา ทำให้ได้ทำสัญญา EU ในการติดตั้งหุ่นยนต์ 200 ตัวในโรงพยาบาลทั่วยุโรป

Logo

หุ่นยนต์ UVD ถูกนำไปใช้เพื่อต่อสู้กับการแพร่กระจายของ Covid-19 และลดการติดเชื้อในโรงพยาบาล

โอเดนเซ่, เดนมาร์ก–(BUSINESS WIRE)–7 ธ.ค. 2563

UVD Robots และ Blue Ocean Robotics ผู้ผลิตหุ่นยนต์ฆ่าเชื้ออัตโนมัติที่มาพร้อมแสง UV-C ได้ประกาศในวันนี้ว่า พวกเขาได้รับเลือกจาก European Commission directorate-Generale for Communications Networks, Content and Technology (EU Commission) ให้จัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อที่ทำงานอัตโนมัติ 200 ตัว ให้กับโรงพยาบาลในสหภาพยุโรปที่ต่อสู้กับไวรัสโคโรนา ทั้งนี้ UVD Robots มาเป็นอันดับหนึ่งในการประกวดราคาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อของคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป โดยมีการประเมินความเป็นเลิศทางเทคนิคและวุฒิภาวะของเทคโนโลยี คุณภาพของแนวทางในการใช้งาน เวลาตอบสนองในการสนับสนุนทางเทคนิคและการบำรุงรักษา และมูลค่าโดยรวม ขณะนี้มีการนำหุ่นยนต์ UVD ไปใช้งานในประเทศในสหภาพยุโรป 10 กว่าประเทศ และจะมีอีกมากมายที่จะตามมา

The UVD Robot is an autonomous disinfecting robot equipped with UV-C light that kills viruses and bacteria on surfaces and in the air. The General Hospital "Dr.Ivo Pedisic" Sisak in Croatia deployed a UVD Robot in its fifteen operating theaters where results showed no existence of microorganisms after disinfection. In March the robot was moved to treat Covid-19 departments, where only one staff member has since tested positive for Covid compared to 37 employees in other departments. At Gruppo Poloclinico Abano in Italy, six doctors had been infected with COVID-19 before a UVD Robot was deployed. No cases of COVID-19 have appeared among doctors, nurses or patients following deployment of the UVD Robot. The robots have now been rolled out to more than 60 countries worldwide. (Photo: Business Wire)

UVD Robot เป็นหุ่นยนต์ฆ่าเชื้ออัตโนมัติที่มาพร้อมแสง UV-C ซึ่งจะฆ่าไวรัสและแบคทีเรียบนพื้นผิวและในอากาศ  "Dr.Ivo Pedisic" Sisak จาก The General Hospital ในโครเอเชียติดตั้งหุ่นยนต์ UVD ในโรงปฏิบัติการ 15 แห่งซึ่งผลการวิจัยพบว่าไม่มีจุลินทรีย์หลงเหลือหลังจากการฆ่าเชื้อ ในเดือนมีนาคมหุ่นยนต์ถูกเคลื่อนย้ายไปรักษาแผนก Covid-19 ซึ่งมีพนักงานเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ติดเชื้อ Covid เมื่อเทียบกับพนักงาน 37 คนในแผนกอื่น ๆ สำหรับที่ Gruppo Poloclinico Abano ในอิตาลีมีแพทย์ 6 คนติดเชื้อ COVID-19 ก่อนที่จะติดตั้งหุ่นยนต์ UVD แต่ไม่พบผู้ป่วย COVID-19 ในกลุ่มแพทย์พยาบาลหรือผู้ป่วยหลังการติดตั้งหุ่นยนต์ UVD ปัจจุบันนี้หุ่นยนต์ได้เปิดตัวไปแล้วกว่า 60 ประเทศทั่วโลก (ภาพ: Business Wire)

ในแถลงการณ์ของประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula Von Der Leyen กล่าวว่า:“ European Commission กำลังซื้อหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อ 200 ตัว โดยใช้ กองทุนของสหภาพยุโรป ซึ่งจะส่งหุ่นยนต์ไปยังโรงพยาบาลทั่วยุโรปเพื่อช่วยในห้องผู้ป่วยสำหรับการฆ่าเชื้อ เราทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลและผู้ป่วยในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ และเราจะให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ต่อไป”

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่หุ่นยนต์ UVD ของเราได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปซึ่งเราเชื่อว่าเป็นการสั่งซื้อที่ใหญ่ที่สุดในการสั่งซื้อประเภทนี้” Per Juul Nielsen ซีอีโอของ UVD Robots กล่าว “ เราผลิตหุ่นยนต์ตัวแรกในประเภทนี้และได้กำหนดมาตรฐานระดับโลกสำหรับการฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสี UVC แบบอัตโนมัติ คำสั่งซื้อขนาดนี้ช่วยตอกย้ำประสิทธิภาพของ UVD Robots ต่อไป”

หุ่นยนต์ UVD ฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียบนพื้นผิวและในอากาศลดการแพร่กระจายของโรคโดยฆ่าแบคทีเรียและจุลินทรีย์ 99.99 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาประมาณ 10 นาทีในห้องผู้ป่วย

“เรากำลังช่วยต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในขณะเดียวกันก็เสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล (HAI) โดยรวม” Claus Risager ซีอีโอของ Blue Ocean Robotics บริษัทแม่ของ UVD Robots กล่าว "ด้วยคำสั่งนี้เราจะดำเนินการให้ดียิ่งขึ้นไปอีกเพื่อช่วยปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และญาติที่โรงพยาบาลในช่วงเวลาวิกฤต"

เกี่ยวกับ

UVD Robots เป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มแบรนด์ชั้นนำของโลกในการพัฒนาหุ่นยนต์บริการระดับมืออาชีพ Blue Ocean Robotics ซึ่งรวมถึงแบรนด์ GoBe Robots กับ PTR Robots มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองโอเดนเซ่ ประเทศเดนมาร์กซึ่งเป็นสถานที่พัฒนาผลิตและจำหน่ายหุ่นยนต์บริการ

Press Kit

รับชมคลังภาพ/มัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52343641/en

บริษัท:

Merima Cikotic

+45 7199 5606

mc@blue-ocean-robotics.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Hillstone Networks ปล่อยอัปเกรดสำหรับระบบปฏิบัติการระบบความปลอดภัยเครือข่ายพร้อมแพลตฟอร์มที่รองรับการใช้งานในอนาคต

Logo

ซานตาคลารา, แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–02 ธันวาคม 2563

Hillstone Networks ผู้ให้บริการโซลูชันความปลอดภัยบนเครือข่ายสำหรับองค์กรและการจัดการความเสี่ยงชั้นนำ ประกาศ ยกระดับระบบปฏิบัติการระดับเรือธงอย่าง StoneOS 5.5R8 ครั้งใหญ่ ซึ่งมาพร้อมการอัปเดตที่สำคัญกว่าร้อยรายการ เพื่อมอบโซลูชันด้านความปลอดภัยทีมีความครอบคลุม ชาญฉลาด น่าเชื่อถือ และใช้งานง่ายที่สุดสำหรับองค์กรที่ต้องการปกป้องช่องทางเข้าถึงเครือข่ายทั้งหมดของพวกเขาในวันนี้

“ระบบความปลอดภัยในปัจจุบันมีความเสี่ยงมากกว่าที่เคย ธุรกิจต่างเร่งมือสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้กับแรงงานและทรัพยากรที่สำคัญ ๆ ของพวกเขาในทุก ๆ ช่องทาง” Timothy Liu ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง Hillstone Networks กล่าว “ที่ผ่านมา ภารกิจของเราคือการนำเสนอโซลูชันที่ช่วยให้องค์กรมองเห็น เข้าใจ และจัดการกับช่องโหว่หรือการโจมตีรูปแบบต่าง ๆ โดยการอัปเดตระบบ StoneOS ในวันนี้ตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ดังกล่าวด้วยคุณสมบัติและประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้องค์กรออกแบบระความปลอดภัยเครือข่ายที่สามารถรองรับการใช้งานในอนาคตได้”

มีอะไรใหม่ใน StoneOS

StoneOS เวอร์ชัน 5.5R8 มาพร้อมการออกแบบที่เป็นมาตรฐาน (modular design) ซึ่งแยกออกจากระบบและมีการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงให้มีความทนทานมากขึ้นเพื่อการทำงานที่ต่อเนื่องของชุดคุณสมบัติต่าง ๆ รวมถึงส่วนประสบการณ์ของผู้ใช้ (user experience) บนฮาร์ดแวร์และแพลตฟอร์มเสมือนจริงต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สำคัญ ประกอบด้วย

  • การออกคำสั่ง Botnet และการป้องกันระบบควบคุมจากเอดจ์สู่คลาวด์: ประกอบด้วยการเฝ้าตรวจตราการเชื่อมต่อระบบออกคำสั่งและควบคุม (C&C) จาก L3 ถึง L7 และการตรวจจับ DGA ที่น่าสงสัย รายการเข้าถึงที่ออกแบบตามความต้องการเฉพาะ รวมถึงการป้องกันการโจมตีแบบ DNS sinkhole และการสร้างช่องทางสนับสนุนสำหรับสร้างความปลอดภัยให้กับส่วนที่เป็นสมองของเครือข่ายอย่างเต็มรูปแบบ
  • Next-Gen Firewall สำหรับศูนย์ข้อมูลที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ มาพร้อมคุณสมบัติด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม: ประกอบด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลและระบบ granular control ตามนโยบาย พร้อมด้วย IPv6 ขั้นสูง และการสนับสนุนคุณสมบัติการสื่อสารข้อมูลแบบ Multicast พร้อมการป้องกันการรับส่งข้อมูลและกิจกรรมใด ๆ รวมถึงการเฝ้าตรวจตราบริการ ณ เซิร์ฟเวอร์ปลายทาง
  • การกำหนดค่าที่มีความลื่นไหลเพื่อช่วยเสริมระบบการจัดการนโยบาย: การกำหนดค่าที่ได้รับการอัปเกรดให้มีความลื่นไหลจะช่วยลดภาระงานของผู้ดูแลระบบด้วยระบบจัดการนโยบายแบบรวมศูนย์ ความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากกฎการออกนโยบายนำเข้า/ส่งออก และความสามารถในการกำหนดค่าผู้ใช้ที่ได้รับการยืนยันตัวตนโดยอัตโนมัติ
  • การรวมความปลอดภัยเข้ากับด้วยเทคโนโลยี Virtualization: นอกเหนือจากการอัปเกรดระบบปฏิบัติการแล้ว ยังมีการนำเสนอโมเดลใหม่ในตระกูล CloudEdge อย่าง VM08 ด้วย โดยโมเดลดังกล่าวและอุปกรณ์เสมือนทั้งหมดสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกับโมเดลแบบฮาร์ดแวร์รุ่นอื่น ๆ ได้แล้วในขณะนี้
  • การพลิกโฉมสภาพแวดล้อมเครือข่ายองค์กร: สำหรับองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนไปใช้ IPv6 การอัปเดตจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น

ข้อมูลเพิ่มเติม

สามารถดูคุณสมบัติอื่น ๆ ของ Hillstone StoneOS อย่างละเอียดได้ ที่นี่

ติดต่อ:

Zeyao Hu
ผู้จัดการการตลาด
inquiry@hillstonenet.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

เมื่อวัน Black Friday มาถึง คุณจะเลือกซื้อสินค้าเพื่อช่วยให้คุณหายจาก Holiday Blues หรือไม่ ลองคิดถึงอารมณ์ของคุณไปพร้อม ๆ กับการให้ Guardian Angels ช่วยป้องกันคุณจากการแรงกระตุ้นการจับจ่ายซื้อของที่มากเกินไป

Logo

การศึกษาใหม่ศึกษาว่า วิธีการที่เราแทนค่าอารมณ์ให้เป็นมนุษย์ ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อของเราอย่างไร

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–2 ธันวาคม 2563

เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกแย่พวกเราหลายคนชอบที่จะดื่มด่ำกับการช้อปปิ้งบำบัด ด้วยความที่ปีนี้ดำเนินไป แบบนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นการใช้จ่ายอย่างหุนหันพลันแล่นในช่วงวันหยุดช้อปปิ้ง อย่างเช่น Black Friday และ Cyber Monday เพราะการซื้อของให้ตัวเองนั้นทำให้คนรู้สึกดี

แม้ว่าเราจะเข้าใจได้ว่าความรู้สึกแย่ กระตุ้นให้เราเปิดกระเป๋าสตางค์ได้อย่างไรแต่การศึกษาใหม่ที่ร่วมเขียนโดย Dr. Rocky Chen จาก Hong Kong Baptist University School of Business แสดงให้เห็นว่าเราประมวลผลอารมณ์อย่างเช่นความเศร้าได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปรียบมันเหมือนคน (มานุษยรูปนิยม) ในลักษณะเดียวกับที่ Disney แสดงถึงความสุข ความเศร้า ความโกรธ ความกลัว และความรังเกียจ ในภาพยนตร์เรื่อง Inside Out ส่งผลกระทบต่อเราในฐานะผู้บริโภค

แนวคิดเรื่องการทำให้อารมณ์มีความเป็นคนมากขึ้น กำลังผนวกรวมกับการที่นักการตลาดดึงดูดเราด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยน้ำเสียงและภาพลักษณ์ที่สร้างสรรค์แบรนด์ต่าง ๆ จึงทำการตลาดโดยคำนึงถึงอารมณ์และบุคลิกภาพเป็นหลัก นักการตลาดชอบที่จะมองหาโอกาสที่ดีที่สุดที่จะขายให้เรา นั่นคือเวลาที่เรามีความสุข เศร้า หรืออาจเป็นความรู้สึกระหว่างสองความรู้สึกนั้น

นี่คือความคิดแบบมานุษยรูปนิยมที่ส่งผลต่อการบริโภคของเรา:

  • เมื่อคุณทำให้ความรู้สึกเศร้ามีความเป็นคน คุณจะรู้สึกถึงความเข้มข้นของความเศร้าน้อยลง การคิดถึงความเศร้าในฐานะคน ๆ หนึ่งช่วยให้คุณรู้สึกแยกตัวออกจากมันมากขึ้นซึ่งอาจทำให้การใส่ความเป็นมนุษย์ในความรู้สึก เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลในการบรรเทาความเศร้า
  • การลดความเข้มข้นของความเศร้าด้วยการใส่ความเป็นมนุษย์ในความเศร้า ก่อนที่จะช้อปปิ้งจะช่วยให้คุณควบคุมตนเองได้มากขึ้น การประมวลผลความเศร้าโดยแทนค่าความรู้สึกเศร้าให้เป็นมนุษย์ก่อนช้อปปิ้งหมายความว่าคุณมีโอกาสที่ดีกว่าในการเลือกซื้อที่เป็นประโยชน์แทนที่จะซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็น คุณอาจจะพูดกับตัวเองว่า“ ลืมชีสเค้กไปได้เลยฉันจะทานสลัด” ก้ได้ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่แทนค่าความเป็นมนุษย์เกี่ยวกับความรู้สึกไม่ดีของพวกเขามักจะเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าการเลือกการบำเรอตนเองที่ไม่จำเป็น
  • การคิดแทนค่าความรู้สึกด้วยความเป็นมนุษย์ ไม่ได้ใช้ได้ต่อความเศร้าเท่านั้น แต่ยังสามารถเจือจางความสุขได้ด้วย เราสามารถแยกตัวออกจากความสุขได้มากขึ้นเมื่อแทนค่าความสุขความเป็นตัวละครอิสระ ผู้บริโภคอาจต้องการใช้การแทนค่าความสุขหากพวกเขามีแนวโน้มที่จะใช้สอยเกินจำเป็นในช่วงเวลาดังกล่าว ความสุขอาจท่วมท้นจนนำไปสู่การตัดสินใจที่บุ่มบ่าม ดังนั้นบางคนอาจต้องการถอยออกมาสักก้าวและสงบสติอารมณ์ นักการตลาดยังสามารถพิจารณาได้ว่าอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์และเส้นทางของลูกค้าอาจเป็นไปในทางการแทนค่าด้วยความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร

ในขณะที่คุณเรียกดูข้อเสนอดี ๆ ที่จะปรากฏในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งในช่วงวันหยุดนี้คุณอาจต้องพิจารณาสภาพอารมณ์ของคุณก่อนที่คุณจะคลิก "สั่งซื้อเลย" และชำระเงิน การทำเช่นนี้อาจช่วยให้คุณเป็นนักช้อปที่มีสติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณซื้อสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆ ในระยะยาวแทนที่จะเป็นสิ่งที่คุณรู้สึกว่าถูกดึงดูดในชั่วครั้งชั่วคราวในช่วงเวลาที่รู้สึกแย่

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201119005581/en/

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

Eva Sham

Evasham@hkbu.edu.hk

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Vault Micro: CameraFi Live แอพถ่ายทอดสดของ Android เปิดตัวเอฟเฟกต์การช็อปปิ้ง

Logo

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–1 ธ.ค. 2563

Vault Micro ผู้พัฒนาแอพสตรีมมิงแบบสดชื่อ CameraFi Live ได้ประกาศว่าแอพได้เปิดตัวการอัปเดตที่นำเสนอเอฟเฟกต์การช็อปปิ้งแบบสดที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซ การอัปเดตครั้งนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มข้อมูลผลิตภัณฑ์ เช่น ชื่อสินค้า รูปภาพ ราคาและส่วนลด และรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแบบเรียลไทม์ในระหว่างการออกอากาศได้.

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201130005077/en/

Mobile App, "Live Shopping Effects" by Vault Micro (Graphic: Business Wire)

แอพมือถือ "Live Shopping Effects" โดย Vault Micro (กราฟิก: Business Wire)

เนื่องจากการโต้ตอบแบบตัวต่อตัวที่จำกัด ซึ่งเกิดจากสถานการณ์ COVID-19 จึงทำให้ยังมีการซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ส่งผลให้ผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซออนไลน์รายใหญ่อย่าง Amazon เปิดตัวการช็อปปิ้งแบบสตรีมมิงแบบสด โดย Live-Streaming E-Commerce หรือ Live Commerce เป็นเทรนด์ล่าสุดที่นำเสนอวิธีการขายออนไลน์ที่ก้าวหน้าและเป็นแบบโต้ตอบได้มากขึ้น การถ่ายทอดสดทำให้ผู้ขายสามารถเน้นจุดขายของสินค้าได้ดีขึ้น และลูกค้าสามารถมีคำถามและคำติชมได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ อินฟลูเอนเซอร์ยังสามารถเข้าร่วมการถ่ายทอดสดเหล่านี้เพื่อตอกย้ำเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่งและดึงดูดผู้ชมให้มากขึ้นซึ่งช่วยทำให้อัตราการซื้อของเพิ่มขึ้น

CameraFi Live ซึ่งเป็นแอพสตรีมมิงแบบสดสำหรับผู้ใช้ Android นำเสนอวิธีการใช้ที่ง่ายและดีกว่าในการขายผลิตภัณฑ์ผ่านการสตรีมมิงแบบสดโดยสร้างการถ่ายทอดสดคุณภาพสูงแบบเรียลไทม์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆเช่น Facebook, YouTube, และ Twitch เหมาะสำหรับการขยายการขายผ่านการสตรีมสดการช็อปปิ้งออนไลน์ และมีการถ่ายทอดสดเฉลี่ย 30,000 ครั้งต่อวันใน 200 ประเทศทั่วโลก

ข้อดีอย่างหนึ่งของสตรีมมิงแบบสดคือไม่ต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพงและคุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในสตูดิโอถ่ายทอดสดระดับมืออาชีพ เพียงแค่ใช้สมาร์ทโฟนคุณก็เริ่มสร้างการถ่ายทอดสดได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และด้วยนวัตกรรมนี้การถ่ายทอดสดอีคอมเมิร์ซผ่าน CameraFi Live จึงเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศไทย อินโดนีเซีย และประเทศอื่น ๆ ในอเมริกาใต้

Seongil Kim ซีอีโอของ Vault Micro กล่าวว่า “ผมหวังว่าทุกคนจะได้รับโอกาสในการเริ่มขายของออนไลน์ได้ง่าย ๆในช่วงเวลาที่สถานการณ์ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจไม่ลื่นไหล เราวางแผนที่จะเพิ่มเอฟเฟกต์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้คนจำนวนมากขึ้น” นอกจากนี้เขายังย้ำว่าเขามีแผนที่จะร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสดต่อไปเพื่อให้ผู้ใช้ที่ไม่ใช่มืออาชีพสามารถเริ่มสตรีมมิงแบบสดได้โดยไม่ยาก

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201130005077/en/

ติดต่อ:

Vault Micro, Inc.

EunJi Lee

ฝ่ายกลยุทธ์และวางแผน (ผู้จัดการ)

+82-70-8676-7740

leeeunji@vaultmicro.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ผลการศึกษาใหม่สรุปว่า Xlear สามารถฆ่าและ/หรือหยุดการทำงานของ SARS2

Logo

ไมแอมี–(บิสิเนสไวร์)–30 พ.ย. 2563

การศึกษาใหม่ในหลอดทดลอง ซึ่งนำโดยหน่วยงานที่มีชื่อเสียงด้านโรคระบบทางเดินหายใจได้สรุปว่าสเปรย์ฉีดจมูก Xlear เป็น “แนวทางที่มีประสิทธิภาพ…และมีผลซ้ำในการหยุดการทำงานของ SARS-CoV-2…จนเหลือปริมาณไวรัสที่ตรวจพบไม่ได้” ข้อสรุปนี้ “ได้รับการตรวจทานความถูกต้องโดยชุดการทดลองอิสระสองรา ดำเนินการโดยห้องปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ในสายพันธุ์ไวรัสที่แตกต่างกัน…” การศึกษา Virucidal ได้รับทุนสนับสนุนอย่างอิสระ “การศึกษาการฆ่าไวรัสให้ความสำคัญกับบทบาทของ Xlear ในการช่วยต่อสู้กับการแพร่ระบาดของ COVID-19” ดร. Dr. Gustavo Ferrer ซึ่งเป็นผู้นำทีมวิจัยกล่าว

สถานะของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์:

สเปรย์ฉีดจมูกเช่น Xlear ช่วยลดปริมาณไวรัสในจมูกซึ่งมีความสำคัญในการต่อสู้กับ COVID-19  ผลวิจัยชี้ว่า COVID-19 ส่วนใหญ่ติดเชื้อและแพร่กระจายผ่านระบบทางเดินหายใจส่วนบน  ด้วยการลดปริมาณไวรัสในจมูก สเปรย์ฉีดช่วยจำกัดความรุนแรงและการแพร่กระจายของโรค SARS-CoV-2 (COVID-19) https://jamanetwork.com/journals/jamaotolaryngology/fullarticle/2768627

ส่วนประกอบ Xlear นั้นต้านไวรัสโดยการป้องกันการยึดเกาะของเชื้อไวรัสในจมูก ชมตัวอย่าง https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2020.08.19.225854v1.full.pdf ผลวิจัย SARS-CoV-2 จากมหาวิทยาลัยเทนเนสซีสรุปว่า “สเปรย์ฉีดจมูกต้านไวรัส…มีส่วนช่วยลด…ปริมาณไวรัส…โดยชะลอการลุกลามของโรค…และการแพร่เชื้อ…”

กรณีศึกษาที่ผ่านการตรวจสอบทางวิชาการระบุว่า Xlear ช่วยใน การรักษา COVID-19: การทดลองครั้งแรกที่โรงพยาบาล Larkin Community Hospital (ไมอามี) ระบุว่า: “ผู้ป่วยที่มีอาการ COVID-19 ที่ได้รับการรักษาด้วย [Xlear] เป็นยาเสริมสำหรับ… [การดูแลมาตรฐาน]” แสดง “การรักษาอย่างรวดเร็ว โดยปรับปรุงและลดเวลาการตรวจผบ COVID-19 PCR เป็นลบ https://www.cureus.com/articles/43909-potential-role-of-xylitol-plus-grapefruit-seed-extract-nasal-spray-solution-in-covid-19-case-series

ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกใช้ Xlear มานานกว่า 20 ปี โดยไม่มีรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สำคัญแม้แต่รายงานเดียว

จากข้อมูลที่มีอยู่ การศึกษาการฆ่าไวรัสเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Xlear ไม่ใช่แค่ยาต้านไวรัส แต่เป็นยาฆ่าเชื้อไวรัส (ฆ่า/หยุดการทำงานของ SARS-CoV-2)  การรวมกันของความสามารถในการต้านไวรัสและความสามารถในการฆ่าเชื้อนี้ถือเป็นหมัดคู่ที่สำคัญในการต่อสู้กับไวรัส” Nathan Jones ซีอีโอของ Xlear กล่าว “ด้วยการระบาดใหญ่ทั่วโลก เราต้องใช้เครื่องมือทุกอย่างเพื่อต่อสู้กับมัน  มิฉะนั้นจะเสี่ยงชีวิตนับล้านโดยไม่จำเป็น  ด้วยการคำนึงถึงประวัติความปลอดภัย 20 ปีของเราต่อความเสี่ยงของไวรัสร้ายแรงนี้จึงเห็นได้ชัดว่า Xlear จำเป็นต้องมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย” Jones กล่าวสรุป

การศึกษาแบบเต็ม: https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2020.11.23.394114v1.full

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Xlear: https://xlear.com/

เกี่ยวกับ Dr.Gustavo Ferrer

Dr. Ferrer, MD FCCP เป็น รองศาสตราจารย์ด้านการแพทย์และผู้ก่อตั้งคลินิก Cleveland Clinic Florida Interstitial Lung Disease Clinic และเครือข่ายโรงพยาบาล Aventura Hospital Pulmonary and Critical Care  ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งประธานผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้ป่วยหนักที่ Aventura Pulmonary Institute และเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการด้านการวิจัยระบบทางเดินหายใจของมหาวิทยาลัยแห่งสหประชาชาติประเทศเวเนซุเอลา

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201130005291/en/

ติดต่อ:

Jeff Gulko
617.304.7339
jeff@thegulkogroup.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

เทศกาล Hong Kong Wine & Dine Festival เตรียมจัดทั้งในรูปแบบ “ออนไลน์และออฟไลน์” เพื่อมอบประสบการณ์ด้านอาหารที่ไร้พรมแดนให้กับผู้ชมจากทั่วโลก

Logo

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–30 พฤศจิกายน 2563

เทศกาล Hong Kong Wine & Dine จัดโดยการท่องเที่ยวฮ่องกง (HKTB) เตรียมจัดงานทั้งในรูปแบบ “ออนไลน์และออฟไลน์” เป็นครั้งแรก เพื่อให้ผู้ร่วมงานทั้งในและต่างประเทศได้สัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารรูปแบบใหม่ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201124005677/en/

เทศกาลที่จะจัดต่อเนื่องเป็นเวลา 5 สัปดาห์ไปจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม นี้ อัดแน่นไปด้วยกิจกรรมออนไลน์อันน่าตื่นเต้น รวมถึงห้องเก็บไวน์ออนไลน์ กิจกรรมสร้างสรรค์เมนูอร่อยจากที่บ้าน และการถ่ายทอดสดคลาสทำอาหารและชิมไวน์แบบออนไลน์ ซึ่งถูกนำมารวมไว้บนแพลตฟอร์มการนำเสนอรูปแบบใหม่อย่างครบครัน ขณะที่ประสบการณ์แบบออฟไลน์ก็เตรียมมอบข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ และการชิมอาหารจากร้านค้าหลายร้อยแห่งทั่วเมืองที่จะมามอบความเพลิดเพลินให้กับลูกค้า

สำหรับคนรักอาหารและไวน์ทั่วโลก ไฮไลต์ของการจัดงานครั้งนี้ประกอบด้วยคลาสออนไลน์ที่มากถึง 34 คลาส ซึ่งผู้ชมสามารถรับชมได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยขณะนี้ได้มีการเริ่มถ่ายทอดสดไปแล้วทาง WineDineFestival.DiscoverHongKong.com ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ โดยจะถ่ายทอดไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม และจะมีการฉายซ้ำโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้ผู้ชมไม่พลาดทุกช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้จากคลาสเหล่านั้น

หัวข้อสำหรับคลาสออนไลน์ครอบคลุมตั้งแต่เทรนด์ไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปจนถึงการรับประทานอาหารสุดหรู อาหารเพื่อสุขภาพ และศิลปะการตกแต่งจานอาหาร สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มสามารถรับชมรายการ wine talks โดย James Suckling นักวิจารณ์ไวน์ชาวฮ่องกงผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ และ Debra Meiburg ผู้เชี่ยวชาญด้านการดื่มไวน์ ที่จะมาแนะนำไวน์ภายใต้ธีม “New Wave Bordeaux” และ “The Pacific West” ตามลำดับ โดย Suckling ยังได้แนะนำไวน์ใหม่ที่จำหน่ายราคาที่ทุกคนเอื้อมถึงจากแคว้นบอร์กโดซ์สามขวด ซึ่งเขากล่าวว่า “ฮ่องกงเป็นหนึ่งในเมืองที่มีไวน์ที่ดีที่สุดของโลก เทียบเท่ากับลอนดอนและนิวยอร์ก และฮ่องกงยังเป็นตลาดส่งออกไวน์จากแคว้นบอร์กโดซ์อันดับหนึ่ง เทศกาล Hong Kong Wine & Dine ในปีนี้จะเข้าถึงผู้คนจากทั่วโลกมากขึ้น และผมแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะได้พบกับทุกคนในเทศกาลครั้งนี้”

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบค็อกเทลจะต้องไม่พลาดคลาสออนไลน์จาก Jay Khan มิกโซโลจิสต์ระดับรางวัลและผู้ร่วมก่อตั้ง COA บาร์สไตล์เม็กซิกัน ที่จะมาผสมค็อกเทลโดยใช้เตกีลาผสมเป็นเมนูต่าง ๆ ให้ได้ชม ส่วนผู้ชื่นชอบอาหารที่ต้องการฝึกทักษะการเข้าครัวจะต้องไม่พลาดการสาธิตการประกอบอาหาร นำโดยเชฟชื่อดังของฮ่องกงอย่าง Shane Osborn แห่งภัตตาคาร Arcane and Cornerstone และ Vicky Cheng แห่งภัตตาคาร VEA Restaurant & Lounge ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้เคล็ดลับต่าง ๆ

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดคือกิจกรรมออล เลดี้ ไลน์อัพ ที่นำโดยวิทยากรที่เป็นผู้หญิงทั้งหมดในวันที่ 28 พฤศจิกายน โดยอินฟลูเอนเซอร์ 5 รายที่เข้ามาเขย่าวงการอาหารและเครื่องดื่มของฮ่องกง จะมาเป็นวิทยากรในคลาสออนไลน์เพื่อแบ่งปันสิ่งที่แต่ละคนเชี่ยวชาญในธีม Lady’s Talk โดยเริ่มจากคลาสของ Shirley Kwok ผู้ก่อตั้งร้านเบเกอรีมังสวิรัติที่มีชื่อว่า The Cakery ต่อด้วยคลาสจากเชฟ Vicky Lau แห่ง TATE Dining Room และ Jamie Lo ผู้เชี่ยวชาญด้านสาเกที่ได้รับการรับรอง Sarah Heller ผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ และ Bernice Liu อดีตดาราที่ผันตัวมาเป็นผู้ผลิตไวน์ ตามลำดับ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เทศกาล Hong Kong Wine & Dine 2020 และตารางคลาสออนไลน์พร้อมรายละเอียดทั้งหมด สามารถไปที่เว็บไซต์: WineDineFestival.DiscoverHongKong.com

สำหรับวิดีโอ สามารถชมได้ที่: https://hktb.filecamp.com/s/WnDFestival2020-VNR/fo

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201124005677/en/

สื่อ
Ms Vivian Li
อีเมล: vivian.li@hktb.com

Thai Herald

Thai Herald