Category Archives: Technology

Unioil เลือกเครือข่าย P97 เพื่อเพิ่มประสบการณ์ดิจิทัล ด้วยการให้รางวัลแบบสะสมแต้มสำหรับการชำระเงินผ่านมือถือ พร้อมฟังก์ชั่นค้นหาสถานี

Logo

ผู้ให้บริการการค้าดิจิทัล P97 Networks จะช่วยให้ Unioil สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นทั้งในและนอกปั๊ม

มะนิลา, ฟิลิปปินส์–(BUSINESS WIRE)–18 ส.ค. 2564

Unioil Petroleum Philippines บริษัทปิโตรเลียมที่มีความหลากหลายและสร้างสรรค์ที่สุดในประเทศ มีความยินดีที่จะประกาศว่าได้เลือก P97 Networks ซึ่งเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการค้าดิจิทัล ให้มาช่วยพัฒนาแอป Unioil Mobile App ด้วยจุดขายในการรวมปั๊มเชื้อเพลิง บัตรสะสมคะแนน ฟังก์ชันการรวมการชำระเงินผ่านมือถือ ข้อเสนอ รางวัล การระบุตำแหน่งสถานี และฟังก์ชันเปรียบเทียบราคาน้ำมัน

“ความมุ่งมั่นของเราในการใช้แนวทางที่เป็นนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ช่วยให้เราปฏิวัติวิธีที่ผู้ค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถทำธุรกิจกับลูกค้าทั้งรายเล็กและรายใหญ่ การใช้แพล็ตฟอร์มดิจิทัล P97 Digital Commerce Platform จะช่วยยกระดับข้อเสนอให้กับผู้บริโภคของเราอย่างแท้จริง และมอบคุณค่าที่มากขึ้นให้กับลูกค้าของเราอีกด้วย พนักงานปั๊มไม่ต้องพกพาเครื่อง EDC แบบไร้สายเพื่อให้ลูกค้าสแกนสำหรับการชำระเงินผ่านมือถืออีกต่อไป เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับความสะดวกของลูกค้า เนื่องจากช่วยลดระยะเวลาและขั้นตอนเพิ่มเติมในการเติมน้ำมันที่สถานีของเรา” Ed Pasion รองประธานฝ่ายค้าปลีกของ Unioil กล่าว

Unioil นำเสนอกลุ่มเชื้อเพลิงมาตรฐาน Euro-5 ครบถ้วน ตั้งแต่น้ำมันเบนซินไปจนถึงดีเซล ซึ่งทั้งหมดลดการปล่อยมลพิษได้มากถึง 77 เปอร์เซ็นต์ สิ่งนี้ทำให้เชื้อเพลิงสูตรพิเศษของ Unioil เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดที่สุดของประเทศนับตั้งแต่ปี 2560 ผู้ขับขี่ชาวฟิลิปปินส์จะได้รับประสบการณ์การเติมเชื้อเพลิงที่ปลอดภัย ไร้สัมผัส และคุ้มค่าภายในปี 2564 ด้วย Unioil Mobile App

“แอพมือถือ Unioil ใหม่บนแพลตฟอร์ม P97 Digital Commerce จะช่วยมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าของ Unioil  โดย P97 รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการขยายธุรกิจค้าปลีกของ Unioil และปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าที่ปั๊ม” Brad Jones กรรมการผู้จัดการ APAC จาก P97 Networks กล่าว

โควิด-19 เร่งการใช้การชำระเงินด้วยแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เนื่องจากให้โซลูชันการชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัสเมื่อเทียบกับการใช้ธนบัตร ซึ่งมอบประสบการณ์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับผู้บริโภค คาดว่าเกือบร้อยละ 76 ของการซื้อในปี 2564 จะทำได้ในแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

แพลตฟอร์ม Digital Commerce รุ่นบุกเบิกของ P97 สร้างขึ้นจากมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ช่วยให้ผู้ค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถเชื่อมต่อและสื่อสารกับผู้บริโภคของตนได้ และมีสถานีเชื่อมต่อมากกว่า 40,000 แห่งในปัจจุบัน P97 ภูมิใจนำเสนอประสบการณ์แอพมือถือที่ได้รับการปรับปรุงในทุกสถานที่ของ Unioil เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงและรับรางวัลพิเศษจากการสะสมแต้ม โดยทั้งหมดนี้ทำได้ด้วยแอพมือถือ Unioil

ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน การเสนอวิธีการซื้อสินค้าที่รวดเร็ว ปลอดภัย และเป็นส่วนตัวแก่ลูกค้า เป็นสิ่งสำคัญ ความมุ่งมั่นของ Unioil คือการเป็นผู้นำรูปแบบนวัตกรรมในการมีส่วนร่วมกับลูกค้าเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับผู้บริโภคในการค้นหา ชำระเงิน และรับรางวัลพิเศษจากการสะสมแต้ม เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชัน P97 ไปที่ www.p97.com.

เกี่ยวกับ Unioil Petroleum Philippines, Inc.

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 Unioil ได้เป็นผู้นำในการแก้ปัญหาปิโตรเลียมในระดับนวัตกรรมใหม่ โดยสร้างตัวเองให้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีนวัตกรรมขั้นสูงสำหรับน้ำมันชนิดพิเศษ เชื้อเพลิง และสารหล่อลื่น Unioil ดำเนินกิจการสถานีค้าปลีก ให้บริการผสมน้ำมันหล่อลื่นและทำการตลาดพร้อมกับการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง การซื้อขายน้ำมันชนิดพิเศษ และการจำหน่าย Bitumen (ยางมะตอย) เรียนรู้เพิ่มเติมที่ https://unioil.com.

เกี่ยวกับ P97 Networks

P97 Networks นำเสนอแพลตฟอร์มการค้าผ่านมือถือและการตลาดเชิงพฤติกรรมที่ปลอดภัย ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมการค้าขายผ่านมือถือสำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีก เชื้อเพลิง และยานยนต์ที่สะดวกสบาย แพลตฟอร์มของ P97 ช่วยเพิ่มความสามารถในการดึงดูด มีปฏิสัมพันธ์ และรักษาลูกค้าด้วยการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือหลายล้านเครื่องและรถยนต์ที่เชื่อมต่อเข้ากับผู้ค้าโดยใช้ซอฟต์แวร์ระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่สร้างประสบการณ์ผู้บริโภคบนมือถือที่ไม่เหมือนใคร ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.p97.com.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210817005877/en/

P97 ติดต่อสำหรับสื่อ

Ed Pasion
Unioil
รองประธานฝ่ายค้าปลีก
ecp@unioil.com

Aaron Mireles
P97 Networks, Inc.
281-954-1706
Aaron.Mireles

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

BCG Digital Ventures และ MISC ประกาศการลงทุนร่วมใน Three Ventures เพื่อปฏิรูปพื้นที่โซลูชั่นทางทะเลด้วย Deep Tech

Logo

การลงทุนร่วมนี้ตั้งขึ้นเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศโดยการปรับปรุงความปลอดภัยทางทะเลและแนะนำการกำจัดคาร์บอนแบบดิจิทัลและการจัดการสินค้าคงคลัง

ลอสแอนเจลิส–(BUSINESS WIRE)–16 สิงหาคม 2564

BCG Digital Ventures (BCGDV) หน่วยงานด้านการสร้างธุรกิจและนวัตกรรมองค์กรของ Boston Consulting Group (BCG) วันนี้ประกาศการลงทุนครั้งก่อนใน 3 องค์กรทางธุรกิจ ได้แก่ SOL-X, Chord X และ Spares CNX

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย รับชมฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210816005088/en/

การลงทุนของ BCGDV เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วในขณะที่องค์กรทางธุรกิจอยู่ในโหมดซ่อนตัวเพื่อให้สามารถมุ่งเน้นที่กิจกรรมการพัฒนาธุรกิจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น รวมถึงการจัดหาพนักงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการซื้อกิจการตามตลาดเป้าหมาย

ด้วยวัตถุประสงค์ในการปฏิรูปอุตสาหกรรมการเดินเรือ BCGDV ยังได้ประกาศว่ากิจการทางทะเลทั้งสามกำลังเข้าร่วมกลุ่มธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยได้รับการสนับสนุนจาก BCGDV และ MISC Group บริษัทขนส่งชั้นนำระหว่างประเทศ

การเริ่มต้นที่แยกจากกันทั้งสามนี้แตกต่างกันในแนวทางของพวกเขา แต่ด้วยกันแล้วก็แสดงให้เห็นถึงพลังในการเปลี่ยนแปลงของการนำดิจิทัลและเทคโนโลยีเชิงลึกอย่างมีกลยุทธ์ เช่น AI, ML และ IIoT เพื่อสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานขนาดใหญ่ทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าในการขนส่งในลักษณะที่ไม่เคยทำมาก่อน

องค์กรทางธุรกิจดังกล่าวจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับ smart ship ซึ่งใช้ประโยชน์จากระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก เพื่อความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

“ด้วย 90% ของสินค้าทั่วโลกที่ขนส่งทางเรือ และเมื่อพิจารณาถึงความพยายามที่ไม่สมบูรณ์ในการสร้างสรรค์นวัตกรรม เราเชื่อว่าการลงทุนเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงต่ออุตสาหกรรมการเดินเรือ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เหมืองแร่ พลังงาน และสินค้าอุตสาหกรรม” Sid Shah กรรมการผู้จัดการและหุ้นส่วนและผู้นำระดับโลกของแนวทางปฏิบัติด้านพลังงานของ BCGDV กล่าว “เราตื่นเต้นมากที่จะได้สนับสนุนทีมเหล่านี้ในเส้นทางที่โดดเด่นของพวกเขา”

องค์กรทางธุรกิจทั้งสามแห่งตั้งอยู่ในสิงคโปร์ เป็นศูนย์กลางที่สำคัญสำหรับ BCGDV ซึ่งเพิ่งได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของ IMD World Competitive Center

องค์กรทางธุรกิจ

SOL-X กำลังกำหนดนิยามใหม่ของความปลอดภัยทางทะเลโดยการสร้างบริษัท Safety 4.0 แห่งแรกของอุตสาหกรรมโดยเน้นที่ปัจจัยมนุษย์ การรวมความรู้เชิงลึกในอุตสาหกรรมเข้ากับ IIoT และ AI เชิงคาดการณ์ SOL-X มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงผลลัพธ์ด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของลูกเรือ ด้วย 66% ของเหตุการณ์ทางทะเลที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ SAFEVUE.ai เป็นโซลูชันระดับแนวหน้าของบริษัทที่จัดการกับปัจจัยหลักของมนุษย์โดยการรวมการควบคุมการทำงานกับข้อมูลความเป็นอยู่ที่ดีของลูกเรือเพื่อส่งมอบข่าวกรองด้านความปลอดภัยแบบเรียลไทม์เมื่อเผชิญความเสี่ยง เมื่อเร็ว ๆ นี้ SOL-X ได้ลงนามในข้อตกลงแบบระยะเวลาหลายปีเพื่อร่วมเป็นพันธมิตรกับ Eaglestar และตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของอุตสาหกรรมการเดินเรือสำหรับความเป็นเลิศในการปฏิบัติงานและความปลอดภัย

Chord X บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลทางทะเล กำลังพัฒนาการจัดการเรือโดยใช้เซ็นเซอร์ การรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ การเรียนรู้ด้วยเครื่องจักร และผู้เชี่ยวชาญของมนุษย์เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและการปล่อยมลพิษในสินทรัพย์ทางทะเลขนาดใหญ่ Chord X ให้ข้อมูลเชิงลึกเชิงคาดการณ์แก่ลูกค้า ทำให้พวกเขาดำเนินการแก้ไขทันทีบนอุปกรณ์ในสินทรัพย์ทางทะเล และรักษาประสิทธิภาพการทำงานให้ดีที่สุด

Chord X วัดและวิเคราะห์การปล่อยมลพิษของสินทรัพย์ทางทะเล นอกจากนี้ยังมีโมดูลการปล่อยมลพิษที่สนับสนุนการปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงาน ทำให้สามารถควบคุมภาษีคาร์บอนได้มากขึ้นด้วยความถูกต้องมากกว่าวิธีการในปัจจุบัน และกำลังดำเนินการเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกสำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านสินทรัพย์ทางทะเลเพื่อใช้และควบคุมในการตัดสินใจด้านการชั่งน้ำหนักที่ส่งผลกระทบต่อการปล่อยมลพิษในสินทรัพย์ทางทะเลของพวกเขา Chord X ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในสินทรัพย์ เพิ่มความน่าเชื่อถือในสินทรัพย์ และการเผาไหม้ที่สะอาดขึ้นสำหรับเจ้าของและผู้ดำเนินการสินทรัพย์ทางทะเล

Spares CNX กำลังคิดค้นนวัตกรรมใหม่ในห่วงโซ่อุปทานของการขนส่งโดยการจัดหาโซลูชันการจัดการสินค้าคงคลังแบบอัตโนมัติที่สามารถติดตามอายุการใช้งานของชิ้นส่วนอะไหล่บนฝั่งและทั่วทั้งกลุ่มยานพาหนะ โซลูชันฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แบบบูรณาการ PROPELLER Ship ใช้ RFID, QR และเทคโนโลยีการถ่ายภาพอื่น ๆ เพื่อตรวจสอบตำแหน่งและปริมาณการใช้อะไหล่ วิศวกรบนเรือปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานที่ใช้งานง่ายซึ่งรวมอยู่ในแท็บเล็ตแบบพกพาขณะปฏิบัติงานในแต่ละวัน อุปกรณ์จะโต้ตอบกับชิ้นส่วนอะไหล่ที่ติดแท็กไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนสมบูรณ์และจะถูกบันทึก ณ เวลาและสถานที่ทำงานในขณะที่ข้อมูลจะไหลเข้าสู่ระบบ PMS หรือ ERP ที่มีอยู่อย่างราบรื่น

PROPELLER Shore เป็นแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI ช่วยให้ผู้จัดการและเจ้าหน้าที่จัดซื้อได้รับข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำที่นำไปใช้งานได้จริงสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพของระดับสต็อก การปรับสมดุล และส่งต่อโอกาสในการจัดซื้อจำนวนมาก

ด้วยแนวทางที่ไม่เหมือนใครนี้ Spares CNX จัดการกับปัญหาความไม่ถูกต้องของสินค้าคงคลังซึ่งทำให้อุตสาหกรรมการเดินเรือทั่วโลกต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปีจากการรั่วไหลของค่าอะไหล่ โดยส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเป็นอันดับสองในการดำเนินงานในแต่ละวัน นอกเหนือจากคุณสมบัติที่หลากหลายในตลาดปัจจุบัน Spares CNX กำลังสร้างความสามารถในการจัดการกับความขัดแย้งเกี่ยวกับ FIFO สินค้าอุปโภคบริโภค การรวมพันธมิตรคลังสินค้าบนบก และพื้นที่อื่น ๆ อีกมากมาย

“เราภูมิใจที่ได้ลงทุนในการเริ่มต้นสตาร์ทอัพดิจิทัลทั้งสามนี้ ซึ่งช่วยให้เราสำรวจโอกาสที่มีอยู่เพื่อควบคุมพลังของการทำให้เป็นดิจิทัลในอุตสาหกรรมการเดินเรือในหลาย ๆ ด้าน ความท้าทายที่อุตสาหกรรมการเดินเรือต้องเผชิญซึ่งเกิดจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทั่วโลก บังคับให้เราคิดทบทวนแนวทางปฏิบัติของเรา” Mr. Yee Yang Chien ประธาน/ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่ม MISC กล่าว “ผมเชื่อว่าการที่เราจะก้าวไปข้างหน้าได้ เราต้องกล้าที่จะสำรวจโอกาสที่ไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อก้าวต่อไปและปรับปรุงความเป็นเลิศในการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ รวมถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของกระบวนการ ผมมั่นใจเกี่ยวกับโอกาสที่องค์กรทางธุรกิจดิจิทัลทั้งสามนำเสนอและการเป็นหุ้นส่วนนี้จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของเราต่อความยั่งยืนของวาระด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและการกำกับดูแลของ MISC Group”

รับชมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการร่วมลงทุนโดย BCG Digital Ventures และ MISC ใน Sol-X, Chord X และ Spares CNX ได้ที่นี่

เกี่ยวกับ BCG Digital Ventures

BCG Digital Ventures เป็นบริษัทนวัตกรรม การบ่มเพาะ และการลงทุน เราคิดค้น เปิดตัว ปรับขนาด และลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมกับบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ทีมผู้ประกอบการ ผู้ปฏิบัติงาน และนักลงทุนจากสหสาขาวิชาชีพที่มีความหลากหลายของเราทำงานข้ามสายงาน เปลี่ยนจากกระดาษใบหนึ่ง ไปสู่อีกผลิตภัณฑ์หนึ่ง ไปยังอีกธุรกิจหนึ่งอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 12 เดือน ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 ในฐานะบริษัทในเครือของ Boston Consulting Group เรามีศูนย์นวัตกรรมและที่ตั้งดาวเทียมในสี่ทวีปและยังคงขยายธุรกิจของเราไปทั่วโลก

เกี่ยวกับ MISC

MISC Berhad (MISC) ก่อตั้งขึ้นในปี 2511 และเป็นผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านโซลูชั่นและบริการทางทะเลที่เกี่ยวข้องกับพลังงานระดับสากล ธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทประกอบด้วยการขนส่งพลังงานและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การเป็นเจ้าของและดำเนินงานโซลูชันแบบลอยน้ำนอกชายฝั่ง การซ่อมแซมและดัดแปลงทางทะเล งานวิศวกรรมและการก่อสร้าง บริการทางทะเลแบบบูรณาการ บริการท่าเรือและสถานีปลายทาง และการศึกษาและฝึกอบรมการเดินเรือ

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 กองเรือของ MISC Group ประกอบด้วยเรือที่เป็นเจ้าของและเช่าเหมาลำมากกว่า 100 ลำ ซึ่งประกอบด้วยเรือก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ปิโตรเลียม และเรือสินค้า เรือบรรทุกอีเทนขนาดมหึมา (VLEC) 14 ระบบการผลิตแบบลอยน้ำ (FPS) และหน่วยจัดเก็บ LNG แบบลอยน้ำ (FSU) สอง (2) แห่ง กองเรือมีความจุน้ำหนักรวม (dwt) รวมกันมากกว่า 11 ล้านตัน

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210816005088/en/

ติดต่อ:

Jenny Savage
BCG Digital Ventures
Jenny.Savage@bcgdv.com

Leo Grayson
Chord X
Leo.grayson@chordx.co

Alister Leong
Sol-X
Alister.leong@sol-x.co

Anthon Hollstein-Ivarsson
Spares CNX
anthon.hollstein-ivarsson@sparescnx.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ทีมวิจัยร่วมชิงหัว-ลิเวอร์พูล ค้นพบกลไกการเก็บประจุแบบใหม่

Logo

ทีมวิจัยร่วมชิงหัว-ลิเวอร์พูล ค้นพบกลไกการเก็บประจุแบบใหม่

นครซินจู๋, ใต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–16 ส.ค. 2564

เนื่องจากความหนาแน่นของกำลังไฟฟ้าที่สูงและต้นทุนต่ำแบตเตอรี่โลหะอากาศ (metal-air batteries) จึงเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานที่เป็นที่คาดหวังมากที่สุดแหล่งหนึ่งสำหรับอนาคต ทีมวิจัยร่วมของชิงหัว-ลิเวอร์พูล (Tsinghua-Liverpool) เพิ่งพัฒนากลไกการจัดเก็บประจุแบบใหม่ ซึ่งช่วยให้สามารถชาร์จซ้ำได้ภายในแบตเตอรี่แคลเซียม-แอร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีแบตเตอรี่

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นแบบด้วยมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่ https://www.businesswire.com/news/home/20210816005031/en/

Lu in Prof Hu’s lab where he set up experiments to cross compare results obtained at NTHU and at UoL.(Photo: National Tsing Hua University)

Lu ในห้องทดลองของ ศ. Hu ซึ่งเขาทำการทดลองเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้จาก NTHU และที่ UoL (ภาพ: National Tsing Hua University)

การค้นพบนี้ได้รับการตีพิมพ์ใน Chemical Science โดยผู้เขียนรายงานฉบับนี้หลัก ๆ ได้แก่ Yi-Ting Lu ซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกร่วมจากมหาวิทยาลัย Tsinghua กับ Liverpool โดยมี ศ. Chi-Chang Hu (ภาควิชาวิศวกรรมเคมี NTHU) และ ศ. Laurence Hardwick (ภาควิชาเคมี UoL ) เป็นที่ปรึกษา

ความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ Ca-air

ศาสตราจารย์ Hu กล่าวว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบธรรมดามีความจุในทางปฏิบัติที่จำกัด ด้วยเหตุนี้นักวิจัยจำนวนมากจึงกำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ทางเลือก โดยมุ่งเน้นไปที่แบตเตอรี่โลหะ-อากาศที่มีสังกะสี ลิเธียม โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม และอลูมิเนียม ข้อดีของแบตเตอรี่แคลเซียม-แอร์คือพลังงานจำเพาะสูง ซึ่งมากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบเดิมถึงห้าเท่า อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคบางประการต่อความเป็นไปได้ของการใช้แบตเตอรี่แคลเซียม-แอร์ โดยข้อเสียเปรียบหลักประการหนึ่ง นั่นคือการไม่สามารถชาร์จใหม่ได้

Lu อธิบายว่าแบตเตอรี่โลหะ-อากาศเป็นเซลล์ไฟฟ้าเคมีที่มักใช้โลหะแอคทีฟเป็นอิเล็กโทรดลบ และใช้วัสดุคาร์บอนที่มีรูพรุนเมื่อสัมผัสกับอากาศเป็นอิเล็กโทรดบวก เมื่อโลหะออกซิไดซ์ออกซิเจน ขั้วบวกจะลดลงทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า

หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกปีแรกที่ NTHUแล้ว Lu ได้ลงทะเบียนเรียนที่ Stephenson Institute for Renewable Energy ที่ UoL ในเดือนกันยายน 2561 โดยมี Prof. Hardwick เป็นที่ปรึกษา เขาเริ่มทำวิจัยเกี่ยวกับอิเล็กโทรไลต์ที่ใช้ในแบตเตอรี่แคลเซียม-แอร์

Lu พบเมื่อมีการชาร์จและคายประจุอิเล็กโทรดเดียวซ้ำแล้วซ้ำอีก ในตอนแรกจะไม่สามารถสังเกตการย้อนกลับได้ แต่หลังจากผ่านไปสองสามรอบอิเล็กโทรดจะค่อย ๆ แสดงการกลับตัวได้บางส่วน น่าแปลกที่ผลลัพธ์ที่ได้ ดูแตกต่างไปจากผลงานวิจัยก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ทีมวิจัยได้ทำการทดลองหลายครั้งเพื่อเปิดเผยกลไกเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ บนพื้นผิวอิเล็กโทรด ผลิตภัณฑ์ที่มาจากการคายประจุจะก่อตัวเป็นชั้นกลางของแคลเซียมออกไซด์ (CaxOy) ซึ่งผลิตภัณฑ์การปลดปล่อยออกซิเจนที่เรียกว่าซูเปอร์ออกไซด์ถูกกักเอาไว้ ปล่อยให้ซูเปอร์ออกไซด์ถูกออกซิไดซ์ได้ง่าย สิ่งนี้บ่งชี้ว่าออกซิเจนอาจถูกออกซิไดซ์/ลดปริมาณซ้ำๆ เพื่อให้เซลล์ถูกปล่อยออก/ชาร์จใหม่อย่างต่อเนื่อง

ดร.Alex Neale นักวิจัยหลังปริญญาเอก หรือ โพสต์-ด็อก ของลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทีมวิจัยด้วย กล่าวว่า ด้วยการตรวจสอบทางเคมีไฟฟ้าและสเปกโทรสโกปีอย่างเป็นระบบ ทีมงานเริ่มเข้าใจที่มาของกลไกการเก็บประจุนี้ ซึ่งช่วยให้ระบบย้อนกลับของระบบในระดับที่มองไม่เห็นก่อนหน้านี้ สำหรับแบตเตอรี่แคลเซียม-แอร์

ศ. Hardwick กล่าวว่าทีมงานจะมุ่งเน้นไปที่การออกแบบระบบแบตเตอรี่ใหม่ที่ใช้กลไกการเก็บประจุที่ค้นพบใหม่นี้ เขาเสริมว่าการวิจัยแบบร่วมมือกันนี้ทำให้การค้นพบของพวกเขาเป็นไปได้ และมีแผนสำหรับความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่าง NTHU และ UoL ในอนาคต

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210816005031/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh

NTHU

(886)3-5162006

hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

วิทยาลัยในการวิจัยเซมิคอนดักเตอร์จัดตั้งที่ NTHU

Logo

นครซินจู๋ ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–12 สิงหาคม 2564

แผนของมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหัว (NTHU) ในการจัดตั้งวิทยาลัยวิจัยเซมิคอนดักเตอร์ (CoSR) ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการและการรับสมัครนักศึกษาจะตามมาในไม่ช้านี้ ประธาน Hocheng Hong กล่าวว่าสถาบันนี้จะนำโดยนักวิชาการของ Academia Sinica Burn J. Lin ซึ่งงานวิจัยด้านการพิมพ์หินแบบจุ่มมีผลสะท้อนที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก เขาเสริมว่าด้วยความเป็นผู้นำของ Lin รวมกับความแข็งแกร่งของ NTHU ในด้านเทคโนโลยีและการศึกษาแบบสหวิทยาการ CoSR จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการวิจัยเซมิคอนดักเตอร์อย่างแน่นอน

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย รับชมฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210811005030/en/

Dr. Burn J. Lin will be the first dean of the College of Semiconductor Research. (Photo: National Tsing Hua University)

Dr. Burn J. Lin จะเป็นคณบดีคนแรกของวิทยาลัยในการวิจัยเซมิคอนดักเตอร์ (ภาพ: มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหัว)

นอกจากบริษัทต่างประเทศ อย่างเช่น Micron Technology และ Tokyo Electron แล้ว CoSR ยังได้รับการสนับสนุนจาก Taiwan Semiconductor Manufacturing Company, Powerchip Semiconductor Manufacturing Corporation, GlobalWafers, Unimicron, United Microelectronics, Vanguard International Semiconductor Corporation, Novatek Microelectronics และ Nanya Technology เงินบริจาคประจำปีรวมกว่า 130 ล้านเหรียญไต้หวัน

วิทยาลัยนี้จะประกอบด้วยสี่สาขาวิชาได้แก่ อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ การออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ กระบวนการเซมิคอนดักเตอร์ และวัสดุเซมิคอนดักเตอร์ ในแต่ละปีจะมีนักศึกษาปริญญาโทประมาณ 80 คนและนักศึกษาปริญญาเอกจำนวน 20 คน นักเรียนชุดแรกจะรับเข้าเรียนในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิปี 2565

ประธานาธิบดี Hocheng กล่าวเพิ่มเติมว่า NTHU เป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียวในประเทศจีนที่มีผู้ได้รับรางวัลโนเบลสามคนในหมู่ศิษย์เก่า นอกจากนี้ NTHU ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในโรงเรียน 100 อันดับแรกของโลกในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์ วัสดุศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี วิศวกรรมเคมี เครื่องจักร และสถิติ โดยจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมในการคัดเลือกผู้สำเร็จการศึกษาที่มีความคิดสร้างสรรค์ในวงกว้าง วิสัยทัศน์ซึ่งเป็นพื้นฐานของการวิจัยที่ทันสมัย

Dr. Lin กล่าวว่ามหาวิทยาลัยในประเทศมีบัณฑิตจำนวนมากสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวัน ดังนั้นจุดเน้นหลักของ CoSR ควรอยู่ที่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติของประเทศ ในการตระหนักถึงวิสัยทัศน์นี้ Lin ต้องการที่จะปลูกฝังให้นักเรียนแต่ละคนเป็นผู้เชี่ยวชาญ นักคิดทั่วไป ผู้ริเริ่ม และนักแก้ปัญหา โดยขั้นแรกนั้นนักศึกษาจะได้รับความสามารถในการขุดลึกลงไปในเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ในสาขาที่กำหนด ถึงดังนั้นจึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ต้องการตัว อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ครอบคลุมสาขาต่างๆ มากเกินไปสำหรับบุคคลใดก็ตามที่จะเข้าใจได้ทั้งหมด เขาต้องทำงานร่วมกับคนในสาขาวิชาอื่นเป็นทีม เขาต้องมีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะสื่อสารกับผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ จึงต้องเป็นผู้รู้ทั่วไปด้วย

นอกจากจะกว้างไกลแล้ว เทคโนโลยียังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย ผู้เชี่ยวชาญ/ผู้รู้ทั่วไปต้องสามารถแก้ปัญหาใหม่ ๆ ได้ และเป็นนวัตกรรมสำหรับแนวทางการปฏิวัติ เฉพาะเมื่อมีผู้ที่เชี่ยวชาญทั้งสามด้านอย่างเต็มที่เท่านั้น เขาก็จะสามารถเป็นผู้นำที่น่าเกรงขามในการวิจัยเซมิคอนดักเตอร์ได้

ช่วง 22 ปีของเขาที่ IBM Research ในสหรัฐอเมริกา Lin ได้รับการยกย่องกับนวัตกรรมที่ก้าวล้ำอย่างมากมาย เขาเข้าร่วม TSMC ในปี 2543 และในปี 2545 เขาเริ่มพัฒนาการพิมพ์หินแบบจุ่ม ซึ่งส่งผลสะท้อนอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210811005030/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh
NTHU
(886)3-5162006
hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Techtronic Industries สร้างรายได้ครึ่งปีแรกได้อย่างยอดเยี่ยม

Logo

ฮ่องกง–(บิสิเนสไวร์)–10 ส.ค. 2564

Techtronic Industries Co. Ltd. บริษัทอุปกรณ์ไฟฟ้าและการดูแลพื้นระดับโลกของฮ่องกง (“TTI” หรือ “กลุ่มบริษัท”) (รหัสหุ้น 669, สัญลักษณ์ ADR: TTNDY) ประกาศผลประกอบการสำหรับหกเดือนแรกสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564  โดยกลุ่มบริษัทมีผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 52.0% เป็น 6.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ  อัตรากำไรขั้นต้นได้ปรับตัวขึ้นโดยโตขึ้น 38.6% โดยขยายตัวเป็นครั้งที่ 13 ติดต่อกัน  นอกจากนี้ กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี กำไรสุทธิ และกำไรต่อหุ้นได้โตแซงหน้ายอดขาย โดยกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเพิ่มขึ้น 57.4% เป็น 572 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 57.9% เป็น 524 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 57.8% เป็นประมาณ 28.62 เซนต์ต่อหุ้น

  • ยอดขายเติบโตขึ้น 52.0%
  • ยอดขายโตขึ้น 71.5% ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2019
  • การเติบโตของยอดขายในแผนกธุรกิจและภูมิศาสตร์ทั้งหมด
  • อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นสำหรับเพิ่มขึ้น 38.6% เป็นครั้งที่ 13 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 0.58
  • กําไรสุทธิโต 57.9% เป็น 524 ล้านเหรียญสหรัฐ

ผลการดำเนินงานทางการเงินที่โดดเด่นในครึ่งปีแรกของปี 2564

2564*

ล้านเหรียญสหรั

2563

ล้านเหรียญสหรั

การเปลี่ยนแปลง

รายได้

6,394

4,206

+52.0%

อัตรากำไรขั้นต้น

38.6%

38.0%

+58 bps

EBIT

572

363

+57.4%

กำไรส่วนที่เป็นของเจ้าของบริษัท

524

332

+57.9%

กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (เซนต์สหรัฐฯ)

28.62

18.14

+57.8%

เงินปันผลระหว่างกาล ต่อหุ้น (ประมาณเซนต์สหรัฐ)

10.94

6.82

+60.4%

*สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564

เงินทุนหมุนเวียนที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขายอยู่ที่ 18.3% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของ TTI ที่ 20.0% หรือน้อยกว่า  กลุ่มบริษัทยังคงสร้างสินค้าคงคลังเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด เพื่อบริการลูกค้าด้วยระดับการบริการที่สูง และเพื่อป้องกันบริษัทจากการขาดแคลนส่วนประกอบที่สำคัญ

กลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้าของ TTI มียอดขายเติบโต 55.3% เป็น 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  ทุกภูมิภาคและหน่วยธุรกิจมีส่วนทำให้มีผลงานโดดเด่นในช่วงครึ่งแรกของปี 2564  ธุรกิจเรือธง Milwaukee มีการเติบโตทั่วโลกอย่างน่าภูมิใจที่ 64.1%.  RYOBI ทำผลงานได้ดีเป็นพิเศษในทุกแบรนด์ โดยมีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักอย่างในทุกประเภทและทุกภูมิภาค  นอกจากนี้ ธุรกิจการดูแลพื้นและทำความสะอาดยังคิดเป็น 9.0% ของยอดขาย TTI ทั้งหมด โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 25.3% เป็น 574 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

Mr. Horst Pudwill ประธาน TTI กล่าวว่า “ที่ TTI เราได้สร้างทีมระดับโลกที่ยอดเยี่ยมและเราอยากจะยกย่ององค์กรระดับโลกที่โดดเด่นของเราในการส่งมอบผลงานที่แข็งแกร่ง  เราภูมิใจในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่กล้าหาญของเราในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาเพื่อวางตำแหน่งตัวเองสำหรับครึ่งหลังของปี 2564 อย่างแข็งแกร่ง”

Mr. Joseph Galli, CEO of TTI ให้ความเห็นว่า “ผลงานครึ่งปีแรกของ TTI แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงตำแหน่งผู้นำ ระดับการเติบโต และศักยภาพในอนาคตของเรา  ผลิตภัณฑ์เครื่องจักรความเร็วสูงรุ่นใหม่ของเราช่วยให้เราสามารถขยายตลาดและจับส่วนแบ่งตลาด ในขณะที่เรายังคงปรับปรุงอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์”

เกี่ยวกับ TTI

TTI ก่อตั้งขึ้นในปี 2528 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในปี 2533 โดยเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยีไร้สาย ซึ่งรวมถึงเครื่องมือไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้ากลางแจ้ง ผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นสำหรับทำความสะอาดพื้นสำหรับผู้บริโภค มืออาชีพ และผู้ใช้ในอุตสาหกรรมใน บ้าน การก่อสร้าง การบำรุงรักษา อุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน  บริษัทมีรากฐานที่สร้างขึ้นจากแรงขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ 4 ประการ ได้แก่ แบรนด์ที่ทรงพลัง ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม คนที่ยอดเยี่ยม และความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างขวางในระยะยาวเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีไร้สายให้ก้าวหน้า กลยุทธ์การเติบโตระดับโลกคือการแสวงหานวัตกรรมผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อให้ TTI อยู่ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม  กลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์ที่ทรงพลังของ TTI ประกอบด้วยเครื่องมือไฟฟ้า MILWAUKEE, AEG และ RYOBI อุปกรณ์เสริมและเครื่องมือช่าง ผลิตภัณฑ์กลางแจ้ง RYOBI และ HOMELITE ผลิตภัณฑ์เลย์เอาต์และการวัดของ EMPIRE และผลิตภัณฑ์และโซลูชันสำหรับดูแลพื้น HOOVER, ORECK, VAX และ DIRT DEVIL

TTI เป็นหนึ่งในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี Hang Seng, FTSE RAFI™ All-World 3000 Index, FTSE4Good Developed Index และ MSCI ACWI Index สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาไปที่ www.ttigroup.com

เครื่องหมายการค้าทั้งหมดที่ระบุไว้นอกเหนือจาก AEG และ RYOBI เป็นของ Group.  AEG เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ AB Electrolux (มหาชน) และใช้งานภายใต้ใบอนุญาต RYOBI เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Ryobi Limited และใช้ภายใต้ใบอนุญาต

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210811005604/en/

ติดต่อ:

Techtronic Industries Co. Ltd.
Isabella Chan
Tel: +(852) 2402 6495
Email: isabella.chan@tti.com.hk 
เว็บไซต์: www.ttigroup.com

Strategic Financial Relations Limited
Veron Ng +(852) 2864 4831 veron.ng@sprg.com.hk 

Adrianna Lau +(852) 2114 4987 adrianna.lau@sprg.com.hk 

Karen Kwan +(852) 2114 4171 karen.kwan@sprg.com.hk  อีเมล: sprg_tti@sprg.com.hk 
เว็บไซต์: www.sprg.com.hk

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Hillstone Networks เปิดตัวโซลูชัน Stand-alone SD-WAN ใหม่

Logo

Hillstone Networks เปิดตัวโซลูชัน Stand-alone SD-WAN ใหม่

SD-WAN ที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มการจัดการความปลอดภัย Hillstone Security Management Platform (HSM) 5.0 มอบประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันและเครือข่าย ด้วยความสามารถในการควบคุมและความสะดวกของระบบอัตโนมัติแบบรวมศูนย์

ซานตา คลารา แคลิฟอร์เนีย –(บิสิเนส ไวร์)–12 ส.ค. 2564

Hillstone Networks ผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชันการปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ เครือข่ายพื้นที่กว้างที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (SD-WAN) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดตัวแพลตฟอร์มการจัดการความปลอดภัย  Hillstone Security Management Platform (HSM) 5.0 SD-WAN แบบสแตนด์อโลนของ Hillstone ตอบสนองความต้องการสำหรับแบนด์วิดธ์ที่เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนความพร้อมใช้งานของเครือข่ายที่ได้รับการปรับปรุงและข้อกำหนดด้านคุณภาพเพื่อให้บริการแอปพลิเคชันที่มีความอ่อนไหวต่อความล่าช้าได้ดียิ่งขึ้นและเพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานแบบไฮบริดในปัจจุบันมีโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่ปลอดภัยเพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดี

การแข่งขันสู่ระบบคลาวด์เร่งตัวขึ้นจากการระบาดใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพนักงานเคลื่อนที่ล้วนต้องการประสบการณ์การใช้งานที่มีคุณภาพ รวมถึงการประมวลผลแบบเอดจ์ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนโซลูชัน SD-WAN ที่ปลอดภัย  Hillstone นำเสนอด้วยความสามารถ SD-WAN ขั้นสูง ซึ่งรวมถึง:

  • การประสานที่ง่ายขึ้นด้วยระบบการวางอัตโนมัติขั้นสูงและการจัดวางแบบไร้สัมผัส ซึ่งนำมาสู่การจัดเตรียมอุปกรณ์ในการปรับใช้ในภาคสนามด้วยการตั้งค่าที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อลดต้นทุนการจัดตั้ง เร่งการส่งมอบบริการ และเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปรับใช้ขนาดใหญ่
  • การแสดงเครือข่ายที่เป็นหนึ่งเดียวทั่วโลกด้วยการตรวจสอบสุขภาพ ไม่เพียงแต่ให้การเตือนแบบเรียลไทม์ผ่านเว็บ UI อีเมลหรือแอปพลิเคชันโซเชียล แต่ยังนำข้อมูลและสถิติที่ได้รับการปรับปรุงมาการแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพ
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแอปพลิเคชันด้วยการกำหนดเส้นทางอัจฉริยะและการรับรู้เนื้อหา โดยกำหนดแอปพลิเคชันให้สามารถรับรองประสบการณ์ผู้ใช้ที่เหมาะสมที่สุดโดยควบคุมการรับส่งข้อมูลอย่างชาญฉลาดตามแอปพลิเคชันหรือบริการและนโยบายที่บังคับใช้

“องค์กรในปัจจุบันยังคงประสบปัญหาในการสนับสนุนและรักษาความปลอดภัยให้กับพนักงานในช่วงเวลาที่มีการโจมตีทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น” Tim Liu ผู้ร่วมก่อตั้งและ CTO ของ Hillstone Networks กล่าว “เราได้ออกแบบโซลูชัน Hillstone SD-WAN ที่มีการรักษาความปลอดภัยแบบบูรณาการอย่างสมบูรณ์เพื่อจัดการกับจุดบอดที่สำคัญที่เกิดจากความต้องการทางธุรกิจในปัจจุบันและแนวโน้มของตลาด และเพื่อให้ทีมไอทีสามารถรักษาความปลอดภัยเครือข่ายและแอปพลิเคชันได้อย่างน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ และที่มอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับ ผู้ใช้ปลายทางของพวกเขา”

เกี่ยวกับ Hillstone Networks

โซลูชั่นการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ Hillstone Networks ช่วยให้องค์กรและผู้ให้บริการมีทัศนวิสัยและความเข้าใจที่ครอบคลุมและถี่ถ้วน ทำให้สามารถดำเนินการอย่างรวดเร็วต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างทั่วถึง  Hillstone ได้คะแนนที่ยอดเยี่ยมจากนักวิเคราะห์ชั้นนำและได้รับความไว้วางใจจากบริษัทระดับโลกและปกป้องการเข้าถึงระบบคลาวด์ด้วยการยกระดับต้นทุนรวมของการเป็นเจ้าของที่ดีขึ้น เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.hillstonenet.com

ติดต่อ:

Hillstone Networks
Zeyao Hu ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
inquiry@hillstonenet.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Kioxia ขยายขีดจำกัดด้านประสิทธิภาพด้วยหน่วยความจำแฟลชแบบฝัง UFS เวอร์ชัน 3.1 ใหม่

Logo

พัฒนาต่อยอดจากหน่วยความจำแบบแฟลช BiCS FLASH™ 3D เจเนอเรชันที่ 5 บรรจุอยู่ในอุปกรณ์ที่บางกว่าเดิม มาพร้อมความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูลที่เร็วขึ้นตามความต้องการในการใช้งานที่สูงขึ้น

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–11 สิงหาคม 2564

วันนี้ Kioxia Corporation ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำได้เปิดตัวตัวอย่างอุปกรณ์หน่วยความจำแฟลชแบบฝัง Universal Flash Storage (UFS) เวอร์ชัน 3.1 เจเนอเรชันใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมความจุ 256GB และ 512GB ผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ซึ่งบรรจุอยู่ในแพ็คเกจที่มีความสูง 0.8 มม. และ 1.0 มม. นี้ มาพร้อมประสิทธิภาพสำหรับการอ่านแบบสุ่มและการเขียนแบบสุ่ม[1 ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 30% และ 40% ตามลำดับ และยังทำให้อุปกรณ์ดังกล่าวมีความบางมากขึ้น[2] และทำงานได้เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้า อุปกรณ์ UFS รุ่นใหม่ของ Kioxia ใช้หน่วยความจำ BiCS FLASH™ 3D เจเนอเรชันที่ 5 ซึ่งเป็นหน่วยความจำประสิทธิภาพสูงของบริษัทเอง โดยตั้งเป้าให้มีการนำไปใช้กับอุปกรณ์เคลื่อนที่ชนิดต่าง ๆ รวมถึงสมาร์ทโฟนระดับชั้นนำ

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210810006065/en/

Kioxia Corporation: UFS Ver. 3.1 embedded flash memory devices (Photo: Business Wire)

Kioxia Corporation: อุปกรณ์หน่วยความจำแฟลชแบบฝังรุ่น UFS Ver. 3.1 (รูปภาพ: Business Wire)

อุปกรณ์หลากหลายชนิดที่ใช้หน่วยความจำแฟลชแบบฝังซึ่งต้องคำนึงถึงความจำเป็นเรื่องพลังงานและพื้นที่ยังคงต้องการอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและความหนาแน่นสูงขึ้นไปอีก และ UFS ก็กลายมาเป็นทางออกที่ผู้คนเลือกใช้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในแง่ของความจุรวม โดยส่วนใหญ่แล้วอุปกรณ์ UFS เป็นที่ต้องการมากกว่าในปัจจุบันเมื่อเทียบกับอุปกรณ์แบบ e-MMC และข้อมูลจาก Forward Insights[3] ยังเผยว่าเมื่อรวมความต้องการพื้นที่ความจุของอุปกรณ์แบบ UFS และ e-MMC จากทั่วโลกแล้ว เกือบ 70% ของความต้องการในปีนี้เป็นของอุปกรณ์แบบ UFS และตัวเลขนี้จะยังโตขึ้นเรื่อย ๆ

อุปกรณ์ UFS ใหม่ที่มีความจุ 256GB และ 512GB มาพร้อมความก้าวล้ำต่าง ๆ ดังนี้:

ประสิทธิภาพสำหรับการอ่านแบบสุ่มและการเขียนแบบสุ่มที่เพิ่มขึ้นราว 30% และ 40% ตามลำดับ

Host Performance Booster (HPB) Ver. 2.0: เพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านแบบสุ่มโดยใช้หน่วยความจำฝั่งโฮสต์สำหรับจัดเก็บตารางแปลงค่า logical เป็น physical นอกจากนี้อุปกรณ์ HPB Ver. 1.0 สามารถเข้าถึง chunk size ได้เพียงแค่ 4KB ขณะที่อุปกรณ์ HPB Ver. 2.0 สามารถเข้าถึงได้มากกว่าซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านแบบสุ่มได้มากยิ่งขึ้น

ขนาดแพ็คเกจของรุ่น 256GB ที่บางลงโดยมีความสูงเพียงแค่ 0.8 มม.

หมายเหตุ
[1] เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าของอุปกรณ์ UFS โดย Kioxia ที่มีความจุ 256 และ 512 กิกะไบต์
[2] เมื่อเทียบความหนาแน่นของรุ่น 256GB กับอุปกรณ์ UFS ขนาด 256GB เจเนอเรชันก่อนหน้าของ Kioxia
[3] อ้างอิง: Forward Insights “NAND Quarterly Insights” 2Q (2021)

ความเร็วในการอ่านและเขียนอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับอุปกรณ์โฮสต์ เงื่อนไขในการอ่านและเขียน และขนาดของไฟล์

ในการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ Kioxia ทุกครั้ง: การระบุความหนาแน่นของผลิตภัณฑ์จะระบุตามความหนาแน่นของชิปหน่วยความจำภายในผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่จำนวนความจุหน่วยความจำที่มีสำหรับการจัดเก็บข้อมูลโดยผู้ใช้ ความจุที่ใช้งานได้ของผู้บริโภคจะลดลงเนื่องจากพื้นที่ของ overhead data การจัดรูปแบบฟอร์แมต บล็อกที่เสียหาย และข้อจำกัดอื่น ๆ และอาจแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์โฮสต์และการใช้งาน สำหรับรายละเอียด โปรดอ้างอิงข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดย 1KB = 2^10 ไบต์ = 1,024 ไบต์, 1Gb = 2^30 บิต = 1,073,741,824 บิต, 1GB = 2^30 ไบต์ = 1,073,741,824 ไบต์ และ 1Tb = 2^40 บิต = 1,099,511,627,776 บิต

ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทนั้น ๆ

เกี่ยวกับ Kioxia
Kioxia เป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำที่อุทิศตนเพื่อการพัฒนา การผลิต และการขายหน่วยความจำแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายน 2560 บริษัท Toshiba Memory ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Kioxia ได้แยกออกมาจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจำแฟลช NAND ในปี 2530 โดยบริษัทถือเป็นผู้บุกเบิกโซลูชันและบริการหน่วยความจำที่ล้ำสมัยซึ่งเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้คนและขยายขอบเขตทางสังคม เทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3D แบบใหม่ของ Kioxia หรือที่เรียกว่า BiCS FLASH ™ กำลังสร้างอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันที่มีความหนาแน่นสูงซึ่งรวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง, พีซี, SSD, ศูนย์ยานยนต์และศูนย์ข้อมูล

ลูกค้าสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
Kioxia Corporation
ฝ่ายขายและการตลาดหน่วยความจำ
โทร: +81-3-6478-2423
https://business.kioxia.com/en-jp/buy/global-sales.html

*ข้อมูลในเอกสารนี้รวมถึงราคาและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาของบริการและข้อมูลการติดต่อนั้นถูกต้องในวันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210810006065/en/

สื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
Kioxia Corporation
ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การขาย
Koji Takahata
โทร: +81-3-6478-2404

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Sapura Drilling มอบสัญญาก่อสร้างบ่อน้ำนอกชายฝั่งให้แก่ Halliburton

Logo

การดำเนินการแบบบูรณาการช่วยลดความไม่แน่นอนและปรับปรุงประสิทธิภาพในโครงการพัฒนาก๊าซหลัก

ฮิวสตัน–(บิสิเนสไวร์)–10 ส.ค. 2564

Halliburton Company (NYSE: HAL) ประกาศว่า Sapura Drilling ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Sapura Energy ได้มอบสัญญาบูรณาการนอกชายฝั่งให้แก่บริษัท

Sapura โดยมี Halliburton เป็นพันธมิตรด้านเทคนิค จะทำสัญญาขุด Integrated Rig Drilling Completion (i-RDC) สำหรับโครงการก่อสร้างบ่อน้ำนอกชายฝั่งจำนวน 6 หลุม  ลักษณะการบูรณาการที่ไม่เหมือนใครของสัญญานี้เปิดโอกาสให้แก่ Halliburton และ Sapura Drilling และ PETRONAS Carigali Sdn Bhd ในการใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัล Halliburton 4.0 อย่างเต็มศักยภาพเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน.

เทคโนโลยีดิจิทัลเหล่านี้รวมถึงชุด Digital Well Program®, Digital Well Operations และ Digital Well Automation และแอปพลิเคชันคลาวด์ DecisionSpace®365 ทั้งหมด  ขอบเขตงานของ Halliburton 4.0 ยังรวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัลที่สำคัญจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ Sperry Drilling, Cementing, Drill Bits, Baroid และ Completions  นับว่าเป็นโครงการบูรณาการแรกในประเทศที่รวมบริการแท่นขุดเจาะเข้ากับการวางแผน การดำเนินงาน และระบบอัตโนมัติทุกด้าน

เกี่ยวกับ Halliburton

ก่อตั้งขึ้นในปี 2462 Halliburton เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์และบริการที่ใหญ่ที่สุดในโลกในอุตสาหกรรมพลังงาน  ด้วยพนักงานประมาณ 40,000 คนจาก 130 สัญชาติและกว่า 70 ประเทศ บริษัทช่วยให้ลูกค้าเพิ่มมูลค่าตอลทั้งวงจรชีวิตของอ่างเก็บน้ำ ตั้งแต่การค้นหาไฮโดรคาร์บอนและการจัดการข้อมูลทางธรณีวิทยา ไปจนถึงการประเมินการขุดเจาะและการก่อตัวของหิน การก่อสร้างบ่อน้ำ และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดทั้งอายุของทรัพย์สิน  เยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทที่ www.halliburton.com  ติดตาม Halliburton บน Facebook, Twitter, LinkedIn, Instagram and YouTube

อ่านเวอร์ชั่นที่มาใน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210810005132/en/

ติดต่อ:

สำหรับนักลงทุน:
Abu Zeya
Investor Relations (ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์) investors@halliburton.com 
281-871-2688

สำหรับสื่อมวลชน:
William Fitzgerald
External Affairs (ฝ่ายกิจการภายนอกองค์กร) pr@halliburton.com 
281-871-2601

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

การส่งเสริมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (STI) ในกระบวนการผลิตเป็นกุญแจสำหรับอินโดนีเซียในการได้รับประโยชน์จากการขยาย GVC อย่างเต็มที่ จากการศึกษาโดยศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น

Logo

ดาวน์โหลด “Global Value Chains in ASEAN” เกี่ยวกับประเทศอินโดนีเซียได้ที่เว็บไซต์ AJC

โตเกียว –(บิสิเนส ไวร์)–04 ส.ค. 2564

ศูนย์อาเซียน-ญี่ปุ่น (AJC) ออกเอกสารฉบับที่ 4 ของชุด “Global Value Chains in ASEAN” โดยเน้นที่อินโดนีเซียในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564  จากรายงานดังกล่าว อินโดนีเซียได้เพิ่มส่วนแบ่งของมูลค่าเพิ่มภายในประเทศในการส่งออก (DVA) ที่ร้อยละ 88 ในปี 2562  อย่างไรก็ตาม สัดส่วนที่สูงของ DVA นี้กระจุกตัวอยู่ในกิจกรรมการผลิตที่ระดับล่างซึ่งมีการนำเข้าและเทคโนโลยีจากต่างประเทศในระดับที่ต่ำ

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210803006201/en/

“Global Value Chains in ASEAN” on Indonesia is available for download on AJC website (Graphic: Business Wire)

ดาวน์โหลด “Global Value Chains in ASEAN” เกี่ยวกับประเทศอินโดนีเซียได้ที่เว็บไซต์ AJC (กราฟิก: Business Wire)

อินโดนีเซียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับที่สิบในโลก ด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) 1.1 ล้านล้านดอลลาร์  อย่างไรก็ตามภาคการผลิตคิดเป็นเพียงหนึ่งในห้าของมูลค่าเพิ่มทั้งหมดที่สร้างขึ้น  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตสร้างมูลค่าเพียงเล็กน้อยทั้งๆ ที่มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของภาคหลักในแง่ของผลผลิต  เมื่อเทียบกับประเทศที่มีรายได้ปานกลางตอนบนอื่นๆ เช่น มาเลเซียและไทย อินโดนีเซียยังคงระดับรายได้ที่ต่ำกว่าและมีมูลค่าเพิ่มการผลิตที่เติบโตช้าที่สุด การขยายห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก (GVC) เป็นโอกาสที่ดีในการปรับปรุงความสามารถทางเทคโนโลยีของบริษัทผู้ผลิตในประเทศ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการหนีกับดักรายได้ปานกลาง

การมี GVC ที่สูงขึ้นอาจกระตุ้นการเติบโตผ่านปริมาณการค้าที่สูงขึ้นและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่สูงขึ้น  บทความนี้แนะนำให้อินโดนีเซียพิจารณานำรูปแบบการเติบโตนี้มาใช้เป็นกรอบนโยบาย  ตัวเลข FDI แสดงให้เห็นว่าการผลิตคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 40 ในช่วงปี 2557-2562 และส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในการผลิตเทคโนโลยีระดับกลาง เช่น การผลิตอาหาร โลหะ และเครื่องจักร  อินโดนีเซียต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมและตลาดในท้องถิ่นและส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ นโยบายที่ส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของเศรษฐกิจท้องถิ่นและส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น ความสามารถด้านวิศวกรรม การออกแบบ และการวิจัยและพัฒนาขั้นสูง  สิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่เน้นความรู้และนวัตกรรมมากขึ้น

การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศให้สูงสุดไม่ได้นำไปสู่การบูรณาการกับ GVC โดยอัตโนมัติ  ผู้ดำเนินการในท้องถิ่นอาจไม่มีความสามารถในการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตทั่วโลก เนื่องจากข้อกำหนดต่างๆ เช่น การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ทรัพยากรด้านการจัดการและการเงินที่มากขึ้น และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา  สิ่งเหล่านี้อาจทำให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไม่สามารถมีส่วนร่วมได้  ในระดับชาตินั้นกระบวนการสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นกุญแจสำคัญ  นี่คือบทบาทที่สำคัญของระบบนวัตกรรมแห่งชาติ (NIS) ผ่านนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (STI) โดยจะทำให้ขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

NIS ที่มีการวางแผนมาอย่างดีอาจเป็นสะพานที่สามารถเปลี่ยนเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้เป็นเทคโนโลยีพื้นเมืองในภาคการผลิตได้ รัฐบาลจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญในการยกระดับบริษัทผู้ผลิตพื้นเมืองภายใน GVC โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เทคโนโลยีระดับกลาง-ต่ำ และเทคโนโลยีระดับกลาง-สูง เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตพื้นเมืองส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในภาคส่วนเทคโนโลยีต่ำ  รัฐบาลอินโดนีเซียจำเป็นต้องจัดตั้ง NIS ที่มีการวางแผนมาเป็นอย่างดีและมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นไปที่การติดตามอุตสาหกรรมและการประสานงานกับกระทรวงสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม การวิจัยและพัฒนา และการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพื่อสนับสนุนการยกระดับบริษัทผู้ผลิตพื้นเมืองภายใน GVC  ด้วยเหตุนี้ ตัวแทนนโยบายของ STI จึงจำเป็นต้องมุ่งเน้นที่การสร้างเครือข่ายเพื่อเปลี่ยนเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้กลายเป็นความสามารถด้านเทคโนโลยีของชนพื้นเมืองแทนที่จะสร้างสิ่ง “เฉพาะที่”

ดาวน์โหลด “Global Value Chains in ASEAN” เกี่ยวกับประเทศอินโดนีเซียได้ที่เว็บไซต์ AJC และด้านล่าง

https://www.asean.or.jp/en/centre-wide-info/gvc_database_paper4/

ต้นฉบับ businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210803006201/en/

ติดต่อ:

ASEAN- Japan Center (AJC) PR Unit
Tomoko Miyauchi (MS)
URL: https://www.asean.or.jp/en/
TEL: +81-(0)3-5402-8118
E-mail: toiawase_ga@asean.or.jp

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

DigitalEd ประกาศเรื่องการลงทุนที่เน้นการเติบโตจาก PSG

Logo

การลงทุนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้สนับสนุนงานด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ประสบการณ์ของผู้ใช้ และการเร่งนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด

วอเตอร์ลู, ออนตาริโอ–(BUSINESS WIRE)–03 สิงหาคม 2564

วันนี้ DigitalEd ได้แจ้งเกี่ยวกับการลงทุนที่เน้นการเติบโตของ PSG บริษัทตราสารทุนชั้นนำที่ทำงานร่วมกับบริษัทผู้ให้บริการเกี่ยวกับซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีในตลาดระดับกลาง DigitalEd เป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่ชื่อ Möbius ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบดิจิทัลผ่านบริการ SaaS โดยเน้นการเรียนรู้ในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) PSG เป็นผู้ลงทุนจากภายนอกเพียงรายเดียวของ DigitalEd ทั้งนี้ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินแต่อย่างใด

DigitalEd ก่อตั้งขึ้นในปี 2561 ด้วยพันธกิจที่เรียบง่ายแต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง นั่นก็คือการสร้างสรรค์โลกผ่านการเรียนรู้ทางดิจิทัล DigitalEd เป็นผู้ให้บริการการเรียนรู้ด้วยตัวเองในโลกแห่งการแบ่งปันเพื่อให้ผู้เรียนศึกษาหาความรู้โดยมีการแนะนำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและผู้เรียนสามารถกำหนดความเร็วหรือช้าได้เอง ปัจจุบัน DigitalEd ให้การสนับสนุนสถาบันการศึกษากว่า 300 แห่งทั่วโลก เป็นผู้จัดและอำนวยการสอบและงานมอบหมายกว่า 20 ล้านครั้ง และยังให้การสนับสนุนการเรียนรู้ออนไลน์กับมหาวิทยาลัยระดับโลก สถาบันด้านเทคโนโลยี และวิทยาลัยชุมชนอีกหลายแห่ง

Möbius เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเรียนรู้ในสาขาวิชา STEM ที่มีความทันสมัยและมีความครอบคลุม แพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยลดเวลาที่ผู้สอนต้องใช้ไปกับภาระงานอื่น ซึ่งอันที่จริงแล้วควรใช้ไปกับการเตรียมการสอนและการให้คะแนน ช่วยให้ผู้สอนได้ใช้เวลาไปกับการสอนและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ แพลตฟอร์มนี้มุ่งเน้นเรื่องความสำเร็จของผู้เรียน โดยมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญหลักสูตรสาขา STEM คอยจัดเตรียมเนื้อหาหลักสูตรที่มีคุณภาพสูงให้กับผู้สอน แพลตฟอร์ม Möbius สามารถช่วยจัดการเรียนและติดตามผลงานของผู้เรียนผ่านการวิเคราะห์ ในส่วนของผู้เรียน Möbius จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบดิจิทัลที่ผู้เรียนสามารถตอบโต้กับผู้สอนและเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา ทั้งยังมีระบบให้คะแนนอัตโนมัติอันก้าวล้ำ รวมถึงการให้คำติชมกับผู้เรียนแบบเน้นเฉพาะเรื่อง (focused feedback) ได้อย่างทันที

Jim Cooper ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ DigitalEd กล่าวว่า “เราภูมิใจอย่างมากที่มีผู้นำแพลตฟอร์ม Möbius ไปใช้อย่างต่อเนื่อง และแพลตฟอร์มนี้ยังได้ทำให้การศึกษาแบบออนไลน์เข้ามามีส่วนยกระดับและพัฒนาการศึกษาแบบเดิม เราเชื่อว่าทีมงาน PSG เข้าใจและยึดมั่นในวิสัยทัศน์เริ่มต้นของเรา สำหรับพวกเราแล้ว PSG คือพันธมิตรที่สมบูรณ์แบบของ DigitalEd ซึ่งเรามุ่งที่จะขยายแพลตฟอร์ม Möbius อย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนผู้สอนผ่านการวัดผลและการปรับปรุงประสบการณ์การเรียนรู้”

Chris Andrews ประธานของ PSG กล่าวว่า “เราเชื่อว่า DigitalEd มีแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งและสามารถขยายขนาดรองรับการใช้งานได้สูง ซึ่งอยู่ในจุดที่เติบโตได้ท่ามกลางความต้องการที่มากขึ้นต่อทั้งเครื่องมือจัดการเรียนรู้ออนไลน์และการศึกษาในสาขา STEM เราตั้งตารอที่จะได้ร่วมทำงานเคียงข้างไปกับ Jim, Christina และทีมงานของ DigitalEd ผู้มากความสามารถ ภายใต้ความพยายามที่จะเร่งการเติบโตของบริษัทผ่านนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ การนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดอย่างมีกลยุทธ์ และการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง”

Christina Perdikoulias ประธานของ DigitalEd กล่าวว่า “ทุกสิ่งที่เราทำที่ DigitalEd ก็เพื่อปรับปรุงประสบการณ์และความสำเร็จของผู้เรียนให้มากที่สุด เราตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ PSG และสานต่อความมุ่งมั่นของเราในการจัดการศึกษาแบบเรียนรู้ด้วยตัวเองที่มีคุณภาพสูงและสามารถเข้าถึงได้ให้กับคนจำนวนมาก”

Stikeman Elliot LLP และ Weil, Gotshal & Manges LLP เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายให้กับ PSG และ Gowlings WLG, Grant Thornton LLP และ Tyton Partners เป็นที่ปรึกษาให้กับ DigitalEd

เกี่ยวกับ DigitalEd
DigitalEd เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่ให้บริการบนคลาวด์ซึ่งอุทิศตนให้กับการยกระดับความสำเร็จด้านการศึกษาของผู้เรียน ที่ DigitalEd เรานำความเชื่อ ค่านิยม และเสาหลักของการพัฒนาซอฟต์แวร์มาใช้เพื่อสร้างแพลตฟอร์ม Möbius ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่มีความทันสมัยและครอบคลุมในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ขึ้นมา เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ DigitalEd ได้ที่ www.digitaled.com

เกี่ยวกับ PSG
PSG เป็นบริษัทตราสารทุนที่เน้นการเติบโตซึ่งเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีในตลาดระดับกลางเพื่อช่วยให้บริษัทเหล่านั้นดำเนินธุรกิจบนเส้นทางการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด สร้างประโยชน์จากโอกาสเชิงกลยุทธ์ และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง การได้เข้าไปสนับสนุนการทำงานของบริษัทต่าง ๆ กว่า 80 แห่ง และช่วยจัดการการเข้าซื้อกิจการแบบ add-on acquisition มาแล้ว 325 ครั้งทำให้ PSG เปี่ยมด้วยประสบการณ์อันช่ำชองด้านการลงทุน ความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งทั้งด้านซอฟต์แวร์และเทคโนโลยี รวมถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ในการทำงานร่วมกับทีมผู้บริหาร PSG ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2557 มีสำนักงานอยู่ในบอสตัน แคนซัสซิตี้ และลอนดอน เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ PSG ได้ที่ www.psgequity.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210803005210/en/

ติดต่อ:

สื่อ
DigitalEd
Siobhan Paul
spaul@digitaled.com

PSG
Jackie Schofield
Prosek Partners (ตัวแทนของ PSG)
jschofield@prosek.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย