ปฏิวัติการจัดการและเก็บหลักฐานดิจิทอลด้วยกล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ 5G จาก Hytera

Logo

เซินเจิ้น ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

Hytera Communications (SZSE: 002583) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นการสื่อสารระดับมืออาชีพชั้นนำระดับโลกได้เปิดตัวนวัตกรรมกล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ (Body Camera) รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมเปิดตัวสองรุ่นใหม่: กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่อัจฉริยะ 4G SC780 และ SC880 รุ่น 5G ทั้งสองรุ่นพร้อมที่จะปฏิวัติการจัดการ จัดเก็บ และเก็บภาพหลักฐานดิจิทอลให้กับหน่วยงานที่ต้องบังคับใช้กฎหมายและบริการฉุกเฉิน

New Smart SC Series Body Camera (Photo: Business Wire)

กล้องบอดี้แคมอัจฉริยะ SC Series ใหม่ (รูปภาพ: Business Wire)

กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ SC Series รุ่นใหม่ของ Hytera โดดเด่นด้วยความสามารถในการบันทึกวิดีโอและเสียงความละเอียดสูง ทั้งยังมาพร้อมกับการรับส่งข้อมูลความเร็วสูง การสตรีมสดแบบเรียลไทม์ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความรวดเร็วและความน่าเชื่อถือของหลักฐาน จึงช่วยให้ศูนย์ควบคุมรู้ถึงสถานการณ์ภาคสนามได้อย่างดี เมื่อใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มจัดการหลักฐานดิจิทอล (Digital Evidence Management Platform/DEM) กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ ตัวใหม่นี้ก็จะสามารถยกระดับกระบวนการดูแลจัดการ จัดเก็บ และเก็บภาพหลักฐานดิจิทอลได้

กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ SC Series ตัวใหม่มาพร้อมกับเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหวที่ล้ำสมัยและเลนส์มุมกว้าง จึงทำให้วิดีโอออกมาครอบคลุมและนิ่ง ฟีเจอร์กล้องมองกลางคืนช่วยให้ได้ภาพที่ชัดแม้ในสภาวะแสงน้อย รุ่น SC880 ยกระดับไปอีกขั้นด้วยการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงเป็นพิเศษระดับ 4k และขยายเวลาการบันทึกก่อน/หลังได้สูงสุด 300 วินาที นอกจากนี้ กล้องเหล่านี้ยังสามารถบันทึกเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม โดยบันทึกเสียงได้ชัดเจนภายในระยะ 10 เมตร และยังตัดเสียงรบกวนด้วยฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อให้เสียงออกมาชัดเจนไร้ที่ติ ฟีเจอร์จดจำใบหน้าและป้ายทะเบียนยังช่วยเพิ่มความสามารถในการมอบข้อมูลที่รวดเร็วและแม่นยำไปยังศูนย์บัญชาการ ช่วยให้ระบุผู้ต้องสงสัยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

Hytera ออกแบบโซลูชันกล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ โดยคำนึงถึงความสามารถด้านเครือข่าย โดยใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบจากเครือข่าย 4G และ 5G SC880 ช่วยให้สามารถรับส่งข้อมูล 5G ได้เร็วขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการบันทึกข้อมูลและการสื่อสารสด นอกเหนือจากความสามารถในการบันทึกขั้นสูงแล้ว ทั้งสองรุ่นยังมีฟังก์ชันการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ซึ่งมีประสิทธิภาพเป็นสองเท่าของวิทยุระบบสัญญาณมือถือ (Push-to-Talk over Cellular/PoC) เพื่อการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่องในสถานการณ์ที่สำคัญต่อภารกิจ กล้องทั้งสองรุ่นสามารถกันฝุ่นและกันน้ำได้อย่างสมบูรณ์ด้วยมาตรฐานระดับ IP68 จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง

แพลตฟอร์มจัดการหลักฐานดิจิทอล (DEM) ของ Hytera มอบการป้องกันที่แข็งแกร่งให้กับหลักฐานดิจิทอล โดยเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลที่เข้มงวด จึงทำให้มั่นใจได้ว่าหลักฐานจะถูกจัดเก็บอย่างแน่นหนาและปลอดภัยตั้งแต่ ณ วินาทีที่เก็บหลักฐานไปจนถึงตอนนำสืบหน้าบัลลังก์ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การแก้ไขและจัดการอุปกรณ์ระยะไกล จึงทำให้เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานด้านความปลอดภัยสาธารณะที่ต้องการมาตรฐานสูงสุดด้านความสมบูรณ์ของข้อมูลและความปลอดภัยตลอดวงจรชีวิตของหลักฐานดิจิทอล

เกี่ยวกับ Hytera

Hytera Communications Corporation Limited (SZSE: 002583) เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นการสื่อสารระดับมืออาชีพชั้นนำระดับโลก ด้วยความสามารถด้านเสียง วิดีโอ และข้อมูล เราให้การเชื่อมต่อที่รวดเร็ว ปลอดภัย และมีความหลากหลายมากขึ้นสำหรับธุรกิจและผู้ใช้งานที่สำคัญ เราช่วยให้ลูกค้าของเราบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้นทั้งในการดำเนินงานประจำวันและการตอบสนองฉุกเฉิน เพื่อทำให้โลกมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54140926/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

lele.yao@hytera.com

แหล่งข้อมูล: Hytera Communications

.

เส้นทางที่เป็นไปได้สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน: APO เปิดตัวกลยุทธ์ Green Productivity 2.0 ที่การประชุม Workshop Meeting ของผู้นำกลุ่ม NPO ครั้งที่ 65

Logo

นาดี ฟิจิ–(BUSINESS WIRE)–28 ตุลาคม 2024

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (The Asian Productivity Organization – APO) ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop Meeting – WSM) ของผู้นำในกลุ่มองค์กรเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ (NPO) ครั้งที่ 65 ในเมืองนาดี ประเทศฟิจิตั้งแต่วันที่ 23 ถึง 25 ตุลาคม งานประจำปีนี้จัดขึ้นโดยรัฐบาลฟิจิ โดยมีหัวหน้ากลุ่ม NPO และที่ปรึกษา 51 คนจากสมาชิก APO 19 ประเทศ เพื่อช่วยกันกำหนดอนาคตของการผลิตที่ยั่งยืนในภูมิภาค โดยมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (Green Productivity – GP) และปัญญาประดิษฐ์ (AI)

(Photo: Business Wire)

(รูปภาพ: Business Wire)

เซสชั่นเปิดงานครั้งแรกได้รับเกียรติจากการมาเยือนของรองนายกรัฐมนตรีมาโนอา เซรู นาคาอุซาบาเรีย คามิคามิกาของฟิจิ ซึ่งเน้นย้ำถึงการต้องเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เหมือนใครของประเทศหมู่เกาะในการสร้างสมดุลการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน เขากล่าวว่า “ในฐานะชาวเกาะที่วิถีชีวิตถูกคุกคามจากผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรง ชาวฟิจิรู้สึกถึงแรงกดดันสองประการในการแสวงหาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่พยายามบรรเทาผลกระทบด้านลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปด้วยกัน”

ไฮไลท์ของการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้คือการเปิดตัวกลยุทธ์ Green Productivity 2.0 ของ APO: รายงานจาก The Road Ahead ศาสตราจารย์โยอิชิโร มัตสึโมโตะ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (MOFA) ของญี่ปุ่น และสมาชิกสภาที่ปรึกษาการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GPA) ของ APO ได้นำเสนอวิวัฒนาการของแนวคิดการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (Green Productivity – GP) นับตั้งแต่ APO เริ่มต้นขึ้นในปี 1994 รายงานฉบับนี้นำเสนอแผนงานที่มีแนวคิดก้าวหน้าสำหรับรัฐบาล ธุรกิจ และบุคคลทั่วไปในการนำกลยุทธ์ GP 2.0 มาใช้ โดยผสานประสิทธิภาพการผลิตเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การนำเสนอจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงดร. ชินซู ลิน ประธานคณะทำงานด้านเทคนิคเกี่ยวกับ GP 2.0 และตัวแทนจาก Korea Development Institute (KDI) และ MOFA ของญี่ปุ่นช่วยเน้นย้ำว่าการนำกลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GO) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาบูรณาการจะสามารถส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนในภูมิภาคได้อย่างไร

ประธานาธิบดีฟิจิเอชอี ราตู วิเลียม ไมวาลิลี คาโตนิเวียร์ได้เป็นผู้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานเลี้ยงต้อนรับซึ่งจัดโดยประธาน APO ปี 2024-25 และผู้อำนวยการฟิจิโจเน มาริติโน่ เนมานี่ เขาเรียกร้องให้มีความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและเน้นย้ำบทบาทของ GP ในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน “มาร่วมกันควบคุมพลังการผลิตเพื่อปกป้องโลกของเรา” เขาเร่งเร้า โดยเน้นย้ำถึงความทุ่มเทของฟิจิในการเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก นอกจากนี้ เนมานี ประธาน APO ก็ยังได้ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมสภาที่ปรึกษาการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GPA) ของ APO จากศาสตราจารย์เรียวอิจิ ยามาโมโตะ ซึ่งฝากเชื้อเชิญมาโดยศาสตราจารย์มัตสึโมโตะอีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฟิจิในการพัฒนาความคิดริเริ่มด้านความยั่งยืนในระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ การประชุม WSM ยังมีเซสชั่นการวางแผนเชิงกลยุทธ์ซึ่งผู้นำในกลุ่ม NPO หารือเกี่ยวกับแผนโครงการสำหรับปี 2025 และ 2026 ด้วย แผนเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนสมาชิก APO ในการใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GO) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านการผลิตที่เร่งด่วน และกำหนดรูปแบบการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ขององค์กรหลังวิสัยทัศน์ปี 2025

ในขณะที่ภูมิภาคเผชิญกับความท้าทายระดับโลกอย่างต่อเนื่อง การประชุม WSM ครั้งที่ 65 ก็ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำของ APO ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังเสริมสร้างความมุ่งมั่นร่วมกันของเศรษฐกิจสมาชิกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นอีกด้วย

เกี่ยวกับ APO

Asian Productivity Organization (APO) เป็นองค์กรร่วมระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคที่มุ่งมั่นเพื่อปรับปรุงผลิตภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านความร่วมมือร่วมกัน โดยไม่มีความเกี่ยวข้องด้านการเมือง ไม่แสวงหาผลกำไร และไม่เลือกปฏิบัติ APO ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้งแปดประเทศ และปัจจุบันประกอบด้วยประเทศสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย อิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สปป.ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ไทย เตอร์กิเย และเวียดนาม

APO มีการดำเนินการเพื่ออนาคตของภูมิภาคโดยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิก ผ่านบริการให้คำปรึกษาด้านนโยบายระดับชาติ ทำหน้าที่เป็นคลังความคิด มีโครงการริเริ่มเพื่อสร้างขีดความสามารถระดับสถาบัน และแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มผลิตภาพ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54142727/en

ติดต่อ

หากต้องการรายละเอียด โปรดติดต่อ:
Digital Information Unit, APO: pr@apo-tokyo.org เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org

แหล่งข้อมูล: Asian Productivity Organization (APO)

EGGDROP ได้รับความสนใจจากการสนับสนุนซีรีส์ระดับโลก ‘Love Next Door’ และ ‘Romance in the House’

Logo

  • ซีรีส์ 'Love Next Door' และ 'Romance in the House' ที่ได้รับการสนับสนุนจาก EGGDROP ทั้งสองเรื่อง ติด 10 อันดับแรกของซีรีส์บน Netflix

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

บริษัท โกลเด้น ไฮน์ จำกัด (Golden Hind Co., Ltd.)  (โดยมี Young-woo Noh เป็น CEO) บริษัทอาหารและเครื่องดื่มผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์แซนด์วิชไข่พรีเมียมสัญชาติเกาหลี EGGDROP ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นจากการสนับสนุนการผลิตซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้ทางช่อง tvN เรื่อง 'Love Next Door' และซีรีส์ดราม่าครอบครัวทางช่อง JTBC เรื่อง 'Romance in the House'

Korean drama series ‘LOVE NEXT DOOR’ and ‘ROMANCE in the HOUSE’, supported by EGGDROP, achieve Netflix No. 1 TV series in the Non-English category. (Image: Netflix)

ซีรีส์เกาหลี 'LOVE NEXT DOOR' และ 'ROMANCE in the HOUSE' ที่ได้รับการสนับสนุนจาก EGGDROP คว้าอันดับ 1 ซีรีส์ภาษาต่างประเทศบน Netflix (ภาพ : Netflix)

'Love Next Door' ทะยานขึ้นอยู่ใน 5 อันดับแรกในหมวดซีรีส์ทีวีภาษาต่างประเทศบน Netflix ระดับโลกภายในสัปดาห์แรกที่ออนแอร์ พร้อมติด 10 อันดับแรกใน 75 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ขณะที่ 'Romance in the House' ก็สามารถคว้าอันดับหนึ่งใน 10 อันดับแรก ในหมวดซีรีส์ทีวี (ภาษาต่างประเทศ) ของ Netflix ระดับโลกได้ ภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์หลังออนแอร์ ทั้งสองซีรีส์ยังครองกระแสความนิยมในประเทศอื่น ๆ อาทิ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน และฮ่องกง ซึ่งตอกย้ำกระแสความนิยมของซีรีส์เกาหลีที่ยังคงแรงไม่หยุด

ปรัชญาแบรนด์ของ EGGDROP ที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์มื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพและอิ่มอร่อย ได้ถูกถ่ายทอดผ่านแซนด์วิชไข่อุ่น ๆ ที่นุ่มละมุน ซึ่งผสานเข้ากับฉากชีวิตประจำวันในซีรีส์ได้อย่างกลมกลืน ขณะที่แนวคิด “EGG MAKES BETTER” (ไข่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น) ของแบรนด์ ก็ได้ถูกสื่อสารไปยังผู้ชมทั่วโลกอย่างแนบเนียน Hundo Lee ตัวแทนของ EGGDROP กล่าวว่า “เรารู้สึกปลาบปลื้มที่ซีรีส์ทั้งสองเรื่องที่เราให้การสนับสนุนประสบความสำเร็จในตลาดโลก และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นคุณค่าของแบรนด์ EGGDROP เป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก” พร้อมเสริมว่า “เรามุ่งมั่นที่จะตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภคทั่วโลก โดยวางแผนขยายสู่ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกาในปีนี้

EGGDROP มีแผนสนับสนุนการผลิตผลงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างการรับรู้แบรนด์ในตลาดโลก พร้อมมุ่งสู่การเติบโตในฐานะแบรนด์ระดับนานาชาติผ่านความร่วมมือกับคอนเทนต์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ EGGDROP

Egg Makes Better, EGGDROP EGGDROP คือแบรนด์แซนด์วิชไข่ระดับพรีเมียมที่ได้แรงบันดาลใจจาก “ไข่ซึ่งเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน” โดยสร้างสรรค์มื้ออาหารเพื่อสุขภาพ ที่ใช้ไข่คน (scrambled eggs) ที่ทำจากไข่เกรด A+ และวัตถุดิบสดใหม่เป็นหัวใจหลัก

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ โกลเด้น ไฮนด์

โกลเด้น ไฮนด์ คือบริษัทรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดสร้างสรรค์ด้าน “Food Venture” (การร่วมทุนทางอาหาร) บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ในฐานะบริษัทแฟรนไชส์ร้านอาหาร ปัจจุบันมี EGGDROP เป็นธุรกิจหลักและกำลังบ่มเพาะแบรนด์อื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย

(ลิงก์วิดีโอ) ขั้นตอนการทำแฟรนไชส์ EGGDROP บน EGGDROP.co.kr (เว็บไซต์ทางการ)

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54142150/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

บริษัท โกลเด้น ไฮนด์

ทีมปฏิบัติการ

Hundo Lee

+82-1670-4809

anchor@goldenhind.co.kr

แหล่งที่มา : บริษัท โกลเด้น ไฮนด์ จำกัด

บริษัท Starr Insurance ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการสาขาในกรุงโซลได้

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–28 ตุลาคม 2024

 บริษัท Starr Insurance ได้ประกาศว่าคณะกรรมการด้านบริการการเงินของเกาหลีใต้ได้ให้ใบอนุญาตแก่บริษัท Starr International Insurance (Singapore) Pte. Ltd. สาขาเกาหลี เพื่อดำเนินกิจการในกรุงโซลและสามารถเริ่มต้นจำหน่ายประกันภัยทรัพย์สินเชิงพาณิชย์/อุบัติเหตุทั่วประเทศเกาหลีได้

Paul Choi ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น CEO ของบริษัท Starr สาขาเกาหลีในเดือนพฤษภาคม 2024 เขามีประสบการณ์ด้านการประกันภัยและนายหน้ารวมถึงผู้ให้บริการมามากกว่า 30 ปี อีกทั้งยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาการจัดการความเสี่ยงและประกันภัยจากมหาวิทยาลัย Georgia State อีกด้วย

Phil Finley ผู้เป็นประธานของบริษัท Starr Asia Pacific กล่าวว่า: “เกาหลีเป็นตลาดประกันภัยเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย และ Starr มีประวัติการดำเนินงานในภูมิภาคนี้มายาวนาน เราคาดว่าเกาหลีจะกลายเป็นแหล่งการเติบโตของเบี้ยประกันภัยที่ทำกำไรได้ดีสำหรับ Starr ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”

เกี่ยวกับ Starr Insurance

บริษัท Starr Insurance (หรือ Starr) เป็นชื่อทางการตลาดสำหรับบริษัทประกันภัยและความช่วยเหลือด้านการเดินทางที่ดำเนินงานและบริษัทในเครือของ Starr International Company, Inc. และสำหรับธุรกิจการลงทุนของ C. V. Starr & Co., Inc. และบริษัทในเครือ Starr เป็นองค์กรประกันภัยและการลงทุนชั้นนำที่มีสำนักงานอยู่ใน 6 ทวีป บริษัท Starr ให้บริการผลิตภัณฑ์ประกันภัยทรัพย์สิน ความเสียหาย อุบัติเหตุและสุขภาพ ตลอดจนความคุ้มครองเฉพาะทางต่างๆ เช่น การบิน ทางทะเล พลังงาน และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนเกินผ่านบริษัทประกันภัยที่ดำเนินงานร่วม บริษัทประกันภัยในเครือของ Starr ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในสหรัฐอเมริกา เบอร์มิวดา จีน ฮ่องกง มอลตา สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ต่างก็ได้รับการจัดอันดับ A.M. Best ในระดับ “A” (ยอดเยี่ยม) ส่วนสมาคม Starr's Lloyd's นั้นได้รับการจัดอันดับ Standard & Poor's ในระดับ “A+” (แข็งแกร่ง)

เยี่ยมเยียนเราได้ที่ www.starrcompanies.com หรือติดตามที่ LinkedIn และ X

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
ติดต่อ

Charlie Armstrong
รองประธานฝ่ายการตลาด
charlie.armstrong@starrcompanies.com, 646.758.8308

แหล่งที่มา: Starr Insurance

Xsolla เปิดตัวระบบควบคุมโดยผู้ปกครองที่รับประกันความเป็นส่วนตัวจาก COPPA และ GDPRkids™ ซึ่งจะช่วยให้นักพัฒนาสามารถดำเนินการกลยุทธ์การขายตรงถึงผู้บริโภคโดยเป็นไปตามข้อกำหนด

Logo

LOS ANGELES–(BUSINESS WIRE)–28 ตุลาคม 2024

Xsolla บริษัทเกมพาณิชย์ระดับโลกที่จำหน่ายวิดีโอเกม มีความภูมิใจที่จะแนะนำโซลูชันระบบควบคุมโดยผู้ปกครอง ซึ่งผ่านการรับรอง COPPA (Children's Online Privacy Protection Rule) พร้อมรับประกันความเป็นส่วนตัวจาก GDPRkids™ Xsolla มาพร้อมโซลูชันเชิงบูรณาการสำหรับนักพัฒนาเกมเพื่อปกป้องเกมเมอร์รุ่นเยาว์ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถจัดการและควบคุมการเข้าถึงการชำระเงินดิจิทัลของบุตรหลานได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าธุรกรรมจะปลอดภัย

(Graphic: Xsolla)

(กราฟิก: Xsolla)

เมื่อนักพัฒนาเริ่มนำกลยุทธ์การขายตรงถึงผู้บริโภคมาใช้ เช่น ร้านค้าออนไลน์ เพื่อส่งเสริมการขายบนแพลตฟอร์ม โดยพวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนด ในขณะที่แพลตฟอร์มต้องจัดการกับปัญหาด้านกฎระเบียบต่างๆ เกมที่ขายตรงถึงผู้บริโภคจะต้องรับมือกับความซับซ้อนที่เกิดขึ้นในแพลตฟอร์ม และกลายเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากคณะกรรมการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (FTC) มีการดำเนินการกับนักพัฒนาเกมและผู้ให้บริการเนื้อหาดิจิทัลหลายรายที่ละเมิด COPPA (Children's Online Privacy Protection Act)

การปฏิบัติตามมาตรฐานทางกฎหมาย เช่น COPPA และ GDPR เพื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดของเขตอำนาจศาลในทุกประเทศ เน้นย้ำถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับโซลูชันระบบควบคุมโดยผู้ปกครองที่มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มที่ผู้เล่นอายุน้อยมีความเสี่ยงในการใช้จ่ายมากเกินไป Xsolla จึงได้พัฒนาชุดเครื่องมือระบบควบคุมโดยผู้ปกครองที่แข็งแกร่ง โดยร่วมมือกับ PRIVO เมื่อปีที่แล้ว

คุณสมบัติหลักของระบบควบคุมโดยผู้ปกครอง Xsolla ได้แก่:

  • การกำหนดอายุ: ตรวจสอบอายุของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้แน่ใจในการปฏิบัติตามกฏระเบียบ และปกป้องผู้เยาว์จากธุรกรรมที่ไม่ได้รับการอนุญาต
  • การยินยอมของผู้ปกครองและการแจ้งเตือนและการอนุมัติแบบเรียลไทม์: อนุญาตให้ผู้ปกครองได้รับการแจ้งเตือนทางอีเมลหรือ SMS ทันทีเพื่ออนุมัติหรือปฏิเสธธุรกรรมที่ผู้เยาว์ดำเนินการ ช่วยให้สามารถรักษาความปลอดภัยและมีการควบคุมเพิ่มอีกชั้นหนึ่ง
  • ประวัติการทำธุรกรรมที่ครอบคลุม: ตัวเลือกนี้จะแสดงธุรกรรมทั้งหมดในบัญชี Xsolla ของผู้ปกครอง ช่วยแสดงความโปร่งใสและง่ายต่อการตรวจสอบ
  • ขีดจำกัดการใช้จ่าย: อนุญาตให้ผู้ปกครองกำหนดขีดจำกัดการใช้จ่ายและการอนุญาตที่เฉพาะเจาะจงสำหรับผู้เยาว์ โดยสามารถปรับแต่งประสบการณ์เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของครอบครัว

Anton Zelenin ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Fintech ที่ Xsolla แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปิดตัวในครั้งนี้ว่า: “ที่ Xsolla เราเชื่อว่าการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับเกมเมอร์รุ่นเยาว์นั้นเป็นสิ่งสำคัญ ระบบควบคุมโดยผู้ปกครองที่ผ่านการรับรอง COPPA ของเราช่วยให้ผู้ปกครองและนักพัฒนามีอำนาจโดยการรับรองความโปร่งใสและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมเกี่ยวกับเกม เราทุ่มเทเพื่อช่วยให้นักพัฒนนาปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฏระเบียบ พร้อมสร้างความอุ่นใจให้กับครอบครัว”

โซลูชันระบบควบคุมโดยผู้ปกครองของ Xsolla ช่วยให้นักพัฒนาเกมสามารถปฏิบัติตามกฏระเบียบระดับโลกได้ พร้อมทั้งให้ผู้ปกครองสามารถมองเห็นและควบคุมธุรกรรมในเกมได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการผสานรวมฟีเจอร์นี้ Xsolla จึงสามารถแก้ไขปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการปกป้องเด็กๆ จากการซื้อที่ไม่ได้รับการอนุญาตหรือมากเกินไป ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการเล่นเกมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับทุกครอบครัวทั่วโลก

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบควบคุมโดยผู้ปกครองของ Xsolla และวิธีที่สามารถเพิ่มความปลอดภัยในการชำระเงินและการปฏิบัติตามข้อกำหนดในเกมของคุณได้ที่ Xsolla | บล็อก Xsolla

เกี่ยวกับ Xsolla

Xsolla เป็นบริษัทการค้าเกมวิดีโอระบบโลกที่มีชุดเครื่องมือและบริการที่แข็งแกร่งและทรงพลัง ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรม ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 Xsolla ได้ช่วยให้นักพัฒนาเกมและผู้จัดจำหน่ายเกมหลายพันรายในทุกขนาดการระดมทุน ทำการตลาด เปิดตัว และสร้างรายได้จากเกมทั่วโลกและบนแพลตฟอร์มต่างๆ ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมในการค้าเกม ภารกิจของ Xsolla คือการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนโดยธรรมชาติของการจัดจำหน่าย การตลาด และการสร้างรายได้ทั่วโลก เพื่อช่วยให้พันธมิตรของเราสามารถเข้าถึงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ได้มากขึ้น สร้างรายได้สูงขึ้น และสร้างความสัมพันธ์กับเกมเมอร์ทั่วโลก โดยมีสำนักงานใหญ่และจดทะเบียนที่ลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย และมีสำนักงานอยู่ที่ลอนดอน เบอร์ลิน โซล ปักกิ่ง กัวลาลัมเปอร์ ราลี โตเกียว มอนทรีออล และเมืองต่างๆ ทั่วโลก Xsolla ให้การสนับสนุนพันธมิตรด้านเกมชั้นนำ เช่น Valve, Twitch, Epic Games, Take-Two, KRAFTON, Nexters, NetEase, Playstudios, Playrix, miHoYo และอื่นๆ อีกมากมาย

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ xsolla.com

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:

https://www.businesswire.com/news/home/54140843/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Derrick Stembridge
Global Director of Public Relations, Xsolla
d.stembridge@xsolla.com

แหล่งข้อมูล: Xsolla

NIQ เปิดตัวโซลูชันแบบจำลองส่วนประสมการตลาด พร้อมขยายธุรกิจด้านสื่อ

Logo

  • ข้อมูลระดับร้านค้าที่ละเอียดและเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะ ที่ดีที่สุดในวงการ
  • ความเชี่ยวชาญอิสระระดับสากล พร้อมฐานการดำเนินงานในพื้นที่ ในกว่า 75 ประเทศ
  • การบูรณาการข้อมูลสื่อดิจิทัลที่ไร้รอยต่อ ผ่านความร่วมมือกับผู้ให้บริการสื่อชั้นนำ

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

NIQ บริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคระดับสากลชั้นนำ ประกาศเปิดตัวโซลูชันแบบจำลองส่วนประสมการตลาด (Marketing Mix Modeling : MMM) เพื่อช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกสามารถบริหารการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดได้ดียิ่งขึ้น การเปิดตัวครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายธุรกิจด้านสื่อระดับสากลของ NIQ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการนำเสนอ Full View™ (มุมมองแบบรอบด้าน) และเสริมความแข็งแกร่งด้านการตลาดให้กับลูกค้า ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมกว่า 75 ประเทศ MMM ของ NIQ วางอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลระดับร้านค้าที่เชื่อถือได้และเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะ ที่ขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรมและการวิเคราะห์กว่า 100 ปี

ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนนับจากการขยายธุรกิจ MMM ของ NIQ ขณะนี้มีโครงการที่ดำเนินการอยู่กับลูกค้ามากกว่า 30 รายทั่วโลก ครอบคลุมภาคธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งผู้ค้าปลีก ผู้ให้บริการสื่อ และผู้ผลิตจากบริษัทในกลุ่ม Fortune 500

เพิ่มผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ด้วยวิธีการที่พิสูจน์แล้วและโซลูชันชั้นนำ :

  • NIQ นำเสนอมุมมองแบบรอบด้าน Full View™ : ครอบคลุมข้อมูลในระดับโลก ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลการขาย ณ จุดขายระดับร้านค้า และข้อมูลสื่อดิจิทัล เพื่อข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและนำไปสู่การดำเนินการได้จริง
  • การบูรณาการข้อมูลสื่อแบบไร้รอยต่อ : บูรณาการข้อมูลผ่านความร่วมมือที่ปลอดภัยต่อความเป็นส่วนตัวกับผู้ให้บริการสื่อชั้นนำและระบบเชื่อมต่อข้อมูลโดยตรง
  • การผสานความเชี่ยวชาญด้านการตลาดเข้ากับความเป็นเลิศด้านการให้คำปรึกษา :
    • ทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านและทีมวิทยาศาสตร์การตลาดทั้งในระดับสากลและในพื้นที่
    • แบบจำลองข้อมูลที่ละเอียดเป็นเอกลักษณ์ ที่ช่วยปรับผลกระทบของการตลาดทั้งแบบ Below the Line (BTL) และ Above the Line (ATL) ให้เหมาะสมที่สุด
    • มอดูลสำหรับวัดผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวของสื่อ รวมถึงเฮโลเอฟเฟกต์ (Halo effect) ในทุกผลิตภัณฑ์
    • วัดการเพิ่มขึ้นของยอดขายจากแคมเปญสื่อและพื้นที่เฉพาะ เพื่อประเมินประสิทธิภาพ
    • แอปพลิเคชันที่มุ่งเน้นอนาคตบนคลาวด์ ที่ช่วยในการจำลองสถานการณ์และปรับแต่งแผนสื่อให้เหมาะสมที่สุด

“เรารู้สึกตื่นเต้นกับการขยายธุรกิจครั้งนี้ เราได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในแผนกสื่อของเรา NIQ มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี ในการนำเสนอโซลูชันด้านการตลาดและการวิเคราะห์ที่ดีที่สุดในวงการ โดยอาศัยข้อมูลระดับโลกที่เหนือชั้น ทีมผู้เชี่ยวชาญ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแบรนด์ของลูกค้า เราประสบความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือกับผู้ให้บริการสื่อชั้นนำ และจะยังคงลงทุนในแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ รวมถึงขยายการครอบคลุมและฐานข้อมูลเพื่อนำเสนอโซลูชันการวัดผลด้านการตลาดระดับโลกให้กับลูกค้าของเรา” Lana Busignani ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายสื่อระดับโลก ของ NIQ กล่าว

การเปิดตัว MMM ในฐานะส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอด้านสื่อของ NIQ สอดคล้องกับพันธกิจของเราในการมอบความเข้าใจที่ครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับผู้บริโภค และช่วยให้ลูกค้าสามารถแปลงข้อมูลเชิงลึกไปสู่การดำเนินการได้จริง นอกจากนี้ เรายังได้ขยายบริการให้ครอบคลุมการทดสอบตลาดแบบจับคู่ (Matched Market Testing : MMT) ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถวัดผลกระทบด้านยอดขายของแคมเปญสื่อในสภาพแวดล้อมจริงก่อนเริ่มใช้งานจริง NIQ จะยังคงพัฒนาโซลูชันสนับสนุนผ่านระบบนิเวศข้อมูลที่สมบูรณ์ เทคโนโลยีชั้นนำ ความสามารถด้าน AI และความเชี่ยวชาญ เพื่อผลักดันการเติบโตให้กับลูกค้าและพันธมิตรค้าปลีกของเรา

เกี่ยวกับ NIQ :

NIQ เป็นบริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคระดับสากลชั้นนำ ที่มอบความเข้าใจที่ครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคและเผยเส้นทางในการเติบโตใหม่ ๆ ในปี 2023 NIQ ได้ควบรวมกิจการกับ GfK เป็นการรวมสองผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีเครือข่ายระดับสากล ซึ่งไม่มีใครเทียบได้ ปัจจุบัน NIQ ดำเนินงานในกว่า 95 ประเทศ ครอบคลุม 97% ของ GDP โลก NIQ ใช้ข้อมูลค้าปลีกแบบองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคที่ครอบคลุมที่สุด ผสานเข้ากับการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ทันสมัย เพื่อนำเสนอมุมมองแบบรอบด้าน Full View™

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม www.niq.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ :
Sweta Patra
Sweta.patra@nielseniq.com

แหล่งที่มา : NIQ

Xsolla ขยายโซลูชั่นการชำระเงินครั้งใหญ่ในกัมพูชาและอินโดนีเซียเพื่อให้นักพัฒนาเกมเข้าถึงตลาดท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทั่วถึง

Logo

Xsolla เปิดตัววิธีการชำระเงินในประเทศใหม่ 8 แบบในกัมพูชาและตัวเลือกการชำระเงินใหม่ 12 แบบในอินโดนีเซีย เพื่อช่วยให้นักพัฒนาเกมเข้าถึงตลาดที่กำลังเติบโตทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ลอสแองเจลิส–(Business Wire)–24 ตุลาคม 2024

Xsolla บริษัทพาณิชย์วิดีโอเกมระดับโลก ดีใจที่ได้เปิดตัวการขยายโซลูชั่นการชำระเงินในกัมพูชาและอินโดนีเซีย ทำให้ผู้ใช้ในทั้งสองประเทศนี้มีวิธีการชำระเงินในประเทศที่ออกแบบมาเป็นพิเศษและเหมาะกับแต่ละภูมิภาค โครงการริเริ่มนี้สอดคล้องกับแผนการใหญ่ของ Xsolla ที่มุ่งเป้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับการดำเนินงานของบริษัททั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) และสนับสนุนให้นักพัฒนาเกมสามารถสร้างรายได้และจัดจำหน่ายเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเหล่านี้

(Graphic: Xsolla)

(ภาพประกอบ: Xsolla)

Xsolla เปิดตัววิธีการชำระเงินใหม่ 8 แบบในกัมพูชา ซึ่งประกอบด้วยตัวเลือกการโอนเงินผ่านธนาคารทางอินเทอร์เน็ตและดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งออกแบบมาให้เหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ชาวกัมพูชา การขยายตัวเชิงกลยุทธ์นี้ครอบคลุมตลาดการชำระเงินมากถึง 90% ช่วยให้ผู้เล่นเกือบทุกรายในกัมพูชาสามารถชำระเงินโดยใช้วิธีที่ตนต้องการได้ ตัวอย่างเช่น Bakong KHQR ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินที่ใช้รหัส QR ครองส่วนแบ่งการตลาด 45% ในขณะที่ Acleda Bank มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 15% เนื่องจากกัมพูชามีแรงหนุนจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกรรมการชำระเงินดิจิทัลพุ่งสูงขึ้น 28.7% โซลูชั่นทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งรวมถึง Wing Money, Pi Pay และอื่นๆ จะช่วยให้นักพัฒนาเกมเข้าถึงผู้เล่นเกมในประเทศได้มากเกือบ 2 ล้านคน ซึ่งช่วยให้ผู้เล่นชำระเงินกันได้สะดวกมากขึ้นและเป็นการกระตุ้นยอดขาย

ส่วนในฝั่งอินโดนีเซีย Xsolla กำลังเปิดตัววิธีการชำระเงินแบบใหม่หลากหลายรูปแบบเพื่อช่วยให้นักพัฒนาเกมเข้าสู่ตลาดเกมขนาดใหญ่ยักษ์ของประเทศ ซึ่งมีเกมเมอร์มากกว่า 185 ล้านคนจากประชากรทั้งหมด 275 ล้านคน ผู้บริโภคประมาณ 80% ในอินโดนีเซียไม่มีบัญชีธนาคารหรือมีธนาคารไม่เพียงพอ และเพราะชาวอินโดนีเซียใช้สมาร์ทโฟนในอัตราที่พุ่งสูงมากขึ้นถึง 80% วิธีการชำระเงินแบบทางเลือกหรือ APM จึงเป็นตัวเลือกที่ต้องการมากที่สุดในอินโดนีเซีย เมื่อนำ APM มาใช้ประโยชน์ Xsolla จะสามารถครอบคลุมตลาดได้สูงสุดถึง 90% ซึ่งรวมถึงกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีสัดส่วน 39% ของตลาด การโอนเงินผ่านธนาคาร 27% บัตร 17% และเงินสด 11% แพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น ShopeePay, Jenius และ Akulaku ถือเป็นตัวเลือกการชำระเงินรูปแบบใหม่ที่ช่วยลดความยุ่งยากในการทำธุรกรรมสำหรับเกมเมอร์ชาวอินโดนีเซีย และเพิ่มการเข้าถึงตลาดให้กับนักพัฒนาเกมในหนึ่งในตลาดดิจิทัลที่เติบโตรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

“ความมุ่งมั่นของ Xsolla ในการส่งเสริมให้นักพัฒนาเกมเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ถือเป็นเป้าหมายหลักในภารกิจของเรา การเปิดตัววิธีการชำระเงินในประเทศในกัมพูชาและอินโดนีเซียทำให้เราส่งต่อเครื่องมือที่จำเป็นให้กับพาร์ทเนอร์ของเรา เพื่อให้ประสบความสำเร็จในโลกแห่งการเล่นเกมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ การขยายตัวครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างต่อเนื่องของเราที่ต้องการสนับสนุนนักพัฒนาทั่วโลกและช่วยให้พวกเขาเอาชนะความท้าทายในเรื่องการชำระเงิน” Chris Hewish, Chief Strategy Officer ของ Xsolla กล่าว

คาดกันว่าตลาดเกมในกัมพูชาคาดจะเติบโตถึง $75.21 ล้านในปี 2027 โดยเกมมือถือมีสัดส่วนรายได้ 66% เมื่อปี 2023 ในอินโดนีเซีย การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเปิดโอกาสครั้งสำคัญให้กับนักพัฒนาเกม โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นได้ผ่านโซลูชั่นการชำระเงินในประเทศที่ลดความยุ่งยากและเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทำธุรกรรม

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชั่นการชำระเงินของ Xsolla และวิธีที่โซลูชั่นเหล่านี้สามารถยกระดับกลยุทธ์การสร้างรายได้ของคุณในกัมพูชา อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ โปรดไปที่ xsolla.pro/psrw

เกี่ยวกับ Xsolla

Xsolla เป็นบริษัทพาณิชย์วิดีโอเกมระดับโลกซึ่งมีชุดเครื่องมือและบริการที่แข็งแกร่งและทรงพลัง ซึ่งได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษให้เหมาะกับอุตสาหกรรมเกม Xsolla ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบริษัทก็ได้ช่วยให้นักพัฒนาเกมและผู้จัดจำหน่ายเกมหลายพันรายไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ระดมทุน ทำการตลาด เปิดตัว และสร้างรายได้จากเกมทั่วโลกและผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ มากมาย ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมในด้านการพาณิชย์เกม ภารกิจของ Xsolla คือการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนของการจัดจำหน่าย การตลาด และการสร้างรายได้ทั่วโลก เพื่อช่วยให้พาร์ทเนอร์ของเราเข้าถึงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ได้มากขึ้น สร้างรายได้มากขึ้น และสร้างความสัมพันธ์กับเกมเมอร์ทั่วโลกให้แน่นแฟ้นขึ้น Xsolla มีสำนักงานใหญ่และจดทะเบียนในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีสำนักงานในลอนดอน เบอร์ลิน โซล ปักกิ่ง กัวลาลัมเปอร์ ราลี โตเกียว มอนทรีออล และเมืองต่างๆ ทั่วโลก โดยให้การสนับสนุนแก่พาร์ทเนอร์บริษัทเกมชั้นนำต่างๆ เช่น Valve, Twitch, Epic Games, Take-Two, KRAFTON, Nexters, NetEase, Playstudios, Playrix, miHoYo และอื่นๆ อีกมากมาย

โปรดดูและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ xsolla.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54141666/en

ข้อมูลติดต่อ

Derrick Stembridge
Global Director of Public Relations, Xsolla
d.stembridge@xsolla.com

แหล่งข้อมูล: Xsolla

วิทยาลัยเฟลตเชอร์ (Fletcher) แห่งมหาวิทยาลัยทัฟต์ส (Tufts) เปิดตัวสายวิชาในหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การพัฒนาระหว่างประเทศ ที่ได้รับการกำหนดเป็นการศึกษาด้านสเตม (STEM)

Logo

หลักสูตรใหม่ให้ทักษะเชิงปริมาณขั้นสูงแก่นักศึกษาเพื่อรับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจระดับโลก

เมดฟอร์ด, แมสซาชูเซตส์–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

วิทยาลัยเฟลตเชอร์ (The Fletcher School) บัณฑิตวิทยาลัยด้านกิจการทั่วโลก แห่งมหาวิทยาลัยทัฟต์ส ได้เปิดตัวสายวิชาที่ได้รับการกำหนดเป็นการศึกษาด้านสเตม ในหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การพัฒนาระหว่างประเทศ (International and Development Economics : IDE) ภายใต้หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิตสาขากฎหมายและการทูต (Master of Arts in Law and Diplomacy : MALD) อันทรงเกียรติ สายวิชาใหม่ที่มีชื่อว่า MALD : IDE นี้ ได้ผสานการศึกษาเศรษฐศาสตร์เชิงปริมาณและเศรษฐมิติ (econometrics) เข้ากับการศึกษาการพัฒนาระหว่างประเทศ เป็นการให้เครื่องมือที่ก้าวล้ำแก่นักศึกษา เพื่อการจัดการกับปัญหาด้านเศรษฐกิจที่สำคัญต่าง ๆ

สายวิชา MALD : IDE เพิ่มการมุ่งเน้นด้านวิธีการเชิงปริมาณเข้าไปในหลักสูตร MALD แบบสหวิทยาการ นักศึกษาสามารถเลือกเน้นเฉพาะทางได้ ทั้งด้านการค้าและการเงินระหว่างประเทศ (International Trade & Finance) หรือการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) หลักสูตรประกอบด้วยวิชาที่จำเป็นด้านสถิติเศรษฐศาสตร์ เศรษฐมิติ และการสร้างแบบจำลองทั้งทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาค วิชาเหล่านี้เตรียมความพร้อมเพื่อให้บัณฑิตสามารถวิเคราะห์เศรษฐกิจขั้นสูงและพัฒนาแนวทางแก้ไขเชิงนโยบายสำหรับภาครัฐและเอกชนได้

ในฐานะของสายวิชาที่ได้รับการกำหนดเป็นการศึกษาด้านสเตม สายวิชา MALD : IDE เปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างชาติสามารถสมัครขอรับการฝึกงานภาคปฏิบัติเพิ่มเติม (Optional Practical Training : OPT) ในสหรัฐอเมริกาได้อีกสองปี

บัณฑิตจากสายวิชา MALD : IDE จะสามารถ :

  • วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยใช้เทคนิคทางสถิติและเศรษฐมิติขั้นสูง
  • พัฒนาและประเมินนโยบายเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ เช่น การค้าระหว่างประเทศ การเงิน และการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • สื่อสารแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ซับซ้อนได้อย่างชัดเจน แก่ผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และผู้นำในภาคอุตสาหกรรม

สายวิชานี้เป็นการขยายหลักสูตรที่ได้รับการกำหนดเป็นการศึกษาด้านสเตมของวิทยาลัยเฟลตเชอร์ ซึ่งรวมถึงปริญญามหาบัณฑิต สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ : ด้านวิธีการเชิงปริมาณ (Master's in International Business : Quantitative Methods หรือ MIB : QM) ที่มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้างแบบจำลองทางการเงิน เพื่อจัดการกับความท้าทายทางธุรกิจที่ซับซ้อนในตลาดโลก และปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และนโยบายสาธารณะ (Master of Science in Cybersecurity & Public Policy : CSPP) ซึ่งฝึกอบรมนักศึกษาให้จัดการกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และนโยบายดิจิทัล

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตร MALD-IDE ของวิทยาลัยเฟลตเชอร์ได้ที่นี่

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิทยาลัยเฟลตเชอร์

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Tully Sullivan
tully.sullivan@tufts.edu

ก้าวสู่เวทีระดับโลก: AITO จัดแสดงรถยนต์ SUV อัจฉริยะระดับไฮเอนด์ที่งาน Paris Motor Show 2024

Logo

AITO เข้าร่วมงาน Paris Motor Show ครั้งที่ 90 โดยนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์รุ่นล่าสุดภายใต้แนวคิด “Intelligence Redefining Luxury” ซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงรถยนต์ 3 รุ่น ได้แก่ AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ซึ่งเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่าง “ความหรูหราแบบดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” ของแบรนด์ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีขั้นสูง การขับขี่อัจฉริยะ และคุณสมบัติความปลอดภัยที่ครอบคลุม โดยสะท้อนถึงความอเนกประสงค์สำหรับสถานการณ์การขับขี่ที่แตกต่างกัน การมาถึงของ AITO ในงานแสดงสินค้า ณ กรุงปารีสนี้เป็นจุดสิ้นสุดของ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ซึ่งเป็นการเดินทางยาวนาน 38 วันในระยะทางประมาณ 15,000 กิโลเมตร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของรถยนต์ของแบรนด์

ปารีส–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

AITO แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์ เข้าร่วมงาน Paris Motor Show 2024 โดยจัดแสดงรถยนต์ไฟฟ้าระบบขยายระยะ (REEVs) ระดับหรู 3 รุ่น โดยผสมผสาน “ความหรูหราดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” เข้าด้วยกัน AITO เปิดตัวแนวคิดหรูหราใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางอัจฉริยะชั้นนำให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก AITO นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมต่างๆ เช่น AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 พร้อมด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF และเทคโนโลยีตัวขยายระยะทางพิเศษ ซึ่งเปิดตัวภายใต้แนวคิด “Intelligence Redefining Luxury”

Eurasian Tour with AITO (Photo: Business Wire)

ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO (ภาพ: Business Wire)

“ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” เป็นการเดินทางสำรวจระยะทางประมาณ 15,000 กิโลเมตรจากโรงงาน AITO ในเมืองฉงชิ่งก่อนที่ AITO จะมาถึงงาน Paris Motor Show โดยการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของรถ AITO รุ่นต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและท้าทาย ตั้งแต่บริเวณโรงงานไปจนถึงงานแสดงรถยนต์ ขบวนรถซึ่งประกอบด้วยรถยนต์ AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 เดินทางผ่าน 12 เมืองเป็นเวลา 38 วัน โดยมีเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะของ AITO ที่จัดการกับระยะทางกว่า 8,800 กิโลเมตร เพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ตลอดการเดินทาง

AITO 9 ซึ่งเป็นรถยนต์ SUV อัจฉริยะรุ่นเรือธงที่ใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากระหว่างการเดินทาง โดยต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสภาพถนนที่เลวร้าย อุณหภูมิที่รุนแรง และภูมิประเทศที่ยากลำบาก ตั้งแต่ภูเขาสูงไปจนถึงทะเลทรายที่แห้งแล้ง ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ครอบคลุม ความสามารถของ AITO 9 จึงได้รับทดสอบอย่างเข้มงวดในหลายมิติ AITO 9 ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคและตลาด โดยมียอดสั่งซื้อสะสมกว่า 140,000 คัน และส่งมอบแล้ว 100,000 คันภายในระยะเวลา 9 เดือนหลังจากเปิดตัว จนทำให้ขณะนี้ AITO 9 มียอดขายอยู่ในอันดับ 3 เมื่อเทียบกับรุ่นที่มีราคาสูงกว่า 60,000 ยูโรในตลาดรถหรูของจีน

AITO 7 เป็นรถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ที่เน้นความสะดวกสบายและปรับให้เข้ากับสถานการณ์การเดินทางของครอบครัวอย่างราบรื่น รถยนต์รุ่นนี้ได้รับคำชมอย่างมากใน “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ในเรื่องของความกว้างขวางและความสะดวกสบาย โดยมาพร้อมเบาะนั่งแบบไร้แรงโน้มถ่วง พร้อมด้วยฟังก์ชันนวดที่นั่งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าระหว่างการเดินทาง รถคันนี้ผลิตจากเหล็กที่ขึ้นรูปด้วยความร้อนระดับเดียวกับที่ใช้ในเรือดำน้ำ โดยมาพร้อมกับถุงลมนิรภัย 8 จุดเป็นมาตรฐาน และแบตเตอรี่ที่มีฉนวนกันความร้อนเกรดการบิน 5 ชั้นเพื่อความปลอดภัยภายใต้ทุกสภาวะ

AITO 5 เป็นรถสปอร์ต SUV ขนาดกลางที่มีสไตล์สำหรับการขับขี่ในเมืองและมอบสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม โดดเด่นด้วยการออกแบบสไตล์สปอร์ตพร้อมรูปทรงที่สะอาดตาและทรงพลัง ผลิตจากโครงสร้างอะลูมิเนียมอัลลอยด์ทั้งหมด พร้อมปีกนกคู่ที่ด้านหน้าและระบบกันสะเทือนอิสระแบบมัลติลิงก์ด้านหลัง ซึ่งช่วยให้การควบคุมรถยอดเยี่ยมขณะที่ยังมีโครงสร้างน้ำหนักเบา สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 5 วินาที AITO 5 มอบสมรรถนะที่น่าประทับใจในระหว่างการเดินทางผ่านยุโรปตะวันออก ทีมงานได้สัมผัสกับช่วงเวลาที่เร้าใจหลังพวงมาลัย ในด้านฟีเจอร์อัจฉริยะ รถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับระบบช่วยการขับขี่ รวมถึงฟังก์ชันการจอดอัตโนมัติ การช่วยจอดจากระยะไกล และการถอยหลังแบบติดตาม เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่

ประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์อันยอดเยี่ยมของ AITO ขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF ที่มีความหลากหลายและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเพียงหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมที่สามารถรองรับตัวเลือกพลังงานแบบขยายระยะทางพิเศษ พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ และพลังงานไฮบริดอัลตรา โดยมีคุณสมบัติหลัก 4 ประการ ได้แก่ ความปลอดภัยอัจฉริยะ ระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย พื้นที่ห้องโดยสารที่ปรับเปลี่ยนได้ และเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับชั้นนำ แพลตฟอร์มนี้เป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีตัวขยายระยะทางพิเศษ ด้วยประสิทธิภาพความร้อนที่น่าประทับใจที่ 45% และอัตราการแปลงเชื้อเพลิงเป็นไฟฟ้าชั้นนำในอุตสาหกรรมที่ 3.65 kWh/L เทคโนโลยีขยายระยะทางพิเศษจะปรับสมดุลพลังงานไฟฟ้าแบบ NVM ที่ปรับให้เหมาะสม เพื่อการขับขี่ในเมืองที่ราบรื่นและเงียบสงบ พร้อมกับการเติมเชื้อเพลิงระยะไกล นอกจากนี้ยังปรับกลยุทธ์การสร้างพลังงานตามพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการผสมผสานที่เหมาะสมระหว่างความสะดวกสบายและความประหยัดอีกด้วย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54135079/en

ข้อมูลติดต่อ

Joanna Gong
gongqiong@dsconsulting.com

ที่มา: AITO




จากพื้นโรงงานถึงงานแสดงรถ: ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” เดินทางถึงปารีส

Logo

AITO ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์จากประเทศจีน นำความหรูหราแบบดั้งเดิมมาผสมผสานเข้ากับความหรูหราทางเทคโนโลยีเพื่อมอบประสบการณ์ในการเดินทางแบบอัจฉริยะแก่ผู้บริโภคทั่วโลก ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ซึ่งประกอบด้วย AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ได้เดินทางเป็นเวลา 38 วันซึ่งกินระยะทางถึง 15,000 กิโลเมตรจากเมืองฉงชิ่งสู่ปารีสเพื่อแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของรถที่มีทั้งความยอดเยี่ยมและเชื่อถือได้ โดย AITO ได้แสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีภายใต้ธีม “ความอัจฉริยะที่นิยามถึงความหรูหรา” ซึ่งประกอบด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเทคโนโลยี Super Range-extender ในงาน Paris Motor Show ปี 2024

ปารีส–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

จากพื้นโรงงานถึงงานแสดงรถ ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับAITO” ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์รุ่น AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ได้เดินทางข้ามจากเอเชียถึงยุโรปเป็นระยะทางถึง 15,000 กิโลเมตรใน 38 วัน ผ่าน 12 ประเทศก่อนที่จะเข้าสู่ปารีสเพื่อร่วมงาน Paris Motor Show ครั้งที่ 90

Press Conference (Photo: Business Wire)

งานแถลงข่าว (ภาพ: Business Wire)

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา AITO ได้แสดงไลน์อัปผลิตภัณฑ์ชั้นนำของอุตสาหกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีภายใต้ธีม “ความอัจฉริยะที่นิยามถึงความหรูหรา” แก่ผู้ชมทั่วโลก โดยมี AITO 9 คันพิเศษหนึ่งเดียวซึ่งเป็นสมาชิกหลักของขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ร่วมแสดงในงานด้วย การเดินทางอันยาวนานจากเมืองฉงชิ่งสู่ปารีสของรถแบรนด์นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของรถยนต์ AITO รุ่นต่างๆ ในสภาพถนนที่มีความซับซ้อนและในสภาพแวดล้อมสุดหฤโหด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภูมิภาคที่มีโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จไฟที่จำกัด แน่นอนว่าการรักษาแหล่งพลังที่เชื่อถือได้เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยากที่สุดสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ในระหว่างทริป “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ที่กินเวลานานนี้ แต่เทคโนโลยี Range-extender ของ AITO ก็สามารถเอาชนะข้อจำกัดในการชาร์จไฟไปพร้อมๆ กับมอบประสบการณ์ในการขับขี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยเทคโนโลยีนี้แก้ปัญหาความกังวลเรื่องระยะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้สามารถขับขี่ได้ไกลเป็นพิเศษ คุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุม อาทิเช่น โครงสร้างตัวถังที่แข็งแรง ฉนวนแบตเตอรี่ 5 ชั้น และฟังก์ชันความปลอดภัยเชิงรุกถึง 20 ฟังก์ชัน ช่วยให้ตลอดการเดินทางในครั้งนี้มีความปลอดภัยบนท้องถนนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

เทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะของ AITO ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความจำเป็นในการลดภาระและความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่เมื่อต้องเดินทางไกล โดยเข้ามาช่วยจัดการการขับขี่ถึง 8,800 กิโลเมตรจากระยะทางทั้งหมด 15,000 กิโลเมตร ยิ่งไปกว่านั้น ระบบจอดอัจฉริยะของ AITO ยังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่หลากหลาย โดยมีโหมดจอดรถหลากหลายโหมดให้เลือกใช้ ซึ่งสามารถขับผ่านพื้นที่จอดรถแคบๆ ได้สบาย และด้วยโหมดช่วยจอดรถระยะไกล ผู้ขับขี่สามารถเลือกจุดจอดแล้วปล่อยให้รถเข้าจอดเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งฟีเจอร์นี้เป็นฟีเจอร์ที่ผู้คนในท้องถิ่นให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องตลอดการเดินทาง

ประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์จาก AITO ล้วนมีรากฐานมาจากแพลตฟอร์ม AITO MF ที่มีความสามารถรอบด้านและได้รับการพัฒนาอยู่เสมอ ซึ่งมอบคุณสมบัติหลักๆ 4 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัยอัจฉริยะ ระบบส่งกำลังที่มีความหลากหลาย พื้นที่ห้องโดยสารที่ปรับเปลี่ยนได้ และระบบอัจฉริยะชั้นนำ แพลตฟอร์มนี้รองรับตัวเลือกด้านพลังงานหลายแบบ ได้แก่ ระบบไฟฟ้า Super Range-extended, ระบบไฟฟ้าแบตเตอรี่ และอัลตร้าไฮบริด อีกทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มเดียวในอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ร่วมกับระบบพลังงานใหม่ทั้ง 3 แบบ จึงให้ประสบการณ์ในการขับขี่ที่ “ขับสนุก สะดวกสบาย และปลอดภัย” แก่ผู้บริโภค

เทคโนโลยี Super Range-extender ที่ได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์ม AITO MF ให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อนเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นถึง 45% และมีอัตราการแปลงเชื้อเพลิงเป็นไฟฟ้าอยู่ที่ 3.65 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ลิตร เทคโนโลยีนี้ปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ขับขี่ได้ทุกประเภท ซึ่งจะให้พลังงานไฟฟ้าสำหรับการขับขี่ในเมือง และสามารถเติมเชื้อเพลิงสำหรับการเดินทางข้ามเมืองได้สะดวก การมอบ “สมรรถนะเท่ากันโดยใช้เชื้อเพลิงเพียงครึ่งเดียว” ให้พลังงานเทียบเท่ากับเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบ 3.0T ดั้งเดิม ประสบการณ์ในการขับขี่จะไม่ต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ซึ่งมาพร้อมกับห้องโดยสารที่เงียบ การเร่งความเร็วที่ราบรื่น และการบังคับรถที่ตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานภายนอกระหว่างตั้งแคมป์กลางแจ้งได้อีกด้วย เทคโนโลยีนี้ยังปรับแต่งการสร้างพลังงานตามพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้ โดยจะปรับ NVH (เสียงรบกวน การสั่นสะเทือน และความกระด้าง) และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงให้เหมาะสม เพื่อการเดินทางที่นุ่มนวลและประหยัดค่าใช้จ่าย

คุณภาพที่โดดเด่นของรถยนต์จาก AITO เกิดขึ้นจากการผลิตอัจฉริยะขั้นสูง AITO ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นกรรมสิทธิ์หลัก โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการเชื่อมต่ออุปกรณ์การผลิตกับข้อมูล ด้วยหุ่นยนต์มากกว่า 3,000 ตัวและกระบวนการสำคัญที่ใช้ระบบอัตโนมัติ 100% ช่วยให้โรงงานที่ล้ำสมัยมีการผลิตที่มีประสิทธิภาพในระดับแถวหน้าของอุตสาหกรรม โดยรองรับการผลิตที่ยืดหยุ่น โปร่งใส เป็นแบบอัตโนมัติ เชื่อมโยงถึงกัน และเป็นระบบอัจฉริยะ ในฐานะบริษัทแรกที่นำเครื่องจักรหล่อฉีดไดแคสต์ระดับ 10,000 ตันมาใช้ในการผลิต AITO รับประกันว่าการผลิตมีประสิทธิภาพ มีน้ำหนักเบา และปลอดภัย ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพและผลผลิตของผลิตภัณฑ์

ในฐานะแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์จากจีน AITO เป็นผู้บุกเบิกแนวหน้าด้านรถยนต์พลังงานใหม่อัจฉริยะ ซึ่งมาพร้อมกับแนวคิดด้านความหรูหราแบบใหม่ที่ผสมผสาน “ความหรูหราแบบดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” เพื่อมอบประสบการณ์ในการเดินทางแบบอัจฉริยะชั้นนำแก่ผู้บริโภคทั่วโลก

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54135078/en

ข้อมูลติดต่อ

Joanna Gong
gongqiong@dsconsulting.com

ที่มา: AITO





Thai Herald

Thai Herald