Category Archives: Technology

Aptorum Group ประกาศยื่นขอการทดลองทางคลินิกสำหรับยา ALS-4 ซึ่งเป็นยาโมเลกุลขนาดเล็กที่ให้ผ่านทางปากเพื่อรักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรียสตาฟิโลคอคคัสออเรียส รวมถึงแบคทีเรียสตาฟิโลคอคคัสออเรียสที่ดื้อยาปฏิชีวนะในกลุ่มเมธิซิลิน (MRSA)

Logo

นิวยอร์ก & ลอนดอน & ปารีส–(BUSINESS WIRE)–21 ธันวาคม 2563

ข่าวระเบียบข้อบังคับ:

Aptorum Group Limited (Nasdaq: APM, Euronext Paris: APM) (“Aptorum Group” หรือ “Aptorum”) บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ที่มุ่งเน้นเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับรักษาโรคประจำตัวและโรคติดเชื้อชนิดต่าง ๆ ประกาศว่าบริษัทได้ยื่นขอทำการทดลองทางคลินิก (CTA) ต่อ Public Health Agency of Canada หรือ Health Canada ผ่าน Aptorum International Limited  บริษัทย่อยที่เป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการทดลองทางคลินิกในระยะที่ 1 ของ ALS-4 ซึ่งเป็นยาโมเลกุลขนาดเล็กสำหรับให้ผ่านทางปากเพื่อรักษาอาการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส รวมถึงแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ที่ดื้อยาปฏิชีวนะในกลุ่มเมธิซิลิน (MRSA) การทดลองในระยะที่ 1 ซึ่งอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก Health Canada นั้น กำหนดให้มีการทดสอบ ALS-4 ด้านความปลอดภัย ความทนต่อยา และเภสัชจลนศาสตร์กับอาสาสมัคร

Dr. Clark Cheng ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์และกรรมการบริหาร Aptorum Group กล่าวว่า “หลังได้มีการแจ้งความคืบหน้าไปเมื่อเดือนกันยายน 2563 ที่ผ่านมา เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้ประกาศให้ทราบถึงการยื่นขอทำการทดลองทางคลินิก ซึ่งแสดงถึงอีกก้าวสำคัญด้านการพัฒนาในโครงการยาปฏิจุลชีวนะ ALS-4 ของเรา ALS-4 เป็นโมเลกุลขนาดเล็กชนิดใหม่ซึ่งใช้วิธียับยั้งปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรงของโรค หรือ anti-virulence (ที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะ) เพื่อรับมือกับความต้องการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นในเรื่องของโรคติดเชื้อซึ่งมีสาเหตุจากแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ALS-4 เป็นยาที่ให้ผ่านทางปาก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายด้านสุขภาพทั่วโลกที่มุ่งส่งเสริมให้เปลี่ยนการรักษาด้วยยาปฏิจุลชีวนะจากการให้ยาผ่านหลอดเลือดดำมาเป็นมาการให้ยาทางปากแทน1,2,3 จากข้อมูลภายในที่ได้จากการทดลองก่อนทดสอบในมนุษย์ (preclinical) ของเรา ซึ่งเตรียมที่จะเข้าสู่การทดลองทางคลินิกต่อไปนั้น พบว่า ALS-4 สามารถใช้เดี่ยว ๆ หรือใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะทีมีอยู่แล้วอย่าง (เช่น vancomycin) เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโดยเฉพาะในกรณีที่รุนแรง เช่นเดียวกัน เราเชื่อว่ายา ALS-4 สำหรับรับประทานของเราสามารถรักษาการติดเชื้อต่าง ๆ ที่เกิดจากแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง (แต่ไม่จำกัดเฉพาะ) แบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ที่ดื้อยาปฏิชีวนะในกลุ่มเมธิซิลิน และการติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน ซึ่งจะมีการทดสอบทางคลีนิกต่อไปตามลำดับ”

การทดลองทางคลินิกในระยะที่ 1 มีแผนที่จะดำเนินการในประเทศแคนาดา และตั้งเป้ารับสมัครอาสาสมัครสำหรับการให้ยาคนละครั้งเดียวโดยเพิ่มขนาด (SAD) ทั้งหมด 48 ราย และการให้ยาคนละหลายครั้งโดยเพิ่มขนาด (MAD) ทั้งหมด 32 ราย ตามลำดับ วัตถุประสงค์หลักของการทดลองครั้งนี้คือประเมินความปลอดภัยและความทนต่อยาจากการให้ยา ALS-4 ทางปากทั้งแบบ SAD และ MAD กับตัวอย่างที่มีร่างกายแข็งแรง วัตถุประสงค์รองของการทดลองครั้งนี้คือประเมินคุณลักษณะด้านเภสัชจลนศาสตร์จากการให้ยา ALS-4 ทางปากทั้งแบบ SAD และ MAD กับตัวอย่างที่มีร่างกายแข็งแรง

เกี่ยวกับ ALS-4

ALS-4 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มโรคติดเชื้อ Acticule โดย Aptorum Group เป็นยาโมเลกุลขนาดเล็กสำหรับให้ทางปากตัวแรกในกลุ่ม (first-in-class) ที่ใช้ใช้วิธียับยั้งปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรงของโรค (ที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะ) โจมตีแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส รวมถึงแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ที่ดื้อยาปฏิชีวนะในกลุ่มเมธิซิลิน (MRSA) เป้าหมายของ ALS-4 คือการยับยั้งความรุนแรงของแบคทีเรียและทำให้มีความไวรับสูงต่อช่วงที่ร่างกายเริ่มทำงานเพื่อกำจัดเชื้อ (immune clearance) รวมถึงมีแนวโน้มที่จะให้ผลดีขึ้นเมื่อให้ร่วมกับยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ในปัจจุบัน

เกี่ยวกับ Aptorum Group

Aptorum Group Limited (Nasdaq: APM, Euronext Paris: APM) เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ที่อุทิศตนเพื่อการคิดค้น พัฒนา และนำเทคโนโลยีการรักษาและวินิจฉัยมาใช้ในเชิงพาณิชย์เพื่อจัดการกับความต้องการด้านการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรคติดเชื้อและมะเร็ง (รวมถึงยากำพร้าที่ใช้รักษาโรคเนื้องอก) ช่องทางพัฒนาของ Aptorum ยังเติมเต็มด้วยการก่อตั้งแพลตฟอร์มคิดค้นยาที่นำมาสู่การค้นพบผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาโรคใหม่ ๆ จากโครงการต่าง ๆ เช่นการคัดกรองโมเลกุลยาที่ได้รับการอนุมัติในปัจจุบันอย่างเป็นระบบ และแพลตฟอร์มวิจัยด้านไมโครไบโอมสำหรับการรักษาโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของเมตาบอลิซึม นอกเหนือจากเป้าหมายหลักที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว บริษัทยังเดินหน้าคิดค้นโปรแกรมการรักษาและวินิจฉัยโรคต่าง ๆ ทางด้านประสาท ทางเดินอาหาร ความผิดปกติของเมตาบอลิซึม สุขภาพสตรี และด้านอื่น ๆ นอกจากนี้ Aptorum ยังมีโครงการที่มุ่งเน้นในเรื่องหุ่นยนต์ผ่าตัดและอาหารเสริมธรรมชาติสำหรับสตรีที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนซึ่งได้รับผลกระทบจากอาการดังกล่าว

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Aptorum Group โปรดดูที่ www.aptorumgroup.com

คำจำกัดสิทธิ์ความรับผิดชอบและข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ไม่ถือเป็นการเสนอขายหรือการชักชวนให้เข้าซื้อหลักทรัพย์ใด ๆ ของ Aptorum Group

เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Aptorum Group Limited และความคาดหวังในอนาคต แผน และโอกาสในอนาคตซึ่งเป็น “แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า” ภายใต้ความหมายของพระราชบัญญัติปฏิรูปกฎหมายฟ้องร้องหลักทรัพย์เอกชนปี พ.ศ. 2538 ข้อความที่มีอยู่ในเอกสารฉบับนี้ซึ่งไม่ใช่แถลงการณ์ของข้อเท็จจริงในอดีตอาจถือเป็นข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ในบางกรณีคุณสามารถระบุข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าโดยใช้คำเช่น “อาจ” “ควร” “คาดว่า” “มีแผนจะ” “คาดการณ์” “อาจจะทำได้” “ตั้งใจว่า” “มีเป้าหมายว่า” “มีโครงการว่า" "พิจารณาจะ" "เชื่อว่า" "ประเมินว่า" "พยากรณ์" "มีศักยภาพจะ" หรือ "จะดำเนินการต่อ" หรือคำตรงข้ามของคำเหล่านี้หรือสำนวนอื่น ๆ ที่คล้ายกัน มาจากความคาดหวังและการคาดการณ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับเหตุการณ์และแนวโน้มในอนาคตที่เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ สถานะทางการเงิน และผลการดำเนินงาน ข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตของ Aptorum Group ซึ่งรวมถึงข้อความเกี่ยวกับระยะเวลาที่คาดการณ์ไว้สำหรับการยื่นขอทำการทดลองและการทำการทดลอง พิจารณาจากความคาดหวังและการคาดการณ์ ณ  ปัจจุบันต่อเหตุการณ์และแนวโน้มในอนาคตที่เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ สถานะทางการเงิน และผลการดำเนินงาน ข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้เป็นปัจจุบัน ณ วันที่เผยแพร่ และอยู่ภายใต้ความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และข้อสันนิษฐาน รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ประกาศไว้และการเปลี่ยนแปลงองค์กร การให้บริการอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการขยายการจัดประเภทผลิตภัณฑ์โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมสำหรับกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มเติม กลยุทธ์การเติบโตของบริษัทที่คาดการณ์ไว้ แนวโน้มและความท้าทายที่คาดการณ์ไว้ในธุรกิจของบริษัท และความคาดหวังเกี่ยวกับเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานและความเสี่ยงอย่างเต็มที่อธิบายไว้ในแบบฟอร์ม 20-F ของ Aptorum Group และเอกสารอื่น ๆ ที่ Aptorum Group อาจทำกับ กลต. ในอนาคต รวมถึงหนังสือชี้ชวนหมายเลข visa n°20-352 ที่ได้รับจาก Autorité des Marchés Financiers ประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2563

ฉะนั้นการคาดคะเนต่าง ๆ ในข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลังและผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงอาจแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้ ณ ที่นี้ Aptorum Group ปฏิเสธข้อผูกมัดใด ๆ ในการปรับปรุงแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าที่มีอยู่ในเอกสารประชาสัมพันธ์นี้อันเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่น ๆ

ประกาศนี้ไม่ถือเป็นการชี้ชวนภายใต้ความหมายที่กำหนดไว้ใน Regulation (EU) n°2017/1129 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560 ตามที่แก้ไขโดย Regulations Delegated (EU) n°2019/980 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562 และ n°2019/979 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562

เนื้อหาในเอกสารประชาสัมพันธ์นี้ถูกนำเสนอ “ตามสภาพ” โดยไม่อาจรับรองหรือรับประกันใด ๆ


1 https://www.gloshospitals.nhs.uk/gps/antimicrobial-resources/adult-antibiotic-treatment-guidelines-site-infection/iv-oral-switch-guideline/ และ https://www.dbth.nhs.uk/wp-content/uploads/2017/10/IV-to-oral-switch-and-5-day-stop-policy.pdf
2 https://hgs.uhb.nhs.uk/wp-content/uploads/Guidelines-for-Antimicrobial-Prescribing-v5.0.pdf
3 https://www.jwatch.org/na48403/2019/02/12/sequential-intravenous-oral-treatment-mrsa-bacteremia

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201221005196/en/

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
Aptorum Group Limited
แผนกนักลงทุนสัมพันธ์:
investor.relations@aptorumgroup.com
+44 20 80929299

Redchip – ฝ่ายสื่อสารด้านการเงินประจำสหัรฐอเมริกา
งานนักลงทุนสัมพันธ์
Dave Gentry
dave@redchip.com
+1 407 491 4498

Actifin – ฝ่ายสื่อสารด้านการเงินประจำภูมิภาคยุโรป
งานนักลงทุนสัมพันธ์
Ghislaine Gasparetto
ggasparetto@actifin.fr
+33 1 56 88 11 22

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Zeek ผู้บุกเบิกด้านโลจิสติกส์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระดมทุนได้ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐท่ามกลางสภาวะที่ยากลำบากของตลาด

Logo

การพลิกโฉมระบบนิเวศด้านการจัดส่งกำลังจะเกิดขึ้น

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–21 ธันวาคม 2563

Zeek บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีโลจิสติกส์ที่มุ่งเน้นตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศในวันนี้ว่าบริษัทสามารถระดุมจากนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายในภูมิภาคและกองทุนเพื่อการลงทุนต่าง ๆ ได้ประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ในรอบ Series Pre-A โดย Zeek จะใช้เงินทุนดังกล่าวเพื่อขยายตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงนำไปใช้ด้านการยกระดับและปรับปรุงเทคโนโลยีการจัดการโลจิสติกส์และแอปพลิเคชันการวิเคราะห์ข้อมูล การระดมทุนครั้งล่าสุดทำให้ยอดเงินรวมทั้งหมดที่ระดมได้ของ Zeek เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 15 ล้านดอลลาร์ ณ ปัจจุบัน โดยเหล่านักลงทุนประกอบด้วย SF Holding (SZSE: 002352), Chinachem Group, Philippines KHO Group, ดร. Lee Ka Kit ประธานและกรรมการผู้จัดการแห่ง Henderson Land (SEHK: 0012) ลงทุนในภาคเอกชน บริษัทร่วมลงทุนในธุรกิจด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง, HKSTP Ventures, Elite Time Limited, Radiant Tech Venture Fund LP, Caelus Asset Management, SQ Capital Ventures เป็นต้น โดย SQ Capital Partners ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการเงินให้กับ Zeek ในการระดมทุนรอบนี้

Zeek Co-founders (From Left): Cliff Tse, Chief Technology Officer,  KK Chiu, Chief Executive Officer, and Vincent Fan, Chief Strategy Officer. (Photo: Business Wire)

ผู้ร่วมก่อตั้ง Zeek (จากซ้ายไปขวา): Cliff Tse ประธานเจ้าหน้าที่สายเทคโนโลยี, KK Chiu ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ Vincent Fan ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์ (รูปภาพ: Business Wire)

KK Chiu ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Zeek กล่าวว่า “การเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ร้านค้าทั่วไปจำนวนมากต่างต้องการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลให้เร็วขึ้นเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2563 นี้ Zeek ได้รับคำสั่งซื้อสำหรับการจัดส่งสิ่งของมากกว่าสามล้านรายการ ซึ่งมีอัตราการเติบโต 100% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า เราได้เพิ่มทรัพยากรกำลังคนขึ้น 50% เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น คาดว่าภายในปี 2566 ขนาดตลาดกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มและสินค้าเพื่อการดำรงชีพจะมีมูลค่าถึง 2.6 พันล้าน โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีไม่น้อยกว่า 10% และรายได้รวมสูงถึง 1 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ การระดมทุนในรอบนี้จะช่วยให้แอปพลิเคชันโลจิสติกส์อัจฉริยะของเราเข้าถึงอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากขึ้น และกระตุ้นการขยายตัวของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและผู้บริโภควัยหนุ่มสาวขนาดมีจำนวนมาก รวมถึงการบริโภคบนโลกออนไลน์ที่กำลังเติบโตแบบทวีคูณ”

ใช้ประโยชน์จากบิ๊กดาต้าและเทคโนโลยีฟื้นฟูอุตสาหกรรมโลจิสติกส์

Zeek ซึ่งก่อตั้งโดย Kin Shun Information Technology Limited ในปี 2560 มุ่งเน้นการจัดหาเทคโนโลยีโลจิสติกส์อัจฉริยะที่ใช้ข้อมูลขับเคลื่อนให้กับผู้ค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำเสนอโซลูชันที่ครอบคลุมทั้งการจัดการคำสั่งซื้อออนไลน์ การจัดการความสามารถในการจัดส่ง การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่หรือ big data และการยกระดับการดำเนินการต่าง ๆ ของธุรกิจที่ผสมผสานทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ (O2O) ให้กับหลาย ๆ อุตสาหกรรม เช่น “Zeek F&B Delivery” สำหรับการจัดส่งอาหารแบบทันที “ZeekDash” สำหรับการจัดส่งแบบจุดต่อจุด (Point-to-Point) สำหรับธุรกิจ O2O และ “Zeek2Door” สำหรับการจัดส่งพัสดุธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ลุกค้าของ Zeek ประกอบด้วย แบรนด์อาหารและเครื่องดื่มระดับท็อปไฟว์ของโลกและเครือข่ายร้านอาหารฟาส์ตฟูด ซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เครือข่ายร้านสะดวกซื้อ แพลตฟอร์มออนไลน์และอีกมากมาย Zeek ก่อตั้งขึ้นในฮ่องกงและได้ขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วไปยังสิงคโปร์ ไทย เวียดนาม และมาเลเซีย และอยู่ระหว่างวางแผนที่จะขยายสู่ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียในปี 2564

ร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระดับโลกจับตลาดโลจิสติกส์ระหว่างเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีมูลค่าหลายพันล้าน

เทคโนโลยีโลจิสติกส์อัจฉริยะจาก Zeek ได้รับความไว้วางใจจากร้านค้าทั่วโลกและแบรนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งได้สร้างความเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Zeek ในการประยุกต์ใช้โลจิสติกส์อัจฉริยะเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล ในเวียดนาม Golden Resources Development (SEHK: 0677) ได้กลายมาเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับธุรกิจในท้องถิ่นของ Zeek และได้ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลให้กับร้านค้าของ Circle K กว่า 400 แห่งในเวียนดนามที่บริหารโดย Golden Resources Development โดยใช้โซลูชันส่งสินค้าช่วงสุดท้าย (last mile delivery) อัฉริยะสำหรับธุรกิจแบบ O2O สำหรับในประเทศไทย บริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งได้กลายเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับธุรกิจของ Zeek ในไทย โดย Zeek ทำหน้าที่จัดหาโซลูชันโลจิสติกส์อัจฉริยะให้กับ McDonald ในประเทศไทย

Vincent Fan ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์ของ Zeek กล่าวว่า “เรากำลังพลิกโฉมรูปแบบการจัดส่งแบบดั้งเดิมโดยใช้เทคโนโลยีและการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นหลัก ในอนาคต Zeek จะลงทุนในทรัพยากรเพื่อยกระดับ ZeekSolutions ขยายแผนการประยุกต์ใช้บริการที่เรานำเสนอสำหรับลูกค้าให้กว้างขึ้น และพัฒนาการประยุกต์ใช้ข้อมูลโลจิสติกส์อัจฉริยะเพื่อให้ลูกค้ายังติดแบรนด์อย่างเหนียวแน่นรวมถึงสร้างกำแพงในการแข่งขัน เรายังจะร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อคิดค้นโมเดลการค้าปลีกที่เป็นนวัตกรรมใหม่ พร้อมเปิดกว้างสำหรับโอกาสในการควบรวมกิจการหรือการลงทุนที่สามารถเร่งการเติบโตของธุรกิจและการทำงานร่วมกันในแวดวงของธุรกิจ O2O”

Zeek มีรายได้สูงกว่า 28 ล้านเหรียญดอลลาร์ในปี 2563 และคาดว่าจะเติบโตอย่างน้อย 100% ในปี 2564 ทั้งนี้ Zeek มั่นใจที่จะก้าวเป็นหนึ่งในผู้เล่นชั้นนำด้านการข่นส่งอัจฉริยะระหว่างเมืองในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เกี่ยวกับ Zeek

Zeek เป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีโลจิสติกส์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในเอเชีย ที่ให้บริการโซลูชันส่งสินค้าช่วงสุดท้ายแบบครบวงจรสำหรับธุรกิจ O2O ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ไลฟ์สไตล์ และสินค้า FMCG ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังก่อตั้งขึ้นในฮ่องกงโดย Kin Shun Information Technology Limited เมื่อปี 2560 โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อินเทอร์เน็ต และอาหารและเครื่องดื่ม Zeek เติบโตขึ้นเป็นหนึ่งในผู้เล่นแถวหน้าทางด้านโลจิสติกส์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนขยายธุรกิจไปยังสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม และขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมก้าวลงสนามในไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

เว็บไซต์: https://www.zeek.one
LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/zeek-one

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ:

Angela Lau
โทร: (852) 6760-5831 / (852) 3955-0823
อีเมล: angela.lau@zeek.one


LDRA เตรียมจัดการประชุมสุดยอด Embedded Safety & Security Summit (ESSS) ทางออนไลน์ในเดือนมิถุนายน 2564

Logo

การประชุมสุดยอด ESSS ครั้งที่ 6 ภายใต้ธีม “Empowering the Development of Safe & Secure Embedded Systems” จะประกอบด้วยการประชุมสดในหัวข้อล่าสุดทางด้านอวกาศและการป้องกัน ยานยนต์ อุตสาหกรรมและการแพทย์

เบงกาลูรู, อินเดีย–(BUSINESS WIRE)–15 ธันวาคม 2563

วันนี้ LDRA ได้ร่วมกับพันธมิตรและสมาคมในอุตสาหกรรม ประกาศจัดการประชุมสุดยอดประจำปี Embedded Safety & Security Summit หรือ ESSS ครั้งที่ 6 ในวันที่ 17 มิถุนายน 2564 ซึ่งครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานในรูปเเบบออนไลน์ การประชุมสุดยอดระดับนานาชาตินี้เป็นโครงการริเริ่มที่จะช่วยให้ผู้คนเห็นถึงความสำคัญของการนำแนวทางปฏิบัติและเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยในระบบฝังตัว (embedded system) ที่เพิ่มขึ้นได้อย่างชัดเจน

การประชุมสุดยอดในรูปแบบออนไลน์ภายใต้ธีม “Empowering the Development of Safe & Secure Embedded Systems” ครั้งนี้ จะจัดพื้นที่ให้กับชุมชนในแวดวงระบบฝังตัวทั่วโลกได้เรียนรู้ พบปะ และสานสัมพันธ์ให้เติบโต เวทีการประชุมเสมือนจริงนี้จะมาพร้อมประสบการณ์ในรูปแบบออนไลน์ที่น่าสนใจ รวมถึงช่วงการประชุมในหัวข้อทางเทคนิคเชิงลึก พื้นที่ล็อบบี้แบบอินเทอร์แอคทีฟ และโอกาสในการสร้างเครือข่ายที่หลากหลาย

ไฮไลต์ที่สำคัญ ๆ ในงาน #ESSS21Virtual ประกอบด้วย:

  • การประชุมสดในหัวข้ออวกาศและการป้องกัน ยานยนต์ อุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมทางการแพทย์
  • วิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกกว่า 25 คน และตัวแทนผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสำหรับเครือข่ายกว่า 1000 คน
  • ศูนย์กลางทรัพยากรพร้อมหลักประกันด้านเทคนิคและวิดีโอจากคู่ค้า
  • ช่วงเวลาพูดคุยผ่านข้อความ เสียง และวิดีโอสำหรับคู่ค้าและตัวแทน

“การประชุมในรูปแบบออนไลน์ระหว่างสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแวดวงความปลอดภัยในระบบฝังตัวได้พบปะสานสัมพันธ์กัน” Ian Hennell ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการแห่ง LDRA UK กล่าว “ความร่วมมือจากทุกฝ่ายจะช่วยให้เรานำเสนอเนื้อหาเทคโนโลยีที่น่าสนใจและโอกาสทางธุรกิจซึ่งมีสภาวการณ์ในปัจจุบันเข้ามาเป็นอุสรรคได้สำเร็จ”

Shinto Joseph ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ LDRA กล่าวเสริมว่า “ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ESSS ประสบความสำเร็จในการรวมชุมชนในแวดวงระบบฝังตัวทั่วโลกให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อร่วมกันออกค้นหาความก้าวหน้าใหม่ ๆ รวมถึงหัวข้อและเทคโนโลยีที่เป็นที่พูดถึงล่าสุด ในช่วงเวลาที่เราต้องการพบปะกันเช่นนี้ การรวมตัวแบบเสมือนจริงจะช่วยให้เราสามารถแบ่งปันความเชี่ยวชาญ เรียนรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าใหม่ ๆ และสร้างเครือข่ายได้จากทุกที่ เราหวังว่าจะได้แจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน #ESSS21Virtual นี้กับทุกคนอีกครั้งเมื่อการจัดกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นนี้ใกล้เข้ามา”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสในการสนับสนุนการจัดงาน การส่งผลงาน และการลงทะเบียนเข้าร่วมงาน #ESSS21Virtual โปรดดูที่ www.embedded-safety-security.com

เกี่ยวกับ LDRA

เป็นเวลากว่า 40 ปีที่ LDRA ได้พัฒนาและขับเคลื่อนตลาดซอฟต์แวร์สำหรับวิเคราะห์โค้ดและทดสอบซอฟต์แวร์อัตโนมัติให้ด้านความปลอดภัย ภารกิจ การรักษาความปลอดภัย และอื่น ๆ ที่จำเป็นทางธุรกิจ การทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อระบุและป้องกันข้อผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้นบนแนวปฏิบัติมาตรฐานอุตสาหกรรมช่วยให้ LDRA ปฏิบัติตามข้อกำหนดต่าง ๆ ได้โดยผ่านการวิเคราะห์ทั้งแบบ static และ dynamic เพื่อทำการทดสอบและตรวจสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย LDRA ซึ่งดำเนินธุรกิจในทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และอินเดีย และมีเครือข่ายตัวแทนจำนวนมาก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็คเกจบริการของ LDRA โปรดดูที่ www.ldra.com

เกี่ยวกับ ESSS®

การประชุมสุดยอด Embedded Safety & Security Summit (ESSS) ซึ่งมุ่งเน้นทางด้านความปลอดภัยในระบบฝังตัวที่สำคัญ ๆ เป็นเวทีสำหรับชุมชนในแวดวงระบบฝังตัวทั่วโลกสำหรับการเรียนรู้ พบปะ และเติบโต LDRA ขับเคลื่อนโครงการริเริ่มที่ประสบความสำเร็จนี้ด้วยการสนับสนุนจากพันธมิตร ลูกค้า หน่วยงานด้านอุตสาหกรรมและวิชาชีพ รวมถึงภาครัฐ เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.embedded-safety-security.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201214005907/en/

ติดต่อ:

Kelly Wanlass, HCI Marketing and Communications Inc., ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์
โทร: +1 (801) 602-4723 อีเมล: kelly@hci-marketing.com

Mark James, LDRA, ผู้จัดการการตลาด
โทร: +44 (0) 151 649 9300 อีเมล: mark.james@ldra.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Toshiba เปิดตัวไดรเวอร์มอเตอร์ 5A 2ch H-Bridge สำหรับการใช้งานยานยนต์

Logo

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์) –10 ธ.ค. 2563

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ("โตชิบา") ได้เปิดตัว IC ไดรเวอร์มอเตอร์กระแสตรงแบบแปรงสองตัวคือ "TB9054FTG" ในแพ็คเกจ VQFN แบบ wettable flank และ "TB9053FTG" ในแพ็คเกจ Power QFN สำหรับใช้ในแอพพลิเคชั่นยานยนต์ รวมคันเร่งอิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่างของ TB9054FTG มีวางจำหน่ายแล้วโดยมีกำหนดผลิตจำนวนมากในเดือนมีนาคม 2565  ตัวอย่างของ TB9053FTG จะพร้อมใช้งานในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยมีกำหนดผลิตจำนวนมากในเดือนพฤษภาคม 2565

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201209006066/en/

Toshiba: A brushed DC motor driver IC "TB9054FTG" for automotive applications. (Graphic: Business Wire)

Toshiba: IC ไดรเวอร์มอเตอร์ DC แบบแปรง "TB9054FTG" สำหรับการใช้งานยานยนต์ (กราฟฟิค: Business Wire)

จำนวนไดรเวอร์มอเตอร์ H-bridge ที่ใช้ในคันเร่งอิเล็กทรอนิกส์และวาล์วต่างๆ ของรถยนต์เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกระตุ้นความต้องการในการย่อขนาดของระบบและการลดต้นทุน  นอกจากนี้ On-Board Diagnostic II (OBDII) ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับอุปกรณ์วินิจฉัยตัวเองบนบอร์ดรุ่นที่สองจะมีผลบังคับใช้ในปี 2565 โดยกำหนดให้ IC ของตัวขับมอเตอร์ยานยนต์มีฟังก์ชันการสื่อสาร SPI

IC ใหม่มี 5A[1] ไดรเวอร์เอาต์พุต 2ch ที่ช่วยลดพื้นที่ในการติดตั้ง10A[1]  นอกจากนี้ยังสามารถใช้ไดรฟ์1ch ในโหมดขนาน สามารถเชื่อมต่อแบบ daisy-chained และยังมีฟังก์ชันที่ควบคุมมอเตอร์โดยการสื่อสาร SPI ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะลดพอร์ต MCU  โดยอยู่ในแพ็คเกจ QFN ขนาดเล็ก 6.0มม. x 6.0มม. ไดรเวอร์มอเตอร์รุ่นใหม่มีส่วนช่วยในการย่อขนาดระบบตามที่ตลาดต้องการ

คุณสมบัติที่สำคัญ

  • H-bridge 2ch ในตัว
    วงจรขับเอาท์พุตของไดรเวอร์รับการกำหนดค่าโดย DMOS FET ที่มีความต้านทานต่ำ โดยมีไดรเวอร์ 5A[1] 2ch H-bridge10A[1]  นอกจากนี้ยังสามารถใช้ไดรฟ์1ch ในโหมดขนาน
  • การสื่อสาร SPI การเชื่อมต่อ Daisy-chain และการควบคุมมอเตอร์โดยการสื่อสาร SPI เท่านั้นลดพอร์ต MCU ซึ่งส่งผลต่อการย่อขนาดของระบบ
  • แพ็คเกจขนาดเล็ก
    TB9054FTG:VQFN 40 แบบ wettable flank ติดพื้นผิวขนาดเล็กพร้อม E-pad
    TB9053FTG: กำลังยึดพื้นผิวขนาดเล็กสำหรับแพ็คเกจ QFN 40pin พร้อม E-pad

การใช้งาน

ยานยนต์เช่นวาล์วคันเร่ง เครื่องยนต์ต่างๆ กระจกประตูพับเก็บได้ และระบบตัวถังร วมถึงสลักประตูไฟฟ้า

ข้อมูลจำเพาะหลัก

หมายเลขส่วน

ชิ้นTB9054FTG/TB9053FTG

จำนวนช่องสัญญาณ H-bridge

2ch

มอเตอร์ที่ใช้

Brushed DC motor

ฟังก์ชันมอเตอร์

เดินหน้า / ถอยหลัง / เบรก

ฟังก์ชั่นอื่นๆ

การควบคุม PWM (Direct / SPI), การควบคุมกระแส, จอภาพกระแส H-side, เอาต์พุตการวินิจฉัย,

โหมดสลีป

การตรวจจับข้อผิดพลาด

เกินกระแส, อุณหภูมิเกิน, VBAT/VCC แรงดันไฟฟ้าต่ำ,

โหลดเปิด

ช่วงแรงดันไฟฟ้าขณะทำงาน

VBAT = 4.5V ถึง 28V

VCC = 4.5V ถึง 5.5V

VDDIO = 3.0V ถึง 5.5V

แหล่งจ่ายไฟภายนอก

3 แหล่ง (VBAT, VCC, VDDIO)

อุณหภูมิในการทำงาน

-40℃ ถึง 125℃

แพ็คเกจ

TB9054FTG: P-VQFN40-0606-0.50

TB9053FTG: P-QFN40-0606-0.50

(ขนาด: 6.0มม. × 6.0มม.)

ความเถสียร

ผ่านการรับรองมาตรฐาน AEC-Q100

ตัวอย่างที่เสนอ

TB9054FTG: ธันวาคม 2020

TB9053FTG: กุมภาพันธ์ 2021

การผลิตจำนวนมาก

TB9054FTG: มีนาคม 2022

TB9053FTG: พฤษภาคม 2022

หมายเหตุ:

[1] กระแสมอเตอร์ที่ขับเคลื่อนจริงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมการใช้งานและปัจจัยต่างๆ เช่นอุณหภูมิโดยรอบและแรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ที่:

TB9054FTG
https://toshiba.semicon-storage.com/info/lookup.jsp?pid=TB9054FTG

TB9053FTG
https://toshiba.semicon-storage.com/info/lookup.jsp ? pid = TB9053FTG

คลิกที่นี่เพื่อชมวิดีโอแนะนำสินค้า https://videoclip.toshiba.semicon-storage.com/ap-en/detail/videos/products/video/6215045280001/automotive-brushed-dc-motor-driver-ic-tb9054ftg-tb9053ftg?autoStart=true

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ IC ไดรเวอร์มอเตอร์ DC แบบแปรงถ่านของโตชิบาโปรดไปที่: https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/semiconductor/product/automotive-devices/automotive-brushed-dc-motor-driver-ics.html

สอบถามข้อมูลสำหรับลูกค้า
System Devices Marketing Dept. III  (ฝ่ายการตลาดอุปกรณ์ระบบ III)
Automotive Marketing Group II
(กลุ่มการตลาดยานยนต์ II)
โทร : + 81-3-3457-3440
https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/contact.html

*ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้นๆ

*ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาของบริการ และข้อมูลการติดต่อเป็นข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ประกาศ แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ผสมผสานความแข็งแกร่งของบริษัท ใหม่เข้ากับภูมิปัญญาแห่งประสบการณ์  นับตั้งแต่กลายเป็นบริษัท อิสระในเดือนกรกฎาคม 2560 บริษัทได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านอุปกรณ์ทั่วไปและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจในเซมิคอนดักเตอร์แบบแยกระบบ LSI และ HDD

พนักงาน 24,000 คนทั่วโลกร่วมกันมุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงสุดและเน้นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าเพื่อส่งเสริมการร่วมสร้างมูลค่าและตลาดใหม่  บริษัทตั้งตารอที่จะสร้างยอดขายต่อปีได้ทะลุ 750 พันล้านเยน (6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีส่วนร่วมในอนาคตที่ดีกว่าสำหรับผู้คนทุกที่

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201209006066/en/

สอบถามข้อมูลสำหรับสื่อ:

Chiaki Nagasawa
Digital Marketing Department (แผนกการตลาดดิจิทัล)
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
โทร : + 81-3-3457-4963 semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Pickering Electronics เซ็นสัญญากับ Wiselink สำหรับตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย

Logo

ผลิตภัณฑ์ reed relay ชั้นนำที่ได้รับการสนับสนุนโดยพันธมิตรผู้จัดจำหน่าย 'มุ่งสู่ความเป็นเลิศและความพึงพอใจของลูกค้า'

แคล็กตันออนซี อังกฤษ–(บิสิเนสไวร์)–08 ธ.ค. 2563

Pickering Electronics บริษัท reed relay ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการย่อขนาดและประสิทธิภาพมานานกว่า 50 ปี ได้ลงนามในข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดจำหน่ายกับ Wiselink ซึ่งครอบคลุมประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201208005810/en/

Pickering Electronics Signs With Wiselink in Singapore, Malaysia and Thailand (Graphic: Business Wire)

Pickering Electronics Signs เซ็นสัญญากับ Wiselink สำหรับตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย (กราฟฟิค: Business Wire)

Wiselink ให้ความสำคัญอย่างมากในการส่งมอบคุณภาพที่ดีที่สุดให้กับ ลูกค้าของตน  บริษัททำหน้าที่เป็นพันธมิตรด้านช่องทางการจัดหาให้กับซัพพลายเออร์กว่า 35 รายและลูกค้า OEM และ CEM มากกว่า 2,500 รายในอุตสาหกรรมต่างๆ  Keith Moore ซีอีโอของ Pickering ให้ความเห็นว่า: “Wiselink เป็นพันธมิตรเชิงรุกของเราในภูมิภาคที่สำคัญนี้ โดยทุ่มเทเพื่อความเป็นเลิศและความพึงพอใจของลูกค้า”

Pickering เป็นที่รู้จักสำหรับนวัตกรรม reed relays ซึ่งเป็นอุปกรณ์สวิทช์ reed ที่มีสูญญากาศพ่นรูทีเนียมเพื่อให้มั่นใจถึงความมั่นคงยาวนานถึงการดำเนินงาน 5×109 รอบ  โครงสร้างขดลวดและเทคโนโลยี SoftCenter™ ยังช่วยเพิ่มความเสถียรและความทนทานในขณะที่การใช้การคัดกรองแม่เหล็กแบบ Mu-metal (ทั้งภายนอกหรือภายใน) ทำให้ PCB มีความหนาแน่นของบรรจุภัณฑ์แบบเคียงข้างกันสูงเป็นพิเศษ โดยมีปฏิสัมพันธ์แม่เหล็กน้อยที่สุดซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและพื้นที่ได้มาก  นอกจากนี้ reed relay ของ Pickering ยังได้รับการทดสอบ 100% สำหรับการทำงานทั้งหมด รวมถึงการวิเคราะห์รูปคลื่นหน้าสัมผัส พร้อมการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อรักษาความสม่ำเสมอ

สามารถอ่านข้อดีอื่นๆ ของ reed relay ของ Pickering ได้ที่นี่

เกี่ยวกับ Pickering Electronics

Pickering Electronics ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อนเพื่อออกแบบและผลิต reed relay คุณภาพสูง โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้ในอุปกรณ์เครื่องมือวัดและทดสอบ  ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Single-in-Line (SIL/SIP) ของ Pickering ได้รับการพัฒนามากที่สุดในอุตสาหกรรมรีเลย์โดยมีอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งจำนวนมากถึง 25%.  Reed relay แบบ SIL/SIP ขนาดเล็กเหล่านี้ขายในปริมาณมากให้กับบริษัท ATE และบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่ทั่วโลก

Pickering Electronics เป็นส่วนหนึ่งของ Pickering Group ของเอกชน ประกอบด้วยผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามรายรวมถึง Pickering Interfaces ที่ออกแบบและผลิตผลิตภัณฑ์การสลับสัญญาณและการจำลองสัญญาณแบบแยกส่วนและ Pickering Connect ซึ่งเป็นผู้ออกแบบและผลิตสายเคเบิลและตัวเชื่อมต่อ

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201208005810/en/

ติดต่อ:

Poppy Moore
Marketing Communications Manager (ผู้จัดการฝ่ายการสื่อสาร)
Pickering Electronics Ltd.
poppy.moore@pickeringrelay.com 
โทร: +44 1255 428141
www. pickeringrelay.com

หรือหน่วยงาน:

Nick Foot
PR Director (ผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสาร)
BWW Communications
Nick.foot@bwwcomms.com 
โทร: +44 1491-636393
www.bwwcomms.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

NHS เลือก Q-nomy Inc. และ ACF Technologies เพื่อสนับสนุนแคมเปญฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส โควิด -19 ในสหราชอาณาจักร

Logo

ระบบการจองการฉีดวัคซีนแห่งชาติที่ได้รับการพิสูจน์แล้วผ่านความพยายามในการทดสอบ COVID-19

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–8 ธ.ค. 2563

Q-nomy Inc. ผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านโซลูชันการเพิ่มประสิทธิภาพประสบการณ์ของลูกค้า ที่ติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลายช่องทาง หรือแบบ Omnichannel ประกาศในวันนี้ว่าการฉีดวัคซีน COVID-19 ทั้งหมดทั่วสหราชอาณาจักรจะถูกจัดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มการนัดหมาย Q-Flow® ซึ่งจัดทำโดย ACF Technologies ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในสหราชอาณาจักร

ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป โซลูชันการจัดตารางเวลาขององค์กร Q-Flow การจองออนไลน์ และการจัดการการแบบที่มีการโต้ตอบ (interactive) จะถูกนำมาใช้เพื่อช่วยงาน National Health Service (NHS) ทั้งนี้เพราะการจองนัดหมายการฉีดวัคซีนจำนวนมาก อีกทั้งยังมีความจำเป็นในการแจ้งเตือนลูกค้าในสถานที่มากกว่าหนึ่งพันแห่งทั่วสหราชอาณาจักร โดยก่อนหน้านี้ ACF ยังได้รับเลือกให้ส่งมอบโซลูชันการจัดการการนัดหมายสำหรับโปรแกรมทดสอบ COVID-19 ทั่วประเทศของสหราชอาณาจักร อีกด้วย

“ในช่วงแปดเดือนที่ผ่านมา Q-Flow ได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่โดดเด่นในฐานะโซลูชันการจัดตารางเวลาจำนวนมากสำหรับโปรแกรมทดสอบ COVID-19 ของ NHS เราภูมิใจมากที่ NHS ได้เลือก ACF Technologies และ Q-nomy อีกครั้งเพื่อสนับสนุนความพยายามในการฉีดวัคซีนระดับชาติที่ยิ่งใหญ่นี้” Lior Miller รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ Q-nomy กล่าว “ Q-Flow ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการโต้ตอบและการรับส่งข้อมูลในขนาดระดับนี้ และจะพร้อมให้บริการในปริมาณการจองได้ถึง 500,000 นัดต่อวัน”

“ผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับทีมงานในสหราชอาณาจักรของเรา” Andy Hart กรรมการผู้จัดการ ACF Technologies EMEA กล่าว “ ไม่มีเวลาไหนที่เราจะผนึกกำลังและสร้างความแตกต่างได้ดีไปกว่าตอนนี้ ด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจในชาติและความปรารถนาที่จะสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และเพื่อนร่วมงาน เราจึงทำทุกอย่างเพื่อการมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับโควิด -19”

เกี่ยวกับ Q-nomy Inc.

Q-nomy เป็นผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ชั้นนำที่ให้บริการโซลูชันการจัดการกระบวนการทางธุรกิจที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Q-nomy ช่วยให้ธุรกิจและองค์กรทั่วโลกทำงานได้ดีขึ้นโดยการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าผ่านช่องทางติดต่อทั้งทางกายภาพและทางดิจิทัล Q-nomy มีสถานที่ตั้งมากกว่า 1200 แห่งใน 5 ทวีปที่อยู่ในองค์กรด้านการดูแลสุขภาพ รัฐบาล การเงินโทรคมนาคม การค้าปลีก และการศึกษา

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.qnomy.com/mass-scheduling-app

เกี่ยวกับ ACF Technologies

ACF Technologies เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในการนำเสนอโซลูชันการจัดการการนัดหมายระดับองค์กรที่ทันสมัยที่สุดในโลก บริษัทตั้งขึ้นเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ด้วยประสบการณ์เกือบสองทศวรรษในหลายอุตสาหกรรมเราจึงเป็นผู้นำระดับโลกในการจัดการโฟลว์ขั้นสูงของลูกค้า แนวทางการให้คำปรึกษาเป็นหลักของเราช่วยให้ลูกค้ามีความคล่องตัวในทุกปฏิสัมพันธ์ตั้งแต่การจัดตารางนัดหมาย ไปจนถึงการมาถึง ณ สถานที่ โดยอาศัยข้อเสนอแนะหลังการให้บริการ โซลูชันของบริษัทช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้น และส่งมอบผลกำไรที่แข็งแกร่งขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติมไปที่: https://www.acftechnologies.com/healthcare

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201208005499/en/

ติดต่สำหรับสื่อของ Q-nomy:

Lior Miller – Lior.Miller@qnomy.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

57 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังสตรีมเนื้อหาวิดีโอ OTT มากขึ้นเนื่องจาก วิกฤต COVID-19 อ้างอิงจากข้อมูลจากการวิจัยครั้งใหม่ของ The Trade Desk

Logo

คาดว่าจะสามารถรักษาการรับชมแบบสตรีมมิ่งเอาไว้ได้ 73 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจเพิ่มการชมแบบสตรีมมิ่งได้อีก หลังจากผ่านพ้นการแพร่ระบาดของโควิด

ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 89 เปอร์เซ็นต์จะดูโฆษณาเพื่อแลกกับการการรับชมโปรแกรมฟรี

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–8 ธ.ค. 2563

วันนี้ The Trade Desk (NASDAQ: TTD) ได้ประกาศผลการวิจัยชิ้นแรกในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภค 180 ล้านคนสตรีมเนื้อหา over-the-top (OTT) แปดพันล้านชั่วโมงต่อเดือนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ทำให้ OTT เป็นหนึ่งในช่องทางสื่อที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค โดยบริการ OTT ช่วยให้ผู้ชมสามารถสตรีมเนื้อหาวิดีโอที่ผลิตแบบมืออาชีพผ่านการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ตามต้องการจากอุปกรณ์ใด ๆ ซึ่งรวมถึง สมาร์ททีวี คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ต่าง ๆ

การศึกษาซึ่งสำรวจพฤติกรรมการใช้งานและการรับชมบนแพลตฟอร์ม OTT ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทยและเวียดนามแสดงให้เห็นว่า COVID-19 ได้ช่วยเร่งการนำ OTT มาใช้ ผู้ใช้ OTT มากกว่าครึ่ง (57 เปอร์เซ็นต์) กล่าวว่าพวกเขาสตรีมเนื้อหา OTT มากขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาด นิสัยเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปแม้หลังจากผ่านวิกฤต COVID-19 ไปแล้ว โดยร้อยละ 73 วางแผนที่จะรักษาระดับการบริโภคหรือเพิ่มการบริโภค OTT หลังจากการระบาดของ Covid สิ้นสุดลง

“การระบาดของโควิดได้นำไปสู่การเปลี่ยนไปสู่ระบบ ​​OTT อย่างรวดเร็วและที่ไม่มีวันย้อนกลับ เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจเนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นและเนื้อหา OTT สะดวกและเข้าถึงได้มากขึ้นกว่าที่เคย” Mitch Waters รองประธานอาวุโสฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ของ The Trade Desk กล่าว “การวิจัยของเราแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปในทิศทางเดียวเท่านั้น ผู้โฆษณาเข้าใจสิ่งนี้ พวกเขาต้องการทำแคมเปญเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคในที่ที่พวกเขาอยู่และเพื่อให้พวกเขาสามารถปรับใช้ข้อมูลกับแคมเปญวิดีโอในรูปแบบที่ไม่สามารถทำได้ผ่านช่องทางดั้งเดิม เช่น การใช้โทรทัศน์แบบสามัญ "

การศึกษายังแสดงให้เห็นว่า OTT มีศักยภาพที่จะทำลายไพรม์ไทม์ทีวีแบบเดิมอย่างเห็นผล โดยผู้ชม OTT ส่วนใหญ่ (70 เปอร์เซ็นต์) ชอบที่จะรับชมระหว่างเวลา 20.00 น. -12.00 น. ทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างการสตรีมมิ่งกับการดูทีวีแบบเดิมสำหรับผู้ชมในช่วงไพรม์ไทม์ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชม OTT เกือบหนึ่งในห้าไม่ได้ดูทีวีแบบดั้งเดิมเลยในช่วงสามเดือนก่อนการสำรวจ นอกจากนี้ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มองหา OTT สำหรับเนื้อหาที่พวกเขาชื่นชอบ โดย 58 เปอร์เซ็นต์ปรับทีวีเป็นแบบ OTT เพื่อรับชมรายการโปรดของพวกเขาเทียบกับเพียง 48 เปอร์เซ็นต์ที่รับชมผ่านการออกอากาศแบบดั้งเดิม

ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ คือการที่ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยินดีที่จะรับชมโฆษณาสำหรับการรับชมเนื้อหาฟรี ในภูมิภาคนี้มีผู้คนมากกว่า 100 ล้านคนใช้แพลตฟอร์ม OTT ที่รองรับโฆษณา โดยผู้ชมส่วนใหญ่ (89 เปอร์เซ็นต์) ยินดีที่จะดูโฆษณาเพื่อแลกกับการเข้าถึงโปรแกรมต่าง ๆ ฟรี

"เนื่องจากบริการสตรีมมิ่งยังคงให้บริการเนื้อหาสตรีมมิ่งที่มากขึ้นและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเนื้อหา OTT แบรนด์ต่างๆจึงสามารถสร้างประสบการณ์การโฆษณาที่น่าดึงดูด ซึ่งผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยินดีที่จะบริโภค" Waters กล่าว "และด้วยการใช้ OTT ผู้ลงโฆษณาจึงมีโอกาสลงทุนในแนวทางและแพลตฟอร์มการโฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลซึ่งจะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในอนาคตใหม่ของทีวี"

ข้อค้นพบที่สำคัญจากการวิจัย ได้แก่ :

  • ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 180 ล้านคนใช้บริการสตรีมมิ่ง OTT
  • ผู้ชมสตรีม OTT แปดพันล้านชั่วโมงต่อเดือนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในอินโดนีเซียเพียงแห่งเดียวมีการสตรีมสามพันล้านชั่วโมง ตลาดชั้นนำอื่น ๆ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (สตรีม 2.2 พันล้านชั่วโมง / เดือน) ไทย (1.41 พันล้านชั่วโมง / เดือน) และเวียดนาม (1 พันล้านชั่วโมง / เดือน)
  • 57 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชม OTT เพิ่มการสตรีมระหว่าง COVID และ 73 เปอร์เซ็นต์วางแผนที่จะรักษาหรือเพิ่มการบริโภค OTT แม้ว่าจะผ่านพ้นการเกิดโรคระบาด การเพิ่มการรับชมแบบสตรีมมิ่งระหว่างช่วงวิกฤต COVID เกิดขึ้นเร็วที่สุดในอินโดนีเซียโดยสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้น 66 เปอร์เซ็นต์ เวียดนาม 59 เปอร์เซ็นต์และมาเลเซีย 58 เปอร์เซ็นต์
  • ในภูมิภาคนี้มี 17 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชม OTT ไม่ได้ดูทีวีแบบดั้งเดิมใด ๆ ในช่วงสามเดือนก่อนตอบแบบสำรวจ ตัวเลขดังกล่าวสูงขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์ (22 เปอร์เซ็นต์) และมาเลเซีย (23 เปอร์เซ็นต์)
  • ผู้ชมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร้อยละ 89 จะดูโฆษณาเพื่อแลกกับการสตรีมเนื้อหาฟรี อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มีความอดทนต่อโฆษณาเป็นพิเศษ โดยจำนวนผู้ชมยินดีที่จะรับชมเนื้อหาฟรีสี่รายการขึ้นไปต่อชั่วโมง ที่ 38 เปอร์เซ็นต์และ 42 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ
  • ผู้ลงโฆษณาสามารถเข้าถึงผู้บริโภคมากกว่า 100 ล้านคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนแพลตฟอร์มที่รองรับโฆษณา การสตรีมที่สนับสนุนการโฆษณาเป็นที่นิยมโดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งผู้ลงโฆษณาสามารถเข้าถึงผู้ชม OTT ชาวไทยได้ 7 ใน 10 คน

วิธีสำรวจ

รายงานนี้ได้รับมอบหมายจาก The Trade Desk และดำเนินการโดย Kantar ซึ่งให้ข้อมูลการตลาดข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาชั้นนำของโลก โดย Kantar ได้ทำการสำรวจผู้บริโภค 4,500 คนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปในฟิลิปปินส์ สิงคโปร์มาเลเซีย เวียดนาม ไทย และอินโดนีเซียในเดือนกันยายน 2563

เกี่ยวกับ The Trade Desk

The Trade Desk™ เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ให้อำนาจผู้ซื้อด้านโฆษณา ผู้ซื้อโฆษณาสามารถสร้าง จัดการ และเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาดิจิทัลผ่านรูปแบบการให้บริการตนเองด้วยแพลตฟอร์มคลาวด์ การผสานรวมกับข้อมูลสำคัญ คลัง และพันธมิตรผู้เผยแพร่โฆษณา ช่วยให้มั่นใจถึงความสามารถในการเข้าถึงและการตัดสินใจสูงสุดและ API ขององค์กรทำให้ใช้งานการพัฒนาที่กำหนดเองได้บนแพลตฟอร์ม The Trade Desk มีสำนักงานใหญ่ในเวนทูรา แคลิฟอร์เนีย มีสำนักงานอยู่ทั่วอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม thetradedesk.com หรือติดตามเราบน Facebook, Twitter, LinkedIn และ YouTube.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201207006003/en/

ติดต่อ:

Jennie Johnson

The Trade Desk

jennie.johnson@thetradedesk.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

UVD Robots ชนะการประกวดราคา ทำให้ได้ทำสัญญา EU ในการติดตั้งหุ่นยนต์ 200 ตัวในโรงพยาบาลทั่วยุโรป

Logo

หุ่นยนต์ UVD ถูกนำไปใช้เพื่อต่อสู้กับการแพร่กระจายของ Covid-19 และลดการติดเชื้อในโรงพยาบาล

โอเดนเซ่, เดนมาร์ก–(BUSINESS WIRE)–7 ธ.ค. 2563

UVD Robots และ Blue Ocean Robotics ผู้ผลิตหุ่นยนต์ฆ่าเชื้ออัตโนมัติที่มาพร้อมแสง UV-C ได้ประกาศในวันนี้ว่า พวกเขาได้รับเลือกจาก European Commission directorate-Generale for Communications Networks, Content and Technology (EU Commission) ให้จัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อที่ทำงานอัตโนมัติ 200 ตัว ให้กับโรงพยาบาลในสหภาพยุโรปที่ต่อสู้กับไวรัสโคโรนา ทั้งนี้ UVD Robots มาเป็นอันดับหนึ่งในการประกวดราคาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อของคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป โดยมีการประเมินความเป็นเลิศทางเทคนิคและวุฒิภาวะของเทคโนโลยี คุณภาพของแนวทางในการใช้งาน เวลาตอบสนองในการสนับสนุนทางเทคนิคและการบำรุงรักษา และมูลค่าโดยรวม ขณะนี้มีการนำหุ่นยนต์ UVD ไปใช้งานในประเทศในสหภาพยุโรป 10 กว่าประเทศ และจะมีอีกมากมายที่จะตามมา

The UVD Robot is an autonomous disinfecting robot equipped with UV-C light that kills viruses and bacteria on surfaces and in the air. The General Hospital "Dr.Ivo Pedisic" Sisak in Croatia deployed a UVD Robot in its fifteen operating theaters where results showed no existence of microorganisms after disinfection. In March the robot was moved to treat Covid-19 departments, where only one staff member has since tested positive for Covid compared to 37 employees in other departments. At Gruppo Poloclinico Abano in Italy, six doctors had been infected with COVID-19 before a UVD Robot was deployed. No cases of COVID-19 have appeared among doctors, nurses or patients following deployment of the UVD Robot. The robots have now been rolled out to more than 60 countries worldwide. (Photo: Business Wire)

UVD Robot เป็นหุ่นยนต์ฆ่าเชื้ออัตโนมัติที่มาพร้อมแสง UV-C ซึ่งจะฆ่าไวรัสและแบคทีเรียบนพื้นผิวและในอากาศ  "Dr.Ivo Pedisic" Sisak จาก The General Hospital ในโครเอเชียติดตั้งหุ่นยนต์ UVD ในโรงปฏิบัติการ 15 แห่งซึ่งผลการวิจัยพบว่าไม่มีจุลินทรีย์หลงเหลือหลังจากการฆ่าเชื้อ ในเดือนมีนาคมหุ่นยนต์ถูกเคลื่อนย้ายไปรักษาแผนก Covid-19 ซึ่งมีพนักงานเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ติดเชื้อ Covid เมื่อเทียบกับพนักงาน 37 คนในแผนกอื่น ๆ สำหรับที่ Gruppo Poloclinico Abano ในอิตาลีมีแพทย์ 6 คนติดเชื้อ COVID-19 ก่อนที่จะติดตั้งหุ่นยนต์ UVD แต่ไม่พบผู้ป่วย COVID-19 ในกลุ่มแพทย์พยาบาลหรือผู้ป่วยหลังการติดตั้งหุ่นยนต์ UVD ปัจจุบันนี้หุ่นยนต์ได้เปิดตัวไปแล้วกว่า 60 ประเทศทั่วโลก (ภาพ: Business Wire)

ในแถลงการณ์ของประธานคณะกรรมาธิการยุโรป Ursula Von Der Leyen กล่าวว่า:“ European Commission กำลังซื้อหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อ 200 ตัว โดยใช้ กองทุนของสหภาพยุโรป ซึ่งจะส่งหุ่นยนต์ไปยังโรงพยาบาลทั่วยุโรปเพื่อช่วยในห้องผู้ป่วยสำหรับการฆ่าเชื้อ เราทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลและผู้ป่วยในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ และเราจะให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ต่อไป”

“เรารู้สึกตื่นเต้นที่หุ่นยนต์ UVD ของเราได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปซึ่งเราเชื่อว่าเป็นการสั่งซื้อที่ใหญ่ที่สุดในการสั่งซื้อประเภทนี้” Per Juul Nielsen ซีอีโอของ UVD Robots กล่าว “ เราผลิตหุ่นยนต์ตัวแรกในประเภทนี้และได้กำหนดมาตรฐานระดับโลกสำหรับการฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสี UVC แบบอัตโนมัติ คำสั่งซื้อขนาดนี้ช่วยตอกย้ำประสิทธิภาพของ UVD Robots ต่อไป”

หุ่นยนต์ UVD ฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียบนพื้นผิวและในอากาศลดการแพร่กระจายของโรคโดยฆ่าแบคทีเรียและจุลินทรีย์ 99.99 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาประมาณ 10 นาทีในห้องผู้ป่วย

“เรากำลังช่วยต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในขณะเดียวกันก็เสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล (HAI) โดยรวม” Claus Risager ซีอีโอของ Blue Ocean Robotics บริษัทแม่ของ UVD Robots กล่าว "ด้วยคำสั่งนี้เราจะดำเนินการให้ดียิ่งขึ้นไปอีกเพื่อช่วยปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และญาติที่โรงพยาบาลในช่วงเวลาวิกฤต"

เกี่ยวกับ

UVD Robots เป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มแบรนด์ชั้นนำของโลกในการพัฒนาหุ่นยนต์บริการระดับมืออาชีพ Blue Ocean Robotics ซึ่งรวมถึงแบรนด์ GoBe Robots กับ PTR Robots มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองโอเดนเซ่ ประเทศเดนมาร์กซึ่งเป็นสถานที่พัฒนาผลิตและจำหน่ายหุ่นยนต์บริการ

Press Kit

รับชมคลังภาพ/มัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/52343641/en

บริษัท:

Merima Cikotic

+45 7199 5606

mc@blue-ocean-robotics.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Hillstone Networks ปล่อยอัปเกรดสำหรับระบบปฏิบัติการระบบความปลอดภัยเครือข่ายพร้อมแพลตฟอร์มที่รองรับการใช้งานในอนาคต

Logo

ซานตาคลารา, แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–02 ธันวาคม 2563

Hillstone Networks ผู้ให้บริการโซลูชันความปลอดภัยบนเครือข่ายสำหรับองค์กรและการจัดการความเสี่ยงชั้นนำ ประกาศ ยกระดับระบบปฏิบัติการระดับเรือธงอย่าง StoneOS 5.5R8 ครั้งใหญ่ ซึ่งมาพร้อมการอัปเดตที่สำคัญกว่าร้อยรายการ เพื่อมอบโซลูชันด้านความปลอดภัยทีมีความครอบคลุม ชาญฉลาด น่าเชื่อถือ และใช้งานง่ายที่สุดสำหรับองค์กรที่ต้องการปกป้องช่องทางเข้าถึงเครือข่ายทั้งหมดของพวกเขาในวันนี้

“ระบบความปลอดภัยในปัจจุบันมีความเสี่ยงมากกว่าที่เคย ธุรกิจต่างเร่งมือสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้กับแรงงานและทรัพยากรที่สำคัญ ๆ ของพวกเขาในทุก ๆ ช่องทาง” Timothy Liu ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง Hillstone Networks กล่าว “ที่ผ่านมา ภารกิจของเราคือการนำเสนอโซลูชันที่ช่วยให้องค์กรมองเห็น เข้าใจ และจัดการกับช่องโหว่หรือการโจมตีรูปแบบต่าง ๆ โดยการอัปเดตระบบ StoneOS ในวันนี้ตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ดังกล่าวด้วยคุณสมบัติและประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้องค์กรออกแบบระความปลอดภัยเครือข่ายที่สามารถรองรับการใช้งานในอนาคตได้”

มีอะไรใหม่ใน StoneOS

StoneOS เวอร์ชัน 5.5R8 มาพร้อมการออกแบบที่เป็นมาตรฐาน (modular design) ซึ่งแยกออกจากระบบและมีการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงให้มีความทนทานมากขึ้นเพื่อการทำงานที่ต่อเนื่องของชุดคุณสมบัติต่าง ๆ รวมถึงส่วนประสบการณ์ของผู้ใช้ (user experience) บนฮาร์ดแวร์และแพลตฟอร์มเสมือนจริงต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สำคัญ ประกอบด้วย

  • การออกคำสั่ง Botnet และการป้องกันระบบควบคุมจากเอดจ์สู่คลาวด์: ประกอบด้วยการเฝ้าตรวจตราการเชื่อมต่อระบบออกคำสั่งและควบคุม (C&C) จาก L3 ถึง L7 และการตรวจจับ DGA ที่น่าสงสัย รายการเข้าถึงที่ออกแบบตามความต้องการเฉพาะ รวมถึงการป้องกันการโจมตีแบบ DNS sinkhole และการสร้างช่องทางสนับสนุนสำหรับสร้างความปลอดภัยให้กับส่วนที่เป็นสมองของเครือข่ายอย่างเต็มรูปแบบ
  • Next-Gen Firewall สำหรับศูนย์ข้อมูลที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ มาพร้อมคุณสมบัติด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม: ประกอบด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลและระบบ granular control ตามนโยบาย พร้อมด้วย IPv6 ขั้นสูง และการสนับสนุนคุณสมบัติการสื่อสารข้อมูลแบบ Multicast พร้อมการป้องกันการรับส่งข้อมูลและกิจกรรมใด ๆ รวมถึงการเฝ้าตรวจตราบริการ ณ เซิร์ฟเวอร์ปลายทาง
  • การกำหนดค่าที่มีความลื่นไหลเพื่อช่วยเสริมระบบการจัดการนโยบาย: การกำหนดค่าที่ได้รับการอัปเกรดให้มีความลื่นไหลจะช่วยลดภาระงานของผู้ดูแลระบบด้วยระบบจัดการนโยบายแบบรวมศูนย์ ความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากกฎการออกนโยบายนำเข้า/ส่งออก และความสามารถในการกำหนดค่าผู้ใช้ที่ได้รับการยืนยันตัวตนโดยอัตโนมัติ
  • การรวมความปลอดภัยเข้ากับด้วยเทคโนโลยี Virtualization: นอกเหนือจากการอัปเกรดระบบปฏิบัติการแล้ว ยังมีการนำเสนอโมเดลใหม่ในตระกูล CloudEdge อย่าง VM08 ด้วย โดยโมเดลดังกล่าวและอุปกรณ์เสมือนทั้งหมดสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกับโมเดลแบบฮาร์ดแวร์รุ่นอื่น ๆ ได้แล้วในขณะนี้
  • การพลิกโฉมสภาพแวดล้อมเครือข่ายองค์กร: สำหรับองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนไปใช้ IPv6 การอัปเดตจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น

ข้อมูลเพิ่มเติม

สามารถดูคุณสมบัติอื่น ๆ ของ Hillstone StoneOS อย่างละเอียดได้ ที่นี่

ติดต่อ:

Zeyao Hu
ผู้จัดการการตลาด
inquiry@hillstonenet.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Vault Micro: CameraFi Live แอพถ่ายทอดสดของ Android เปิดตัวเอฟเฟกต์การช็อปปิ้ง

Logo

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–1 ธ.ค. 2563

Vault Micro ผู้พัฒนาแอพสตรีมมิงแบบสดชื่อ CameraFi Live ได้ประกาศว่าแอพได้เปิดตัวการอัปเดตที่นำเสนอเอฟเฟกต์การช็อปปิ้งแบบสดที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซ การอัปเดตครั้งนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มข้อมูลผลิตภัณฑ์ เช่น ชื่อสินค้า รูปภาพ ราคาและส่วนลด และรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแบบเรียลไทม์ในระหว่างการออกอากาศได้.

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201130005077/en/

Mobile App, "Live Shopping Effects" by Vault Micro (Graphic: Business Wire)

แอพมือถือ "Live Shopping Effects" โดย Vault Micro (กราฟิก: Business Wire)

เนื่องจากการโต้ตอบแบบตัวต่อตัวที่จำกัด ซึ่งเกิดจากสถานการณ์ COVID-19 จึงทำให้ยังมีการซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ส่งผลให้ผู้ค้าปลีกอีคอมเมิร์ซออนไลน์รายใหญ่อย่าง Amazon เปิดตัวการช็อปปิ้งแบบสตรีมมิงแบบสด โดย Live-Streaming E-Commerce หรือ Live Commerce เป็นเทรนด์ล่าสุดที่นำเสนอวิธีการขายออนไลน์ที่ก้าวหน้าและเป็นแบบโต้ตอบได้มากขึ้น การถ่ายทอดสดทำให้ผู้ขายสามารถเน้นจุดขายของสินค้าได้ดีขึ้น และลูกค้าสามารถมีคำถามและคำติชมได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ อินฟลูเอนเซอร์ยังสามารถเข้าร่วมการถ่ายทอดสดเหล่านี้เพื่อตอกย้ำเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่แข็งแกร่งและดึงดูดผู้ชมให้มากขึ้นซึ่งช่วยทำให้อัตราการซื้อของเพิ่มขึ้น

CameraFi Live ซึ่งเป็นแอพสตรีมมิงแบบสดสำหรับผู้ใช้ Android นำเสนอวิธีการใช้ที่ง่ายและดีกว่าในการขายผลิตภัณฑ์ผ่านการสตรีมมิงแบบสดโดยสร้างการถ่ายทอดสดคุณภาพสูงแบบเรียลไทม์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆเช่น Facebook, YouTube, และ Twitch เหมาะสำหรับการขยายการขายผ่านการสตรีมสดการช็อปปิ้งออนไลน์ และมีการถ่ายทอดสดเฉลี่ย 30,000 ครั้งต่อวันใน 200 ประเทศทั่วโลก

ข้อดีอย่างหนึ่งของสตรีมมิงแบบสดคือไม่ต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพงและคุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในสตูดิโอถ่ายทอดสดระดับมืออาชีพ เพียงแค่ใช้สมาร์ทโฟนคุณก็เริ่มสร้างการถ่ายทอดสดได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และด้วยนวัตกรรมนี้การถ่ายทอดสดอีคอมเมิร์ซผ่าน CameraFi Live จึงเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศไทย อินโดนีเซีย และประเทศอื่น ๆ ในอเมริกาใต้

Seongil Kim ซีอีโอของ Vault Micro กล่าวว่า “ผมหวังว่าทุกคนจะได้รับโอกาสในการเริ่มขายของออนไลน์ได้ง่าย ๆในช่วงเวลาที่สถานการณ์ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจไม่ลื่นไหล เราวางแผนที่จะเพิ่มเอฟเฟกต์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้คนจำนวนมากขึ้น” นอกจากนี้เขายังย้ำว่าเขามีแผนที่จะร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสดต่อไปเพื่อให้ผู้ใช้ที่ไม่ใช่มืออาชีพสามารถเริ่มสตรีมมิงแบบสดได้โดยไม่ยาก

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201130005077/en/

ติดต่อ:

Vault Micro, Inc.

EunJi Lee

ฝ่ายกลยุทธ์และวางแผน (ผู้จัดการ)

+82-70-8676-7740

leeeunji@vaultmicro.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย