Category Archives: Technology

Black & Veatch: ความไม่แน่นอนในการลงทุนและพลังงานหมุนเวียนสำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าในเอเชีย

Logo

ความยืดหยุ่นในการปรับตัว ความสามารถในการจับจ่าย และแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมในเอเชีย

กรุงเทพมหานคร, ประเทศไทย (18 พ.ย. 2563) – ความไม่แน่นอนของการลงทุนที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและพลังงานหมุนเวียน เป็นสองความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมไฟฟ้าในเอเชียในปัจจุบันนี้ จากรายงาน Strategic Directions: Electric Industry Asia 2563 ครั้งแรกของ Black & Veatch

จากข้อมูลที่ได้จากผู้นำระดับอาวุโสในอุตสาหกรรมพลังงาน ในรายงานชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องสร้างสมดุลระหว่างความสามารถในการจับจ่าย กับแรงกดดันในการลดปริมาณคาร์บอนในการผลิตไฟฟ้า ในขณะเดียวกันต้องสร้างระบบที่เชื่อถือได้และมีความหยืดหยุ่นที่พร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติ สภาพอากาศที่รุนแรง และความไม่ต่อเนื่องของพลังงานหมุนเวียน

สิ่งที่เป็นภัยต่อประสิทธิภาพของระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ในตลาดไฟฟ้าในเอเชีย ได้แก่ :

  1. การลงทุนด้านกำลังการผลิตเครือข่ายไม่ทันกับความต้องการ
  2. การลงทุนที่น้อยเกินไปในเครือข่ายการส่งกระแสไฟที่เชื่อถือได้
  3. การนำพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ต่อเนื่องมาใช้มากเกินไป
  4. ความจุในการจัดเก็บพลังงานไม่เพียงพอ
  5. ภัยพิบัติทางธรรมชาติ.

“การจัดหาเงินทุนและการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ เนื่องจากเรายังคงดำเนินการอยู่ในช่วงที่ได้รับผลกระทบของ COVID-19” Narsingh Chaudhary รองประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการของ Black & Veatch, Asia Power Business กล่าว “เราเห็นความจำเป็นในการใช้โซลูชันแบบบูรณาการมากขึ้นในการผลิต การส่งและการจัดจำหน่าย รวมไปถึงการขยายตัวของโรงไฟฟ้าระบบเชื้อเพลิงแก๊สธรรมชาติและการกักเก็บพลังงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการใช้พลังงาน”

การลงทุนที่จะเติบโตแบบเห็นได้ชัดที่สุด สำหรับกำลังการผลิตใหม่ ๆที่จะเกิดขึ้นในอีกสามถึงห้าปีข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ในรูปแบบพลังงานหมุนเวียน ประกอบด้วย พลังงานแสงอาทิตย์ (บนพื้นดิน), การกักเก็บพลังงาน, พลังงานแสงอาทิตย์ (แบบลอยน้ำ), ลม (นอกชายฝั่ง) และไมโครกริด ซึ่งจะเป็นห้าอันดับแรกของการลงทุน ต้นทุนของพลังงานที่ถูกลงถูกมองว่าเป็นตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนโดยมีการปรับปรุงเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์โฟโตวอลเทอิก  (PV) แบบสองหน้าและการจัดแผงที่มีความล้ำหน้ามากขึ้นจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับโรงงานผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ทั่วโลก

นอกจากนี้ยังคาดว่าอนาคตของการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงจะดำเนินไปอย่างน้อยถึงปี 2578 โดย 66 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าก๊าซจะยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงข่ายไฟฟ้า ในขณะที่มีเพียง 18 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เห็นว่าถ่านหินจะยังคงมีบทบาทคล้ายกันในการผลิตไฟฟ้า บ่อยครั้งที่เราเห็นการใช้เชื้อเพลิงที่หลากหลาย ก๊าซจะทำหน้าที่เป็นพลังงานพื้ฐานหลักในการผลิตไฟฟ้าเพื่อสร้างเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้าควบคู่ไปกับการใช้งานระบบจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นตามคาดการณ์เอาไว้

“อุตสาหกรรมคาดว่าการลงทุนระยะใกล้จะเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่มีอยู่ แทนที่จะเป็นการสร้างใหม่ หรือแม้แต่การเลื่อนการลงทุนออกไป” Harry Harji รองประธานฝ่ายที่ปรึกษาด้านการจัดการของ Black & Veatch ในเอเชีย “ COVID-19 ป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัล, ระบบควบคุมตรวจสอบจากระยะไกล และแนวทางการบริหารจัดการสินทรัพย์ร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”

เมื่อพิจารณาถึงความไม่แน่นอนในปี 2564 หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาล (66%) ยังคงถูกมองว่าเป็นตัวแทนที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของพวกเขาในอีกหลายเดือนข้างหน้า สำหรับข้อมูลเชิงลึกโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Electric Industry Asia 2564 ดาวน์โหลดที่นี่

คลิกที่นี่ และ ที่นี่ เพื่อดาวน์โหลดภาพประกอบ

หมายเหตุของบรรณาธิการ:

  • Strategic Directions: Electric Industry Asia 2564 เป็นรายงานอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ Black & Veatch เกี่ยวกับอุตสาหกรรมไฟฟ้าในเอเชีย รายงานนี้ได้ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมอาวุโสในอุตสาหกรรม 35 คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบธุรกิจในพื่นที่ครอบคลุมเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ / หรือเอเชียตะวันออก ระหว่างวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ถึง 21 สิงหาคม 2563
  • ซีรีย์รายงานการกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ของ Black & Veatch ให้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ในแวดวงอุตสาหกรรมโดยอ้างอิงกับการวิจัยชั้นนำของตลาด ประกอบด้วยรายงานประจำปีหลายฉบับ รวมถึงระบบสาธารณูปโภคอัจฉริยะ น้ำและไฟฟ้า   โดยทำหน้าที่ให้ความรู้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับประเด็นต่างๆที่มีความสำคัญ รวมถึงความท้าทายและโอกาสต่าง ๆ เยี่ยมชม http://bv.com/reports เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษาและการก่อสร้างที่มีพนักงานเป็นเจ้าของซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ตั้งแต่ปี 2458 เราได้ช่วยทำให้ชีวิตผู้คนในกว่า 100 ประเทศดีขึ้น ด้วยการจัดการกับความสามารถในการฟื้นฟูและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของโลก รายได้ของเราในปี 2562 อยู่ที่ 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และบนโซเชียลมีเดีย

ติดต่อสำหรับสื่อ

EMILY CHIA

+65 6761 3511 p

+65 9875 8907 m

ChiaLP@BV.com

ฮอตไลน์สำหรับสื่อติดต่อ 24 ชั่วโมง

+1 866 496 9149

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Hillstone Networks ติดอันดับในรายงาน Magic Quadrant ด้าน Network Firewall เป็นครั้งที่ 7

Logo

ซานตาคลารา, แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–17 พฤศจิกายน 2563

Hillstone Networks ผู้ให้บริการโซลูชันความปลอดภัยบนเครือข่ายสำหรับองค์กรและการจัดการความเสี่ยงชั้นนำ ประกาศรั้งตำแหน่งหัวแถวในรายงาน Gartner Magic Quadrant ด้าน Network Firewall จากปัจจัยด้านขีดความสามารถในกลุ่ม Niche Player

“มีคนกล่าวไว้ว่าการฝึกฝนทำให้เกิดความชำนาญ” Tim Liu ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง Hillstone Networks กล่าว “เราได้รับการจัดอันดับในรายงาน Magic Quadrant ด้าน Network Firewall 7 ปีต่อเนื่อง (2 ปีต่อเนื่องในรายงาน Critical Capabilities ซึ่งเกี่ยวเนื่องกัน) เรามองว่าการทำตามสัญญาที่จะยืนหยัดร่วมกับลูกค้าในการป้องกันเครือข่ายของพวกเขาที่ช่วยให้เราเป็นหนึ่งเดียวคือพันธกิจอันแน่วแน่และพันธกิจหลักของเรา”

พอร์ตโฟลิโออันแข็งแกร่งของ Hillstone ครอบคลุมทั้งการแก้ปัญหาเกี่ยวกับกรณีและสถานการณ์การใช้งานต่าง ๆ การรักษาความปลอดภัยเครือข่ายโดยใช้เทคโนโลยีสำหรับตลาดกลุ่มย่อย รวมถึงกลยุทธ์อันมุ่งมั่นซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ระบบคลาวด์มาตั้งแต่เริ่มต้น

  • โซลูชัน Hillstone Intelligent Breach Prevention ประกอบด้วย Hillstone iNGFW และ sBDS เป็นโซลูชันป้องกันภัยคุกคามตลอดวงจรซึ่งสามารถป้องกันภัยคุกคามขั้นสูง ปกป้องทรัพยากรที่มีความสำคัญสูง และร่นระยะเวลาระหว่างภัยคุกคามและการตรวจจับ
  • โซลูชัน Hillstone Data Center Protection ประกอบด้วย Hillstone Data Center NGFW และ Micro-segmentation solution CloudHive เป็นโซลูชันที่ให้การป้องกันด้านความมั่นคงปลอดภัยแบบ L2~L7 และการันตีถึงความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจสำหรับศูนย์ข้อมูลที่มีความทันสมัย
  • โซลูชัน Hillstone Secure SD-WAN ช่วยให้องค์กรที่มีหลายสาขาสามารถติดตั้งเครือข่าย VPN ที่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็วในทุกสถานที่ เพื่อยกระดับการใช้งานของผู้ใช้โดยไม่ทำให้ความปลอดภัยลดลง

ด้วยองค์กรกว่า 18,000 แห่งที่ได้รับการปกป้องดูแลโดยโซลูชันของ Hillstone ในปัจจุบัน เราเชื่อว่าเหตุผลที่ลูกค้าเลือกโซลูชันของเรา และเหตุผลที่ทำให้เราได้รับการยอมรับนั้นเห็นได้ชัดเจน

*: การ์ทเนอร์, รายงาน Magic Quadrant ด้านเน็ตเวิร์กไฟร์วอลล์, Rajpreet Kaur, Adam Hils, Jeremy D’Hoinne, 9 พฤศจิกายน 2563

การ์ทเนอร์ไม่ได้ให้การรับรองผู้ผลิต สินค้า หรือบริการใด ๆ ที่กล่าวถึงในรายงานวิจัยของบริษัทฯ และไม่ได้แนะนำให้ผู้ใช้เลือกใช้เทคโนโลยีของผู้ผลิตที่จัดอยู่ในอันดับสูงสุด รายงานวิจัยของการ์ทเนอร์ประกอบด้วยความคิดเห็นของฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ และไม่ควรถือว่าเป็นการระบุข้อเท็จจริง การ์ทเนอร์ขอปฏิเสธการรับประกันใด ๆ ไม่ว่าโดยชัดแจ้งหรือโดยนัย ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลการวิจัยนี้ รวมถึงการรับประกันเกี่ยวกับความสามารถในการจัดจำหน่าย หรือความเหมาะสมสำหรับจุดประสงค์เฉพาะ

เกี่ยวกับ Hillstone Networks

โซลูชันเพื่อความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับองค์กรและการจัดการความเสี่ยงโดย Hillstone Networks มาพร้อมทัศนวิสัย ความอัจฉริยะ และระบบป้องกันที่จะสร้างความมั่นใจให้องค์กรว่าพวกเขาสามารถมองเห็นอย่างรอบด้าน เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และสามารถรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างรวดเร็ว โซลูชันของ Hillstone ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิเคราะห์ชั้นนำและได้รับความไว้วางใจจากองค์กรระดับโลกหลายแห่งสามารถปกป้องอุปกรณ์ทั้งระบบเอดจ์และคลาวด์ขององค์กร พร้อมช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของในขณะเดียวกัน เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.hillstonenet.com

ติดต่อ:

Zeyao Hu
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
inquiry@hillstonenet.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

นักวิจัยของ NTHU ค้นพบดัชนีชี้วัดทางชีวภาพตัวใหม่สำหรับมะเร็งกระเพาะอาหาร เพื่อการบำบัดที่ปรับแต่งได้

Logo

ซินจู๋  ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–14 พฤศจิกายน 2563

ทีมวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์ Wang Wen-ching จากสถาบันชีววิทยาระดับโมเลกุลและเซลล์มหาวิทยาลัย National Tsing Hua (NTHU) ได้ใช้ประโยชน์จากพลังของข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ big data เพื่อระบุตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่สำคัญสองตัวที่มีส่วนในการก่อตัวและการแพร่กระจายของมะเร็งกระเพาะอาหาร ด้วยการใช้ยาที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ทีมได้ทำการบำบัดแบบกำหนดเป้าหมายซึ่งสามารถกำจัดการเติบโตของเนื้องอกและยับยั้งการแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปูทางไปสู่การบำบัดแบบใหม่ งานวิจัยของพวกเขาได้รับการตีพิมพ์ในฉบับล่าสุดของ Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States.

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201113005183/en/

Professor Wang Wen-ching (left) of the Institute of Molecular and Cellular Biology and Dr. Tseng Linlu researching a new treatment for gastric cancer. (Photo: National Tsing Hua University)

ศาสตราจารย์ Wang Wen-ching (ซ้าย) จากสถาบันชีววิทยาโมเลกุลและเซลล์และ ดร. Tseng Linlu ค้นคว้าวิธีการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารแบบใหม่ (ภาพ: National Tsing Hua University)

ค้นหาวิธีใหม่ในการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของโลกและเป็นมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับสองเนื่องจากการรักษาที่ทรหดและยากสำหรับผู้ป่วยจำนวนมาก Wang กล่าวว่า เวลาที่คนจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง เซลล์มะเร็งก็มักจะได้แพร่กระจายไปแล้ว

Wang กล่าวว่าจนถึงขณะนี้มียาเป้าหมายเพียงตัวเดียว (Her 2 therapy) ที่สามารถรักษามะเร็งกระเพาะอาหารได้และเหมาะสำหรับผู้ป่วยน้อยกว่า 20% ทั่วโลกเท่านั้น ในไต้หวันตัวเลขนี้ลดลงเหลือ 8% ทีมงานของ Wang กำลังทำงานเพื่อคลี่คลายกลไกที่เป็นรากฐานของการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งและค้นหาตัวบ่งชี้ทางชีวภาพใหม่โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาการบำบัดแบบใหม่

การเบรกมะเร็งกระเพาะอาหาร

Wang อธิบายว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เซลล์มะเร็งกระเพาะอาหารแพร่กระจายคือความไร้ประสิทธิผลของโปรตีนฟอสฟาเตสและเทนซินโฮโมโลกัล (PTEN) ซึ่งเป็นโปรตีนยับยั้งเนื้องอกซึ่งทำหน้าที่เหมือนเบรค เมื่อเบรคล้มเหลวแล้ว เซลล์มะเร็งจะแพร่กระจายขยายตัวและเติบโตเป็นเนื้องอกระยะลุกลามที่เป็นอันตราย งานแรกของทีมคือการหาสาเหตุของ “เบรกล้มเหลว” ตัวนี้

ทีมวิจัยได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารมากกว่า 300 รายและใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) เพื่อหาเส้นทางทางชีววิทยาที่นำไปสู่การลุกลามของมะเร็งจากยีนมากกว่า 30,000 ยีน พวกเขาค้นพบว่าเอนไซม์ทั้งสองได้แก่ PHF8 และ PKCα มีบทบาทสำคัญในการไขปริศนานี้ เอนไซม์นิวเคลียร์ PHF8 แพร่หลายในเนื้อเยื่อมะเร็งกระเพาะอาหารประมาณ 40% และทำให้ PKCα พุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดการสูญเสีย PTEN ทำให้เกิด “เบรกล้มเหลว”

โชคดี ที่กิจกรรมของ PKCα สามารถถูกยับยั้งได้โดยยา midostaurin ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งในการรักษามะเร็งในเลือดที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเมื่อสามปีก่อน ทีมงานใช้แบบจำลองจากปลาม้าหลายและหนูเพื่อพิสูจน์หลักฐานว่าการรักษา midostaurin สามารถลดขนาดเนื้องอกและลดการแพร่กระจายของมะเร็ง

Wang กล่าวว่าความก้าวหน้าในการค้นหาการบำบัดที่แม่นยำนั้นเกิดจากความร่วมมือแบบสหวิทยาการ Tseng Linlu ผู้ซึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากการฝึกอบรมด้านการแพทย์ระดับโมเลกุลและชีวสถิติที่ NTHU ดร. Yeh Ta-sen ผู้อำนวยการแผนกศัลยกรรมทั่วไปของโรงพยาบาล Chang Gung Memorial ใน Linkou, Dr Yuh Chiou-hwa จากสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งชาติและ  Kung Hsing-jien  จาก Academia Sinica 

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน  businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201113005183/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh

National Tsing Hua University

(886)3-5162006

hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Mavenir ประกาศรองรับ 2G และ 3G เต็มรูปแบบบนระบบ 4G / 5G Cloud-Native OpenRAN และ แพ็คเกตคอร์

Logo

นำเสนอเฉพาะโซลูชันระบบคลาวด์เนทีฟที่ครบวงจรอย่างแท้จริงสำหรับเทคโนโลยีมือถือทุกรุ่น

ริชาร์ดสัน, เท็กซัส–(BUSINESS WIRE)–10 พ.ย. 2563

Mavenir, ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เครือข่ายแบบครบวงจรรายเดียวของอุตสาหกรรมสำหรับเครือข่าย 4G / 5G ประกาศการรวมเทคโนโลยี 2G และ 3G เข้ากับชุดบรอดแบนด์ 4G และ 5G ที่มีอยู่ ทั้งนี้ โซลูชันระบบคลาวด์แบบครบวงจรแบบใหม่ที่ครอบคลุมเทคโนโลยีมือถือทั้งหมด หรือแบบ 2G / 3G / 4G / 5G จะครอบคลุมสำหรับการเข้าถึงวิทยุและแพ็คเก็ตคอร์ (packet core) และจะมอบโซลูชันแบบครอบคลุมที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง ทำให้เครือข่ายมือถือมีระบบอัตโนมัติและความคล่องตัวแบบเว็บสเกล

สำหรับส่วนประกอบ RAN ความสามารถของ 2G และ 3G จะถูกรวมเข้ากับสถาปัตยกรรม OpenRAN อย่างสมบูรณ์ พร้อมด้วย CU และ DU ที่เต็มรูปแบบเพื่อมอบ Multi Radio Access Technology (vMRAT) แบบ all-in-one

สแต็กของ 2G และ 3G จะรวมเข้ากับโซลูชันหลักของแพ็กเก็ตอย่างสมบูรณ์ ซึ่งทำให้กลายเป็นระบบคลาวด์ที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมเชิงบริการ หรือ Service Based Architecture (SBA) ซึ่งสิ่งนี้ช่วยพัฒนาโซลูชันแพ็กเก็ตคอร์ที่มีอยู่ของ Mavenir ในการใช้งาน 4G และ 5G ทั่วโลกในปัจจุบัน และที่โดยปกติก็ให้ความสามารถเกตเวย์อยู่แล้ว ปัจจุบันนี้ได้มีการรวมระบบเคลื่อนที่เข้ากับ 2G / 3G ได้อย่างสมบูรณ์เข้าไปอีก

Pardeep Kohli ประธานและซีอีโอของ Mavenir กล่าวว่า“ เราได้รับฟังลูกค้าชั้นนำของเราที่ไว้วางใจเราอย่างรอบคอบในการเปลี่ยนแปลงเครือข่าย และตระหนักว่าเราจำเป็นต้องเชื่อมโยงเทคโนโลยีเดิมกับ OpenRAN และโซลูชันระบบคลาวด์เนทีฟ นอกจากนี้ระบบ 2G / 3G ยังจะมีความเกี่ยวข้องในหลาย ๆ ตลาดในอีกหลายปีข้างหน้า ด้วยโซลูชันเหล่านี้ลูกค้าของเราจะสามารถสร้างเครือข่ายของตนโดยอัตโนมัติและรองรับเทคโนโลยีมือถือทั้งหมดบนเครือข่ายคลาวด์เนทีฟ”

โซลูชันนี้จะนำเสนอความสามารถในการปรับขนาดและใช้สถาปัตยกรรมเดี่ยวเพื่อให้ครอบคลุมเทคโนโลยีมือถือทุกรุ่น (multi-G) ด้วยการกำหนดค่าที่คล่องตัวและยืดหยุ่นอย่างมากเพื่อให้เวลาในการทำตลาดเร็วขึ้น และให้การดำเนินการจากระยะไกลเข้าถึงแกนและวิทยุของเครือข่าย ทั้งนี้คาดว่าจะพร้อมใช้งานภายในไตรมาสที่สองของปี 2564  บนแพลตฟอร์มเวอร์ชวลและในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ รวมถึงแพลตฟอร์ม WebScale Platform ของ Mavenir  ซึ่งเป็นเลเยอร์ซอฟต์แวร์ Open Source Kubernetes ที่มี Mavenir Telco Integration Layer (Platform as a Service) คอยอำนวยการอยู่ สิ่งนี้จะตอบสนองความต้องการของผู้ปฏิบัติงานในด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวทางกฎหมาย การตรวจสอบการปฏิบัติงาน การกำหนดค่า และความพร้อมใช้งานสูง

“ Mavenir เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์ที่มาพร้อมระบบคลาวด์เพียงรายเดียวในอุตสาหกรรม และด้วยโซลูชันที่มีความก้าวหน้าแห่งอนาคต จะช่วยให้สามารถแทนที่หรือขยายระบบเดิมได้” Stefano Cantarelli ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Mavenir กล่าว “ Mavenir ยืนหยัดที่นี่เพื่อเป็นพันธมิตรกับลูกค้าของเราและช่วยพวกเขาในการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึง โดยการมอบการเปลี่ยนแปลงที่ราบรื่นและเชื่อถือได้อย่างเต็มที่สำหรับโลกแห่งบริการและการดำเนินงานที่คล่องตัวและอัตโนมัติ ขอให้ฝากอนาคตไว้กับ Mavenir ของเรา”

เกี่ยวกับ Mavenir:

Mavenir เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เครือข่ายคลาวด์เนทีฟแบบครบวงจร (end-to-end) รายเดียวในอุตสาหกรรม การมุ่งเน้นไปที่การเร่งการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายซอฟต์แวร์และการกำหนดนิยามใหม่ของระบบเครือข่ายสำหรับผู้ให้บริการการสื่อสาร หรือ Communications Service Providers (CSP) โดยนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ครบวงจร ที่ครอบคลุมในทุกชั้นของสแต็กโครงสร้างพื้นฐาน เริ่มจากด้านเครือข่ายตั้งแต่การให้บริการ 5G ไปจนถึงแพ็คเก็ตคอร์และ RAN ทั้งนี้ Mavenir เป็นผู้นำในโซลูชันระบบเครือข่ายคลาวด์เนทีฟที่พัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่สร้างสรรค์และปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ปลายทาง ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ในอุตสาหกรรมในด้าน VoLTE, VoWiFi, Advanced Messaging (RCS), Multi-ID, vEPC และ Virtualized RAN ทำให้ Mavenir เร่งการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายสำหรับลูกค้า CSP มากกว่า 250 รายในกว่า 130 ประเทศโดยให้บริการมากกว่า 50% ของสมาชิกทั่วโลก .

เรายอมรับสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่และรูปแบบธุรกิจที่ก่อให้เกิดความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และความเร็วในการให้บริการ ด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนวิวัฒนาการของ NFV เพื่อบรรลุเศรษฐศาสตร์ระดับเว็บ Mavenir นำเสนอโซลูชันเพื่อช่วย CSP ในการลดต้นทุน การสร้างรายได้ และการปกป้องรายได้ เรียนรู้เพิ่มเติมที่ mavenir.com

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005332/en/

ติดต่อ:

Maryvonne Tubb

Mavenir

PR@mavenir.com

Loren Guertin

MatterNow

mavenir@matternow.com

Kevin Taylor

GlobalResultsPR

mavenir@globalresultspr.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

NuScale Power ประกาศการเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ ของ NuScale Power Module™ เอาต์พุต ซึ่งเป็นโซลูชันโรงไฟฟ้าที่เพิ่มเติมเข้ามา

Logo

จากการวิเคราะห์ครั้งใหม่พบว่า NuScale Power Module™ สามารถเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าได้ถึง 77 MWe

พอร์ตแลนด์, โอเรกอน –(BUSINESS WIRE)–10 พฤศจิกายน 2563

NuScale Power ประกาศในวันนี้เกี่ยวกับความพยายามด้านคุณค่าวิศวกรรมเพิ่มเติม โดยการใช้เครื่องมือการทดสอบและการสร้างแบบจำลองขั้นสูง ทำให้ NuScale สามารถวิเคราะห์และสรุปได้ว่า NuScale Power Module™ (NPM) สามารถสร้างพลังงานเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ต่อโมดูล รวมเป็น 77 MWe ต่อโมดูล ( ขั้นต้น) ทำให้สร้างไฟฟ้าได้ 924 MWe สำหรับโรงไฟฟ้าเรือธงแบบ 12 โมดูล นอกจากนี้ NuScale กำลังยังได้ประกาศโซลูชันทางเลือกโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในแบบสี่โมดูล (ประมาณ 308 MWe) และแบบหกโมดูล (ประมาณ 462 MWe)

วิศวกรของเราได้พิสูจน์อีกครั้งว่าเทคโนโลยีของ NuScale เป็นเทคโนโลยีระดับเฟิร์สคลาส ที่สามารถประหยัดต้นทุนและปรับแต่งได้เองในระดับที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในตลาดพลังงานนิวเคลียร์” John Hopkins ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NuScale Power กล่าว“ ด้วยความก้าวหน้านี้ NuScale ยังคงแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำระดับโลกในการแข่งขันเพื่อทำการค้าเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก”

การเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงงานเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก NuScale (SMR) 12 โมดูลอีก 25 เปอร์เซ็นต์ ช่วยลดต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายสิ่งอำนวยความสะดวกในราคาต่อกิโลวัตต์ ได้ในชั่วข้ามคืน จากที่คาดไว้ 3,600 ดอลลาร์ เหลืออยู่ที่ประมาณ 2,850 ดอลลาร์ นอกจากนี้โรงไฟฟ้า 12 โมดูลที่ปรับขนาดได้นี้ จะทำให้มันเข้าใกล้การเป็นคู่แข่งที่แท้จริงสำหรับตลาดขนาดกิกะวัตต์มากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ กำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นมา เกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใด ๆ กับเทคโนโลยี NPM

โซลูชันโรงไฟฟ้าขนาดเล็กจะทำให้ลูกค้า NuScale มีตัวเลือกมากขึ้นทั้งในด้านขนาดกำลังการผลิต ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และต้นทุน นอกจากนี้ยังจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลดลง ด้วยนวัตกรรมใหม่ที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้การก่อสร้างง่ายขึ้น ลดระยะเวลาการก่อสร้าง (กำหนดการ) และลดต้นทุน โซลูชันใหม่นี้ช่วยให้ NuScale สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น รวมไปถึงความต้องการโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น สำหรับประเทศบนเกาะ ชุมชนนอกโครงข่ายไฟฟ้าระยะไกล พื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมและหน่วยงานรัฐบาล นอกจากนี้ การไม่ใช้พลังงานถ่านหินที่ทำให้ใช้พลังงานน้อยลงยังทำให้ลูกค้าปฏิบัติตามกฏทางด้านมลภาวะทางอากาศอีกด้วย

กระบวนการกำกับดูแลในการเพิ่มระดับกำลังเครื่องปฏิกรณ์สูงสุดที่โรงงานนิวเคลียร์สามารถทำงานได้นั้นเรียกว่าการเพิ่มกำลัง (power uprate) โดยการเพิ่มกำลังไฟฟ้าจะได้รับการตรวจสอบโดยคณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับใช้มาตรฐาน Standard Design Approval (SDA) ของ NuScale  ซึ่ง NuScale มีกำหนดทำให้บรรลุภายในปี 2565

ผลิตภัณฑ์ใหม่ระดับเริ่มต้นของ NuScale จะเป็นโซลูชันโรงไฟฟ้าสี่และหกโมดูลโดยสามารถกำหนดค่าอื่น ๆ ได้อีกด้วย โซลูชันสำหรับโรงไฟฟ้าขนาดเล็กเหล่านี้มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและได้รับการสนับสนุนและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี NPM ชั้นนำของอุตสาหกรรมและมาตรฐานความปลอดภัยที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาแล้ว อนึ่ง เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้า NuScale ที่เป็นเรือธง การกำหนดค่าที่เล็กลงเหล่านี้จะยังคงรักษาความสามารถในการส่งมอบโซลูชันโรงไฟฟ้าที่ปรับขนาดได้พร้อมคุณสมบัติความสามารถและประสิทธิภาพที่ไม่มีใน SMR อื่น ๆ ทั้งนี้ NuScale จะสามารถส่งมอบโมดูลแรกให้กับลูกค้าได้ในปี 2570

เกี่ยวกับ NuScale Power

NuScale Power ได้พัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำเบาแบบแยกส่วนเพื่อจัดหาพลังงานสำหรับการผลิตไฟฟ้า การให้ความร้อน การกรองน้ำทะเล และการใช้ความร้อนในกระบวนการอื่น ๆ โดยการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็ก (SMR) ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้มีการออกแบบโดยใช้กระบวนการ NuScale Power Module™ ที่ประดิษฐ์ขึ้นจากโรงงาน ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 77 เมกะวัตต์โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์แบบน้ำแรงดันที่ปลอดภัยกว่า เล็กกว่า และปรับขนาดได้ ทั้งนี้การออกแบบที่ปรับขนาดได้ของ NuScale หมายความว่า โรงไฟฟ้าสามารถรองรับโมดูลไฟฟ้าได้ถึง 12 โมดูล ซึ่งมอบประโยชน์ในรูปแบบของพลังงานที่ปราศจากคาร์บอนและลดภาระผูกพันทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับโรงงานนิวเคลียร์ขนาดกิกะวัตต์ ผู้ลงทุนรายใหญ่ใน NuScale คือ Fluor Corporation ซึ่งเป็น บริษัท ด้านวิศวกรรมการจัดหาและการก่อสร้างระดับโลกที่มีประวัติ 60 ปีในด้านพลังงานนิวเคลียร์เชิงพาณิชย์

NuScale มีสำนักงานใหญ่ในพอร์ตแลนด์ โอเรกอน และมีสำนักงานใน คอร์วัลลิส โอเรกอน  ร็อควิลล์ แมรีแลนด์ ชาร์ล็อต  นอร์ธคาโรไลนา ริชแลนด์วอชิงตัน และลอนดอนสหราชอาณาจักร ติดตามเราได้ที่ Twitter: @NuScale_Power, Facebook: NuScale Power, LLC, LinkedIn: NuScale-Power,  และ Instagram: nuscale_power. NuScale มีโลโก้แบรนด์และ เว็บไซต์ ดู วิดีโอ สั้น

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201110005452/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ:

Diane Hughes รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร NuScale Power

dhughes@nuscalepower.com

(C) 503-270-9329

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

APRU เผยแพร่รายงาน AI เพื่อความดี โดยร่วมกับองค์กร ESCAP ของสหประชาชาติและ Google

Logo

รายงานเรียกร้องให้ใช้นวัตกรรม AI เพื่อช่วยการฟื้นตัวหลังโควิต

ฮ่องกง–(บิสิเนสไวร์)–10 พ.ย. 2563

APRU ร่วมมือกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (United Nations ESCAP) และ Google เพื่อเผยแพร่รายงาน AI for Social Good  รายงานนี้เป็นโครงการที่สามที่สำรวจผลกระทบที่ AI มีต่อสังคมในเอเชียแปซิฟิกและมอบข้อเสนอแนะเชิงวิจัยแก่ผู้กำหนดนโยบาย โดยมุ่นเน้นวิธีการใช้ AI ในการช่วยบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2573

ด้วยผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของ โควิด-19 บทบาทของ AI ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นในการช่วยเหลือการฟื้นตัว  ข้อมูลเชิงลึกของนักวิจัยสนับสนุนข้อเสนอแนะของรายงานในการสร้างสภาพแวดล้อมและกรอบการกำกับดูแลที่เอื้อต่อ AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งเป็นคำที่ครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วท่ามกลางความไม่เท่าเทียม การเปลี่ยนไปสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างเร่งด่วน และความตึงเครียดระหว่างประเทศ

Chris Tremewan เลขาธิการ APRU ให้ความเห็นว่า “สมาชิก APRU มีงานวิจัยเชิงลึกที่น่าทึ่งเกี่ยวกับความท้าทายในภูมิภาคนี้ ตั้งแต่เหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรงและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกไปจนถึงปัญหาข้ามพรมแดนที่ซับซ้อน  การนำความเชี่ยวชาญและนวัตกรรม AI มารวมกันจะทำให้สามารถสนับสนุนสังคมและสุขภาพของโลกของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

Jonathan Wong หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและนวัตกรรม ESCAP แห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า “แผนงานความร่วมมือด้านดิจิทัลของเลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องให้มี AI ที่มีความน่าเชื่อถือ อิงตามสิทธิมนุษยชน ปลอดภัย ยั่งยืน และส่งเสริมสันติภาพ  นโยบายสาธารณะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคมโดยกำหนดทิศทางการพัฒนาและใช้งาน AI เพื่อนำไปสู่อนาคตที่ครอบคลุมและยั่งยืน”

Dan Altman, AI Public Policy, Google แบ่งปันว่าความเห็นว่า “Google และ APRU มีความเชื่อร่วมกันว่านวัตกรรม AI สามารถปรับปรุงชีวิตของผู้คนได้อย่างมีความหมาย  Google ได้เปิดตัวโปรแกรม AI for Social Good เพื่อใช้ความเชี่ยวชาญด้าน AI ของเราในการจัดการกับความท้าทายด้านมนุษยธรรมและสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมให้องค์กรอื่นๆ ทำเช่นเดียวกัน  Google รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนเพื่อทำงานที่มีผลกระทบอย่างแท้จริงและยั่งยืน”

การศึกษาแบบสหสาขาวิชาชีพในรายงานนี้ให้ความรู้และมุมมองของนักวิจัยจากสิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลี ไทย อินเดีย และออสเตรเลีย  การผสมผสานความเข้าใจในท้องถิ่นเข้ากับมุมมองระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบายในการตอบสนองต่อกฎระเบียบที่ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีระหว่างประเทศสามารถมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ข้อเสนอแนะที่สำคัญ:

1.การกำกับดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องผลักดันนวัตกรรมเพื่อให้บรรลุศักยภาพสูงสุดของ AI

  • นอกจากการดูแลผู้เล่นรายใหญ่ที่กำลังควบคุมข้อมูลแล้ว การกำกับดูแลจะต้องยอมเสี่ยงในรูปแบบที่สามารถจัดการได้และทำการทดสอบก่อนการใช้งานเทคโนโลยีขนาดใหญ่

2.สร้างรูปแบบข้อมูลที่เป็นมาตรฐานและความสามารถในทำงานร่วมกัน

  • ความไม่สมดุลของข้อมูลทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน  ดังนั้นรูปแบบข้อมูลที่เป็นมาตรฐานและสามารถทำงานร่วมกันระหว่างระบบจึงมีความสำคัญ

3.จัดการข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและปกป้องศักดิ์ศรีของแต่ละบุคคล

  • สร้างโครงสร้างการกำกับดูแลข้อมูลที่เพียงพอโดยมอบประโยชน์ของเทคโนโลยีแก่ทุกคนและปกป้องศักดิ์ศรีส่วนบุคคลและผสมผสานคุณค่าของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบบเอเชียเพื่อส่งเสริมการแบ่งปันข้อมูลเพื่อประโยชน์ต่อสังคม

เดือนพฤศจิกายนเป็น “เดือนของ AI เพื่อประโยชน์ต่อสังคม” โดยมีการอภิปรายและบรรยายสรุปนโยบายกับนักคิด AI ชั้นนำจากเอเชีย สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ  ลงทะเบียนเพื่อชมการประชุมได้ที่นี่

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201109006220/en/

ติดต่อ:

Jack Ng
jack.ng@apru.org

Marisa Lam
marisa@plug.agency

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Inmarsat ขยายความร่วมมือกับ CSG เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างรายได้บนระบบคลาวด์ของบริการบรอดแบนด์มือถือ

Logo

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–4 พ.ย. 2563

CSG® (NASDAQ: CSGS)ประกาศในวันนี้ว่าได้ขยายความสัมพันธ์กับ Inmarsat ซึ่งเป็นผู้นำด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียมเคลื่อนที่ระดับโลก Inmarsat โดยส่วนหนึ่งของข้อตกลงระยะเวลาหลายปีนี้ คือการที่ Inmarsat กำลังย้ายการดำเนินการด้านการเรียกเก็บเงินและการจัดการรายได้ไปยังรูปแบบบริการที่มีการจัดการบนคลาวด์แบบรวมระบบที่พัฒนาโดย CSG ซึ่งนำมาแทนที่โซลูชันของบุคคลที่สามที่มีอยู่และโซลูชันเดิมตามความต้องการ

“เป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้วที่ CSG ทำงานร่วมกับ Inmarsat เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดจากการดำเนินงานด้านการจัดการการเรียกเก็บเงินและรายได้ของเราทำให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ พร้อม ๆ ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจของเรา” David Thornhill รองประธานอาวุโส Group IT  Inmarsat กล่าว “ ด้วยการเปลี่ยนไปใช้รูปแบบบริการที่มีการจัดการบนคลาวด์ CSG จะส่งเสริมแนวทางที่คล่องตัวและคุ้มค่ามากขึ้นในการดำเนินธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งของเรา ในขณะที่สร้างรูปแบบที่ยั่งยืนสำหรับความสำเร็จในอนาคตไปพร้อม ๆ กัน”

ด้วยการใช้โซลูชันบริการที่มีการจัดการจาก CSG ผู้ให้บริการในอังกฤษจะได้รับประโยชน์จากความคล่องตัวของกระบวนการที่เพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นในการออกสู่ตลาด และการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำในการดำเนินการทั้งหมด ไปพร้อม ๆ กับการปรับปรุงการดำเนินการเรียกเก็บเงินและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่สามก่อนหน้านี้

ข้อตกลงใหม่ใช้เวอร์ชันล่าสุดของ CSG Singleview, CSG Interconnect, และ CSG Intermediate ที่ Inmarsat ใช้อยู่ แล้วช่วยเพิ่มผลกำไรสูงสุด ลดต้นทุนการดำเนินงานและตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ ความสามารถเพิ่มเติมช่วยอำนวยความสะดวกในการระบุเชิงรุกและการแก้ไขปัญหาของลูกค้า โดยรวมแล้วโซลูชันบนคลาวด์ใหม่นี้จะมอบสถาปัตยกรรมที่รองรับอนาคตซึ่งใช้ประโยชน์จากแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดการการเรียกเก็บเงินและรายได้ พร้อม ๆ กับการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า

“ ในขณะที่ Inmarsat ต้องการพัฒนาการเชื่อมต่อดาวเทียมทางอากาศและทางทะเล ทั่วยุโรปและที่อื่น ๆ เราหวังว่าจะได้เป็นพันธมิตรที่ยาวนานต่อไปโดยสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินการด้านการเรียกเก็บเงินและการจัดการรายได้ในขณะที่ช่วยลดความเสี่ยงและลดต้นทุนการดำเนินงาน ” James Kirby หัวหน้าธุรกิจ EMEA ของ CSG กล่าว “ เราตื่นเต้นที่จะได้ขยายความสัมพันธ์กับ Inmarsat เพื่อช่วยให้ธุรกิจทั่วพอร์ตโฟลิโอของพวกเขาเจริญเติบโต”

CSG ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำใน Gartner Magic Quadrant สำหรับโซลูชันการจัดการรายได้และลูกค้า หรือ Revenue and Customer Management solutions ซึ่งสนับสนุนผู้ใช้ปลายทางทั่วโลกหลายร้อยล้านคน โดยบริษัทนำเสนอโซลูชันการสร้างรายได้ การตั้งถิ่นฐาน และการดูแลลูกค้าที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเปิดตัวบริการดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนจากระบบเดิมด้วยตนเอง โซลูชันการจัดการธุรกิจค้าส่งของ CSG หรือ Wholesale Business Management Solution ได้รับรางวัลมากมายสำหรับฟังก์ชันการทำงานและนวัตกรรมระบบคลาวด์และได้รับรางวัล Global Stratecast CSP Monetization Interconnect & Settlement Market Leadership Award จาก Frost & Sullivan ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เกี่ยวกับ CSG

เป็นเวลากว่า 35 ปี ที่ CSG ได้ลดความซับซ้อนของธุรกิจ โดยการนำเสนอโซลูชันการมีส่วนร่วมกับลูกค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้บริษัท ต่าง ๆ ได้รับสร้างรายได้ มีส่วนร่วม และรักษาลูกค้าไว้ได้ CSG ดำเนินงานในมากกว่า 120 ประเทศทั่วโลก และจัดการการโต้ตอบกับลูกค้าที่สำคัญหลายพันล้านครั้งต่อปีและมีชุดซอฟต์แวร์และบริการที่ได้รับรางวัลต่าง ๆ ช่วยให้บริษัท ต่างๆในหลายอุตสาหกรรมสามารถรับมือกับความท้าทายทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของตนและเติบโตในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

CSG เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัลให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกหลายร้อยแบรนด์เช่น AT&T, Charter Communications, Comcast, DISH, Eastlink, Formula One, MTN และ Telstra

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราที่ csgi.com และเชื่อมต่อกับเราได้ที่ LinkedIn และ Twitter.

ลิขสิทธิ์© 2020 CSG Systems International, Inc. และ / หรือ บริษัท ในเครือ (“ CSG”) สงวนลิขสิทธิ์. CSG®เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ CSG Systems International, Inc. เครื่องหมายการค้าของบุคคลที่สามเครื่องหมายบริการและ / หรือชื่อผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่อ้างถึงในเอกสารนี้ถือเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่เกี่ยวข้องและสงวนสิทธิ์ทั้งหมดในนั้น

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201104005049/en/

ติดต่อ:

Brad Jones

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ทั่วโลก / อเมริกาเหนือ / เอเชียแปซิฟิก

CSG

+1 (303) 200-3001

brad.jones@csgi.com

Kristine Østergaard

CSG

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ยุโรป / ตะวันออกกลาง / แอฟริกา

+44 (0)79 2047 7204

kristine.ostergaard@csgi.com

Liz Bauer

ฝ่ายลงทุนสัมพันธ์

CSG

+1 (303) 804-4065

liz.bauer@csgi.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Kioxia เปิดตัว First PCIe® 4.0 OCP “NVMe™ สเปคสำหรับคลาวด์” ตัวแรกของอุตสาหกรรม – รุ่นใช้งาน SSD

Logo

KIOXIA XD6 Series E1.S Data Center NVMe™ SSD รุ่นใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูลสำหรับการใช้งานแพลตฟอร์ม Open Compute

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–04 พ.ย. 2563

Kioxia Corporation ผู้นำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ SSD สำหรับลูกค้า องค์กร และศูนย์ข้อมูลด้วยการเพิ่ม KIOXIA XD6 Series E1.S form factor SSD.  XD6 Series ของ Kioxia เป็น E1.S SSD รุ่นแรก[1] ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของแอพพลิเคชันระดับไฮเปอร์สเกล ซึ่งรวมถึงความต้องการด้านประสิทธิภาพ พลังงานและ ความร้อนของ Open Compute Platform (OCP)[2] “NVMe™ Cloud SSD Specification”  ขณะนี้ไดรฟ์ XD6 ของ Kioxia กำลังสุ่มตัวอย่างเพื่อเลือกลูกค้าศูนย์ข้อมูล[3]

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มรูปแบบได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201103005821/en/

KIOXIA XD6 Series: Industry’s First PCIe® 4.0 OCP “NVMe™ Cloud Specification”-Enabled SSD (Photo: Business Wire)

KIOXIA XD6 Series: PCIe® 4.0 OCP “NVMe™ Cloud Specification”-Enabled SSD สเปคสำหรับคลาวด์รุ่นแรกของอุตสาหกรรม (ภาพ: บิสิเนสไวร์)

โดยได้รับการออกแบบเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของระบบ ประสิทธิภาพ และความเรียบง่ายสูงสุด SSD EDSFF E1.x ของ Kioxia แสดงถึงอนาคตของแฟลชสตอเรจสำหรับเซิร์ฟเวอร์ในคลาวด์และศูนย์ข้อมูลระดับไฮเปอร์สเกล  โดยใช้ประโยชน์จาก OCP “NVMe™ Cloud SSD Specification,” E1.S ฟอร์มแฟคเตอร์ขนาดเล็กที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพจะเข้ามาแทนที่ฟอร์มแฟคเตอร์ M.2 แบบเปลือยและมอบความหนาแน่น ประสิทธิภาพ ความเสถียร และการจัดการระบายความร้อนที่ดีกว่า  E1.S ได้รับการออกแบบมาให้สามารถเสียบปลั๊กแบบร้อนได้เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการซึ่งเป็นข้อดีอีกประการหนึ่งของ M.2

PCIe® 4.0 and NVMe™ 1.3c ที่เป็นไปตามข้อกำหนด XD6 Series ของ Kioxia มีจำหน่ายในรูปแบบ E1.S 9.5มม. 15 มม. และ 25มม.  XD6 Series ได้รับการออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอ latency ต่ำ และความเสถียรในศูนย์ข้อมูลระบบคลาวด์ 24×7

คุณสมบัติหลัก ได้แก่ :

  • ประสิทธิภาพการอ่านและเขียนแบบเรียงลำดับสูงถึง 6,500MB/s และ 2,400MB/s ตามลำดับ
  • ใช้พลังงาน 15W
  • ตัวเลือกความปลอดภัย: TCG Opal [4]
  • การป้องกันเส้นทางข้อมูลแบบ end-to-end
  • การป้องกันการสูญเสียพลังงาน
  • ขยายข้อมูลความสมบูรณ์ของไดรฟ์
  • ประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอและ latency ต่ำเมื่อเทียบกับการโหลดที่ศูนย์ข้อมูล
  • ตัวควบคุมที่ได้รับการพัฒนาในระดับไฮเปอร์สเกลใหม่

Kioxia เป็นสมาชิกที่มีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นในการพัฒนาอุตสาหกรรมของผลิตภัณฑ์ EDSFF E1.S/L และ E3.S/L และยังคงทำงานร่วมกับเซิร์ฟเวอร์ชั้นนำและผู้พัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลเพื่อปลดล็อกพลังเต็มของหน่วยความจำแฟลช NVMe™ และ PCIe®

หมายเหตุ

[1] ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 จากการสำรวจของ Kioxia Corporation

[2] Open Compute Project (OCP) เป็นชุมชนที่สนับสนุนโดย Microsoft Corp. และ Facebook, Inc. ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การออกแบบเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ใหม่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ

[3] ตัวอย่างทางวิศวกรรมใช้สำหรับการประเมินลูกค้า OEM ข้อมูลจำเพาะอาจแตกต่างไปจากที่ผลิตเป็นจำนวนมาก

[4] ความพร้อมใช้งานของตัวเลือกการรักษาความปลอดภัย/การเข้ารหัสอาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาค

*PCIe เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ PCI-SIG

*NVMe เป็นเครื่องหมายการค้าของ NVM Express, Inc.

*ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่นๆ ที่กล่าวถึงในที่นี้อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับ Kioxia Group

Kioxia เป็นผู้นำระดับโลกในด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำโดยทุ่มเทให้กับการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายหน่วยความจำแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD)  ในเดือนเมษายน 2560 บริษัทเดิม Toshiba Memory ได้แยกตัวออกจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจำแฟลช NAND ในปี 2530  บริษัทเป็นผู้บุกเบิกผลิตภัณฑ์และบริการหน่วยความจำที่ล้ำสมัยที่ช่วยเสริมสร้างชีวิตของผู้คนและขยายขอบเขตอันไกลโพ้นของสังคม  เทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3 มิติที่เป็นนวัตกรรมของ Kioxia BiCS FLASH™ กำลังกำหนดอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอพพลิเคชั่นความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี SSD ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล

สอบถามข้อมูลสำหรับลูกค้า:
Kioxia Corporation
ฝ่ายส่งเสริมการขาย
โทร: +81-3-6478-2427

https://business.kioxia.com/en-jp/buy/global-sales.html

*ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคา และคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาของบริการและข้อมูลการติดต่อถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ  แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201103005821/en/

สอบถามข้อมูลสำหรับสื่อ:
Kioxia Corporation
ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การขาย
Koji Takahata
โทร: +81-3-6478-2404

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ขนาดเล็ก ประสิทธิภาพสูง

Logo

EMist เปิดตัวเทคโนโลยีเครื่องพ่นแบบไฟฟ้าสถิตแห่งอนาคต

ฟอร์ตเวิร์ท, เทกซัส–(บิสิเนสไวร์)–02 พ.ย. 2563

EMist® Disinfection Solutions ประกาศเครื่องพ่นฆ่าเชื้อแบบไฟฟ้าสถิต EX-7000 TruElectrostatic™

เครื่องพ่น EX-7000 มีน้ำหนักเบาเพียง 14.9 ปอนด์ (6.76กก.) ซึ่งเบากว่าเครื่องพ่นอื่นๆ ถึงเท่าตัว  ด้วยเทคโนโลยี Charge Detect™ อันชาญฉลาด เครื่องพ่นไฟฟ้าสถิต EX-7000 จะตรวจจับขั้วของผู้ใช้และอุปกรณ์อย่างต่อเนื่องและปรับโดยอัตโนมัติเพื่อให้ไม่มีปัญหาการต่อสายดิน จึงมั่นใจถึงน้ำยาฆ่าเชื้อที่ครอบคลุมที่สุดในอุตสาหกรรม โดยลดค่าใช้จ่ายแรงงานและสารเคมีถึง 50 เปอร์เซ็นต์

สารฆ่าเชื้อจะถูกทำให้เป็นละอองก่อนส่งผ่านหัวฉีดเหนี่ยวนำไฟฟ้าสถิต โดยชาร์จโดยใช้แหล่งจ่ายไฟสองขั้ว ก่อนที่จะปล่อยไปยังพื้นที่เป้าหมาย  แหล่งจ่ายไบโพลาร์ทำให้ประจุไฟฟ้าแจกจ่ายแบบสลับขั้ว ส่งผลให้หยดมีประจุบวกหรือประจุลบมากเป็นพิเศษ  ละอองที่มีประจุไฟฟ้าเหล่านี้ดึงดูดไปยังพื้นที่เป้าหมายมากจนเคลือบด้านข้าง ขอบ และด้านหลังของพื้นผิว

เครื่องพ่นฆ่าเชื้อ TruElectrostatic ของ EMist ถูกสร้างขึ้นตามบนแท่นหลักหกชั้น จึงเป็นเครื่องพ่นสารเคมีไฟฟ้าสถิตที่ให้ประจุไฟฟ้าสถิตอย่างต่อเนื่อง 100 เปอร์เซ็นต์กำจัดการลงดิน และให้การครอบคลุมที่เหนือกว่า

TruTechnology: เทคโนโลยี EPIX Charge Detect

โดยใช้เทคโนโลยี EPIX Charge Detect เครื่องพ่นไฟฟ้าสถิตจะตรวจจับขั้วของผู้ใช้และอุปกรณ์อย่างต่อเนื่องและปรับโดยอัตโนมัติเพื่อไม่ให้มีปัญหาการต่อสายดิน  หยดน้ำที่ปล่อยออกมาจะเกาะรอบพื้นผิวและสร้างความครอบคลุมของสารเคมีที่สม่ำเสมอ ซึ่งช่วยลดต้นทุนทางเคมีและแรงงาน

TruConfidence: จดสิทธิบัตรแล้ว พิสูจน์แล้ว ไว้วางใจได้

นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายบริษัทปรากฏตัวในชั่วข้ามคืนโดยอ้างว่าพวกเขามีเครื่องพ่นไฟฟ้าสถิต  เมื่อต้องรับมือกับเชื้อโรคที่คุกคามชีวิต สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือต้องทราบว่าสินค้าที่คุณซื้อนั้นมาจากบริษัทที่มีประสบการณ์ ได้รับการยอมรับ และได้รับการพิสูจน์แล้ว  เครื่องพ่นสารเคมีไฟฟ้าสถิต EMist ได้รับการจดสิทธิบัตร ได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาในห้องปฏิบัติการอิสระ และได้ถูกนำไปใช้ในช่วงวิกฤตอีโบลาปี 2557 ซึ่งพัฒนาโดย Mike Sides ผู้ที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าสถิตที่เคยทำงานร่วมกับกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านกีฏวิทยากองทัพเรือ กระทรวงการเกษตรของสหรัฐฯ และองค์การอนามัยโลก

TruCharge: ประสิทธิภาพดีที่สุด

ขั้วของเครื่องพ่นสารเคมีไฟฟ้าสถิตนั้นสำคัญอย่างยิ่ง  พื้นผิวส่วนใหญ่มีประจุลบหรือเป็นกลาง (ตัวโลกเองก็เป็นลบ)  หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ ระบุว่าเครื่องพ่นไฟฟ้าสถิตควรให้ประจุบวกเพื่อให้หยดน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประจุบวกดึงดูดไปยังพื้นผิวที่เป็นลบหรือเป็นกลาง  ละอองที่มีประจุบวกช่วยเพิ่มการยึดเกาะและการห่อหุ้มของหยดน้ำ

TruDesign: การทำงานที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

เมื่อฉีดพ่นพื้นที่ขนาดใหญ่ อาคารขนาดใหญ่หรือ พื้นที่แคบ เครื่องพ่นสารเคมีไร้สายช่วยให้คุณเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ  เครื่องพ่น EMist ออกแบบตามหลักการยศาสตร์  มีน้ำหนักเบา และไร้สาย  นั่นหมายความว่าผู้ปฏิบัติงานสามารถนำเครื่องพ่นสารเคมีไปยังที่พื้นที่โดยตรงแทนการอาศัยปลั๊กไฟที่หน้างาน  ความสามารถในการพกพาเป็นข้อได้เปรียบที่ชัดเจนสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเคลื่อนที่เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง

TruAssurance: ความปลอดภัยของผู้ใช้

หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ ระบุว่าเครื่องพ่นยาฆ่าเชื้อด้วยไฟฟ้าสถิตควรมีขนาดละอองเฉลี่ยมากกว่า 40 ไมครอน  หยดต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะต้านทานการระเหยและการล่องลอย แต่มีขนาดเล็กพอที่หยดจะเปลี่ยนวิถีได้เมื่อเข้าใกล้เป้าหมาย  เครื่องพ่นสารเคมีของคู่แข่งส่วนใหญ่ผลิตละอองน้ำที่มีขนาดน้อยกว่า 40 ไมครอน ทำให้มีแนวโน้มที่จะล่องลอยและเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูดดมของผู้ใช้  เครื่องพ่นยา EMist มีขนาดหยดเฉลี่ย 75 ไมครอน

TruCost: ต้นทุนรวมที่ต่ำกว่า

จากความจำเป็นในการฆ่าเชื้อในพื้นที่ขนาดใหญ่ การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อด้วยมือเป็นเรื่องในอดีต  การใช้ไฟฟ้าสถิตเป็นเรื่องปกติใหม่  ลูกค้าที่ใช้ระบบ EMist มักจะลดต้นทุนแรงงานและสารเคมีได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์  เทคโนโลยีไฟฟ้าสถิตขั้นสูงนี้จดสิทธิบัตรและจำหน่ายในราคาที่แข่งขันได้และมีประสิทธิภาพที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว โดยช่วยลดต้นทุนโดยรวม

EMist ได้ประกาศโปรแกรมการจองสำหรับผู้ซื้อในเดือนธันวาคม  บริษัทจะเริ่มทำการจองราคา $50 แบบคืนเงินได้บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายนเวลา 08.00 น. ตามเวลา Central Time สหรัฐอเมริกา  EX-7000 มีจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่าย EMist ในราคาปลีก $3,995 USD

เกี่ยวกับ EMist

โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองฟอร์ตเวิร์ธ รัฐเท็กซัส EMist พัฒนาเครื่องพ่นยาฆ่าเชื้อไฟฟ้าสถิตอัจฉริยะที่ทำให้พื้นที่ถูกหลักสุขอนามัยยิ่งขึ้น  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม EMist.com

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201102005026/en/

ติดต่อ:

Doug Morrell
โทร: 817.837.0200
doug@teleosmarketing.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

มหกรรมสินค้าส่งออก เจ้อเจียงเอ็กซ์พอร์ตออนไลน์แฟร์ 2020 (ประเทศไทย-ชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์)

Logo

กรุงเทพมหานคร–(BUSINESS WIRE)–31 ตุลาคม 2563

การระบาดของโรคได้ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ธุรกิจต่าง ๆ จำเป็นต้องมีความสร้างสรรค์เพื่อรับมือกับความท้าทายที่มาพร้อมกับความปกติใหม่ การจัดนิทรรศการและแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาพบกันทางออนไลน์ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้ที่ต้องการขยายและกระจายความหลากหลายในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดนี้ มหกรรมสินค้าส่งออก เจ้อเจียงเอ็กซ์พอร์ตออนไลน์แฟร์ 2020 (Zhejiang Export Online Fair) จึงได้ประกาศถึงโอกาสพิเศษสำหรับทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ ที่จะได้มาพบปะและเจรจาธุรกิจผ่านการประชุมทางวิดีโอ มหกรรมสินค้าชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ออนไลน์จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 ถึง 13 พฤศจิกายน 2563 โดยมีเป้าหมายเป็นผู้ซื้อชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์จากประเทศไทย ซึ่งกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมและอุปกรณ์ต่าง ๆ จากซัพพลายเออร์เจ้าหลักของจีน

มหกรรมสินค้านี้ได้รับการสนับสนุนโดย CREAT และจะมีผู้ผลิตชั้นนำกว่า 50 รายจากเจ้อเจียงมาจัดแสดงชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดรวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ให้กับผู้ซื้อจากประเทศไทย โดยมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบริงเครื่องยนต์ แหวนรองกันรุน เครื่องมือซ่อม ระบบปัดน้ำฝนรถยนต์ มอเตอร์ฉีดน้ำฝน ระบบมอเตอร์เครื่องเป่าลมและพัดลม ชุดพัดลมหม้อน้ำ ชุดควบคุมกระจกข้าง เซ็นเซอร์รถยนต์ สวิตช์อัตโนมัติ สายพาน ซีลน้ำมัน แบริง วาล์ว EGR เซ็นเซอร์วัดการไหลเวียนของอากาศ ปั๊มน้ำสำรอง ระบบลดความร้อน EGR ปั๊มไฮดรอลิก ปั๊มแทรกเตอร์ ชุดโซ่ไทม์มิ่ง คันควบคุม คันโยก จานคลัตช์ ฝาครอบคลัตช์ ชุดคลัตช์ แบริงปล่อยคลัตช์ เครื่องปรับความตึงสายพาน บล็อกกระบอกสูบ หมุดสำหรับคลัตช์และผ้าเบรก สลัก สกรู น๊อต คลัตช์พัดลม คลัตช์ประเภทต่าง ๆ วาล์วยาง คอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์ พัดลมรถยนต์ มอเตอร์เครื่องเป่าลม คอนเดนเซอร์ ท่อยางรถยนต์ ชุดระบายความร้อน ฮีตเตอร์ สายพานยาง สายพานไทม์มิ่ง สายพานพัดลม สายพานพีเค สายพานวีแบบมีร่องฟัน สายพานวีแบบหุ้มผ้า แบริงลิเนียร์แบบพลาสติกและอลูมิเนียม แบริงแบบมีระบบหล่อลื่นในตัว สายพานแบบนุ่มหุ้มด้วยตาข่ายทองแดงและอื่น ๆ อีกมากมาย

งานนี้จะเป็นแพลตฟอร์มอันยอดเยี่ยมสำหรับการเสริมสร้างการค้าระหว่างประเทศไทยและมณฑลเจ้อเจียงให้แข็งแรงในช่วงเวลาที่ธุรกิจแตะระดับต่ำสุดเนื่องจากข้อจำกัดด้านการเดินทางและการขนส่ง งานแสดงสินค้าจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและช่วยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องพบกับช่องทางใหม่ ๆ ในการกระจายสินค้าและเติบโตในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเช่นปัจจุบัน ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่นำมาจัดแสดงนั้นมีการเลือกสรรโดยคำนึงถึงความต้องการของตลาดประเทศไทย

การพูดคุยทางธุรกิจระหว่างผู้เข้าร่วมงานจะจัดขึ้นทางออนไลน์โดยใช้ระบบประชุมผ่านวิดีโอของ Zoom

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201031005009/en/

ติดต่อ:

Shubhra Bundela – 9584394446 – shubhra.bundela22@gmail.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย