Medidata และ Cogstate ร่วมเป็นพันธมิตรทางกลยุทธ์เพื่อพลิกโฉมการทดลองทางคลินิกด้านระบบประสาท ด้วยการประเมินผลลัพธ์ทางคลินิก (eCOA) และโซลูชันสำหรับแพทย์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการวิเคราะห์ขั้นสูง

Logo

การทำงานร่วมกันที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ช่วยปรับปรุงการประเมินทางระบบประสาทและคุณภาพของข้อมูลปลายทาง ยกระดับประสบการณ์ของผู้ประเมินและผู้ป่วย และผสานนวัตกรรมจากแอป Medidata เข้ากับความสามารถของ Cogstate

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

Medidata แบรนด์ของ Dassault Systèmes และผู้ให้บริการโซลูชันการทดลองทางคลินิกรายใหญ่ในอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ประกาศความร่วมมือกับ Cogstate ผู้นำด้านโซลูชันระบบประสาท เพื่อปรับโฉมการทดลองทางคลินิกและการวัดผลลัพธ์สำหรับโรคในระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) ครอบคลุมโรคทางระบบประสาทเสื่อม โรคจิตเวช ความผิดปกติทางการเคลื่อนไหว และโรคพัฒนาการทางระบบประสาทหายากอื่นๆ

ทั้งสองบริษัทจะร่วมกันมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจาก Medidata eCOA (การประเมินผลลัพธ์ทางคลินิกแบบอิเล็กทรอนิกส์) ที่ช่วยให้ลูกค้าเริ่มการทดลองได้เร็วขึ้นและเพิ่มประสบการณ์ที่เหมาะสมสำหรับผู้ประเมิน ซึ่งรวมถึงการทำให้เส้นทางการประเมินของผู้ประเมินเป็นไปอย่างราบรื่นผ่านแอปบนอุปกรณ์มือถือเดียว และชุดโซลูชันการประกันคุณภาพข้อมูลที่ครอบคลุมสำหรับการประเมินระบบประสาทส่วนกลาง (CNS)

ความร่วมมือนี้ตอบโจทย์ความซับซ้อนของการทดลองทางคลินิกสำหรับระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) โดยการมอบแพลตฟอร์มแบบครบวงจรสำหรับการประเมินและการกำกับดูแล CNS ด้วยการผสานแพลตฟอร์มชั้นนำของอุตสาหกรรมจาก Medidata  เข้ากับการประเมินการรับรู้ทางดิจิทัลที่ผ่านการรับรอง การฝึกอบรมผู้ประเมินผู้เชี่ยวชาญ และโซลูชันการติดตามจาก Cogstate ความร่วมมือนี้จะช่วยให้การเก็บข้อมูลมีคุณภาพสูงขึ้น มีประสิทธิภาพ และแม่นยำมากยิ่งขึ้น

ด้วยการใช้ Medidata App ซึ่งเป็นโซลูชันบนมือถือที่ทรงพลังสำหรับการใช้งานในสถานที่ร่วมกับ Medidata Rave EDC และฟีเจอร์ Medidata eCOA ที่ออกแบบมาเพื่อการทดลอง CNS ผู้ประเมินจะสามารถจัดการการศึกษาได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เริ่มต้นการเข้าพบผู้ป่วย และดำเนินการประเมิน CNS ที่ซับซ้อนบนแท็บเล็ตในสถานที่ นอกจากนี้ แอปยังมีการเก็บข้อมูลที่พัฒนาขึ้น ซึ่งรวมถึงการควบคุมและการนำทางที่ดีขึ้น ตัวเลือกการจดบันทึกที่ยืดหยุ่น (พิมพ์ตัวอักษร เขียนด้วยมือ และบันทึกภาพจากโน้ตภายนอก) และฟีเจอร์บันทึกเสียงพร้อมการถอดความอัจฉริยะเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการให้คะแนนและลดภาระของผู้ประเมิน

ลูกค้ากลุ่มชีวเภสัชกรรมและผู้ประเมินจะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงการประเมิน ClinRO, ePRO และ PerfO ทั้งหมดผ่านอุปกรณ์เดียว ซึ่งรวมถึงชุดการประเมินดิจิทัลที่ผ่านการรับรองของ Cogstate ทำให้เห็นภาพรวมที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นของผลลัพธ์ของผู้ป่วย ผู้ประเมินเพียงแค่ทำการประเมิน CNS โดยข้อมูลจะถูกส่งตรงไปยัง Rave EDC และเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มการติดตามผู้ประเมินของ Cogstate เพื่อการตรวจทานที่ทันท่วงทีและการจัดการคำถามของผู้ประเมิน ช่วยให้เริ่มการทดลองได้เร็วขึ้น ตรวจสอบคุณภาพข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น และลดความซับซ้อนในกระบวนการสำหรับผู้ประเมิน

“ลักษณะเชิงอัตนัยของการประเมินผู้ป่วยและความเป็นไปได้ของความแปรปรวนของข้อมูลเป็นความท้าทายสำคัญในงานทดลองทางคลินิกของ CNS” Anthony Costello ซีอีโอของ Medidata กล่าว “ด้วยความพยายามร่วมกันของเรา โดยใช้ความเชี่ยวชาญเชิงลึกของ Medidata ในด้าน eCOA, AI และเซ็นเซอร์ จะทำให้เรายกระดับมาตรฐานคุณภาพข้อมูลปลายทางสูงสุด ทำให้การจัดตั้งการทดลอง CNS เป็นเรื่องง่ายขึ้น และใช้ระบบตรวจสอบอัตโนมัติในข้อความการประเมินผู้ป่วยเพื่อลดภาระของทีมวิจัยและลดความเสี่ยงของข้อผิดพลาดให้ได้มากที่สุด”

นอกเหนือจาก Medidata eCOA แล้ว ชุด CNS ของ Medidata ยังผสานเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ขั้นสูงและการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายเฉพาะของการทดลองเหล่านี้ โดยใช้ Medidata Sensor Cloud, AI และ myMedidata ทำให้นักวิจัยสามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลชีวภาพและพฤติกรรมได้อย่างหลากหลาย ผลที่ได้คือพวกเขาสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลลัพธ์ของผู้ป่วยได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันยังมอบประสบการณ์การทดลองทางคลินิกที่มุ่งเน้นผู้ป่วยสูงสุดผ่านพอร์ทัลเดียวตลอดชีวิต

“ความสามารถในการส่งมอบข้อมูลที่แม่นยำและเชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญต่อการทำความเข้าใจและการรักษาโรคทางระบบประสาทที่ซับซ้อน” Brad O’Connor ซีอีโอของ Cogstate กล่าว “การรวมกันอย่างมีกลยุทธ์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีอยู่ในความร่วมมือระหว่าง Cogstate และ Medidata จะช่วยให้เราสามารถนำเสนอนวัตกรรมคุณภาพข้อมูลที่ไม่เหมือนใคร เพื่อการตัดสินใจในงานทดลองทางคลินิกที่มีข้อมูลมากขึ้นและผลลัพธ์ที่ดีกว่าสำหรับผู้ป่วย”

Cogstate และ Medidata กำลังทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างวิธีการที่ทันสมัยในการใช้เทคโนโลยี CNS ยกระดับการเก็บข้อมูล และปรับปรุงเครื่องมือการประเมินผู้ป่วย

ผู้นำจาก Medidata และ Cogstate จะนำเสนอการบรรยายและการอภิปรายในงาน Medidata NEXT New York โดยจะแบ่งปันรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือรวมถึงความก้าวหน้าล่าสุดในการปรับปรุงการทดลองทางคลินิกของ CNS

เกี่ยวกับ Medidata

Medidata กำลังพัฒนาการรักษาที่ชาญฉลาดและส่งเสริมสุขภาพที่ดีขึ้นผ่านโซลูชันดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการทดลองทางคลินิก โดยเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำในกว่า 34,000 การทดลองและผู้ป่วย 10 ล้านคน Medidata มอบความเชี่ยวชาญชั้นนำในอุตสาหกรรม ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ และชุดข้อมูลการทดลองทางคลินิกระดับผู้ป่วยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนมากกว่า 1 ล้านคนจากลูกค้าประมาณ 2,200 รายไว้วางใจแพลตฟอร์มที่ไร้รอยต่อและครบวงจรของ Medidata เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ป่วย เร่งการค้นพบทางคลินิก และนำการรักษาออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น Medidata เป็นแบรนด์ของ Dassault Systèmes (Euronext Paris: FR0014003TT8, DSY.PA) ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์กและได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำโดย Everest Group และ IDC เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.medidata.com และติดตามเราได้ที่ @Medidata

เกี่ยวกับ Dassault Systèmes

Dassault Systèmes เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับความก้าวหน้าของมนุษย์ เราจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่ร่วมมือกันให้กับธุรกิจและผู้คนเพื่อจินตนาการถึงนวัตกรรมที่ยั่งยืน โดยการสร้างประสบการณ์เสมือนจริงของโลกจริงผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน 3DEXPERIENCE ของเรา ลูกค้าของเราสามารถนิยามกระบวนการสร้าง การผลิต และการจัดการวงจรชีวิตของข้อเสนอของพวกเขาใหม่ และมีผลกระทบที่มีความหมายในการทำให้โลกยั่งยืนมากขึ้น ความสวยงามของเศรษฐกิจประสบการณ์คือการที่มันเป็นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นมนุษย์เพื่อประโยชน์ของทุกคน ทั้งผู้บริโภค ผู้ป่วย และพลเมืองทั่วไป Dassault Systèmes นำคุณค่าให้กับลูกค้ามากกว่า 350,000 รายจากทุกขนาดในทุกอุตสาหกรรม มากกว่า 150 ประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม www.3ds.com

© Dassault Systèmes สงวนลิขสิทธิ์ 3DEXPERIENCE, โลโก้ 3DS, ไอคอนเข็มทิศ, IFWE, 3DEXCITE, 3DVIA, BIOVIA, CATIA, CENTRIC PLM, DELMIA, ENOVIA, GEOVIA, MEDIDATA, NETVIBES, OUTSCALE, SIMULIA และ SOLIDWORKS เป็นเครื่องหมายการค้าเชิงพาณิชย์หรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Dassault Systèmes บริษัทจากยุโรป (Societas Europaea) ที่จดทะเบียนตามกฎหมายฝรั่งเศส และจดทะเบียนกับทะเบียนการค้าและบริษัทของ Versailles ภายใต้หมายเลข 322 306 440 หรือบริษัทในเครือของบริษัทในสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ เครื่องหมายการค้าอื่นๆ ทั้งหมดเป็นของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง การใช้เครื่องหมายการค้าของ Dassault Systèmes หรือบริษัทในเครือต้องได้รับการอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัทเท่านั้น

เกี่ยวกับ Cogstate

Cogstate Ltd (ASX:CGS) เป็นบริษัทเทคโนโลยีทางระบบประสาทชั้นนำที่มุ่งเน้นการปรับปรุงการประเมินสุขภาพสมองเพื่อก้าวหน้าในการพัฒนายาใหม่และเพื่อให้สามารถมองเห็นข้อมูลเชิงคลินิกได้เร็วขึ้นในระบบสาธารณสุข เทคโนโลยีของ Cogstate ให้การทดสอบทางปัญญาที่ใช้คอมพิวเตอร์ซึ่งรวดเร็ว เชื่อถือได้ และมีความไวสูง พร้อมสนับสนุนโซลูชันการประเมินผลลัพธ์ทางคลินิกอิเล็กทรอนิกส์ (eCOA) เพื่อแทนที่การประเมินผลด้วยกระดาษที่มีค่าใช้จ่ายสูงและมีข้อผิดพลาดด้วยการเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ มากว่า 20 ปี ทาง Cogstate มีความภาคภูมิใจที่ได้สนับสนุนความต้องการในการวิจัยที่ทันสมัยของบริษัทชีวเภสัชกรรมและสถาบันการศึกษาชั้นนำ รวมถึงความต้องการการดูแลทางคลินิกของแพทย์และผู้ป่วยทั่วโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ Cogstate.com หรือติดตามเราบน LinkedIn และ Twitter

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ Medidata
Medidata.PR@3ds.com

นักวิเคราะห์สัมพันธ์
medidata.AR@3ds.com

ที่มา: Medidata.

Berkshire Partners ประกาศปิดระดมทุนครั้งที่ 11 โดยได้รับเงินทุนประมาณ 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

Logo

ถือเป็นการระดมทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติ 40 ปีของบริษัท

บอสตัน–(BUSINESS WIRE)–30 ตุลาคม 2024

Berkshire Partners (“Berkshire”) บริษัทหุ้นนอกตลาดในบอสตันที่มุ่งเต้นตลาดระดับกลางประกาศปิดระดมทุนครั้งที่ 11 (“การระดมทุนครั้งที่ 11”) ของ Berkshire ในวันนี้ โดยได้รับเงินทุนประมาณ 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นเงินทุนจำนวนมากที่สุดของ Berkshire นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 1986 การระดมทุนครั้งที่ 11 ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทางบริษัทเชื่อมั่นว่ายิ่งตอกย้ำถึงแรงสนับสนุนจากนักลงทุนต่อกลยุทธ์การลงทุนในตลาดระดับกลางของบริษัท

“เรารู้สึกขอบคุณที่ได้รับแรงสนับสนุนมากถึงระดับนี้จากสุดยอดกลุ่มนักลงทุนชั้นยอดระดับสากล ทั้งรายเดิมและรายใหม่ เนื่องจากอุปสงค์เกินปริมาณเงินทุนเป้าหมายเดิมของเราไปอีก” Mike Ascione ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ Berkshire Partners กล่าว “เราชื่อว่าผลดำเนินงานของทีมงานของเราที่สนับสนุนบริษัทในตลาดระดับกลางที่มีศักยภาพสูงให้พลิกโฉมไปสู่การเป็นผู้นำอย่างยั่งยืนทั่วทุกวงจรทางเศรษฐกิจนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่น และเราก็มั่นใจว่าเรามีความสามารถเหมาะสมที่จะนำเงินไปลงทุนและสร้างผลตอบแทนจำนวนมากภายในภาคส่วนที่เรามุ่งเป้าต่อไปได้”

ในฐานะบริษัทที่เชี่ยวชาญในหลายภาคส่วนที่มุ่งเน้นกับตลาดระดับกลาง Berkshire ตั้งกลยุทธ์เพื่อมุ่งเป้าไปที่โอกาสในการร่วมเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทที่ดำเนินงานอยู่ใน 4 ภาคส่วนอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ บริการและอุตสาหกรรม ผู้บริโภค การดูแลสุขภาพ ตลอดจนเทคโนโลยีและการสื่อสาร ความรู้ความเชี่ยวชาญของทีมลงทุนที่ตั้งมั่นตามเป้าหมายและปฏิบัติงานมาเป็นระยะเวลานานส่งผลให้บริษัทพร้อมระบุโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ รวมถึงใช้ทรัพยากรและเงินทุนที่จำเป็นเพื่อนำทางบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ให้ผ่านการขยับขยายและปรับปรุงการดำเนินงานทุกขั้นไปได้

Kirkland & Ellis LLP ปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายให้แก่ Berkshire Partners

เกี่ยวกับ Berkshire Partners
Berkshire Partners เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในหุ้นนอกตลาดและหุ้นในตลาดหลักทรัพย์หลายภาคส่วน โดยที่พนักงานถือสิทธิ์เป็นเจ้าของบริษัท 100% ทีมงานด้านหุ้นนอกตลาดของบริษัทลงทุนกับบริษัทต่าง ๆ ที่มีศักยภาพและกำลังเติบโตในธุรกิจบริการและอุตสาหกรรม ผู้บริโภค การดูแลสุขภาพ และเทคโนโลยีและการสื่อสาร นับตั้งแต่ก่อตั้ง Berkshire Partners ได้ลงทุนในหุ้นนอกตลาดมากกว่า 150 รายการและมีผลการดำเนินงานเด่นชัดที่แสดงให้เห็นถึงการร่วมมือกับทีมบริหารจัดการเพื่อพัฒนาบริษัทที่ตนลงทุนให้เติบโต กลุ่มหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทอย่าง Stockbridge ที่ก่อตั้งในปี 2007 มุ่งบริหารจัดการกลุ่มหลักทรัพย์ โดยแสวงหาการลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจ หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.berkshirepartners.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Greg Winter
Berkshire Partners
gwinter@berkshirepartners.com

แหล่งที่มา: Berkshire Partners

สุดยอดนวัตกรรมของ TIME ประจำปี 2024: โซลูชัน ForeverGone ของ Gradiant สำหรับการกำจัดและทำลายสารเคมี PFAS

Logo

ได้รับการขนานนามว่าเป็นโซลูชันครบวงจรเพียงโซลูชันเดียวแห่งอุตสาหกรรมที่จะกำจัด “สารเคมีตลอดการ” อย่าง PFAS โดยถาวรในแหล่งน้ำเขตเทศบาลและอุตสาหกรรม

บอสตัน–(BUSINESS WIRE)–30 ตุลาคม 2024

วันนี้ Gradiant ผู้นำระดับสากลด้านการบำบัดน้ำและน้ำเสียประกาศว่าเทคโนโลยี ForeverGone ของบริษัทได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมของ TIME ประจำปี 2024

Gradiant’s ForeverGone, named one of TIME’s Best Inventions of 2024, is the only all-in-one solution that permanently removes and destroys harmful PFAS chemicals on-site, offering safe, sustainable water treatment across industries. (Graphic: Business Wire)

ForeverGone ของ Gradiant ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนิตยสาร TIME ประจำปี 2024 และเป็นโซลูชันความสามารถครบครันตัวเดียวที่สามารถขจัดและกำจัดสารเคมี PFAS ที่เป็นอันตรายในสถานที่ต่างๆ ได้ ช่วยให้ทั่วอุตสาหกรรมได้มีระบบบำบัดน้ำที่ปลอดภัยและยั่งยืน (ภาพกราฟิกจาก Business Wire)

ForeverGone คือโซลูชันครบวงจรเพียงหนึ่งเดียวที่จะกำจัดและทำลายสารประกอบเปอร์- และโพลีฟลูออโรอัลคิล (PFAS) หรือที่เรียกว่า “สารเคมีตลอดกาล” ออกจากแหล่งน้ำปนเปื้อนในแหล่งน้ำอุตสาหกรรม เขตเทศบาล และสถานที่ฝังกลบขยะ โดยไม่เกิดความเสี่ยงที่สารเคมีอันเป็นพิษจะรั่วไหลออกไปสู่สภาพแวดล้อม การปนเปื้อนกับ PFAS ในแหล่งน้ำและระบบนิเวศเกี่ยวโยงกับโรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ และปัญหาด้านพัฒนาการ จึงกลายเป็นข้อกังวลทางสาธารณสุขทั่วโลก

ในแต่ละปี นิตยสาร TIME จะประกาศสุดยอดนวัตกรรม 200 รายการที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนทั่วโลก ผู้ชนะรางวัลผ่านการคัดเลือกมาจากการเสนอชื่อโดยบรรณาธิการและนักข่าวจากทั่วโลกของ TIME รวมถึงกระบวนการสมัคร โดยคัดเลือกจากความคิดริเริ่ม ประสิทธิภาพ ความมุ่งมั่น และผลลัพธ์ของนวัตกรรม

“ForeverGone ต่างจากทุกอย่างที่มีอยู่ในตลาด เพราะแก้ไขปัญหาการปนเปื้อน PFAS ได้ทั้งหมด” Prakash Govindan ผู้ดำรงตำแหน่ง COO ของ Gradiant กล่าว “ForeverGone เป็นนวัตกรรมพลิกโฉมวงการที่อุตสาหกรรมรอคอยอย่างแท้จริง เราขอบคุณที่ TIME ให้การยอมรับนวัตกรรมของเราและความสามารถของนวัตกรรมในการช่วยให้เขตเทศบาลและผู้ใช้งานด้านอุตสาหกรรมทั่วโลกสามารถกำจัดสารเคมี PFAS ออกจากธรรมชาติได้ตลอดกาล”

เทคโนโลยี ForeverGone ของ Gradiant ที่ผ่านการตรวจสอบโดยอิสระจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองหลายแห่งใช้การแยกส่วนฟองขนาดเล็กควบคู่กับเครื่องยนต์ทำลายเพื่อสกัดสาร PFAS ให้เป็นฟองขนาดเล็กแล้วจึงทำการทำลายโดยใช้กระบวนการอิเล็กโทรออกซิเดชัน ทำให้น้ำมีคุณสมบัติตรงตามหรือเกินมาตรฐานน้ำดื่ม EPA ของสหรัฐฯ ล่าสุด แนวทางบูรณาการนี้สร้างมาตรฐานใหม่ด้านความเรียบง่าย ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน ซึ่งทำให้สามารถกำจัดสารเคมี PFAS ได้อย่างครบถ้วนด้วยต้นทุนรวมที่ต่ำที่สุด

Gradiant กำลังขยายการใช้งาน ForeverGone อย่างรวดเร็วในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ อาหารและเครื่องดื่ม การทำเหมืองแร่ และเขตเทศบาลใหญ่ ๆ หลายแห่ง เพื่อให้ชุมชนทั่วโลกสามารถทำการบำบัดสารเคมี  PFAS ได้ง่ายขึ้น

หากสนใจใช้งาน ForeverGone ในสถานที่ของท่าน Gradiant ก็ได้เปิดตัวโปรแกรมทดลองฟรีเพื่อสาธิตความสามารถของ ForeverGone ในการบำบัดแหล่งน้ำปนเปื้อนหลายประเภท หากเป็นผู้ที่สนใจ โปรดติดต่อ Gradiant ที่ https://www.gradiant.com/contact

ไปที่นี่เพื่อดูรายการสุดยอดนวัตกรรมประจำปี 2024 ทั้งหมดของ TIME

เกี่ยวกับ Gradiant

Gradiant เป็นบริษัทด้านการจัดการน้ำที่แตกต่างออกไป ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยโซลูชันครบวงจรอันเป็นกรรมสิทธิ์ที่โดดเด่นของบริษัทสำหรับการบำบัดน้ำและน้ำเสียขั้นสูง ซึ่งขับเคลื่อนโดยบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับน้ำ บริษัทให้บริการแก่ลูกค้าในการปฏิบัติงานที่สำคัญต่อภารกิจในอุตสาหกรรมสำคัญต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ เภสัชกรรม อาหารและเครื่องมือ ลิเทียมและแร่สำคัญ ตลอดจนพลังงานหมุนเวียน นวัตกรรมโซลูชันของ Gradiant จะลดปริมาณน้ำที่ใช้และน้ำเสียที่ปล่อย ดึงทรัพยากรที่มีค่ากลับมาอีกครั้ง และบำบัดน้ำเสียให้กลายเป็นน้ำสะอาด สำนักงานใหญ่ของบริษัทอยู่ในบอสตัน ซึ่งมีการก่อตั้งบริษัทที่ MIT และมีพนักงานมากกว่า 1,000 คนทั่วโลก เรียนรู้เพิ่มเติมที่ gradiant.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54143996/en

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อสำหรับบริษัท
Felix Wang
Gradiant
Global Head of Brand and PR
fwang@gradiant.com

แหล่งที่มา: Gradiant

.

Xsolla และ AurumDust เปิดตัวแคมเปญการกุศลร่วมกับเกม Ash of Gods: The Way เพื่อสนับสนุนองค์กร Games for Change

Logo

รายได้ 50% จากการขายเกมจะมอบให้กับองค์กร Games for Change

ลอสแอนเจลิส–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

Xsolla บริษัทพาณิชย์วิดีโอเกมระดับโลก มีความยินดีที่จะประกาศความร่วมมือกับ AurumDust ผู้พัฒนาเกม Ash of Gods: The Way โดยทางบริษัทจะมอบรายได้ 50% จากการขายเกมฉบับสมบูรณ์ให้กับองค์กร Games for Change แคมเปญนี้ ซึ่งจะดำเนินไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม สะท้อนพันธกิจของ Xsolla ในการผสานความสนุกจากการเล่นเกมเข้ากับพลังแห่งการให้

(Graphic: Xsolla)

(กราฟิก : Xsolla)

“การเล่นเกมไม่ใช่แค่เรื่องความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย” Chris Hewish ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของ Xsolla กล่าว “ความร่วมมือของเรากับ AurumDust เป็นการเน้นย้ำความเชื่อของเราในศักยภาพของเกมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ผ่านแคมเปญนี้ เราได้สนับสนุนองค์กร Games for Change ซึ่งเป็นองค์กรที่อุทิศตนให้กับการใช้เกมเพื่อจัดการกับปัญหาสำคัญต่าง ๆ ในด้านการศึกษา การมีส่วนร่วมของประชาชน และผลกระทบทางสังคม เงินทุนที่รวบรวมได้จะนำไปพัฒนาประสบการณ์เชิงโต้ตอบที่จุดประกายการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการเรียนรู้ และส่งเสริมให้โลกที่ดียิ่งขึ้น การสนับสนุนครั้งนี้มีความหมายเป็นการส่วนตัวของเราและยังสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม การผสานความหลงใหลในเกมเข้ากับจุอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับค่านิยมหลักของเรา จะทำให้ชุมชนของเรามีโอกาสสร้างผลกระทบที่แท้จริงในขณะที่ก็ได้เพลิดเพลินไปกับเกมที่ชื่นชอบด้วย”

Susanna Pollack ประธานองค์กร Games for Change แสดงความตื่นเต้นเกี่ยวกับความร่วมมือครั้งนี้ว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ Xsolla และ AurumDust ในแคมเปญนี้ ที่ Games for Change เราเชื่อในพลังของเกมและสื่อที่สมจริงและเข้าถึงอารมณ์ (immersive media) ในการสร้างผลกระทบต่อสังคม และแคมเปญนี้เปิดโอกาสพิเศษให้ผู้เล่นทั่วโลกได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนที่มีความหมาย ในขณะที่สนุกไปกับเกมที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่าง Ash of Gods: The Way เงินทุนที่รวบรวมได้จะสนับสนุนพันธกิจของเราโดยตรงในการส่งเสริมนักพัฒนาเกม สนับสนุนครูและนักเรียน และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกจริงผ่านสื่อของเกม”

ดูรายละเอียดแคมเปญของ AurumDust ได้ที่ : https://x.la/gamesforchange-aog

เกี่ยวกับ Xsolla

Xsolla เป็นบริษัทพาณิชย์วิดีโอเกมระดับโลกที่มีชุดเครื่องมือและบริการอันทรงพลัง ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมนี้ นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2005 Xsolla ได้ช่วยเหลือนักพัฒนาและผู้จัดจำหน่ายเกมนับพันรายในทุกระดับ ทั้งในด้านการระดมทุน การตลาด การเปิดตัว และการสร้างรายได้จากเกมทั่วโลกบนหลากหลายแพลตฟอร์ม ในฐานะผู้นำที่มีนวัตกรรมในด้านพาณิชย์เกม ภารกิจของ Xsolla คือการแก้ปัญหาความซับซ้อนโดยธรรมชาติในเรื่องการกระจายสินค้า การตลาด และการสร้างรายได้ เพื่อช่วยให้พันธมิตรเข้าถึงภูมิภาคต่าง ๆ เพิ่มรายได้ และสร้างความสัมพันธ์กับผู้เล่นทั่วโลก สำนักงานใหญ่ของ Xsolla ตั้งอยู่ที่ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย พร้อมกันนี้ยังมีสำนักงานในมอนทรีออล ลอนดอน เบอร์ลิน ปักกิ่ง กว่างโจว โซล โตเกียว กัวลาลัมเปอร์ ราลีห์ และเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก Xsolla ให้การสนับสนุนเกมชื่อดังต่าง ๆ เช่น Valve, Take-Two, KRAFTON, Nexters, NetEase, Playstudios, Playrix, miHoYo และอื่น ๆ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและการเรียนรู้เพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม xsolla.com

Twitter (X) : @Xsolla | Facebook : Xsolla | Instagram : @xsollacorp | LinkedIn : Xsolla

เกี่ยวกับ AurumDust

AurumDust เป็นผู้พัฒนาเกมที่มีชื่อเสียงในด้านการสร้างโปรเจกต์เกมแนวกลยุทธ์ผลัดกันเล่นองค์ประกอบด้านการเล่าเรื่องที่ลึกซึ้ง ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 สตูดิโอมีความมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่สมจริงและเข้าถึงอารมณ์ (immersive gaming) และขยายแฟรนไชส์ของตนบนหลากหลายแพลตฟอร์ม

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม: aurumdust.com

Twitter (X) : @AurumDust | Facebook : Ash of Gods | Instagram : @ashofgods

เกี่ยวกับองค์กร Games for Change

นับตั้งแต่ปี 2004 องค์กร Games for Change (G4C) ได้ให้โอกาสกับนักพัฒนาเกมและนักนวัตกรรมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในโลกจริง โดยใช้เกมและสื่อที่สมจริงและเข้าถึงอารมณ์เพื่อช่วยให้ผู้คนได้เรียนรู้ ปรับปรุงชุมชนของตน และทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น G4C ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีและเกม องค์กรไม่แสวงผลกำไร มูลนิธิ และหน่วยงานรัฐบาล ในการจัดกิจกรรมระดับโลก อาร์เคดสาธารณะ (public arcade) การออกแบบการแข่งขัน และโครงการสำหรับเยาวชน G4C สนับสนุนชุมชนนักพัฒนาเกมทั่วโลกที่ทำงานเพื่อใช้เกมในการจัดการกับปัญหาความท้าทายที่เกิดขึ้นในโลกจริง ตั้งแต่ความขัดแย้งด้านมนุษยธรรมไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการศึกษา

LinkedIn : Games for Change | Twitter (X) : @G4C | Facebook : Games for Change

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54143727/en

ข้อมูลติดต่อ
ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ
Derrick Stembridge
ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ระดับโลกของ Xsolla
d.stembridge@xsolla.com

แหล่งที่มา : Xsolla

Cascale เปิดตัวโมเดลการมีส่วนร่วมของสมาชิกแบบใหม่ พร้อมยกระดับข้อมูลจากซัพพลายเออร์และผู้ผลิต

Logo

อัมสเตอร์ดัม ฮ่องกง และโอกแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–31 ตุลาคม 2024

Cascale (เดิมชื่อว่า Sustainable Apparel Coalition) จะเปิดตัวโมเดลการมีส่วนร่วมของสมาชิกและการกำกับดูแลรูปแบบใหม่ เพื่อพัฒนาการตัดสินใจให้เปิดรับความแตกต่างมากขึ้น พร้อมมุ่งยกระดับข้อมูลจากซัพพลายเออร์และผู้ผลิตอย่างแน่วแน่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ (ซึ่งเกิดขึ้นกับโครงสร้างและผังทีมสมาชิกขององค์กร) จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการที่จะให้มีคนหลาย ๆ กลุ่มอยู่ในซัพพลายเชนอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น รวมถึงตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Cascale ในเรื่องความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการพัฒนาเครื่องมือและมาตรฐานอุตสาหกรรม ทั้งนี้ Cascale มุ่งส่งเสริมการทำงานร่วมกันทั่วทั้งอุตสาหกรรม รวมถึงสร้างความร่วมมือที่เท่าเทียมและมั่นคงยิ่งขึ้นในวงการสินค้าอุปโภคบริโภคโดยการทำให้แบรนด์และซัพพลายเออร์มีอิทธิพลที่สมดุลกันมากขึ้น

ในฐานะองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่อาศัยแนวคิดแบบมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายฝ่าย (Multi-Stakeholder Initiative หรือ MSI) Cascale มีพันธกิจในการมอบห่วงโซ่คุณค่าแบบครบวงจรโดยปราศจากอคติ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความเท่าเทียมและการเข้าถึงบริการได้สำหรับทุกคน องค์กรคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ จึงมุ่งแสวงหาจุดกึ่งกลางระหว่างความต้องการกับความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลากหลายกลุ่ม (ตั้งแต่บริษัทขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก) ผู้ผลิต แบรนด์ และ NGO ต่าง ๆ ซึ่งจะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาอนาคตขององค์กรและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ร่วมกันสำหรับวงการสินค้าอุปโภคบริโภค

ในการรับมือกับข้อเสนอแนะและบทสนทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง Cascale จึงได้ปรับโครงสร้างของทีมสมาชิก โดยเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นที่ระดับภูมิภาคมาเป็นการมุ่งเน้นตามประเภทสมาชิกแทน รวมถึงจะนำกระบวนการกำกับดูแลรูปแบบใหม่เข้ามาปรับใช้ด้วย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อให้บริการแก่สมาชิกที่เป็นผู้ผลิต รวมถึงแบรนด์/ผู้ค้าปลีกได้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน สมาชิกที่เป็นพันธมิตรก็ยังมีส่วนร่วมได้ผ่านทีมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง สมาชิกทุกรายจะได้รับการสนับสนุนและโอกาสต่าง ๆ แบบเฉพาะตัวยิ่งขึ้นผ่านกระบวนการที่มีการวางโครงสร้างแบบใหม่เพื่อช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้นในช่วงระหว่างการเปลี่ยนผ่านนี้

คุณ Andrew Martin ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายบริหารของ Cascale กล่าวว่า “เมื่อใช้โครงสร้างการมีส่วนร่วมของสมาชิกรูปแบบใหม่นี้ เรามีเป้าหมายที่จะสร้างระบบการจัดหาตัวแทนที่ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มมากขึ้นและสร้างผลลัพธ์ได้จริง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกความคิดเห็น (โดยเฉพาะผู้ผลิต) จะเป็นที่รับฟังและนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับงานของเราในทุก ๆ ด้านรวมถึงการยกระดับ Higg Index อย่างต่อเนื่องและการพัฒนาโปรแกรมการดำเนินการร่วมกัน” และกล่าวอีกด้วยว่า “การมุ่งเน้นเรื่องความร่วมมือที่เท่าเทียมและการยกระดับกระบวนการครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ Cascale มีต่อเรื่องความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการบรรจบกันของอุตสาหกรรม ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะช่วยให้เรามอบบริการแก่สมาชิก ส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ และขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนอย่างเห็นได้ชัดได้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ ส่วนของห่วงโซ่คุณค่า”

ทีมการมีส่วนร่วมของสมาชิกจาก Cascale เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งนี้ ทีมนี้ทำงานอย่างไม่ลดละเพื่อเสาะหาและยกระดับข้อเสนอแนะจากสมาชิก (โดยเฉพาะผู้ผลิต) เพื่อให้มั่นใจว่าความต้องการของพวกเขาเหล่านี้ได้ถูกนำมาประกอบกระบวนการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น ความพยายามดังกล่าวนี้ช่วยให้เกิดแนวทางที่เปิดรับความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีตัวแทนจากหลากหลายกลุ่มมากขึ้นสำหรับผู้ผลิต ทั้งยังช่วยยกระดับบทบาทต่อการพัฒนาเครื่องมือและแนวคิดต่าง ๆ ของ Cascale อีกด้วย

โครงสร้างที่ Cascale พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้ส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันมากยิ่งขึ้น โดยจะเห็นได้จากการสรรหาสมาชิกเข้าร่วมทีมสมาชิก รวมถึงตำแหน่งใหม่อย่างผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการกำกับดูแลการเป็นสมาชิก ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อข้อเสนอแนะจากซัพพลายเออร์ที่ต้องการให้มีการสนับสนุนและการมีส่วนร่วมในเชิงปฏิบัติมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยตอกย้ำความมุ่งมั่นที่ Cascale มีต่อการดำเนินงานร่วมกันและเน้นย้ำถึงการพินิจพิเคราะห์และความพร้อมปรับตัวอย่างต่อเนื่องขององค์กร นอกจากนี้ โครงสร้างแบบใหม่นี้ยังสอดรับกับคำแนะนำจากคุณ Ilishio Lovejoy ซึ่งเป็นนักวิจัยและปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้จัดการโปรแกรมอยู่ที่ Laudes Foundation อีกด้วย Cascale ช่วยสนับสนุนการศึกษาที่ใช้เวลา 2 ปีของคุณ Lovejoy ในเรื่องเกี่ยวกับ MSI โดยอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลภายในและเปิดให้สัมภาษณ์พูดคุยกับพนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เธอได้นำเสนอกรณีศึกษาของเธอที่งานประชุมประจำปีของ Cascale ที่จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ที่มิวนิก ซึ่งในงานดังกล่าว เธอยังได้ร่วมพูดคุยกับวิทยากรท่านต่าง ๆ รวมถึงตัวแทนสมาชิกในคณะกรรมการจากสามภาคส่วนขององค์กรอีกด้วย เพื่อพูดคุยถึงทฤษฎีว่าด้วยกระบวนการที่เป็นธรรม

หลังจบงาน คุณ Lovejoy กล่าวว่า “ดิฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนองานวิจัยเกี่ยวกับความตึงเครียดในการดำเนินงานร่วมกันที่ Cascale รวมถึงเจาะลึกว่ากระบวนการที่เป็นธรรมจะเป็นกลไกอันล้ำค่าในการตรวจสอบและลดความตึงเครียดเชิงโครงสร้าง การทำงาน และอารมณ์ในแนวคิดแบบมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายฝ่ายเช่นนี้ได้อย่างไรบ้าง” รวมถึง “ดิฉันอยากจะขอบคุณคุณ Colin Browne และคณะกรรมการของ Cascale ที่ได้เชิญดิฉันมานำเสนอผลงานและให้ดิฉันได้มาร่วมพูดคุยแบบเปิดอกในเรื่องยาก ๆ เช่นนี้เพื่อมุ่งให้เกิดการดำเนินงานร่วมกันที่ดียิ่งขึ้นค่ะ”

Cascale ยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนภาคส่วนการผลิต ซึ่งมีความสำคัญมากในการบรรลุเป้าหมายด้านการดำเนินการร่วมกัน เมื่อไม่นานมานี้ องค์กรยังได้ประกาศถึงผลเชิงบวกจากโปรแกรมการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศของผู้ผลิต (Manufacturer Climate Action Program หรือ MCAP) ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญที่ช่วยให้บรรดาผู้ผลิตจากทั่วโลกมาร่วมมือกันเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเปิดรับทั้งสมาชิกของ Cascale และผู้ที่ไม่ใช่สมาชิก ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน Cascale ยังได้ประกาศการทำงานร่วมกับสมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องแต่งกายของบังกลาเทศ (BGMEA) โดยมุ่งส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในภาคส่วนเครื่องแต่งกายในภูมิภาคที่กำลังประสบภาวะวิกฤตนี้

ข้อมูลจากซัพพลายเออร์ยังคงมีความสำคัญสูงสุดในขณะที่ Cascale กำลังพัฒนาเครื่องมือ Higg Index ซึ่งมีบริษัทใช้งานกว่า 40,000 แห่งและมีให้บริการบน Worldly เท่านั้น ในแต่ละปี เครื่องมือจะได้รับการอัปเดตให้สอดรับกับความต้องการและเรื่องสำคัญ ๆ ของสมาชิก การอัปเดตเหล่านี้ทำให้เครื่องมือสามารถมอบข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด เพื่อช่วยให้มีการตัดสินใจทางธุรกิจที่ยั่งยืน ทั้งยังสนับสนุนการปฏิบัติตามภาระหน้าที่การรายงานในปัจจุบันและที่เกิดขึ้นใหม่อีกด้วย ในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 การอัปเดต Higg Materials Sustainability Index (Higg MSI) และ Higg Facility Environmental Module (Higg FEM) จะมีข้อเสนอแนะจากสมาชิกและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรวมอยู่ด้วย

Higg MSI (ซึ่งเป็นเครื่องมือการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมแบบ Cradle-to-gate สำหรับวัสดุต่าง ๆ ที่ได้รับการอัปเดตเมื่อเดือนตุลาคม) แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันทั่วทั้งอุตสาหกรรมเป็นเวลาสามปีเกี่ยวกับแนวทางและโมเดลด้านผ้าคอตตอนโดยเฉพาะ นับเป็นการตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับความสอดคล้องกันและความน่าเชื่อถือของข้อมูลเกี่ยวกับเส้นใยโดยเฉพาะ โดยในเดือนพฤศจิกายน การอัปเดต Higg FEM จะเป็นการต่อยอดมาจากการทำงานร่วมกันแบบเชิงลึกในปี 2023 อีกด้วย ทั้งนี้ การอัปเดต Higg FEM ครั้งใหญ่ล่าสุดได้นำข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 140 รายมาใช้ โดยมีผู้ผลิตเป็นกลุ่มที่มีประชากรมากที่สุด

ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของ Cascale ต่างมาร่วมมือกันเพื่อดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศให้รวดเร็วยิ่งขึ้นและขยายผลลัพธ์ในวงกว้างผ่านแนวทางด้านความยั่งยืนที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวซึ่งช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

บุคคลติดต่อ

คุณ Beatrice Thumi เจ้าหน้าที่ฝ่ายการสื่อสารของ Cascale
beatrice.thumi@cascale.org

แหล่งที่มา: Cascale

Mary Kay ได้รับการยกย่องในด้านความเป็นผู้นำด้านการอนุรักษ์ต่อเนื่องเป็นปีที่สองในงาน Texan by Nature 20 ประจำปี 2024

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–31 ตุลาคม 2024

Mary Kay Inc. ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมสกินแคร์และความยั่งยืน ได้รับรางวัล Texan by Nature 20 (TxN 20) ประจำปี 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรด้านการอนุรักษ์ Texan by Nature ที่ก่อตั้งโดยอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง Laura Bush โดย Texan by Nature จัดงานประจำปีเพื่อเชิดชู 20 ธุรกิจที่ตั้งอยู่หรือดำเนินงานในรัฐเท็กซัสที่แสดงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์และความยั่งยืนซึ่งอิงจากข้อมูลผ่านโครงการ TxN 20

Founded by former First Lady Laura Bush, Texan by Nature annually celebrates 20 businesses based or operating in Texas that demonstrate data-backed commitments to conservation and sustainability through the TxN 20 initiative. Photo Credit: Grant Miller Photography

องค์กร Texan by Nature ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง Laura Bush จัดงานประจำปีเพื่อเชิดชู 20 ธุรกิจที่ดำเนินงานในเท็กซัสซึ่งแสดงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์และความยั่งยืนที่อิงจากข้อมูลผ่านโครงการ TxN 20 เครดิตภาพ: Grant Miller Photography

“การได้รับเกียรตินี้เป็นปีที่สองติดต่อกันแสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ Mary Kay ในการผสานรวมแนวทางที่ยั่งยืนเข้ากับธุรกิจของเราผ่านนวัตกรรม การสนับสนุน และความรับผิดชอบ” Virginie Naigeon-Malekหัวหน้าฝ่ายความรับผิดชอบองค์กรและความยั่งยืนของ Mary Kay กล่าว “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้อยู่ในรายชื่อขององค์กรอนุรักษ์ทรงพลังอื่น ๆ ทั่วรัฐเท็กซัส สำหรับ Mary Kay ความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของเรา—เรามุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกสำหรับคนรุ่นต่อไป”

เราเชื่อในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการลงมือทำ ความร่วมมือ และรูปแบบนวัตกรรม” Joni Carswell ซีอีโอและประธานของ Texan by Nature กล่าว “ถือเป็นเกียรติที่ได้ยกย่อง Mary Kay บริษัทที่แสดงให้เห็นว่าการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่านการอนุรักษ์นั้นสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาวทั้งต่อผลกำไร ผู้คน และโลกใบนี้

Cristi Gomez, PhD, DABT, ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกฎระเบียบ ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านวิจัยและพัฒนาของ Mary Kay ได้เข้าร่วมการประชุม Texan by Nature Conservation Summit ครั้งที่ 6 ซึ่งนำเสนอความมุ่งมั่น นวัตกรรม และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดจากหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกับ Texan by Nature  โดย Gomez ได้ร่วมอภิปรายในหัวข้อ “การสร้างคุณค่าในระบบโดยรวม” ซึ่งกล่าวถึงการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ ผลกำไรและความยั่งยืน รวมถึงการประเมินผลลัพธ์จากทุกส่วนในระบบ งานนี้จัดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 23 ตุลาคม ณ ศูนย์ประธานาธิบดี George W. Bush

รางวัล TxN 20 ยกย่องผู้นำในอุตสาหกรรม 12 ภาคส่วนในรัฐเท็กซัสที่อยู่แนวหน้าของความพยายามในการอนุรักษ์และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ผู้ชนะรางวัลรายอื่น ๆ สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ของ Texan by Nature

เกี่ยวกับ Mary Kay

อดีต ปัจจุบัน และตลอดไป หนึ่งในผู้บุกเบิกที่ทำลายกำแพงเพดานแก้ว Mary Kay Ash ก่อตั้งแบรนด์ความงามในฝันของเธอในรัฐเท็กซัสเมื่อปี 1963 ด้วยเป้าหมายเดียวคือการยกระดับชีวิตผู้หญิง ความฝันนั้นได้เติบโตเป็นบริษัทระดับโลกที่มีสมาชิกฝ่ายขายอิสระนับล้านคนในกว่า 35 ประเทศ ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา โอกาสจาก Mary Kay ได้เสริมพลังให้ผู้หญิงสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้ผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay มุ่งมั่นในการลงทุนในวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงามและผลิตสกินแคร์ที่ล้ำสมัย เครื่องสำอางสี อาหารเสริม และน้ำหอม Mary Kay เชื่อในการอนุรักษ์โลกของเราให้คนรุ่นต่อไป ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากมะเร็งและความรุนแรงในครอบครัว และสนับสนุนเยาวชนให้ทำตามความฝันของพวกเขา เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com พบกับเราได้ทาง Facebook, Instagram และ LinkedIn หรือ ติดตามเราได้ที่ X (ชื่อเดิม Twitter)

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54144848/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

ที่มา: Mary Kay Inc.




Kioxia เริ่มการผลิตอุปกรณ์หน่วยความจําแฟลชแบบฝัง QLC UFS Ver. 4.0 รุ่นแรกจำนวนมากสำหรับอุตสาหกรรม

Logo

อุปกรณ์ 512GB ใหม่นําความหนาแน่นบิตที่สูงขึ้นของ QLC มาสู่ UFS

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–30 ตุลาคม 2024

Kioxia Corporation ผู้นําระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจํา ประกาศในวันนี้ว่าได้เริ่มการผลิตอุปกรณ์หน่วยความจําแฟลชแบบฝัง1 Universal Flash Storage (UFS)2 Ver. 4.0 รุ่นแรกจำนวนมากสำหรับอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีบันทึกข้อมูล 4 บิตต่อเซลล์ (QLC)

QLC UFS Ver. 4.0 Embedded Flash Memory Devices (Photo: Business Wire)

อุปกรณ์หน่วยความจําแฟลชแบบฝัง QLC UFS Ver. 4.0 (ภาพ: Business Wire)

QLC UFS มีความหนาแน่นของบิตที่สูงกว่า TLC UFS แบบดั้งเดิม ทําให้เหมาะสําหรับแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ต้องการความจุในการจัดเก็บข้อมูลที่สูงขึ้น ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีคอนโทรลเลอร์และการแก้ไขข้อผิดพลาดทําให้เทคโนโลยี QLC สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพในการแข่งขันไว้ได้ QLC UFS ขนาด 512 กิกะไบต์ (GB) ใหม่ของ Kioxia มีความเร็วในการอ่านแบบเรียงสูงสุด 4,200 เมกะไบต์ต่อวินาที (MB/s) และความเร็วในการเขียนแบบเรียงสูงสุด 3,200 MB/s โดยใช้ประโยชน์จากความเร็วอินเทอร์เฟซ UFS 4.0 ได้อย่างเต็มที่

QLC UFS ของ Kioxia เหมาะอย่างยิ่งสําหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ตลอดจนแอปพลิเคชันรุ่นต่อไปอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึงความจุและประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลที่สูงขึ้นเป็นหลัก รวมถึงพีซี เครือข่าย AR/VR และ AI

Kioxia เป็นบริษัทแรกที่เปิดตัวเทคโนโลยี UFS3 และยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง อุปกรณ์ QLC UFS Ver. 4.0 ใหม่นี้ผสานรวมหน่วยความจําแฟลช BiCS FLASH™ 3D ที่เป็นนวัตกรรมของบริษัทและคอนโทรลเลอร์ในแพ็คเกจมาตรฐาน JEDEC UFS 4.0 ผสานรวม MIPI M-PHY 5.0 และ UniPro 2.0 และรองรับความเร็วอินเทอร์เฟซเชิงทฤษฎีสูงสุด 23.2 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) ต่อเลนหรือ 46.4 Gbps ต่ออุปกรณ์ UFS 4.0 เข้ากันได้กับ UFS 3.1 รุ่นเก่าได้

คุณสมบัติหลัก ได้แก่ :

  • รองรับคุณสมบัติ High Speed Link Startup Sequence (HS-LSS): ด้วย UFS ทั่วไป การเริ่มต้นลิงค์ (ลําดับการเริ่มต้น M-PHY และ UniPro) ระหว่างอุปกรณ์และโฮสต์จะดําเนินการที่ PWM-G1 ความเร็วต่ำ (3~9 เมกะบิตต่อวินาที 4) แต่ด้วย HS-LSS สามารถทํางานได้ที่ HS-G1 Rate A ที่เร็วกว่า (1,248 เมกะบิตต่อวินาที) คาดว่าจะช่วยลดเวลาในการเริ่มต้นลิงค์ได้ประมาณ 70% เมื่อเทียบกับวิธีทั่วไป
  • เพิ่มความปลอดภัย: โดยใช้ Advanced RPMB (Replay Protected Memory Block) เพื่อปรับปรุงการเข้าถึงการอ่านและเขียนข้อมูลความปลอดภัย เช่น ข้อมูลประจําตัวของผู้ใช้ในพื้นที่ RPMB และ RPMB Purge เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลความปลอดภัยที่ถูกทิ้งจะถูกทำความสะอาดอย่างปลอดภัยและรวดเร็ว
  • รองรับ Extended Initiator ID (Ext-IID): ออกแบบมาเพื่อใช้กับ Multi Circular Queue (MCQ) ที่ตัวควบคุมโฮสต์ UFS 4.0 เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการสุ่ม

หมายเหตุ

(1)การอ้างสิทธิ์ครั้งแรกในอุตสาหกรรมจากการสํารวจข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะของ Kioxia ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2024

(2)Universal Flash Storage (UFS) เป็นหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์สําหรับผลิตภัณฑ์หน่วยความจําแบบฝังที่สร้างขึ้นตามข้อกําหนดมาตรฐาน JEDEC UFS เนื่องจากมีอินเทอร์เฟซแบบอนุกรม UFS จึงรองรับการพิมพ์แบบดูเพล็กซ์เต็มรูปแบบซึ่งช่วยให้สามารถอ่านและเขียนพร้อมกันระหว่างโปรเซสเซอร์โฮสต์และอุปกรณ์ UFS ได้

(3)การจัดส่งตัวอย่างครั้งแรกของ Kioxia Corporation ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2013
https://www.kioxia.com/en-jp/business/news/2013/20130208-1.html

(4)ความเร็วในการสื่อสาร PWM-G1 ขึ้นอยู่กับโฮสต์และอุปกรณ์

*ทุกครั้งที่การกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ Kioxia: ความหนาแน่นของผลิตภัณฑ์จะถูกระบุตามความหนาแน่นของชิปหน่วยความจําภายในผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่ปริมาณความจุหน่วยความจําที่ผู้ใช้ปลายทางสามารถจัดเก็บข้อมูลได้ ความจุที่ผู้บริโภคใช้ได้จะลดลงเนื่องจากพื้นที่ข้อมูลโอเวอร์เฮด การจัดรูปแบบ บล็อกที่ไม่ดี และข้อจํากัดอื่นๆ และอาจแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์โฮสต์และแอปพลิเคชัน สําหรับรายละเอียด โปรดดูข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ ที่เกี่ยวข้อง คําจํากัดความของ 1KB = 2^10 ไบต์ = 1,024 ไบต์ คําจํากัดความของ 1Gb = 2^30 บิต = 1,073,741,824 บิต คําจํากัดความของ 1GB = 2^30 ไบต์ = 1,073,741,824 ไบต์ 1Tb = 2^40 บิต = 1,099,511,627,776 บิต

*1 Gbps คํานวณเป็น 1,000,000,000 บิต/วินาที ความเร็วในการอ่านและเขียนเป็นค่าที่ดีที่สุดที่ได้รับในสภาพแวดล้อมการทดสอบเฉพาะที่ Kioxia และ Kioxia รับประกันความเร็วในการอ่านหรือเขียนในอุปกรณ์แต่ละเครื่อง ความเร็วในการอ่านและเขียนอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้และขนาดไฟล์ที่อ่านหรือเขียน

*ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทบุคคลที่สาม

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia เป็นผู้นําระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจํา ซึ่งทุ่มเทให้กับการพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายหน่วยความจําแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายน 2017 Toshiba Memory รุ่นก่อนได้แยกตัวออกจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจําแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจํา” โดยนําเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและคุณค่าตามหน่วยความจําสําหรับสังคม เทคโนโลยีหน่วยความจําแฟลช 3D ที่เป็นนวัตกรรมของ Kioxia ที่เรียกว่า BiCS FLASH™ กําลังกําหนดอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันที่มีความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี SSD ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล

*ข้อมูลในเอกสารนี้ เช่น ราคาและข้อมูลจําเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54143662/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สอบถามข้อมูลสื่อ:

Kioxia Corporation

ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การขาย

Satoshi Shindo

โทรศัพท์: +81-3-6478-2404

ที่มา: Kioxia Corporation

Barracuda Technologies เปิดตัวโครงการโรงงานไบโอรีไฟเนอรีแบบมอดุลาร์ครั้งแรกในอินเดีย

Logo

กรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

Barracuda Technologies Pvt. Ltd. บริษัทย่อยทางอ้อมของ Barracuda Technologies Inc. บริษัทสตาร์ตอัปที่ตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโก (สหรัฐอเมริกา) เพิ่งได้ดำเนินการสร้างโครงการโรงงานไบโอรีไฟเนอรีแบบมอดุลาร์ (modular Bio-Refinery) ครั้งแรกในอินเดียสำเร็จไป โดยถือเป็นก้าวสำคัญในด้านการผลิตวัสดุแบบยั่งยืนและหมุนเวียน (sustainable and circular materials) โรงงานไบโอรีไฟเนอรีระดับกึ่งเชิงพาณิชย์นี้ใช้กระบวนการแยกองค์ประกอบชีวมวล (biomass fractionation) เฉพาะของบริษัท เพื่อแปรรูปเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว, ฟางข้าวสาลี, ลำต้นกล้วย, กากอ้อย, ปาล์ม EFB, หญ้า Brachiaria (บราซิล), กัญชง และวัตถุดิบอื่น ๆ ให้กลายเป็นวัสดุที่มีค่า เช่น ลิกนินบริสุทธิ์ (clean Lignin), เซลลูโลส, ไบโอซิลิกา (bio-silica) และเฮมิเซลลูโลส (hemi-cellulose) โรงงานนี้สามารถใช้ชีวมวลได้หลากหลายประเภทและมีของเหลวเหลือทิ้งใกล้ศูนย์ (near-zero liquid discharge) จึงเป็นการดำเนินการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปราศจากของเสีย

เซลลูโลสของ Barracuda มีศักยภาพในการนำไปใช้งานหลากหลาย เช่น การใช้ในวัสดุที่ไม่ถักทอ (non-woven materials) อย่างกระดาษและภาชนะบนโต๊ะอาหาร รวมถึงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuels), ไมโครไฟบริลเลต เซลลูโลส (micro fibrillated cellulose : MFC) และนาโนเซลลูโลส (nano cellulose : CNC) รวมถึงการใช้งานอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ลิกนินบริสุทธิ์ของ Barracuda ซึ่งมีคุณสมบัติ เช่น การป้องกันการไหม้ (anti-charring), การต้านรังสียูวี (UV resistance) และความทนต่อความชื้น และยังมีศักยภาพในการนำไปใช้กับสารเคลือบ กาว เครื่องสำอาง วัสดุก่อสร้าง อาหารเสริมสัตว์ เทอร์มอพลาสติก พอลิยูรีเทน และอื่น ๆ อีกด้วย Barracuda กำลังดำเนินการผลิตไบโอบิทูเมน (Bio-Bitumen) จากลิกนินที่มี โรงงานไบโอรีไฟเนอรียังผลิตไบโอซิลิกาที่มีประโยชน์ในหลากหลายการใช้งาน เช่น ยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์อาหาร วัสดุทั้งหมดของ Barracuda เป็นวัสดุที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ

โครงสร้างแบบมอดุลาร์ของโรงงานไบโอรีไฟเนอรีนี้ช่วยแก้ปัญหาด้านการขนส่งและการจัดการวัตถุดิบที่มีความหนาแน่นต่ำ โดยเอื้อต่อโมเดลแบบระบบศูนย์กลางและเครือข่าย (hub-and-spoke model) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน โครงการนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรของกระบวนการของ Barracuda แต่ยังเป็นทางออกให้กับปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การเผาซังข้าว และยกระดับเศษวัสดุให้มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมหาศาล

Navin Singhania (ผู้ได้ชื่อว่า “มนุษย์เส้นใย”) ผู้ก่อตั้ง Barracuda Technologies และผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการแยกองค์ประกอบชีวมวลกล่าวว่า “นี่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของวงการวัสดุที่ยั่งยืน โรงงานไบโอรีไฟเนอรีแบบมอดุลาร์เปลี่ยนแปลงทุกด้านของปัญหาที่มีมายาวนานเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานและปัญหาด้านการขนส่งวัตถุดิบที่มีความหนาแน่นต่ำและ CAPEX กระบวนการของ Barracuda นั้นมีต้นทุนที่ต่ำมาก สะอาด และเป็นระบบหมุนเวียน เราจะผลิตไฟเบอร์และลิกนินที่ถูกที่สุดในตลาดโลกปัจจุบัน” “เรากำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจำนวนมาก และจะเปิดตัวในอนาคตอันใกล้นี้”

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ
info@barra-labs.com

แหล่งที่มา : Barracuda Technologies

แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์ คว้ารางวัล “Top Production Award 2024” จากแปซิฟิค ครอส

Logo

กรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–28 ตุลาคม 2024

แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์ บริษัทนายหน้าประกันสุขภาพระดับโลก ได้รับรางวัล “Top Production Award 2024” ในงาน Hangout Luxury Party 2024 ซึ่งจัดขึ้นโดยแปซิฟิค ครอส โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้น ณ โรงแรม โซ แบงคอก เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2024 และมีคุณ Ricky Batten ผู้จัดการทั่วไป แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์ และคุณ Viktor Voll หัวหน้าทีม CRM เป็นผู้รับมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้ โดยเป็นการมอบให้เพื่อเชิดชูผลงานอันโดดเด่นในการให้บริการด้านประกันสุขภาพทั้งสำหรับองค์กรและแผนประกันสุขภาพระหว่างประเทศ สำหรับลูกค้ารายบุคคลในประเทศไทย

Left to right: Yotsawanrangsikorn Saksinghanatra (Chief Operating Officer at Pacific Cross), Ricky Batten (General Manager at Pacific Prime Thailand), Viktor Voll (CRM Team Lead at Pacific Prime Thailand) (Photo: Business Wire)

จากซ้ายไปขวา : ยสวันต์รังษิกร ศักยดิ์สิงหนาท (ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ แปซิฟิค ครอส), Ricky Batten (ผู้จัดการทั่วไป แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์) และ Viktor Voll (หัวหน้าทีม CRM แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์) (ภาพ : Business Wire)

คุณ Ricky Batten ผู้จัดการทั่วไปของแปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์ ได้กล่าวแสดงความรู้สึกว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ในการรับมอบรางวัลจากแปซิฟิค ครอสในนามของพนักงานทุกคนที่แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์ ความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นได้จากความทุ่มเทของทีมงานที่ยึดมั่นในการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรกและการส่งมอบบริการที่เป็นเลิศ รางวัลนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองความร่วมมืออันมีความหมายยิ่งกับแปซิฟิค ครอส ที่ช่วยให้เราสามารถนำเสนอโซลูชันประกันที่มีคุณภาพสูงและมีการปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง ผมขอแสดงความขอบคุณเป็นพิเศษต่อ ดร. Khanh Bui ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของแปซิฟิค ครอส สำหรับการสนับสนุนอันมีค่าตลอดปีที่ผ่านมา และผมพร้อมที่จะร่วมสร้างความสำเร็จต่อไปในอนาคต”

เกี่ยวกับแปซิฟิค ครอส :

Pacific Cross Insurance Company Limited ดำเนินธุรกิจในฐานะผู้รับประกันภัยและผู้บริหารจัดการแผนประกันภัยในประเทศไทย โดยมีแปซิฟิค ครอส อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นผู้บริหารจัดการแผนประกันในระดับนานาชาติ

สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแปซิฟิค ครอส ได้ที่ : www.pacificcrosshealth.com

เกี่ยวกับแปซิฟิค ไพร์ม

แปซิฟิค ไพร์ม ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 เป็นบริษัทนายหน้าประกันภัยระดับโลกและผู้เชี่ยวชาญด้านสวัสดิการพนักงานที่ได้รับการยอมรับผ่านรางวัลมากมาย นำเสนอโซลูชันประกันภัยทั้งแบบบุคคลและองค์กร ด้วยมูลค่าเบี้ยประกันภัยภายใต้การบริหาร 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันแปซิฟิค ไพร์ม ก้าวขึ้นเป็นนายหน้าด้านสวัสดิการพนักงานที่ใหญ่เป็นอันดับสามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายหลังการเข้าซื้อกิจการธุรกิจนายหน้าของ CXA Group ในปี 2021 บริษัทมีพนักงานกว่า 1,000 คน และสำนักงาน 15 แห่งทั่วโลก ประกอบด้วย ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน ไทย มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินโดนีเซีย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย

สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแปซิฟิค ไพร์ม ได้ที่ : https://www.pacificprime.com/corporate

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54142144/en

ข้อมูลติดต่อ

Stephen Ho
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด
แปซิฟิค ไพร์ม

+852 3589 0508

แหล่งที่มา : แปซิฟิค ไพร์ม

Veea, O.N.E. Amazon และ AECOM ร่วมกันสร้างเครือข่าย Internet of Forests (IoF) โซลูชันคอมพิวเตอร์แบบไฮบริด Edge-Cloud เพื่อปกป้องชีวนิเวศป่าฝนและสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น

Logo

โครงการ IoF แรกจะมีการสาธิตสดที่งานประชุมว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของสหประชาชาติ (COP 16) ในเมืองกาลิ โคลอมเบีย ในเดือนตุลาคม 2024

นิวยอร์ก และกาลิ, โคลอมเบีย–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

Veea (NASDAQ : VEEA) ผู้นำรายแรกในตลาดด้านเครือข่ายมัลติแอ็กเซสแบบไฮเปอร์คอนเวอร์จ (hyperconverged multiaccess) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ได้จับมือกับรัฐบาลโคลอมเบีย, O.N.E. Amazon และ AECOM ร่วมกันติดตั้งโซลูชันแบบไฮบริดที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าและหลากหลาย ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์และการสื่อสารแบบ Edge-Cloud ในพื้นที่อนุรักษ์ที่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลโคลอมเบีย วัตถุประสงค์ของการติดตั้งครั้งนี้คือเพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์สุขภาพของป่าฝนและเชื่อมโยงทุกเฮกตาร์ของป่าเข้าสู่ระบบดิจิทัล เพื่อมอบประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนแก่ชุมชนในชนบท โครงการริเริ่ม Internet of Forests นี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของแต่ละหน่วยงานต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งมุ่งส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองขณะเดียวกันก็ปกป้องโลกใบนี้ด้วย

ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งทวีปอเมริกากล่าวว่า “ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศทั่วโลกกำลังลดลง และแรงกดดันที่นำไปสู่การลดลงดังกล่าวยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องการการดำเนินการเร่งด่วนเพื่อผันกลับความสูญเสียทางธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการสูญพันธุ์ขนานใหญ่ครั้งที่ 6 (IPBES, 2019) ตั้งแต่ปี 1970 ทั่วโลกมีการลดลงโดยเฉลี่ยของประชากรสัตว์ถึง 69% ในขณะที่ภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริบเบียนอยู่ในอันดับสูงสุดของรายชื่อนี้ โดยมีการลดลงที่น่าตกใจถึง 94% (WWF, 2022)” โครงสร้างเทคโนโลยีขั้นสูงของ IoF ได้รับการออกแบบมาไม่เพียงเพื่อช่วยรักษาระบบนิเวศของอุทยาน Chiribiquete อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดของโคลอมเบียและเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกเท่านั้น แต่ยังเพื่อเผยคุณค่าที่แท้จริงของทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญที่สุดของโลก ซึ่งมุ่งสู่การบริหารจัดการและปกป้องป่าฝนอะเมซอนอย่างยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต

“เมื่อเราให้การมองเห็นทางโลกดิจิทัลกับสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก เราเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการอนุรักษ์ สร้างการมีส่วนร่วม และพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจ” Allen Salmasi ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Veea กล่าว “ด้วยโซลูชันขั้นสูงอย่าง digital twins นั้น IoF มีศักยภาพในการแปลง (transformative capabilities) ที่สามารถคำนวณและมองเห็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติได้ในวิธีใหม่หมดจด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุรักษ์และสร้างอนาคตที่ยั่งยืน”

โครงการริเริ่ม IoF จะช่วยให้สามารถตรวจสอบและเก็บข้อมูลได้โดยละเอียด โดยเริ่มจากเซ็นเซอร์ภาคพื้นดินและกล้องที่ติดตั้งในป่าฝน ซึ่งข้อมูลที่เก็บได้จะถูกประมวลผลในพื้นที่ด้วยอุปกรณ์ VeeaHub ที่ทำงานในระบบคลัสเตอร์แบบ mesh ที่ติดตั้งในโซนต่าง ๆ ที่ได้รับการคัดเลือกอย่างรอบคอบทั่วป่าฝน โดยใช้การเชื่อมต่อดาวเทียมเป็นตัวสนับสนุน การผสานข้อมูล (data fusion) ผ่านการรวมข้อมูลภาคพื้นดินที่ได้รับการประมวลผลจากแหล่งที่มาต่าง ๆ เข้ากับข้อมูลจาก LIDAR ที่ใช้ดาวเทียม และ/หรือภาพความละเอียดสูง พร้อมการแมชชีนเลิร์นนิงและ AI ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญและความรู้ขั้นสูงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ สภาพแวดล้อม กิจกรรมของมนุษย์ ตัวแปรชีวฟิสิกส์ และทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ ความสามารถหลากหลายที่ติดตั้งใน IoF นี้ทำให้สามารถสร้างกลไกการตรวจสอบ การรายงาน และการยืนยัน (monitoring, reporting and verification : MRV) ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถให้ข้อมูลสภาพของพื้นดินแบบเรียลไทม์ เช่น การเริ่มต้นของไฟป่า การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ขณะเดียวกันยังช่วยในการปกป้องและส่งเสริมสิทธิและความเป็นอยู่ของชุมชนท้องถิ่น

Rodrigo Veloso ซึ่งเป็น CEO ของ O.N.E. Amazon กล่าวว่า “ภารกิจของเราคือการขับเคลื่อนโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยเกือบ 50 ล้านคนในภูมิภาคอะเมซอน ในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาชีวนิเวศ (biome) ไว้สำหรับคนรุ่นหลัง”

Robert Spencer หัวหน้าฝ่ายธรรมชาติและความยั่งยืนระดับโลกของ AECOM กล่าวว่า “เทคโนโลยีด้านธรรมชาติกำลังปฏิวัติวิธีการตัดสินใจเกี่ยวกับป่าฝนเขตร้อนอะเมซอนที่เป็นเอกลักษณ์และชุมชนที่พึ่งพาอยู่ การใช้ข้อมูลสดช่วยให้เรามั่นใจได้ว่า การดำเนินการของเรามีประสิทธิภาพและยั่งยืน AECOM มุ่งมั่นที่จะผลักดันการตัดสินใจที่ดีขึ้นและผลลัพธ์ของชุมชนผ่านความร่วมมือที่มีธรรมชาติเป็นโฟกัสนี้”

แพลตฟอร์ม IoF ที่สร้างโดยพันธมิตรในระบบนิเวศนี้ไม่เพียงแต่มีศักยภาพในการปกป้องระบบนิเวศป่าฝนและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมสำหรับชุมชนท้องถิ่นด้วย ซึ่งจะช่วยให้แอปพลิเคชันที่ใช้ Edge AI สามารถสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืน เช่น เกษตรอัจฉริยะด้วยการเกษตรที่มีความแม่นยำ การจัดการน้ำ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การผลิตพลังงานหมุนเวียนที่หลากหลาย และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์แบบไฮบริด Edge-Cloud ของ Veea ช่วยให้เกิดเครือข่ายขั้นสูงและแอปพลิเคชัน Edge ที่รองรับโดยการเชื่อมต่อและการจัดการแอปพลิเคชันที่ครอบคลุม รวมถึงบล็อกเชน IoT/IIoT/AIoT และเทคโนโลยีการจัดการข้อมูล ซึ่งทั้งหมดนี้ผสานรวมกันให้โซลูชัน “last-hectare” ที่ครบวงจรในป่าฝน เช่น :

  • การเข้าถึงเนื้อหาที่แคชไว้ในพื้นที่และอัปเดตเป็นประจำสำหรับการศึกษา การดูแลสุขภาพ การฝึกอบรม ข่าว และความบันเทิง
  • การวางแผนและการจัดการโซลูชันพลังงานหมุนเวียนในราคาย่อมเยา
  • การติดตามมลพิษทางน้ำ คุณภาพอากาศ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เกี่ยวกับ Veea

Veea® ทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานที่ขอบเครือข่ายง่ายขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น Veea ได้รวมการประมวลผลแบบหลายผู้เช่า การสื่อสารแบบมัลติแอคเซสหลายโปรโตคอล การจัดเก็บข้อมูลที่ขอบเครือข่าย และโซลูชันด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ไว้ในผลิตภัณฑ์ที่บริหารจัดการทั้งบนคลาวด์และที่ขอบเครือข่ายแบบครบวงจร ผลิตภัณฑ์ Multiaccess Edge Computing (MEC) ของ Veea ซึ่งพัฒนาขึ้นตั้งแต่ต้นในรูปแบบขนาดกะทัดรัด ได้นำฟังก์ชันการทำงานที่โดยปกติจะได้รับจากการรวมกันของเซิร์ฟเวอร์, อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่าย (Network Attached Storage หรือ NAS), เราท์เตอร์, ไฟร์วอลล์, จุดเชื่อมต่อ Wi-Fi (Access Points หรือ AP), เกตเวย์ IoT, การเข้าถึงไร้สาย 4G หรือ 5G และการประมวลผลบนคลาวด์ (Cloud Computing หรือ CC) มารวมไว้ในผลิตภัณฑ์เดียวกัน ที่มีการบูรณาการระบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบต่าง ๆ ซึ่งผู้ปฏิบัติงานด้าน IT/OT จะต้องดูแลรักษา เมื่อเปรียบเทียบกับโซลูชันแบบเดิมแล้ว Veea Edge Platform ให้ประสิทธิภาพในการตอบสนองแอปพลิเคชันที่สูงขึ้น เพิ่มความปลอดภัยด้านไซเบอร์ ปกป้องข้อมูล และมีการรับรู้ตามบริบท รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งข้อมูลและค่าใช้จ่ายรวมของการเป็นเจ้าของ ทั้งยังติดตั้ง ใช้งาน ตรวจสอบ และบำรุงรักษาเครือข่ายขอบได้อย่างง่ายดาย ผลิตภัณฑ์ VeeaHub ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่รันด้วยระบบ Linux ซึ่งมีสภาพแวดล้อมซอฟต์แวร์ที่จำลองแบบเสมือนอย่างครบถ้วนสำหรับแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบคลาวด์โดยใช้คอนเทนเนอร์ Docker™ ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูง โดยมีการแยกข้อมูลผู้ใช้และแอปพลิเคชันออกจากกันอย่างเข้มงวด รวมถึงมีการสร้างเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software Defined Networking หรือ SDN) และการจำลองฟังก์ชันของเครือข่าย (Network Function Virtualization หรือ NFV) ที่ครอบคลุมความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อส่งมอบเครือข่ายแบบมัลติฟังก์ชันผ่านเครือข่ายเชื่อมต่อและประมวลผล โซลูชันครบวงจรที่ติดตั้งได้ง่ายนี้มีการจัดการอุปกรณ์ แอปพลิเคชัน และบริการเสริมต่าง ๆ จากคลาวด์อย่างครบวงจร พร้อมการเข้าถึงเครือข่ายแบบ Zero Trust Network Access (ZTNA) และบริการ Secure Access Service Edge (SASE) ที่ใช้ 5G ซึ่งติดตั้งได้อย่างง่ายดายที่เลือกติดตั้งได้ Veea Edge Platform รองรับการเชื่อมต่อโดยตรงจากเครือข่ายไฟเบอร์ออปติก เครือข่ายเซลลูลาร์ และดาวเทียม สู่เครือข่ายท้องถิ่นที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเครือข่าย VeeaHub ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi และอุปกรณ์ IoT ในลักษณะเดียวกับการจัดการเครือข่ายเซลลูลาร์ ซึ่งเป็นความสามารถที่ได้รับการจดสิทธิบัตรภายใต้ชื่อการแบ่งเครือข่าย (Network Slicing) นอกจากนี้ Veea Developer Portal และเครื่องมือพัฒนายังช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ขอบเครือข่ายเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมความสามารถในการรองรับ Edge AI เป็นทางเลือกเสริม Veea ได้พัฒนาโซลูชันที่คุ้มค่าหลากหลายสำหรับข้อเสนอ B2B และ B2B2C ผ่านผู้ให้บริการ ผู้จัดจำหน่ายพันธมิตร ระบบอินทิเกรเตอร์ พันธมิตรด้านองค์กร และหน่วยงานรัฐบาล สำหรับการใช้งานด้านการค้าปลีกอัจฉริยะ การก่อสร้างอัจฉริยะ โลจิสติกส์และคลังสินค้าอัจฉริยะ การเกษตรอัจฉริยะ อาคารอัจฉริยะ โรงเรียนอัจฉริยะ โรงพยาบาลอัจฉริยะ พิพิธภัณฑ์อัจฉริยะ ไปจนถึงเมืองอัจฉริยะ Veea ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก โดยมีประวัติอันยาวนานในด้านนวัตกรรมเครือข่ายขั้นสูง เทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบไร้สายและการประมวลผล รวมถึงมีสิทธิบัตรที่ได้รับการอนุมัติกว่า 103 รายการ และกำลังรอการอนุมัติอีก 33 รายการในเทคโนโลยีหลักด้านการประมวลผลที่ขอบเครือข่ายแบบมัลติฟังก์ชัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม veea.com และติดตามเราทาง X และ LinkedIn

เกี่ยวกับ O.N.E. Amazon

ในฐานะผู้บุกเบิกการผสานรวมด้านความยั่งยืน การทำโทเคไนเซชัน (tokenization) เทคโนโลยี และตลาดการเงิน O.N.E. Amazon พัฒนาโซลูชันนวัตกรรมเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ภารกิจของบริษัทคือการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคอะเมซอนผ่านกองทุนเพื่อผลกระทบเชิงบวก O.N.E. Amazon ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาล เจ้าของที่ดินภาคเอกชน ชนเผ่าพื้นเมือง องค์กรไม่แสวงหากำไร และภาคธุรกิจในดินแดนป่าฝนอะเมซอนครอบคลุมพื้นที่โบลิเวีย บราซิล โคลอมเบีย เอกวาดอร์ กายอานา เปรู ซูรินาเม เวเนซุเอลา และเฟรนช์เกียนา เยี่ยมชมได้ที่ www.oneamazon.com

เกี่ยวกับ AECOM

AECOM คือบริษัทที่ปรึกษาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเชื่อถือระดับโลก บริการระดับมืออาชีพตลอดวงจรชีวิตของโครงการ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การวางแผน การออกแบบและวิศวกรรม ไปจนถึงการบริหารจัดการโครงการและการก่อสร้าง ลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนไว้วางใจให้เราแก้ไขความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดในโครงการต่าง ๆ ครอบคลุมด้านการขนส่ง อาคาร น้ำ พลังงานใหม่ และสิ่งแวดล้อม ทีมงานของเราขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายร่วมกันในการสร้างโลกที่ดีกว่าผ่านความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและดิจิทัลที่ไม่มีใครเทียบ ผ่านวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ความหลากหลาย และการอยู่ร่วมกัน รวมถึงความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล AECOM เป็นบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 โดยธุรกิจบริการระดับมืออาชีพมีรายได้ 14.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2023 ติดตามวิธีการที่เรากำลังสร้างมรดกแห่งความยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปได้ที่ aecom.com และ @AECOM

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ
สื่อมวลชนติดต่อ :
James Christopherson
Sterling Communications สำหรับ Veea Inc.
veea@sterlingpr.com

แหล่งที่มา : Veea

.

.

Thai Herald

Thai Herald