Category Archives: Technology

NHS เลือก Q-nomy Inc. และ ACF Technologies เพื่อสนับสนุนแคมเปญฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส โควิด -19 ในสหราชอาณาจักร

Logo

ระบบการจองการฉีดวัคซีนแห่งชาติที่ได้รับการพิสูจน์แล้วผ่านความพยายามในการทดสอบ COVID-19

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–8 ธ.ค. 2563

Q-nomy Inc. ผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านโซลูชันการเพิ่มประสิทธิภาพประสบการณ์ของลูกค้า ที่ติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลายช่องทาง หรือแบบ Omnichannel ประกาศในวันนี้ว่าการฉีดวัคซีน COVID-19 ทั้งหมดทั่วสหราชอาณาจักรจะถูกจัดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มการนัดหมาย Q-Flow® ซึ่งจัดทำโดย ACF Technologies ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในสหราชอาณาจักร

ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป โซลูชันการจัดตารางเวลาขององค์กร Q-Flow การจองออนไลน์ และการจัดการการแบบที่มีการโต้ตอบ (interactive) จะถูกนำมาใช้เพื่อช่วยงาน National Health Service (NHS) ทั้งนี้เพราะการจองนัดหมายการฉีดวัคซีนจำนวนมาก อีกทั้งยังมีความจำเป็นในการแจ้งเตือนลูกค้าในสถานที่มากกว่าหนึ่งพันแห่งทั่วสหราชอาณาจักร โดยก่อนหน้านี้ ACF ยังได้รับเลือกให้ส่งมอบโซลูชันการจัดการการนัดหมายสำหรับโปรแกรมทดสอบ COVID-19 ทั่วประเทศของสหราชอาณาจักร อีกด้วย

“ในช่วงแปดเดือนที่ผ่านมา Q-Flow ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่โดดเด่นในฐานะโซลูชันการจัดตารางเวลาจำนวนมากสำหรับโปรแกรมทดสอบ COVID-19 ของ NHS เราภูมิใจมากที่ NHS ได้เลือก ACF Technologies และ Q-nomy อีกครั้งเพื่อสนับสนุนความพยายามในการฉีดวัคซีนระดับชาติที่ยิ่งใหญ่นี้” Lior Miller รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ Q-nomy กล่าว “ Q-Flow ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการโต้ตอบและการรับส่งข้อมูลในขนาดระดับนี้ และจะพร้อมให้บริการในปริมาณการจองได้ถึง 500,000 นัดต่อวัน”

“ผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับทีมงานในสหราชอาณาจักรของเรา” Andy Hart กรรมการผู้จัดการ ACF Technologies EMEA กล่าว “ ไม่มีเวลาไหนที่เราจะผนึกกำลังและสร้างความแตกต่างได้ดีไปกว่าตอนนี้ ด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจในชาติและความปรารถนาที่จะสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และเพื่อนร่วมงาน เราจึงทำทุกอย่างเพื่อการมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับโควิด -19”

เกี่ยวกับ Q-nomy Inc.

Q-nomy เป็นผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ชั้นนำที่ให้บริการโซลูชันการจัดการกระบวนการทางธุรกิจที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Q-nomy ช่วยให้ธุรกิจและองค์กรทั่วโลกทำงานได้ดีขึ้นโดยการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าผ่านช่องทางติดต่อทั้งทางกายภาพและทางดิจิทัล Q-nomy มีสถานที่ตั้งมากกว่า 1200 แห่งใน 5 ทวีปที่อยู่ในองค์กรด้านการดูแลสุขภาพ รัฐบาล การเงินโทรคมนาคม การค้าปลีก และการศึกษา

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.qnomy.com/mass-scheduling-app

เกี่ยวกับ ACF Technologies

ACF Technologies เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในการนำเสนอโซลูชันการจัดการการนัดหมายระดับองค์กรที่ทันสมัยที่สุดในโลก บริษัทตั้งขึ้นเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ด้วยประสบการณ์เกือบสองทศวรรษในหลายอุตสาหกรรมเราจึงเป็นผู้นำระดับโลกในการจัดการโฟลว์ขั้นสูงของลูกค้า แนวทางการให้คำปรึกษาเป็นหลักของเราช่วยให้ลูกค้ามีความคล่องตัวในทุกปฏิสัมพันธ์ตั้งแต่การจัดตารางนัดหมาย ไปจนถึงการมาถึง ณ สถานที่ โดยอาศัยข้อเสนอแนะหลังการให้บริการ โซลูชันของบริษัทช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้น และส่งมอบผลกำไรที่แข็งแกร่งขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติมไปที่: https://www.acftechnologies.com/healthcare

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201208005499/en/

ติดต่สำหรับสื่อของ Q-nomy:

Lior Miller – Lior.Miller@qnomy.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

57 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังสตรีมเนื้อหาวิดีโอ OTT มากขึ้นเนื่องจาก วิกฤต COVID-19 อ้างอิงจากข้อมูลจากการวิจัยครั้งใหม่ของ The Trade Desk

Logo

คาดว่าจะสามารถรักษาการรับชมแบบสตรีมมิ่งเอาไว้ได้ 73 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจเพิ่มการชมแบบสตรีมมิ่งได้อีก หลังจากผ่านพ้นการแพร่ระบาดของโควิด

ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 89 เปอร์เซ็นต์จะดูโฆษณาเพื่อแลกกับการการรับชมโปรแกรมฟรี

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–8 ธ.ค. 2563

วันนี้ The Trade Desk (NASDAQ: TTD) ได้ประกาศผลการวิจัยชิ้นแรกในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภค 180 ล้านคนสตรีมเนื้อหา over-the-top (OTT) แปดพันล้านชั่วโมงต่อเดือนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ทำให้ OTT เป็นหนึ่งในช่องทางสื่อที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค โดยบริการ OTT ช่วยให้ผู้ชมสามารถสตรีมเนื้อหาวิดีโอที่ผลิตแบบมืออาชีพผ่านการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ตามต้องการจากอุปกรณ์ใด ๆ ซึ่งรวมถึง สมาร์ททีวี คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ต่าง ๆ

การศึกษาซึ่งสำรวจพฤติกรรมการใช้งานและการรับชมบนแพลตฟอร์ม OTT ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทยและเวียดนามแสดงให้เห็นว่า COVID-19 ได้ช่วยเร่งการนำ OTT มาใช้ ผู้ใช้ OTT มากกว่าครึ่ง (57 เปอร์เซ็นต์) กล่าวว่าพวกเขาสตรีมเนื้อหา OTT มากขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาด นิสัยเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปแม้หลังจากผ่านวิกฤต COVID-19 ไปแล้ว โดยร้อยละ 73 วางแผนที่จะรักษาระดับการบริโภคหรือเพิ่มการบริโภค OTT หลังจากการระบาดของ Covid สิ้นสุดลง

“การระบาดของโควิดได้นำไปสู่การเปลี่ยนไปสู่ระบบ ​​OTT อย่างรวดเร็วและที่ไม่มีวันย้อนกลับ เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจเนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นและเนื้อหา OTT สะดวกและเข้าถึงได้มากขึ้นกว่าที่เคย” Mitch Waters รองประธานอาวุโสฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ของ The Trade Desk กล่าว “การวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปในทิศทางเดียวเท่านั้น ผู้โฆษณาเข้าใจสิ่งนี้ พวกเขาต้องการทำแคมเปญเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคในที่ที่พวกเขาอยู่และเพื่อให้พวกเขาสามารถปรับใช้ข้อมูลกับแคมเปญวิดีโอในรูปแบบที่ไม่สามารถทำได้ผ่านช่องทางดั้งเดิม เช่น การใช้โทรทัศน์แบบสามัญ "

การศึกษายังแสดงให้เห็นว่า OTT มีศักยภาพที่จะทำลายไพรม์ไทม์ทีวีแบบเดิมอย่างเห็นผล โดยผู้ชม OTT ส่วนใหญ่ (70 เปอร์เซ็นต์) ชอบที่จะรับชมระหว่างเวลา 20.00 น. -12.00 น. ทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างการสตรีมมิ่งกับการดูทีวีแบบเดิมสำหรับผู้ชมในช่วงไพรม์ไทม์ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชม OTT เกือบหนึ่งในห้าไม่ได้ดูทีวีแบบดั้งเดิมเลยในช่วงสามเดือนก่อนการสำรวจ นอกจากนี้ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มองหา OTT สำหรับเนื้อหาที่พวกเขาชื่นชอบ โดย 58 เปอร์เซ็นต์ปรับทีวีเป็นแบบ OTT เพื่อรับชมรายการโปรดของพวกเขาเทียบกับเพียง 48 เปอร์เซ็นต์ที่รับชมผ่านการออกอากาศแบบดั้งเดิม

ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ คือการที่ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยินดีที่จะรับชมโฆษณาสำหรับการรับชมเนื้อหาฟรี ในภูมิภาคนี้มีผู้คนมากกว่า 100 ล้านคนใช้แพลตฟอร์ม OTT ที่รองรับโฆษณา โดยผู้ชมส่วนใหญ่ (89 เปอร์เซ็นต์) ยินดีที่จะดูโฆษณาเพื่อแลกกับการเข้าถึงโปรแกรมต่าง ๆ ฟรี

"เนื่องจากบริการสตรีมมิ่งยังคงให้บริการเนื้อหาสตรีมมิ่งที่มากขึ้นและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเนื้อหา OTT แบรนด์ต่างๆจึงสามารถสร้างประสบการณ์การโฆษณาที่น่าดึงดูด ซึ่งผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยินดีที่จะบริโภค" Waters กล่าว "และด้วยการใช้ OTT ผู้ลงโฆษณาจึงมีโอกาสลงทุนในแนวทางและแพลตฟอร์มการโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลซึ่งจะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในอนาคตใหม่ของทีวี"

ข้อค้นพบที่สำคัญจากการวิจัย ได้แก่ :

  • ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 180 ล้านคนใช้บริการสตรีมมิ่ง OTT
  • ผู้ชมสตรีม OTT แปดพันล้านชั่วโมงต่อเดือนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในอินโดนีเซียเพียงแห่งเดียวมีการสตรีมสามพันล้านชั่วโมง ตลาดชั้นนำอื่น ๆ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (สตรีม 2.2 พันล้านชั่วโมง / เดือน) ไทย (1.41 พันล้านชั่วโมง / เดือน) และเวียดนาม (1 พันล้านชั่วโมง / เดือน)
  • 57 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชม OTT เพิ่มการสตรีมระหว่าง COVID และ 73 เปอร์เซ็นต์วางแผนที่จะรักษาหรือเพิ่มการบริโภค OTT แม้ว่าจะผ่านพ้นการเกิดโรคระบาด การเพิ่มการรับชมแบบสตรีมมิ่งระหว่างช่วงวิกฤต COVID เกิดขึ้นเร็วที่สุดในอินโดนีเซียโดยสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้น 66 เปอร์เซ็นต์ เวียดนาม 59 เปอร์เซ็นต์และมาเลเซีย 58 เปอร์เซ็นต์
  • ในภูมิภาคนี้มี 17 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชม OTT ไม่ได้ดูทีวีแบบดั้งเดิมใด ๆ ในช่วงสามเดือนก่อนตอบแบบสำรวจ ตัวเลขดังกล่าวสูงขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์ (22 เปอร์เซ็นต์) และมาเลเซีย (23 เปอร์เซ็นต์)
  • ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร้อยละ 89 จะดูโฆษณาเพื่อแลกกับการสตรีมเนื้อหาฟรี อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มีความอดทนต่อโฆษณาเป็นพิเศษ โดยจำนวนผู้ชมยินดีที่จะรับชมเนื้อหาฟรีสี่รายการขึ้นไปต่อชั่วโมง ที่ 38 เปอร์เซ็นต์และ 42 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ
  • ผู้ลงโฆษณาสามารถเข้าถึงผู้บริโภคมากกว่า 100 ล้านคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนแพลตฟอร์มที่รองรับโฆษณา การสตรีมที่สนับสนุนการโฆษณาเป็นที่นิยมโดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งผู้ลงโฆษณาสามารถเข้าถึงผู้ชม OTT ชาวไทยได้ 7 ใน 10 คน

วิธีสำรวจ

รายงานนี้ได้รับมอบหมายจาก The Trade Desk และดำเนินการโดย Kantar ซึ่งให้ข้อมูลการตลาดข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาชั้นนำของโลก โดย Kantar ได้ทำการสำรวจผู้บริโภค 4,500 คนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปในฟิลิปปินส์ สิงคโปร์มาเลเซีย เวียดนาม ไทย และอินโดนีเซียในเดือนกันยายน 2563

เกี่ยวกับ The Trade Desk

The Trade Desk™ เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ให้อำนาจผู้ซื้อด้านโฆษณา ผู้ซื้อโฆษณาสามารถสร้าง จัดการ และเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาดิจิทัลผ่านรูปแบบการให้บริการตนเองด้วยแพลตฟอร์มคลาวด์ การผสานรวมกับข้อมูลสำคัญ คลัง และพันธมิตรผู้เผยแพร่โฆษณา ช่วยให้มั่นใจถึงความสามารถในการเข้าถึงและการตัดสินใจสูงสุดและ API ขององค์กรทำให้ใช้งานการพัฒนาที่กำหนดเองได้บนแพลตฟอร์ม The Trade Desk มีสำนักงานใหญ่ในเวนทูรา แคลิฟอร์เนีย มีสำนักงานอยู่ทั่วอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม thetradedesk.com หรือติดตามเราบน Facebook, Twitter, LinkedIn และ YouTube.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201207006003/en/

ติดต่อ:

Jennie Johnson

The Trade Desk

jennie.johnson@thetradedesk.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

UVD Robots ชนะการประกวดราคา ทำให้ได้ทำสัญญา EU ในการติดตั้งหุ่นยนต์ 200 ตัวในโรงพยาบาลทั่วยุโรป

Logo

หุ่นยนต์ UVD ถูกนำไปใช้เพื่อต่อสู้กับการแพร่กระจายของ Covid-19 และลดการติดเชื้อในโรงพยาบาล

โอเดนเซ่, เดนมาร์ก–(BUSINESS WIRE)–7 ธ.ค. 2563

UVD Robots และ Blue Ocean Robotics ผู้ผลิตหุ่นยนต์ฆ่าเชื้ออัตโนมัติที่มาพร้อมแสง UV-C ได้ประกาศในวันนี้ว่า พวกเขาได้รับเลือกจาก European Commission directorate-Generale for Communications Networks, Content and Technology (EU Commission) ให้จัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อที่ทำงานอัตโนมัติ 200 ตัว ให้กับโรงพยาบาลในสหภาพยุโรปที่ต่อสู้กับไวรัสโคโรนา ทั้งนี้ UVD Robots มาเป็นอันดับหนึ่งในการประกวดราคาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อของคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป โดยมีการประเมินความเป็นเลิศทางเทคนิคและวุฒิภาวะของเทคโนโลยี คุณภาพของแนวทางในการใช้งาน เวลาตอบสนองในการสนับสนุนทางเทคนิคและการบำรุงรักษา และมูลค่าโดยรวม ขณะนี้มีการนำหุ่นยนต์ UVD ไปใช้งานในประเทศในสหภาพยุโรป 10 กว่าประเทศ และจะมีอีกมากมายที่จะตามมา

The UVD Robot is an autonomous disinfecting robot equipped with UV-C light that kills viruses and bacteria on surfaces and in the air. The General Hospital "Dr.Ivo Pedisic" Sisak in Croatia deployed a UVD Robot in its fifteen operating theaters where results showed no existence of microorganisms after disinfection. In March the robot was moved to treat Covid-19 departments, where only one staff member has since tested positive for Covid compared to 37 employees in other departments. At Gruppo Poloclinico Abano in Italy, six doctors had been infected with COVID-19 before a UVD Robot was deployed. No cases of COVID-19 have appeared among doctors, nurses or patients following deployment of the UVD Robot. The robots have now been rolled out to more than 60 countries worldwide. (Photo: Business Wire)

UVD Robot เป็นหุ่นยนต์ฆ่าเชื้ออัตโนมัติที่มาพร้อมแสง UV-C ซึ่งจะฆ่าไวรัสและแบคทีเรียบนพื้นผิวและในอากาศ  "Dr.Ivo Pedisic" Sisak จาก The General Hospital ในโครเอเชียติดตั้งหุ่นยนต์ UVD ในโรงปฏิบัติการ 15 แห่งซึ่งผลการวิจัยพบว่าไม่มีจุลินทรีย์หลงเหลือหลังจากการฆ่าเชื้อ ในเดือนมีนาคมหุ่นยนต์ถูกเคลื่อนย้ายไปรักษาแผนก Covid-19 ซึ่งมีพนักงานเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ติดเชื้อ Covid เมื่อเทียบกับพนักงาน 37 คนในแผนกอื่น ๆ สำหรับที่ Gruppo Poloclinico Abano ในอิตาลีมีแพทย์ 6 คนติดเชื้อ COVID-19 ก่อนที่จะติดตั้งหุ่นยนต์ UVD แต่ไม่พบผู้ป่วย COVID-19 ในกลุ่มแพทย์พยาบาลหรือผู้ป่วยหลังการติดตั้งหุ่นยนต์ UVD ปัจจุบันนี้หุ่นยนต์ได้เปิดตัวไปแล้วกว่า 60 ประเทศทั่วโลก (ภาพ: Business Wire)

ในแถลงการณ์ของประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula Von Der Leyen กล่าวว่า:“ European Commission กำลังซื้อหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อ 200 ตัว โดยใช้ กองทุนของสหภาพยุโรป ซึ่งจะส่งหุ่นยนต์ไปยังโรงพยาบาลทั่วยุโรปเพื่อช่วยในห้องผู้ป่วยสำหรับการฆ่าเชื้อ เราทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลและผู้ป่วยในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ และเราจะให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ต่อไป”

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่หุ่นยนต์ UVD ของเราได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปซึ่งเราเชื่อว่าเป็นการสั่งซื้อที่ใหญ่ที่สุดในการสั่งซื้อประเภทนี้” Per Juul Nielsen ซีอีโอของ UVD Robots กล่าว “ เราผลิตหุ่นยนต์ตัวแรกในประเภทนี้และได้กำหนดมาตรฐานระดับโลกสำหรับการฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสี UVC แบบอัตโนมัติ คำสั่งซื้อขนาดนี้ช่วยตอกย้ำประสิทธิภาพของ UVD Robots ต่อไป”

หุ่นยนต์ UVD ฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียบนพื้นผิวและในอากาศลดการแพร่กระจายของโรคโดยฆ่าแบคทีเรียและจุลินทรีย์ 99.99 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาประมาณ 10 นาทีในห้องผู้ป่วย

“เรากำลังช่วยต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในขณะเดียวกันก็เสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล (HAI) โดยรวม” Claus Risager ซีอีโอของ Blue Ocean Robotics บริษัทแม่ของ UVD Robots กล่าว "ด้วยคำสั่งนี้เราจะดำเนินการให้ดียิ่งขึ้นไปอีกเพื่อช่วยปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และญาติที่โรงพยาบาลในช่วงเวลาวิกฤต"

เกี่ยวกับ

UVD Robots เป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มแบรนด์ชั้นนำของโลกในการพัฒนาหุ่นยนต์บริการระดับมืออาชีพ Blue Ocean Robotics ซึ่งรวมถึงแบรนด์ GoBe Robots กับ PTR Robots มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองโอเดนเซ่ ประเทศเดนมาร์กซึ่งเป็นสถานที่พัฒนาผลิตและจำหน่ายหุ่นยนต์บริการ

Press Kit

รับชมคลังภาพ/มัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52343641/en

บริษัท:

Merima Cikotic

+45 7199 5606

mc@blue-ocean-robotics.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Hillstone Networks ปล่อยอัปเกรดสำหรับระบบปฏิบัติการระบบความปลอดภัยเครือข่ายพร้อมแพลตฟอร์มที่รองรับการใช้งานในอนาคต

Logo

ซานตาคลารา, แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–02 ธันวาคม 2563

Hillstone Networks ผู้ให้บริการโซลูชันความปลอดภัยบนเครือข่ายสำหรับองค์กรและการจัดการความเสี่ยงชั้นนำ ประกาศ ยกระดับระบบปฏิบัติการระดับเรือธงอย่าง StoneOS 5.5R8 ครั้งใหญ่ ซึ่งมาพร้อมการอัปเดตที่สำคัญกว่าร้อยรายการ เพื่อมอบโซลูชันด้านความปลอดภัยทีมีความครอบคลุม ชาญฉลาด น่าเชื่อถือ และใช้งานง่ายที่สุดสำหรับองค์กรที่ต้องการปกป้องช่องทางเข้าถึงเครือข่ายทั้งหมดของพวกเขาในวันนี้

“ระบบความปลอดภัยในปัจจุบันมีความเสี่ยงมากกว่าที่เคย ธุรกิจต่างเร่งมือสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้กับแรงงานและทรัพยากรที่สำคัญ ๆ ของพวกเขาในทุก ๆ ช่องทาง” Timothy Liu ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง Hillstone Networks กล่าว “ที่ผ่านมา ภารกิจของเราคือการนำเสนอโซลูชันที่ช่วยให้องค์กรมองเห็น เข้าใจ และจัดการกับช่องโหว่หรือการโจมตีรูปแบบต่าง ๆ โดยการอัปเดตระบบ StoneOS ในวันนี้ตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ดังกล่าวด้วยคุณสมบัติและประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้องค์กรออกแบบระความปลอดภัยเครือข่ายที่สามารถรองรับการใช้งานในอนาคตได้”

มีอะไรใหม่ใน StoneOS

StoneOS เวอร์ชัน 5.5R8 มาพร้อมการออกแบบที่เป็นมาตรฐาน (modular design) ซึ่งแยกออกจากระบบและมีการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงให้มีความทนทานมากขึ้นเพื่อการทำงานที่ต่อเนื่องของชุดคุณสมบัติต่าง ๆ รวมถึงส่วนประสบการณ์ของผู้ใช้ (user experience) บนฮาร์ดแวร์และแพลตฟอร์มเสมือนจริงต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สำคัญ ประกอบด้วย

  • การออกคำสั่ง Botnet และการป้องกันระบบควบคุมจากเอดจ์สู่คลาวด์: ประกอบด้วยการเฝ้าตรวจตราการเชื่อมต่อระบบออกคำสั่งและควบคุม (C&C) จาก L3 ถึง L7 และการตรวจจับ DGA ที่น่าสงสัย รายการเข้าถึงที่ออกแบบตามความต้องการเฉพาะ รวมถึงการป้องกันการโจมตีแบบ DNS sinkhole และการสร้างช่องทางสนับสนุนสำหรับสร้างความปลอดภัยให้กับส่วนที่เป็นสมองของเครือข่ายอย่างเต็มรูปแบบ
  • Next-Gen Firewall สำหรับศูนย์ข้อมูลที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ มาพร้อมคุณสมบัติด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม: ประกอบด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลและระบบ granular control ตามนโยบาย พร้อมด้วย IPv6 ขั้นสูง และการสนับสนุนคุณสมบัติการสื่อสารข้อมูลแบบ Multicast พร้อมการป้องกันการรับส่งข้อมูลและกิจกรรมใด ๆ รวมถึงการเฝ้าตรวจตราบริการ ณ เซิร์ฟเวอร์ปลายทาง
  • การกำหนดค่าที่มีความลื่นไหลเพื่อช่วยเสริมระบบการจัดการนโยบาย: การกำหนดค่าที่ได้รับการอัปเกรดให้มีความลื่นไหลจะช่วยลดภาระงานของผู้ดูแลระบบด้วยระบบจัดการนโยบายแบบรวมศูนย์ ความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากกฎการออกนโยบายนำเข้า/ส่งออก และความสามารถในการกำหนดค่าผู้ใช้ที่ได้รับการยืนยันตัวตนโดยอัตโนมัติ
  • การรวมความปลอดภัยเข้ากับด้วยเทคโนโลยี Virtualization: นอกเหนือจากการอัปเกรดระบบปฏิบัติการแล้ว ยังมีการนำเสนอโมเดลใหม่ในตระกูล CloudEdge อย่าง VM08 ด้วย โดยโมเดลดังกล่าวและอุปกรณ์เสมือนทั้งหมดสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกับโมเดลแบบฮาร์ดแวร์รุ่นอื่น ๆ ได้แล้วในขณะนี้
  • การพลิกโฉมสภาพแวดล้อมเครือข่ายองค์กร: สำหรับองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนไปใช้ IPv6 การอัปเดตจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น

ข้อมูลเพิ่มเติม

สามารถดูคุณสมบัติอื่น ๆ ของ Hillstone StoneOS อย่างละเอียดได้ ที่นี่

ติดต่อ:

Zeyao Hu
ผู้จัดการการตลาด
inquiry@hillstonenet.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Vault Micro: CameraFi Live แอพถ่ายทอดสดของ Android เปิดตัวเอฟเฟกต์การช็อปปิ้ง

Logo

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–1 ธ.ค. 2563

Vault Micro ผู้พัฒนาแอพสตรีมมิงแบบสดชื่อ CameraFi Live ได้ประกาศว่าแอพได้เปิดตัวการอัปเดตที่นำเสนอเอฟเฟกต์การช็อปปิ้งแบบสดที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซ การอัปเดตครั้งนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มข้อมูลผลิตภัณฑ์ เช่น ชื่อสินค้า รูปภาพ ราคาและส่วนลด และรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแบบเรียลไทม์ในระหว่างการออกอากาศได้.

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201130005077/en/

Mobile App, "Live Shopping Effects" by Vault Micro (Graphic: Business Wire)

แอพมือถือ "Live Shopping Effects" โดย Vault Micro (กราฟิก: Business Wire)

เนื่องจากการโต้ตอบแบบตัวต่อตัวที่จำกัด ซึ่งเกิดจากสถานการณ์ COVID-19 จึงทำให้ยังมีการซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ส่งผลให้ผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซออนไลน์รายใหญ่อย่าง Amazon เปิดตัวการช็อปปิ้งแบบสตรีมมิงแบบสด โดย Live-Streaming E-Commerce หรือ Live Commerce เป็นเทรนด์ล่าสุดที่นำเสนอวิธีการขายออนไลน์ที่ก้าวหน้าและเป็นแบบโต้ตอบได้มากขึ้น การถ่ายทอดสดทำให้ผู้ขายสามารถเน้นจุดขายของสินค้าได้ดีขึ้น และลูกค้าสามารถมีคำถามและคำติชมได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ อินฟลูเอนเซอร์ยังสามารถเข้าร่วมการถ่ายทอดสดเหล่านี้เพื่อตอกย้ำเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่งและดึงดูดผู้ชมให้มากขึ้นซึ่งช่วยทำให้อัตราการซื้อของเพิ่มขึ้น

CameraFi Live ซึ่งเป็นแอพสตรีมมิงแบบสดสำหรับผู้ใช้ Android นำเสนอวิธีการใช้ที่ง่ายและดีกว่าในการขายผลิตภัณฑ์ผ่านการสตรีมมิงแบบสดโดยสร้างการถ่ายทอดสดคุณภาพสูงแบบเรียลไทม์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆเช่น Facebook, YouTube, และ Twitch เหมาะสำหรับการขยายการขายผ่านการสตรีมสดการช็อปปิ้งออนไลน์ และมีการถ่ายทอดสดเฉลี่ย 30,000 ครั้งต่อวันใน 200 ประเทศทั่วโลก

ข้อดีอย่างหนึ่งของสตรีมมิงแบบสดคือไม่ต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพงและคุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในสตูดิโอถ่ายทอดสดระดับมืออาชีพ เพียงแค่ใช้สมาร์ทโฟนคุณก็เริ่มสร้างการถ่ายทอดสดได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และด้วยนวัตกรรมนี้การถ่ายทอดสดอีคอมเมิร์ซผ่าน CameraFi Live จึงเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศไทย อินโดนีเซีย และประเทศอื่น ๆ ในอเมริกาใต้

Seongil Kim ซีอีโอของ Vault Micro กล่าวว่า “ผมหวังว่าทุกคนจะได้รับโอกาสในการเริ่มขายของออนไลน์ได้ง่าย ๆในช่วงเวลาที่สถานการณ์ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจไม่ลื่นไหล เราวางแผนที่จะเพิ่มเอฟเฟกต์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้คนจำนวนมากขึ้น” นอกจากนี้เขายังย้ำว่าเขามีแผนที่จะร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสดต่อไปเพื่อให้ผู้ใช้ที่ไม่ใช่มืออาชีพสามารถเริ่มสตรีมมิงแบบสดได้โดยไม่ยาก

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201130005077/en/

ติดต่อ:

Vault Micro, Inc.

EunJi Lee

ฝ่ายกลยุทธ์และวางแผน (ผู้จัดการ)

+82-70-8676-7740

leeeunji@vaultmicro.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ผลการศึกษาใหม่สรุปว่า Xlear สามารถฆ่าและ/หรือหยุดการทำงานของ SARS2

Logo

ไมแอมี–(บิสิเนสไวร์)–30 พ.ย. 2563

การศึกษาใหม่ในหลอดทดลอง ซึ่งนำโดยหน่วยงานที่มีชื่อเสียงด้านโรคระบบทางเดินหายใจได้สรุปว่าสเปรย์ฉีดจมูก Xlear เป็น “แนวทางที่มีประสิทธิภาพ…และมีผลซ้ำในการหยุดการทำงานของ SARS-CoV-2…จนเหลือปริมาณไวรัสที่ตรวจพบไม่ได้” ข้อสรุปนี้ “ได้รับการตรวจทานความถูกต้องโดยชุดการทดลองอิสระสองรา ดำเนินการโดยห้องปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ในสายพันธุ์ไวรัสที่แตกต่างกัน…” การศึกษา Virucidal ได้รับทุนสนับสนุนอย่างอิสระ “การศึกษาการฆ่าไวรัสให้ความสำคัญกับบทบาทของ Xlear ในการช่วยต่อสู้กับการแพร่ระบาดของ COVID-19” ดร. Dr. Gustavo Ferrer ซึ่งเป็นผู้นำทีมวิจัยกล่าว

สถานะของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์:

สเปรย์ฉีดจมูกเช่น Xlear ช่วยลดปริมาณไวรัสในจมูกซึ่งมีความสำคัญในการต่อสู้กับ COVID-19  ผลวิจัยชี้ว่า COVID-19 ส่วนใหญ่ติดเชื้อและแพร่กระจายผ่านระบบทางเดินหายใจส่วนบน  ด้วยการลดปริมาณไวรัสในจมูก สเปรย์ฉีดช่วยจำกัดความรุนแรงและการแพร่กระจายของโรค SARS-CoV-2 (COVID-19) https://jamanetwork.com/journals/jamaotolaryngology/fullarticle/2768627

ส่วนประกอบ Xlear นั้นต้านไวรัสโดยการป้องกันการยึดเกาะของเชื้อไวรัสในจมูก ชมตัวอย่าง https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2020.08.19.225854v1.full.pdf ผลวิจัย SARS-CoV-2 จากมหาวิทยาลัยเทนเนสซีสรุปว่า “สเปรย์ฉีดจมูกต้านไวรัส…มีส่วนช่วยลด…ปริมาณไวรัส…โดยชะลอการลุกลามของโรค…และการแพร่เชื้อ…”

กรณีศึกษาที่ผ่านการตรวจสอบทางวิชาการระบุว่า Xlear ช่วยใน การรักษา COVID-19: การทดลองครั้งแรกที่โรงพยาบาล Larkin Community Hospital (ไมอามี) ระบุว่า: “ผู้ป่วยที่มีอาการ COVID-19 ที่ได้รับการรักษาด้วย [Xlear] เป็นยาเสริมสำหรับ… [การดูแลมาตรฐาน]” แสดง “การรักษาอย่างรวดเร็ว โดยปรับปรุงและลดเวลาการตรวจผบ COVID-19 PCR เป็นลบ https://www.cureus.com/articles/43909-potential-role-of-xylitol-plus-grapefruit-seed-extract-nasal-spray-solution-in-covid-19-case-series

ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกใช้ Xlear มานานกว่า 20 ปี โดยไม่มีรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สำคัญแม้แต่รายงานเดียว

จากข้อมูลที่มีอยู่ การศึกษาการฆ่าไวรัสเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Xlear ไม่ใช่แค่ยาต้านไวรัส แต่เป็นยาฆ่าเชื้อไวรัส (ฆ่า/หยุดการทำงานของ SARS-CoV-2)  การรวมกันของความสามารถในการต้านไวรัสและความสามารถในการฆ่าเชื้อนี้ถือเป็นหมัดคู่ที่สำคัญในการต่อสู้กับไวรัส” Nathan Jones ซีอีโอของ Xlear กล่าว “ด้วยการระบาดใหญ่ทั่วโลก เราต้องใช้เครื่องมือทุกอย่างเพื่อต่อสู้กับมัน  มิฉะนั้นจะเสี่ยงชีวิตนับล้านโดยไม่จำเป็น  ด้วยการคำนึงถึงประวัติความปลอดภัย 20 ปีของเราต่อความเสี่ยงของไวรัสร้ายแรงนี้จึงเห็นได้ชัดว่า Xlear จำเป็นต้องมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย” Jones กล่าวสรุป

การศึกษาแบบเต็ม: https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2020.11.23.394114v1.full

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Xlear: https://xlear.com/

เกี่ยวกับ Dr.Gustavo Ferrer

Dr. Ferrer, MD FCCP เป็น รองศาสตราจารย์ด้านการแพทย์และผู้ก่อตั้งคลินิก Cleveland Clinic Florida Interstitial Lung Disease Clinic และเครือข่ายโรงพยาบาล Aventura Hospital Pulmonary and Critical Care  ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งประธานผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้ป่วยหนักที่ Aventura Pulmonary Institute และเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการด้านการวิจัยระบบทางเดินหายใจของมหาวิทยาลัยแห่งสหประชาชาติประเทศเวเนซุเอลา

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201130005291/en/

ติดต่อ:

Jeff Gulko
617.304.7339
jeff@thegulkogroup.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Netpoleon เผยแพร่รายงานการโจมตีผ่านอีเมลขององค์กร (BEC)

Logo

– ผู้โจมตีจู่โจมองค์กรของคุณอย่างไรและคุณจะป้องกันด้วยวิธีใด –

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–25 พฤศจิกายน 2563

Netpoleon Solutions Pte Ltd (จากนี้เรียก: Netpoleon) ผู้ให้บริการโซลูชันสำหรับเครือข่ายและความปลอดภัยแบบครบวงจรและบริการเสริมชั้นนำ เผยแพร่รายงาน “การโจมตีผ่านอีเมลขององค์กร (BEC): ผู้โจมตีจู่โจมองค์กรของคุณอย่างไรและคุณจะป้องกันด้วยวิธีใด” ซึ่งจัดทำขึ้นโดย Macnica Networks Corp (จากนี้เรียก: Macnica Networks) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Netpoleon และเป็นผู้วิเคราะห์ภัยคุกคามซึ่งพุ่งเป้าโจมตีองค์กรในเอเชีย รวมถึงเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านความปลอดภัยในประเทศญี่ปุ่น

Pretending to be the CEO of a trading partner (Graphic: Business Wire)

แอบอ้างว่าเป็นซีอีโอของหุ้นส่วนทางการค้า (กราฟิก: Business Wire)

รายงานฉบับนี้ได้ทำการสรุปข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการหลอกลวง ขั้นตอนการเตรียมตัวอย่างระมัดระวังไปจนถึงการถ่ายโอนไปยังบัญชีที่เตรียมไว้โดยผู้โจมตี มาตรการที่เราเชื่อว่าส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อระบบและแผนกงานด้านบัญชี และการรับมือกับสถานการณ์เมื่อเผชิญกับการโจมตีผ่านอีเมลขององค์กร โดยทั้งหมดนี้เป็นผลที่ได้จากการวิเคราะห์อีเมลจำนวนมากซึ่ง Macnica Networks เป็นผู้รวบรวม

Macnica Networks ได้วิเคราะห์อีเมลที่เป็นการโจมตีในระดับองค์กรซึ่งบริษัทในเครือของ Macnica Group ได้รับระหว่างปี 2558 ถึง 2562 และอีเมลที่ส่งถึงหุ้นส่วนทางการค้าของเราโดยมีการแอบอ้างว่าอีเมลเหล่านั้นส่งจาก Macnica Group รวมถึงเคสเกี่ยวกับการโจมตีผ่านอีเมลขององค์กรที่ดูแลโดยหน่วยรับมือกับสถานการณ์การโจมตีของ Macnica Networks และยังได้เผยรายละเอียดขั้นตอนที่ผู้โจมตีเหล่านั้นใช้อีกด้วย นอกจากนี้ ด้วยความร่วมมือจากหน่วย ITCCERT ของ Itochu ซึ่งมอบผลการวิเคราะห์เกี่ยวกับการโจมตีแบบ BEC ภายใน Itochu Group ที่กำลังขยายการเติบโตไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่องมาให้ เราจึงสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนและการระบุตัวผู้โจมตีได้มากขึ้น

เราควรให้ความสำคัญกับการโจมตีผ่านอีเมลขององค์กรมากขึ้น จากที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต (IC3) ของสำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) ได้ระบุไว้ว่าภายในระยะเวลาไม่ถึงห้าปีนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 ถึงเดือนพฤษภาคม 2561 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการโจมตีผ่านอีเมลขององค์กร (BEC) สูงเกือบถึง 80,000 ครั้ง และมูลค่าความเสียหายทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 12.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.4 ล้านล้านเยน)

[ตัวอย่าง]

  • การแอบอ้างว่าเป็นซีอีโอของหุ้นส่วนทางการค้า

ที่อยู่อีเมลของผู้ส่งมีชื่อโดเมนที่ไม่เกี่ยวข้องกับหุ้นส่วนทางการค้า ซึ่งทำให้สังเกตการหลอกลวงนี้ได้ง่าย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอีเมลดังกล่าวอ้างว่าเป็นคำขอเร่งด่วนจากซีอีโอของหุ้นส่วนทางการค้า จึงทำให้ปฏิเสธคำขอได้ยากเนื่องจากผู้รับไม่ต้องการถูกมองว่าเป็นผู้ไร้มารยาทจากการแสดงความสงสัย

  • การลงทะเบียนโดเมนที่คล้ายกัน

ผู้โจมตีใช้โดเมนที่คล้ายกับโดเมนจริงของ Netpoleon มาก และใช้โดเมนนั้นโจมตีลูกค้าผ่านอีเมลขององค์กร แต่ลูกค้าสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างน่าสงสัยเกี่ยวกับชื่อโดเมนซึ่งทำให้การโจมตีนี้ถูกขัดขวางไว้

Netpoleon จะพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ต่าง ๆ ผ่านการตรวจสอบ วิเคราะห์ และเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการโจมตีต่อไป

[URL สำหรับดาวน์โหลดรายงาน]

https://www.netpoleons.com/news/netpoleon-publishes-the-report-for-business-email-compromise-bec

ข้อมูลบริษัท Netpoleon

Netpoleon Group เป็นผู้จัดจำหน่ายประเภทเพิ่มมูลค่า (Value-Added Distributor: VAD) ผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยของเครือข่าย มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์และสำนักงานที่มีความเพรียบพร้อมหลายแห่งทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย อินเดีย อินโดนีเซีย กัมพูชา มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียนดนาม
https://www.netpoleons.com/about-us.html

* ชื่อของบริษัทที่กล่าวถึงในเนื้อหาเป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนหรือเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้น ๆ

รับชมคลังภาพ/มัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/52329417/en

ติดต่อรับเอกสารประชาสัมพันธ์ได้ที่
Netpoleon Solutions Pte Ltd (สำนักงานใหญ่)
https://www.netpoleons.com/
627A Aljunied Road #05-06/07/08, Biztech Centre, Singapore 389842
ติดต่อ: Mavis Lau / Ai Keen
อีเมล: my.marketing@netpoleons.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย


Humanigen Australia Proprietary Limited ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนแผนการเติบโตในเอเชียแปซิฟิก

Logo

  • หน่วยงาน Humanigen ใหม่ในออสเตรเลียสร้างโอกาสที่มุ่งเน้นการเป็นพันธมิตร การทดลองทางคลินิกระดับภูมิภาค และการเข้าถึงตลาด
  • โครงสร้างก่อให้แรงจูงใจทางการเงินที่น่าสนใจ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย

เบอร์ลิงเกม แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–24 พ.ย. 2563

Humanigen, Inc (NASDAQ: HGEN) (“Humanigen”) ซึ่งเป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ขั้นตอนทดลองทางคลินิกที่เน้นการป้องกันและรักษาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า 'cytokine storm' ด้วยยาทดลอง lenzilumab ได้ประกาศจัดตั้ง Humanigen Australia Proprietary Limited (“Humanigen Australia Pty Ltd”) ซึ่ง Humanigen ตั้งใจที่จะประเมินโอกาสในการเป็นพันธมิตร สนับสนุนโครงการพัฒนาทางคลินิก และดำเนินกิจกรรมพัฒนาองค์กรและธุรกิจอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก  กิจกรรมแรกได้ประกาศเมื่อ วันที่ 3 พฤศจิกายนโดยมีการดำเนินการตามข้อตกลงการออกใบอนุญาตสำหรับ lenzilumab สำหรับเกาหลีใต้และฟิลิปปินส์

การทดลองทางคลินิกที่กำลังดำเนินอยู่หรืออยู่ในการวางแผนขั้นสุดท้ายในออสเตรเลีย ได้แก่

Lenzilumab ในผู้ป่วยมะเร็งที่เป็น COVID-19 และมีปอดบวมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ C-SMART (การป้องกันและรักษา COVID-19 ในผู้ป่วยมะเร็ง การทดลองแบบสุ่มหลายรอบ)

การศึกษา C-SMART นำโดยศูนย์มะเร็ง National Center for Infections in Cancer ที่ Peter MacCallum Cancer Center และจะดำเนินการในท้องที่ออสเตรเลีย 5 แห่งในเมลเบิร์นและซิดนีย์  การศึกษานี้จะรวมผู้ป่วยมะเร็งมากกว่า 1,000 รายที่มีความเสี่ยงหรือมีทราบว่าติดเชื้อ COVID-19  โดยมีผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งภายใต้การกำกับของ lenzilumab  การศึกษานี้ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่ออนาคตด้านการวิจัยทางการแพทย์ของรัฐบาลออสเตรเลีย

Lenzilumab ในมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง chronic myelomonocytic leukemia (CMML) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ PREcision Approach to CHronic Myelomonocytic Leukemia (PREACH-M)

Humanigen อยู่ในการวางแผนขั้นสุดท้ายสำหรับการศึกษาระยะที่ 2 ของการใช้ยา lenzilumab ร่วมกับ azacitidine ในผู้ป่วย CMML ที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยซึ่งแสดงการกลายพันธุ์ NRAS/KRAS/CBL ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความไวต่อปัจจัยกระตุ้น granulocyte macrophage-colony stimulating factor (GM-CSF) ดังนั้นจึงอาจตอบสนองต่อการรักษาด้วย lenzilumab  CMML เป็นมะเร็งทางโลหิตรูปแบบหนึ่งที่หายากโดยไม่มีทางเลือกในการรักษาที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA และอัตราการรอดชีวิตโดยรวม 3 ปีเท่ากับ 20% และมีค่ามัธยฐานของการรอดชีวิตโดยรวม 20 เดือน1,2  การศึกษานี้ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเพื่ออนาคตด้านการวิจัยทางการแพทย์ของรัฐบาลออสเตรเลียและคาดว่าจะเริ่มในปี 2564

Ifabotuzumab ใน glioblastoma multiforme (GBM)

การทดลองในระยะที่ 1 นี้ได้ลงทะเบียนผู้ป่วย 11 ใน 12 รายที่กำหนดเป้าหมายสำหรับการลงทะเบียนเต็มจำนวน  คาดว่าผลการศึกษาจะพร้อมใช้งานในช่วงครึ่งแรกของปี 2564

ศาสตราจารย์ Andrew Scott หัวหน้าห้องปฏิบัติการกำหนดเป้าหมายเนื้องอก สถาบันวิจัยมะเร็ง Olivia Newton-John และศาสตราจารย์คณะแพทยศาสตร์มะเร็งมหาวิทยาลัย La Trobe ซึ่งเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการวิจัยและการพัฒนาทั้ง lenzilumab และ ifabotuzumab กล่าวว่า "การก่อตั้ง Humanigen Australia Pty Ltd เป็นผลจากการวิจัย 20 ปีสำหรับแอนติบอดีใหม่ทั้งสองนี้ ซึ่งเราช่วยกันค้นพบและพัฒนาในออสเตรเลีย  เราหวังว่า lenzilumab จะมีผลกระทบที่สำคัญในการรักษาผู้ป่วย COVID-19.  Ifabotuzumab ถือเป็นแนวทางใหม่ในการระบุเนื้องอกที่เป็นของแข็งหลายชนิด"

Bob Atwill หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Humanigen กล่าวว่า “กลยุทธ์การขยายตัวของ Humanigen ในช่วง COVID-19 รวมถึงการทดลองทางคลินิกระดับภูมิภาค การผลิตในท้องถิ่น การเป็นพันธมิตรและการเข้าสู่ตลาดในช่วงต้น  โอกาสบางส่วนอาจทำให้ Humanigen Australia Pty Ltd ได้รับประโยชน์จากนโยบายจูงใจทางการเงินและภาษีจากรัฐบาลออสเตรเลีย รวมถึงเงินคืน 43.5% สำหรับค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา  นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีชีวภาพและการดูแลสุขภาพ  ผมหวังว่าจะมีการพัฒนา lenzilumab โครงการอื่นของบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจากการเติบโตของ Humanigen Australia Pty Ltd. ”

เกี่ยวกับ Humanigen, Inc.

Humanigen, Inc. กำลังพัฒนาแนวทางการรักษาโรคมะเร็งและโรคติดต่อในรอบการทดลองทางคลินิกและก่อนรอบคลินิกโดยใช้นวัตกรรมใหม่ GM-CSF neutralization และ gene-knockout  เราเชื่อว่าเทคโนโลยี GM-CSF neutralization และแพลตฟอร์มการแก้ไขยีนของเรามีศักยภาพในการลดการอักเสบจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัส  จุดมุ่งเน้นในปัจจุบันของบริษัทคือการป้องกันหรือลดกลุ่มอาการปล่อยไซโตไคน์ก่อนอาการปอดอักเสบขั้นรุนแรงและ ARDS ในกรณีการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ร้ายแรง   บริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างการบำบัด gene-edited CAR-T โดยใช้กลยุทธ์ในการปรับปรุงประสิทธิภาพและใช้เทคโนโลยี GM-CSF gene knockout เพื่อควบคุมความเป็นพิษ  นอกจากนี้ บริษัทกำลังพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ EphA3-CAR-T ที่เป็นกรรมสิทธิ์สำหรับมะเร็งชนิดแข็งต่างๆ และ EMR1-CAR-T สำหรับโรค eosinophilic ต่างๆ  บริษัทกำลังสำรวจประสิทธิภาพของเทคโนโลยี GM-CSF neutralization (โดยใช้ lenzilumab เป็นแอนติบอดีที่ทำให้เป็นกลางหรือผ่านยีน GM-CSF gene knockout) โดยร่วมกับเซลล์ CAR-T, bispecific หรือ natural killer (NK) T อื่นๆ เพื่อทำลายความประสิทธิภาพ/ความเป็นพิษ รวมถึงการป้องกันและ/หรือการรักษาโรคการปลูกถ่ายอวัยวะ (GvHD) ในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ allogeneic hematopoietic stem cell transplantation (HSCT)  นอกจากนี้ Humanigen และ Kite ซึ่งเป็นบริษัทของ Gilead กำลังประเมินการใช้งาน lenzilumab ร่วมกับ Yescarta® (axicabtagene ciloleucel) ในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง B-cell ขนาดใหญ่ที่กำเริบ  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม www.humanigen.com

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า  ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าสะท้อนถึงความรู้ สมมติฐานก ารตัดสินใจ และความคาดหวังในปัจจุบันของผู้บริหารเกี่ยวกับผลการดำเนินงานหรือเหตุการณ์ในอนาคต  แม้ว่าฝ่ายบริหารจะเชื่อว่าความคาดหวังที่แสดงในข้อความดังกล่าวมีความสมเหตุสมผล แต่ก็ไม่ให้ความมั่นใจว่าความคาดหวังดังกล่าวจะพิสูจน์ได้ว่าถูกต้องและคุณควรทราบว่าเหตุการณ์หรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงอาจแตกต่างอย่างมากจากที่มีอยู่ในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า คำต่างๆ เช่น "จะ" "คาดหวัง" "ตั้งใจ" "วางแผน" "มีศักยภาพ" "เป็นไปได้" "ตั้งเป้าหมาย" "เร่ง" "ดำเนินการต่อ" และคำที่คล้ายกันระบุถึงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งรวมถึง โดยไม่จำกัดเพียงคำแถลงการณ์เกี่ยวกับความคาดหวังของเราเกี่ยวกับกิจกรรมการดำเนินงานการวิจัย การพัฒนา หรือการค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและความสามารถของเราในการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 เพื่อพัฒนาการรักษา CAR-T หรือการรักษามะเร็งแบบแข็งหรือเพื่อป้องกันหรือรักษา GvHD ผ่านเทคโนโลยีใดๆ ในโครงการปัจจุบันของเรา ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนหลายประการ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการขาดความสามารถในการทำกำไรและความต้องการเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการศึกษาระยะที่ 3 และขยายธุรกิจของเรา การพึ่งพาพันธมิตรของเราเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรา ความไม่แน่นอนที่มีอยู่ในการพัฒนา การได้รับการอนุมัติตามกฎข้อบังคับที่จำเป็น และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยาใหม่ๆ ผลของการดำเนินคดีที่รอดำเนินการหรือในอนาคต และความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ ที่อธิบายไว้ในส่วน "ปัจจัยความเสี่ยง" และส่วนอื่นๆ ในเอกสารที่บริษัทยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นระยะๆ

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าทั้งหมดมีคุณสมบัติโดยชัดแจ้งอย่างครบถ้วนในประกาศนี้  คุณไม่ควรเชื่อมั่นในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ ซึ่งพูดถึง ณ วันที่เผยแพร่นี้เท่านั้น  เราไม่มีภาระผูกพันในการแก้ไขหรือปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ ที่จัดทำขึ้นในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เพื่อสะท้อนถึงเหตุการณ์หรือสถานการณ์หลังจากวันที่นี้หรือเพื่อสะท้อนถึงข้อมูลใหม่หรือการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ยกเว้นตามที่กฎหมายกำหนด

1. Patnaik MM, Tefferi A. Chronic Myelomonocytic leukemia: 2020 update on diagnosis, risk stratification and management. Am J Hematol. Jan 2020;95(1):97-115. doi:10.1002/ajh.25684

2. Coston T, Pophali P, Vallapureddy R, et al. Suboptimal response rates to hypomethylating agent therapy in chronic myelomonocytic leukemia; a single institutional study of 121 patients. Am J Hematol. Jul 2019;94(7):767-779. doi:10.1002/ajh.25488

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201123006238/en/

สื่อ
Cammy Duong
Westwicke บริษัท ICR
Cammy.duong@westwicke.com  
203- 682-8380

นักลงทุน
Alan Lada
Solebury Trout
ALada@SoleburyTrout.com 
617-221-8006

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

รางวัลทรงเกียรติ Jonathan B. Postel Service Award มอบให้ Onno W. Purbo

Logo

รางวัลนี้ยกย่องผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการขยายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในอินโดนีเซีย

กรุงเทพฯ–(บิสิเนสไวร์)–18 พฤศจิกายน 2020

The Internet Society องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลกที่ส่งเสริมการพัฒนาและการใช้อินเทอร์เน็ตแบบเปิดกว้าง เชื่อมต่อกับทั่วโลก และปลอดภัยได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติ Jonathan B. Postel Service Award แก่ Onno W. Purbo สำหรับผลงานด้านเทคนิคที่ยั่งยืนและสำคัญ ความเป็นผู้นำ และการบริการแก่ชุมชนอินเทอร์เน็ตทั่วโลก

รางวัลนี้มีชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Jonathan Postel ผู้เป็นตำนานด้านเทคนิคในวงการ โดยยกย่องบุคคลที่ไม่ธรรมดาเช่นคุณ Purbo ที่มุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีการเติบโตและความแข็งแกร่งของอินเทอร์เน็ต

Mr. Purbo เป็นที่รู้จักในนาม “ผู้ปลดล๊อคอินเทอร์เน็ตของอินโดนีเซีย” คุณ Purbo เป็นผู้สนับสนุนอินเทอร์เน็ตที่มีชื่อเสียงและมีบทบาทสำคัญในเพิ่มการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตด้วยราคาที่ไม่แพง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทของอินโดนีเซีย

"การสนับสนุนของคุณ Purbo ในภาคดิจิทัลเป็นสิ่งล้ำค่าและรางวัลนี้เป็นการยกย่องความสำเร็จของเขาและเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น  ความคิดริเริ่มของเขาในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายชุมชนได้นำมาสู่การเติบโตของอินเทอร์เน็ตที่ราคาไม่แพงและการเข้าถึงได้ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วอินโดนีเซีย  ผมมั่นใจว่ารางวัลนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และเดินตามรอยเท้าของเขาและเอาชนะความท้าทายในชุมชนของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปรับปรุงระบบดิจิทัล” Johnny Plate รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศของอินโดนีเซียกล่าว

จากความสำเร็จมากมายของเขา คุณ Purbo เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ตในอินโดนีเซียผ่านการใช้เทคโนโลยีไร้สายและ Voice over Internet Protocol   เขาเป็นผู้นำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตครั้งแรกที่สถาบันเทคโนโลยีในบันดุงและสร้างเครือข่ายการศึกษาของชาวอินโดนีเซียแห่งแรก  นอกจากนี้เขายังสนับสนุนการยกเลิกกฎระเบียบของความถี่ Wi-Fi และได้ก่อตั้งไซเบอร์คาเฟ่ เครือข่ายชุมชน และเครือข่ายเซลลูลาร์ชุมชนในอินโดนีเซีย  คุณ Purbo ได้จัดระเบียบเครือข่ายโทรศัพท์ชุมชนผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรกและเป็นผู้นำ ICT กลับมาใช้ในหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายของชาวอินโดนีเซีย  ปัจจุบันเขามีส่วนร่วมในบริการอีเลิร์นนิงฟรีที่ใหญ่ที่สุดในชาวอินโดนีเซีย ซึ่งนำเสนอหลักสูตรมากกว่า 700 หลักสูตรให้กับนักเรียนเกือบ 40,000 คนและได้ฝึกอบรมครูมากกว่า 8,000 คนในการดำเนินงานอีเลิร์นนิง

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการยกย่องที่สูงและล้ำค่าจากชุมชนอินเทอร์เน็ตของอินโดนีเซีย คุณ Purbo กล่าว “ด้วยการดัดแปลงอุปกรณ์ที่เรียบง่าย เรามีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลและความรู้ซึ่งเป็นรากฐานที่จำเป็นสำหรับทุกชาติที่จะก้าวไปข้างหน้า  The Internet Society ยอมรับว่าแนวทางดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางที่ถูกต้องสำหรับแนวทางอินเทอร์เน็ตสำหรับทุกคน  อย่างไรก็ตามภารกิจนี้ยังไม่เสร็จสิ้น  รางวัล Postel Service Award ชี้ให้เห็นถึงหนทางแก่พวกเราทุกคนและสร้างแรงบันดาลใจให้กับความกระตือรือร้นในการก้าวไปสู่สังคมแห่งความรู้”

คุณ Purbo ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงซึ่ง ประกอบด้วยอดีตผู้ได้รับรางวัล Jonathan B. Postel ซึ่งรวมถึงผู้มีวิสัยทัศน์ทางอินเทอร์เน็ตและผู้ทรงคุณวุฒิ  โดยเป็นปีที่ 21 รางวัล Postel Award ก่อตั้งขึ้นในปี 1999 โดย Internet Society เพื่อให้เกียรติประชาชนและองค์กรที่สนองจิตวิญญาณของ Jonathan Postel ซึ่งอิทธิพลทางเทคนิคของเขาเป็นหัวใจสำคัญของหลาย กระบวนการที่ทำให้อินเทอร์เน็ตทำงานได้  Andrew Sullivan ประธานและซีอีโอของ Internet Society จะมอบรางวัลซึ่งรวมถึงเงินสนับสนุน US$20,000 และรูปโลกคริสตัลในพิธีเสมือน โดยเป็นส่วนหนึ่งของการประชุม 109th Internet Engineering Task Force (IETF) Meeting ที่เกิดขึ้นในวันที่ 16-20 พฤศจิกายน 2563

เกี่ยวกับ Internet Society

ก่อตั้งขึ้นในปี 2535 โดยผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ต Internet Society เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลกที่ทำงานเพื่อให้อินเทอร์เน็ตเป็นแรงผลักดันที่ดีสำหรับทุกคน  โดยผ่านชุมชน สมาชิกกลุ่มผลประโยชน์พิเศษ และ 120+ สมาคมทั่วโลก องค์กรปกป้องและส่งเสริมนโยบายอินเทอร์เน็ต มาตรฐาน และโปรโตคอลที่ทำให้อินเทอร์เน็ตเปิดกว้าง เชื่อมต่อกับทั่วโลก และปลอดภัย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม: internetsociety.org

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201117006053/en/

ติดต่อสื่อ:
Allesandra deSantillana
Internet Society
desantillana@isoc.org

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Black & Veatch: ความไม่แน่นอนในการลงทุนและพลังงานหมุนเวียนสำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าในเอเชีย

Logo

ความยืดหยุ่นในการปรับตัว ความสามารถในการจับจ่าย และแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมในเอเชีย

กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย (18 พ.ย. 2563) – ความไม่แน่นอนของการลงทุนที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและพลังงานหมุนเวียน เป็นสองความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมไฟฟ้าในเอเชียในปัจจุบันนี้ จากรายงาน Strategic Directions: Electric Industry Asia 2563 ครั้งแรกของ Black & Veatch

จากข้อมูลที่ได้จากผู้นำระดับอาวุโสในอุตสาหกรรมพลังงาน ในรายงานชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องสร้างสมดุลระหว่างความสามารถในการจับจ่าย กับแรงกดดันในการลดปริมาณคาร์บอนในการผลิตไฟฟ้า ในขณะเดียวกันต้องสร้างระบบที่เชื่อถือได้และมีความหยืดหยุ่นที่พร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติ สภาพอากาศที่รุนแรง และความไม่ต่อเนื่องของพลังงานหมุนเวียน

สิ่งที่เป็นภัยต่อประสิทธิภาพของระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ในตลาดไฟฟ้าในเอเชีย ได้แก่ :

  1. การลงทุนด้านกำลังการผลิตเครือข่ายไม่ทันกับความต้องการ
  2. การลงทุนที่น้อยเกินไปในเครือข่ายการส่งกระแสไฟที่เชื่อถือได้
  3. การนำพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ต่อเนื่องมาใช้มากเกินไป
  4. ความจุในการจัดเก็บพลังงานไม่เพียงพอ
  5. ภัยพิบัติทางธรรมชาติ.

“การจัดหาเงินทุนและการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ เนื่องจากเรายังคงดำเนินการอยู่ในช่วงที่ได้รับผลกระทบของ COVID-19” Narsingh Chaudhary รองประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการของ Black & Veatch, Asia Power Business กล่าว “เราเห็นความจำเป็นในการใช้โซลูชันแบบบูรณาการมากขึ้นในการผลิต การส่งและการจัดจำหน่าย รวมไปถึงการขยายตัวของโรงไฟฟ้าระบบเชื้อเพลิงแก๊สธรรมชาติและการกักเก็บพลังงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการใช้พลังงาน”

การลงทุนที่จะเติบโตแบบเห็นได้ชัดที่สุด สำหรับกำลังการผลิตใหม่ ๆที่จะเกิดขึ้นในอีกสามถึงห้าปีข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ในรูปแบบพลังงานหมุนเวียน ประกอบด้วย พลังงานแสงอาทิตย์ (บนพื้นดิน), การกักเก็บพลังงาน, พลังงานแสงอาทิตย์ (แบบลอยน้ำ), ลม (นอกชายฝั่ง) และไมโครกริด ซึ่งจะเป็นห้าอันดับแรกของการลงทุน ต้นทุนของพลังงานที่ถูกลงถูกมองว่าเป็นตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนโดยมีการปรับปรุงเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์โฟโตวอลเทอิก  (PV) แบบสองหน้าและการจัดแผงที่มีความล้ำหน้ามากขึ้นจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับโรงงานผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ทั่วโลก

นอกจากนี้ยังคาดว่าอนาคตของการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงจะดำเนินไปอย่างน้อยถึงปี 2578 โดย 66 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าก๊าซจะยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงข่ายไฟฟ้า ในขณะที่มีเพียง 18 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เห็นว่าถ่านหินจะยังคงมีบทบาทคล้ายกันในการผลิตไฟฟ้า บ่อยครั้งที่เราเห็นการใช้เชื้อเพลิงที่หลากหลาย ก๊าซจะทำหน้าที่เป็นพลังงานพื้ฐานหลักในการผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้าควบคู่ไปกับการใช้งานระบบจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นตามคาดการณ์เอาไว้

“อุตสาหกรรมคาดว่าการลงทุนระยะใกล้จะเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่มีอยู่ แทนที่จะเป็นการสร้างใหม่ หรือแม้แต่การเลื่อนการลงทุนออกไป” Harry Harji รองประธานฝ่ายที่ปรึกษาด้านการจัดการของ Black & Veatch ในเอเชีย “ COVID-19 ป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัล, ระบบควบคุมตรวจสอบจากระยะไกล และแนวทางการบริหารจัดการสินทรัพย์ร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”

เมื่อพิจารณาถึงความไม่แน่นอนในปี 2564 หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาล (66%) ยังคงถูกมองว่าเป็นตัวแทนที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของพวกเขาในอีกหลายเดือนข้างหน้า สำหรับข้อมูลเชิงลึกโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Electric Industry Asia 2564 ดาวน์โหลดที่นี่

คลิกที่นี่ และ ที่นี่ เพื่อดาวน์โหลดภาพประกอบ

หมายเหตุของบรรณาธิการ:

  • Strategic Directions: Electric Industry Asia 2564 เป็นรายงานอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ Black & Veatch เกี่ยวกับอุตสาหกรรมไฟฟ้าในเอเชีย รายงานนี้ได้ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมอาวุโสในอุตสาหกรรม 35 คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบธุรกิจในพื่นที่ครอบคลุมเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ / หรือเอเชียตะวันออก ระหว่างวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ถึง 21 สิงหาคม 2563
  • ซีรีย์รายงานการกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ของ Black & Veatch ให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ในแวดวงอุตสาหกรรมโดยอ้างอิงกับการวิจัยชั้นนำของตลาด ประกอบด้วยรายงานประจำปีหลายฉบับ รวมถึงระบบสาธารณูปโภคอัจฉริยะ น้ำและไฟฟ้า   โดยทำหน้าที่ให้ความรู้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับประเด็นต่างๆที่มีความสำคัญ รวมถึงความท้าทายและโอกาสต่าง ๆ เยี่ยมชม http://bv.com/reports เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษาและการก่อสร้างที่มีพนักงานเป็นเจ้าของซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2458 เราได้ช่วยทำให้ชีวิตผู้คนในกว่า 100 ประเทศดีขึ้น ด้วยการจัดการกับความสามารถในการฟื้นฟูและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของโลก รายได้ของเราในปี 2562 อยู่ที่ 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และบนโซเชียลมีเดีย

ติดต่อสำหรับสื่อ

EMILY CHIA

+65 6761 3511 p

+65 9875 8907 m

ChiaLP@BV.com

ฮอตไลน์สำหรับสื่อติดต่อ 24 ชั่วโมง

+1 866 496 9149

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย