Category Archives: Technology

Japan Prize ประจำปี 2025: นักวิทยาศาสตร์ 2 คนจากสหรัฐอเมริกาและสเปนได้รับรางวัล พิธีมอบรางวัลจะจัดขึ้นที่โตเกียวในเดือนเมษายน

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–27 มกราคม 2025

Japan Prize Foundation ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัล Japan Prize ประจำปี 2025 ในวันที่ 22 มกราคม 2025 เวลา 13.00 น. โดย Prof. Russell Dean Dupuis (สหรัฐอเมริกา) ได้รับรางวัล Japan Prize ในสาขาวัสดุศาสตร์และการผลิตและ Prof. Carlos M. Duarte (สเปน) ได้รับรางวัล Japan Prize ในสาขาการผลิตทางชีวภาพ นิเวศวิทยา/สิ่งแวดล้อม

สำหรับรางวัล Japan Prize ประจำปีนี้ Prof. Dupuis ได้รับการยกย่องจากผลงานที่โดดเด่นในการพัฒนาเทคโนโลยีการตกสะสมไอสารเคมีโลหะอินทรีย์สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และออปโตอิเล็กทรอนิกส์แบบเซมิคอนดักเตอร์แบบผสม และการมีส่วนบุกเบิกในการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง และ Prof. Duarte ได้รับการยกย่องจากผลงานในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับระบบนิเวศทางทะเลในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการวิจัยบุกเบิกเกี่ยวกับ Blue Carbon

สำหรับรางวัล Japan Prize ประจำปี 2025 ทางมูลนิธิได้ขอให้นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่มีชื่อเสียงประมาณ 15,500 คนจากทั่วโลกเสนอชื่อนักวิจัยที่ทำงานในสาขาต่างๆ ของปีนี้ เราได้รับการเสนอชื่อ 149 คนสำหรับสาขาวัสดุศาสตร์และการผลิต และ 72 คนสำหรับสาขาการผลิตทางชีวภาพ นิเวศวิทยา/สิ่งแวดล้อม ผู้ชนะในปีนี้ได้รับการคัดเลือกจากผู้ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมด 221 คน

เกี่ยวกับ Japan Prize

การจัดตั้ง Japan Prize ในปี 1981 ได้รับแรงบันดาลใจจากความปรารถนาของรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อสร้างรางวัลที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั่วโลก ด้วยการสนับสนุนการบริจาคจำนวนมาก Japan Prize Foundation ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีในปี 1983

Japan Prize เป็นรางวัลที่มอบให้กับนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างสร้างสรรค์และน่าทึ่ง ซึ่งช่วยในการพัฒนาสาขาของตัวเอง และมีส่วนสำคัญในการตระหนักถึงสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองสำหรับมวลมนุษยชาติ นักวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทุกแขนงมีสิทธิ์ได้รับรางวัล โดยจะมีการคัดเลือกสองสาขาในแต่ละปี โดยคำนึงถึงแนวโน้มปัจจุบันในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยหลักการแล้ว จะมีการคัดเลือกนักวิจัยหนึ่งคนจากแต่ละสาขา และได้รับใบรับรอง เหรียญรางวัล และรางวัลเงินสด พิธีมอบรางวัลแต่ละครั้งจะมีจักรพรรดิและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน หัวหน้าหน่วยงานรัฐบาลทั้งสามสาขา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และตัวแทนจากองค์กรอื่นๆ ทางสังคมเข้าร่วม

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

The Japan Prize Public Relations Office
japanprize@ml.prap.co.jp

ที่มา: The Japan Prize Foundation

โตชิบาขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ Arm® Cortex® – ไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ใช้ M4 สำหรับการควบคุมมอเตอร์

Logo

– กลุ่มผลิตภัณฑ์ M4K(1) และ M470 ที่รองรับการควบคุมหลักและการควบคุมมอเตอร์ของอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคและอุตสาหกรรม

คาวาซากิ, ญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–22 มกราคม 2025

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“โตชิบา”) ได้เปิดตัวไมโครคอนโทรลเลอร์ 32 บิต เจ็ดรุ่นที่มาพร้อมกับคอร์ Cortex-M4 ซึ่งเป็นการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ไมโครคอนโทรลเลอร์ควบคุมมอเตอร์อย่างครอบคลุม โดยทั้งหกรุ่นจะอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ M4K(1) ใหม่[1] และอีกหนึ่งรุ่นอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ M470

Toshiba: Arm® Cortex®-M4 based microcontrollers for motor control. (Graphic: Business Wire)

โตชิบา: ไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ใช้ Arm® Cortex®-M4 สำหรับการควบคุมมอเตอร์ (ภาพ: Business Wire)

ความถี่การทำงานสูงสุดของไมโครคอนโทรลเลอร์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ M4K(1) คือ 120MHz และ 160MHz สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ M470 โดยทั้งหมดมีฟังก์ชันควบคุมมอเตอร์สองแบบเช่นเดียวกับในผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของกลุ่มผลิตภัณฑ์ M4K และกลุ่มผลิตภัณฑ์ M470 อุปกรณ์เหล่านี้มีการติดตั้งอินเทอร์เฟซของตัวเข้ารหัสและฟังก์ชันควบคุมมอเตอร์แบบตั้งโปรแกรมได้ ซึ่งจะช่วยลดภาระโหลดของ CPU ระหว่างการควบคุมมอเตอร์ได้ นอกจากนี้ อุปกรณ์เหล่านี้ยังสามารถจดจำการตรวจสอบหน่วยความจำแฟลช RAM, ตัวแปลงสัญญาณ AD และนาฬิกา รวมถึงสามารถใช้ฟังก์ชันการวินิจฉัยตนเองได้ โปรแกรมตัวอย่างที่จะใช้เพื่อรับการรับรองความปลอดภัยการทำงาน IEC 60730 Class B ได้จัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการพัฒนาส่วนประกอบที่ขับเคลื่อนมอเตอร์ในอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคและอุตสาหกรรมอีกด้วย

ผลิตภัณฑ์กลุ่ม M470 ปัจจุบันมีความจุของหน่วยความจำแฟลชสูงสุดอยู่ที่ 512KB โดยมีการเพิ่มหน่วยความจำแฟลชใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ M470 ที่จะทำให้มีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 1MB ในขณะที่ยังคงรักษารอบของโปรแกรม/การลบข้อมูลได้สูงสุดถึง 100,000 รอบ ซึ่งช่วยสนับสนุนการปรับปรุงการทำงานของอุปกรณ์ได้ นอกจากนี้การรวมฟังก์ชัน FOTA[2] เข้ามายังได้ช่วยตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการรองรับด้าน IoT อีกด้วย

นอกจากตัวอย่างแล้ว เอกสารประกอบ ซอฟต์แวร์ตัวอย่าง บอร์ดประเมินผล และซอฟต์แวร์ไดรเวอร์พร้อมอินเทอร์เฟซควบคุมสำหรับฟังก์ชันต่อพ่วงยังพร้อมให้ใช้งานในการประเมินเบื้องต้นอีกด้วย สภาพแวดล้อมการพัฒนาจัดทำขึ้นโดยความร่วมมือกับพันธมิตรระบบนิเวศระดับโลกของ ARM

หมายเหตุ
[1] ติดตั้งด้วยคอร์ Arm Cortex-M4 (ฟังก์ชัน FPU) ที่มีความถี่ในการทำงานสูงสุด 120MHz มีการติดตั้งฟังก์ชันควบคุมมอเตอร์ สามารถควบคุมมอเตอร์ได้สูงสุด 2 ตัว
[2] FOTA: อัปเดตเฟิร์มแวร์ผ่านระบบไร้สาย

แอปพลิเคชั่น
อุปกรณ์สำหรับผู้บริโภค
・เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ฯลฯ
อุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรม
・อินเวอร์เตอร์ อุปกรณ์มอเตอร์ เครื่องปรับกำลังไฟฟ้า หุ่นยนต์ ฯลฯ

คุณสมบัติ
・คอร์ Cortex-M4 ประสิทธิภาพสูง
・ฟังก์ชันการควบคุมมอเตอร์สองระบบ
・ไลน์อัพที่สามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์อุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท
・ฟังก์ชันการวินิจฉัยตนเอง

ข้อมูลจำเพาะหลัก

ชื่อซีรีส์

TXZ+TM ซีรีส์ 4A

ซีรีส์ TX04

กลุ่มผลิตภัณฑ์

กลุ่มผลิตภัณฑ์ M4K (1)

กลุ่มผลิตภัณฑ์ M470

หมายเลขชิ้นส่วน

TMPM4K4FYBUG

TMPM4K4FWBUG

TMPM471F10FG

TMPM4K2FYBDUG

TMPM4K2FWBDUG

TMPM4K1FYBUG
TMPM4K1FWBUG

CPU คอร์

Arm Cortex-M4

Arm Cortex-M4

‒ ยูนิตป้องกันหน่วยความจำ (MPU)

‒ ยูนิตป้องกันหน่วยความจำ (MPU)

‒ ยูนิตจุดลอยตัว (FPU)

‒ ยูนิตจุดลอยตัว (FPU)

ความถี่สูงสุดในการทำงาน

120MHz

160MHz

ออสซิลเลเตอร์ภายใน

10MHz (±1%)

10MHz (±1%)

ความจำ

ภายใน

รหัสแฟลช

128KB/256KB

(รอบการตั้งโปรแกรม/ลบ:

สูงถึง 100,000 ครั้ง)

1024KB

(รอบการตั้งโปรแกรม/ลบ:

สูงถึง 100,000 ครั้ง)

ข้อมูลแฟลช

RAM

18KB

64KB

พอร์ต I/O

33 ถึง 51 พิน

81 พิน

สัญญาณอินเตอร์รัพท์จากภายนอก

9 ถึง 11 แฟคเตอร์

16 แฟคเตอร์

ตัวควบคุม DMA (DMAC)

1 ยูนิต

1 ยูนิต

ฟังก์ชัน

ไทม์เมอร์

ตัวนับเหตุการณ์ไทม์เมอร์ 32 บิต

(T32A)

6 แชนแนล

(12 แชนแนลหากใช้

ไทม์เมอร์ 16 บิต)

5 แชนแนล

(10 แชนแนลหากใช้

ไทม์เมอร์ 16 บิต)

ฟังก์ชัน

การสื่อสาร

วงจรสื่อสาร

แบบอนุกรมอะซิงโครนัส

(UART)

3 ถึง 4 แชนแนล

5 แชนแนล

I2 C อินเทอร์เฟซ (I2C)

1 แชนแนล

I2 C อินเทอร์เฟซ เวอร์ชัน A

(EI2C)

1 แชนแนล

2 แชนแนล

การสื่อสารแบบอนุกรม

(TSPI)

2 ถึง 4 แชนแนล

4 แชนแนล

CAN

ฟังก์ชัน

อนาล็อก

ตัวแปลง 12 บิต

อนาล็อกเป็นดิจิตอล

(ADC)

2 ยูนิต

(ยูนิต A: 9 ถึง 12 อินพุต

ยูนิต B: 9 ถึง 12 อินพุต)

2 ยูนิต

(ยูนิต A: 12 อินพุต

ยูนิต B: 11 อินพุต)

เครื่องขยายสัญญาณปฏิบัติการ

(OPAMP)

1 ยูนิต

อื่นๆ

วงจร

อินพุตขั้นสูง (32 บิต)

(A-ENC32)

2 แชนแนล

2 แชนแนล

วงจร

ต่อขยาย

ระบบ

ควบคุมอัตโนมัติแบบตั้ง

โปรแกรมได้ขั้นสูง

(A-PMD)

1 ถึง 2 แชนแนล

2 แชนแนล

เอนจิ้นเว็กเตอร์

ขั้นสูงพลัส

(A-VE+)

ฟังก์ชัน

ระบบ

วอทช์ด็อกเลือก

นาฬิกา

(SIWDT)

1 แชนแนล

1 แชนแนล

อินเทอร์เฟซดีบั๊ก

JTAG/SW, TRACE (4bit),

NBDIF[3]

JTAG/SW, TRACE (4bit)

แรงดันไฟฟ้าในการใช้งาน

2.7 ถึง 5.5V,

แหล่งจ่ายไฟแรงดันเดี่ยว

4.5 ถึง 5.5V,

แหล่งจ่ายไฟแรงดันเดี่ยว

แพ็คเกจ/พิน

LQFP64

(10 มม. ×10 มม., พิตช์ 0.5 มม.)

LQFP100

(14 มม. ×14 มม., พิตช์ 0.5 มม.)

LQFP48

(7 มม. ×7 มม., พิตช์ 0.5 มม.)

LQFP44

(10 มม. ×10มม. , พิตช์ 0.8 มม.)

หมายเหตุ
[3] TMPM4K2FYBDUG, TMPM4K2FWBDUG, TMPM4K1FYBUG และ TMPM4K1FWBUG คือ JTAG/SW เท่านั้น

ติดตามลิงก์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่
TMPM4K4FYBUG
TMPM4K4FWBUG
TMPM4K2FYBDUG
TMPM4K2FWBDUG
TMPM4K1FYBUG
TMPM4K1FWBUG
TMPM471F10FG

ติดตามลิงก์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไมโครคอนโทรลเลอร์ของโตชิบา
ไมโครคอนโทรลเลอร์

* Arm และ Cortex เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Arm Limited (หรือบริษัทย่อย) ในสหรัฐอเมริกาและ/หรือที่อื่น
* TXZ+™ เป็นเครื่องหมายการค้าของ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
* ชื่อบริษัทอื่นๆ ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง
* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation เป็นซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านโซลูชั่นเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง มีประสบการณ์และนวัตกรรมมากกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อนำเสนอเซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ

โดยมีพนักงานกว่า 19,400 คนทั่วโลกที่มีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงสุด และส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าในการสร้างมูลค่าและตลาดใหม่ๆ ร่วมกัน บริษัทมุ่งหวังที่จะสร้างและมีส่วนสนับสนุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับผู้คนโดยทั่วไป

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54183208/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

การติดต่อสอบถามสำหรับลูกค้า
แผนกขายและการตลาด MCU และอุปกรณ์ดิจิทัล
โทร: +81-44-548-2233
ติดต่อเรา

การติดต่อสอบถามสำหรับสื่อ
Chiaki Nagasawa
แผนกการตลาดดิจิทัล
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

.

.

การ์ดเสริม SMART Modular อยู่ใน Integrators’ List ของ CXL Consortium แล้ว

Logo

การรวมเข้าด้วยกันเน้นย้ำถึงบทบาทของ SMART Modular ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีหน่วยความจำที่เกิดขึ้นใหม่

นิวไทเป ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–21 มกราคม 2025

SMART Modular Technologies®, Inc. (“SMART”) แบรนด์ Penguin Solutions®, Inc. (Nasdaq: PENG) และผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำแบบบูรณาการ ไดรฟ์โซลิดสเตต และผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลแบบไฮบริด ประกาศในวันนี้ว่า Add-in Cards (AIC) หน่วยความจำ CXL® (Compute Express Link®) แบบ 4-DIMM และ 8-DIMM ของบริษัทได้ผ่านการทดสอบการปฏิบัติตามมาตรฐาน CXL 2.0 สำเร็จแล้ว ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้รับการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ ใน Integrators' List ของ CXL Consortium ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในความมุ่งมั่นของบริษัทในการส่งมอบโซลูชันหน่วยความจำคุณภาพสูงที่สามารถทำงานร่วมกันได้

SMART Modular’s 4-DIMM and 8-DIMM memory Add-in Cards (AICs) are now included on the CXL Consortium’s System Integrator’s List. (Photo: Business Wire)

การ์ดเสริมหน่วยความจำ (AICs) แบบ 4-DIMM และ 8-DIMM ของ SMART Modular รวมอยู่ในเข้าใน System Integrator’s List ของ CXL Consortium แล้ว (ภาพ: Business Wire)

การรวมผลิตภัณฑ์ของ SMART Modular Technologies ไว้ใน CXL Integrator's List เป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการยึดมั่นตามมาตรฐานอุตสาหกรรมและการรับรองความเข้ากันได้ในสภาพแวดล้อมการประมวลผลที่หลากหลาย โปรแกรม CXL Compliance ซึ่งพัฒนาโดย CXL Consortium เปิดโอกาสให้สมาชิกได้ทดสอบการทำงานและการทำงานร่วมกันของผลิตภัณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของ CXL ความสำเร็จนี้ไม่เพียงเน้นย้ำถึงความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ SMART Modular Technologies เท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างบทบาทของบริษัทในฐานะผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำแบบบูรณาการอีกด้วย

“การบรรลุมาตรฐาน CXL ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการทำงานหนักและความทุ่มเทของทีมงานของเราในการสร้างสรรค์นวัตกรรม” Andy Mills รองประธานฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ขั้นสูงของ SMART Modular Technologies กล่าว “การ์ดเสริมหน่วยความจำ CXL แบบ 4-DIMM และ 8-DIMM ของเราได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า และการได้รับการยอมรับนี้ยิ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราในการนำเสนอโซลูชั่นที่ล้ำสมัยพร้อมประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้น”

เนื่องจากความต้องการในการประมวลผลข้อมูลความเร็วสูงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง SMART Modular Technologies ยังคงเป็นผู้นำในการนำเสนอโซลูชันหน่วยความจำขั้นสูงที่ช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพและประสิทธิผลในระบบคอมพิวเตอร์สมัยใหม่

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชัน CXL ของ SMART Modular Technologies โปรดไปที่ smartm.com.

Penguin Solutions, ตัว “S” “SMART” และ “SMART Modular Technologies” เป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนที่เป็นเจ้าของภายในกลุ่มบริษัทที่ Penguin Solutions, Inc. เป็นเจ้าของ เครื่องหมายการค้าอื่นๆ ทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง

 เกี่ยวกับ SMART Modular Technologies, Inc.
 A Penguin Solutions Company

SMART Modular Technologies ช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงได้ ผ่านการออกแบบ พัฒนา และบรรจุภัณฑ์ขั้นสูงของโซลูชันหน่วยความจำแบบบูรณาการ ผลิตภัณฑ์ของเรามีตั้งแต่เทคโนโลยีหน่วยความจำล้ำสมัยในปัจจุบันไปจนถึงผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูล DRAM และ Flash แบบมาตรฐานและแบบเก่า เป็นเวลากว่าสามทศวรรษแล้วที่เรามอบโซลูชันหน่วยความจำและที่จัดเก็บข้อมูลแบบมาตรฐาน ทนทาน และกำหนดเอง ซึ่งตอบสนองความต้องการของแอปพลิเคชันที่หลากหลายในตลาดที่มีการเติบโตสูง www.smartm.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:  https://www.businesswire.com/news/home/54183302/en

Contacts

ติดต่อฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์
Arthur Sainio
SMART Modular Technologies
ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ DRAM
+1 (510) 364-3647
info@smartm.com

ติดต่อสื่อมวลชน
Morris Yang
SMART Modular Technologies
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
+886 (2) 7705-2770
apac@smartm.com

 ที่มา: Penguin Solutions, Inc.

 

ในที่สุด Truecaller ก็สามารถใช้งานบน iPhone ได้แล้ว

Logo

บน iOS 18.2 และใหม่กว่านั้น Truecaller จะแสดง ID ผู้โทรแบบเรียลไทม์และบล็อกสแปมบน iPhone

สตอกโฮล์ม–(BUSINESS WIRE)–22 มกราคม 2025

Truecaller แพลตฟอร์มการสื่อสารชั้นนำระดับโลกได้ประกาศการอัปเดต iPhone ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา การอัปเดตใหม่นี้นำเสนอความสามารถในการบล็อกสแปมและการหลอกลวงทั้งหมดของ Truecaller ให้กับผู้ใช้ iPhone ทุกที่ ตอนนี้สามารถระบุประเภทของการโทรได้ทุกประเภท ทำให้ทัดเทียมกับ Android

Truecaller Finally Works on iPhone (Graphic: Business Wire)

ในที่สุด Truecaller ก็ใช้งานได้บน iPhone ได้แล้ว (กราฟิก: Business Wire)

ความสามารถนี้เกิดขึ้นได้จากกรอบการทำงาน Live Caller ID Lookup ของ Apple ซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับแอปอย่าง Truecaller เพื่อให้แสดงหมายเลขผู้โทรแบบเรียลไทม์โดยรักษาความเป็นส่วนตัว API นี้ใช้การเข้ารหัสแบบโฮโมมอร์ฟิกที่ล้ำสมัย และ Truecaller เป็นรายแรกของโลกที่นำระบบนี้มาใช้กับ Caller ID

พบกับ Truecaller อันทรงพลังบน iPhone ได้แล้ว

Truecaller ดำเนินธุรกิจด้านการกรองการสื่อสารที่ไม่พึงประสงค์มาเป็นเวลา 15 ปีแล้ว การอัปเดตนี้สามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถ AI ล่าสุดของ Truecaller และฐานข้อมูลทั่วโลกเพื่อระบุการโทรให้ได้มากที่สุด การอัปเดตนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการโทรใดๆ ถูกระบุตัวตนบน iOS ตราบใดที่ Truecaller มีข้อมูลเกี่ยวกับการโทรนั้น

นอกจากนี้ การอัปเดตล่าสุดยังรวมถึงสิ่งที่ผู้ใช้ Truecaller iOS ร้องขอมาเป็นเวลานาน นั่นก็คือ การบล็อกสายสแปมโดยอัตโนมัติ การปรับปรุงอื่นๆ ได้แก่ ความสามารถในการค้นหาสายที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งย้อนกลับไปได้ถึง 2,000 หมายเลขในรายการล่าสุดในแอปโทรศัพท์

ในที่สุด Truecaller บน iPhone ก็มาพร้อมความสามารถในการสมัครแผน Premium Family แล้ว ด้วย Family Plan คุณสามารถแบ่งปันสิทธิประโยชน์ Truecaller Premium ทั้งหมดกับบุคคลอื่นได้สูงสุด 4 คนในราคารายเดือนหรือรายปีที่ต่ำ

วิธีเปิดใช้งาน Truecaller บน iOS 18.2

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใช้งาน Truecaller สำหรับ iPhone เวอร์ชัน 14.0 ขึ้นไป
  2. เปิดการตั้งค่า iPhone > แอป > โทรศัพท์ > การบล็อกและระบุสายการโทร
  3. จากนั้นให้เปิดใช้งานสวิตช์ Truecaller ทั้งหมดและเปิดแอป Truecaller อีกครั้ง

Rishit Jhunjhunwala ซีอีโอของ Truecaller กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้นำศักยภาพของ Truecaller มาสู่ iPhone อย่างเต็มรูปแบบ เราเห็นศักยภาพและการเติบโตอย่างมากในฐานผู้ใช้ iPhone ของเรา และความเท่าเทียมกับประสบการณ์ Android ของ Truecaller นั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนามากที่สุด การอัปเดตนี้ทำได้เช่นนั้นและทำได้มากกว่านั้นในขณะที่รักษาความเป็นส่วนตัวสำหรับกิจกรรมการโทรทั้งหมด”

คุณสมบัติใหม่ทั้งหมดจะพร้อมให้ใช้งานสำหรับผู้ใช้ Truecaller Premium ผู้ใช้ฟรีบน iOS จะยังคงเพลิดเพลินไปกับการค้นหาหมายเลขที่รองรับโฆษณาและการระบุหมายเลขผู้โทรของธุรกิจที่ได้รับการยืนยัน

การบล็อกสแปมอัตโนมัติพร้อมให้บริการทั่วโลกแล้ว และ Caller ID ใหม่จะเริ่มใช้งานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และจะพร้อมให้ผู้ใช้ทั่วโลกใช้งานได้ภายในไม่กี่วันข้างหน้านี้ คุณสามารถรับชมวิดีโอผลิตภัณฑ์ได้ที่.

เกี่ยวกับ Truecaller

Truecaller เป็นส่วนสำคัญในการสื่อสารในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งานมากกว่า 433 ล้านคน โดยมียอดดาวน์โหลดมากกว่าพันล้านครั้งนับตั้งแต่เปิดตัว และในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการระบุและบล็อกสายที่ไม่ต้องการเกือบ 46 พันล้านสาย บริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สตอกโฮล์มตั้งแต่ปี 2009 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq Stockholm ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2021

ไปที่ www.truecaller.comเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่:
https://www.businesswire.com/news/home/54183275/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

press@truecaller.com

ที่มา: Truecaller

รายงาน Thoughtworks Looking Glass เน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำ AI มาใช้ในเฟสต่อไปในปี 2025

Logo

CHICAGO–(BUSINESS WIRE)–15 มกราคม 2025

Thoughtworks บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ผสานกลยุทธ์การออกแบบและวิศวกรรม เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ได้เผยแพร่รายงาน Looking Glass ล่าสุดฉบับที่ 5 เพื่อแนะแนวทางให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนองค์กรไปได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม และค้นหาโอกาสใหม่ๆ โดยมี 5 มุมมองสำคัญที่วิเคราะห์เทรนด์เทคโนโลยี พร้อมชี้โอกาสสำคัญทางธุรกิจและคำแนะนำที่สามารถปรับใช้ได้จริง

“รายงาน Looking Glass  ฉบับปี 2024 ได้ชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ทั่วไปของ AI ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากมาตลอดทั้งปี ในรายงานฉบับนี้ เรามีการนำเสนอความท้าทายที่แท้จริง – ซึ่งอาจถูกมองข้ามบ่อยครั้ง – ของการนำ AI มาใช้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ” Rachel Laycock ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีของ  Thoughtworks กล่าวว่า “ในขณะที่เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทต่ออุตสาหกรรมอย่างมาก การปรับปรุงแพลตฟอร์มข้อมูลให้ทันสมัย และการใช้ประโยชน์จากแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้มาซึ่งมูลค่าระยะยาวที่แท้จริงจากการนำ AI ไปใช้งาน จึงมีความเร่งด่วนมากขึ้น”

5 มุมมองสำคัญในรายงาน Looking Glass ประจำปี 2025 ประกอบด้วย:

  •  การนำ AI มาใช้ในปฏิบัติการเพื่อสร้างผลกระทบทางธุรกิจ แม้ว่ากระแสการนำ AI มาใช้ในปฏิบัติการ และโดยเฉพาะ GenAI จะไม่ชะลอตัวลง แต่สิ่งที่ชัดเจนขึ้นก็คือ การนำโมเดล AI ไปใช้งานจริงในกระบวนการการผลิตยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทาย
  •  เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่มูลค่าข้อมูลโดยใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มข้อมูลและ AI แนวคิดที่ว่าข้อมูลคือแกนสำคัญของธุรกิจเป็นความจริงที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง สิ่งที่ยังต้องปรับปรุงคือการสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีที่จำเป็น เพื่อให้ห่วงโซ่มูลค่าข้อมูลนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
  •  แนวคิดใหม่เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีที่มีความรับผิดชอบในยุคของ GenAI ในขณะที่โลกมองหาหนทางที่จะนำ AI มาใช้ในเชิงปฏิบัติการ การคิดถึงผลที่ตามมาของเทคโนโลยีดังกล่าว และคำถามเกี่ยวกับความเสี่ยงและความรับผิดชอบจึงถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหมายความว่าประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่มีความรับผิดชอบควรถูกผลักดันให้เป็นวาระเร่งด่วน
  •  เน้นการสร้างประสบการณ์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นผ่านการโต้ตอบหลายโหมด วิธีที่มนุษย์สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์และบริการได้กลายเป็นเรื่องซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ด้วยนวัตกรรมด้าน AI อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องพิจารณาการสร้างการโต้ตอบแบบหลายโหมดที่เฉพาะเจาะจงกับบริบท
  •  เพิ่มมูลค่าจากการผสมผสาน ประสบการณ์จากโลกจริงและโลกดิจิทัล: การผสมผสานประสบการณ์ระหว่างกายภาพที่จับต้องได้และช่องทางดิจิทัลแทบจะเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน ตั้งแต่ตู้เย็นอัจฉริยะจนถึงอุปกรณ์ที่ผู้บริโภคสวมใส่ ในความเป็นจริง การผสมผสานระหว่าง 2 โลกจริงนี้มีศักยภาพอย่างมากต่อแนวทางการพัฒนาธุรกิจด้านการขนส่ง การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการบำรุงรักษา

Thoughtworks ทำการอัปเดทรายงาน Looking Glass ประจำทุกปีเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและประโยชน์ทางธุรกิจ ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจและอุตสาหกรรมได้ที่ thoughtworks.com/insights/business

ข้อมูลอ้างอิง:

–  ### –

เกี่ยวกับ Thoughtworks
Thoughtworks คือบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ผสานรวมกลยุทธ์ การออกแบบ และวิศวกรรมเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล เรามีพนักงานมากกว่า 10,000 คนในสำนักงาน 48 แห่งใน 19 ประเทศ เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วที่เราได้ร่วมมือกับลูกค้าแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อนโดยใช้เทคโนโลยี เพื่อสร้างความโดดเด่นไม่เหมือนใคร

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

มีเดีย:
Linda Horiuchi, global head of public relations
อีเมล: linda.horiuchi@thoughtworks.com
โทรศัพท์: +1 (646) 581-2568

ที่มา: Thoughtworks

Power International Holding (PIH) เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ Mobile Telecom – Service LLP (MTS) จาก Kazakhtelecom JSC

Logo

โดฮา กาตาร์–(BUSINESS WIRE)–16 มกราคม 2025

Power International Holding (PIH) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่มีฐานอยู่ในกาตาร์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ได้เสร็จสิ้นการเข้าซื้อหุ้น 100% ใน Mobile Telecom-Service LLP (MTS) จาก Kazakhtelecom JSC อย่างเป็นทางการแล้ว

Power International Holding (PIH) completes the acquisition of Mobile Telecom – Service LLP (MTS) from Kazakhtelecom JSC (Photo: AETOSWire)

Power International Holding (PIH) เสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ Mobile Telecom – Service LLP (MTS) จาก Kazakhtelecom JSC (ภาพ AETOSWire)

การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงเบื้องต้นที่ลงนามเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2024 ในกรุงโดฮา ระหว่าง PIH, Kazakhtelecom และกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Samruk-Kazyna รวมถึงการลงนามในข้อตกลงการซื้อขายขั้นสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2024

MTS ซึ่งเป็นที่รู้จักจากแบรนด์ดังอย่าง Altel และ Tele2 เป็นผู้ให้บริการด้านการเชื่อมต่อ 5G ความเร็วสูงชั้นนำของประเทศ MTS ก่อตั้งขึ้นในปี 2004 มีพนักงานประมาณ 2,000 คนและดำเนินกิจการร้านค้าปลีกมากกว่า 140 แห่ง บริษัทให้บริการโทรคมนาคมและบริการดิจิทัลอย่างครบวงจร ทำให้บริษัทเป็นรากฐานสำคัญของภูมิทัศน์โทรคมนาคมของคาซัคสถาน

ด้วยจำนวนประชากรของคาซัคสถาน 20.2 ล้านคน และมีอัตราการใช้โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตที่สูง อุตสาหกรรมโทรคมนาคมกำลังเผชิญกับการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นสำหรับการเชื่อมต่อและบริการดิจิทัลที่ได้รับการปรับปรุง

อ่านเรื่องราวทั้งหมดที่ https://powerholding-intl.com/2025/01/14/power-international-holding-pih-completes-the-acquisition-of-mobile-telecom-service-llp-mts-from-kazakhtelecom-jsc/

 *ที่มา AETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54181261/en

Contacts

Power International Holding (PIH)
Aladdin Idilbi
a.idilbi@powerholding-intl.com

ที่มา: Power International Holding
 

GIGABYTE สาธิตความสามารถของ Omni-AI ในงาน CES 2025: โซลูชั่นการประมวลผลที่ครอบคลุมจากคลาวด์ไป Edge

Logo

ไทเป–(BUSINESS WIRE)–07 มกราคม 2025

GIGABYTE Technology เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในระดับสากลในด้านความสามารถในการวิจัยและพัฒนารวมถึงเป็นผู้นำนวัตกรรมด้านเซิร์ฟเวอร์และโซลูชันศูนย์ข้อมูล และยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในช่วงวิกฤตของความก้าวหน้าด้าน AI และการประมวลผล ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ AI ที่ครอบคลุม GIGABYTE จะจัดแสดงโซลูชันการประมวลผล AI ครบวงจรที่งาน CES 2025 ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลไปจนถึงแอปพลิเคชัน IoT และการประมวลผลส่วนบุคคล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสายผลิตภัณฑ์ที่กว้างขวางนี้ได้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในทุกภาคส่วนในยุคที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้ได้อย่างไร

GIGABYTE Demonstrates Omni-AI Capabilities at CES 2025: Comprehensive Computing Solutions from Cloud to Edge (Photo: Business Wire)

GIGABYTE สาธิตความสามารถของ Omni-AI ในงาน CES 2025: โซลูชั่นการประมวลผลที่ครอบคลุมจากคลาวด์ไป Edge (รูปภาพ: Business Wire)

ขับเคลื่อน AI จากคลาวด์

ด้วย AI Large Language Models (LLM) ในตอนนี้จะมีการใช้พารามิเตอร์ตั้งแต่หลายร้อยพันล้านถึงล้านล้านพารามิเตอร์อยู่เป็นประจำ ดังนั้นสภาพแวดล้อมการเทรนที่แข็งแกร่ง (ศูนย์ข้อมูล) จึงกลายเป็นข้อกำหนดที่สำคัญในการแข่งขันด้าน AI โดย GIGABYTE ได้นำเสนอโซลูชั่นที่โดดเด่นสามประการสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI:

 1. เซิร์ฟเวอร์ AI Super

 ด้วยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับผู้นำในอุตสาหกรรม GIGABYTE ได้เป็นผู้นำในการนำเสนอความหลากหลายสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เซิร์ฟเวอร์ AI โซลูชั่นสู่ตลาด ในงาน CES 2025 บริษัทจะจัดแสดงเซิร์ฟเวอร์ AI ที่มี AMD Instinct™ รุ่นล่าสุด MI300 series, Intel® Gaudi® 3ตัวเร่งความเร็ว AI และ NVIDIA HGX™ โดยแต่ละโมดูลได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมด้วยการเชื่อมต่อความเร็วสูงและหน่วยความจำแคชสำหรับความต้องการการประมวลผลแบบขนาน

 2. เกรดศูนย์ข้อมูล – ระดับแร็ค การประมวลผลแบบคลัสเตอร์

 NVIDIA GB200 NVL72 ที่ล้ำสมัยด้วยสถาปัตยกรรม “rack-as-a-GPU” โดยแต่ละเซิร์ฟเวอร์สามารถรองรับ NVIDIA GB200 Grace™ Blackwell ซุปเปอร์ชิป เชื่อมต่อกับ NVIDIA B200 Tensor Core GPU สองตัวผ่าน NVIDIA NVLINK®-C2C ซึ่งให้ประสิทธิภาพการอนุมาน 30 เท่าของการกำหนดค่า H100 ที่เทียบเท่ากัน โหนดประมวลผล ORv3 ใหม่ช่วยเสริมข้อเสนอนี้ด้วยการเชื่อมต่อ NVLink รวมถึวการระบายความร้อนด้วยของเหลวโดยตรง ทำให้ได้รับประสิทธิภาพการประมวลผล FP4 ที่ 40 TeraFLOPS ต่อโหนด

 3. โซลูชั่นระบายความร้อนด้วยของเหลวขั้นสูง

นวัตกรรมครบวงจรของ GIGABYTE การระบายความร้อนด้วยของเหลวโดยตรง ระบบ (DLC) ได้กำหนดนิยามใหม่ให้กับประสิทธิภาพการประมวลผล โดยมีเซิร์ฟเวอร์รวม เพลตเย็น และท่อร่วมเพื่อการจัดการที่ดียิ่งขึ้น เทคโนโลยีนี้ปรับปรุงประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกันก็รักษาประสิทธิภาพสูงสุดและความยั่งยืนบนเซิร์ฟเวอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยโปรเซสเซอร์รุ่นล่าสุดของ AMD, Intel และ NVIDIA

AI ที่เหนือกว่าคลาวด์: การประมวลผลแบบ Edge และนวัตกรรมในชีวิตประจำวัน

GIGABYTE ขยายขีดความสามารถของ AI ไปสู่ขอบด้วยมินิพีซีซีรีส์ BRIX รุ่นล่าสุด ซึ่งมีหน่วยประมวลผลนิวรอล (NPU) ในตัว และรองรับบริการ AI ขั้นสูง รวมถึง Microsoft Copilot+ และ Adobe โซลูชันการประมวลผลทางอุตสาหกรรมของบริษัท ซึ่งขับเคลื่อนโดย NVIDIA® Jetson Orin™ ช่วยให้สามารถใช้งานแอปพลิเคชันตั้งแต่ระบบอัตโนมัติที่มีความแม่นยำไปจนถึงหุ่นยนต์อัจฉริยะ

ในภาคยานยนต์ไร้คนขับ GIGABYTE ยังคงก้าวหน้าต่อไปADAS(ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง – Advanced Driver Assistance Systems) และเทเลเมติกส์ เทคโนโลยีสนับสนุนการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับและระบบขนส่งอัจฉริยะ

AI ในการประมวลผลส่วนบุคคล

GIGABYTE เปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ก้าวล้ำในงาน CES 2025 รวมถึงผลิตภัณฑ์ฮีโร่ AI PCที่ใช้คุณสมบัติหลัก: ตัวแทน AI พิเศษของ GIGABYTE “GiMATE” สร้างขึ้นจากเทคโนโลยี LLM ขั้นสูงพร้อมคุณสมบัติ Press and Speak ที่ใช้งานง่าย ช่วยในการควบคุมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ราบรื่นเพื่อให้แน่ใจว่ามีการตั้งค่าที่เหมาะสมที่สุดในทุกสถานการณ์ นอกจากกราฟิกการ์ด GeForce RTX ซีรีส์ 50 ที่ขับเคลื่อนโดย NVIDIA® Blackwell และ AI แล้ว ยังอัปเกรดโซลูชันการระบายความร้อนในรุ่นระดับบนได้อีกด้วย ในขณะเดียวกัน มาเธอร์บอร์ดซีรีส์ AMD B850 และ Intel B860 และจอภาพ OLED ใหม่ล่าสุดจะเปิดตัวในครั้งนี้ด้วย พร้อมด้วยการอัปเกรดโซลูชันการฝึกอบรม AI ในท้องถิ่นของ AI TOP

ทำทุกอย่างด้วย AI

CES รวบรวมผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกเพื่อแสดงนวัตกรรมและกำหนดให้ AI เป็นอนาคตของการประมวลผล ในระดับแนวหน้า GIGABYTE เชื่อมต่อศูนย์ข้อมูลคลาวด์ การประมวลผลแบบ Edge และอุปกรณ์ส่วนบุคคลเข้ากับระบบนิเวศแบบครบวงจร คำประกาศของประธานและประธาน Dandy Yeh ว่า “GIGABYTE จะทำให้ AI แพร่หลาย” ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของบริษัทในการพัฒนา AI ให้ก้าวหน้า โดย GIGABYTE ยังคงผลักดันขอบเขตของประสิทธิภาพการประมวลผล เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบสถาปัตยกรรมระบบ เจาะลึกแอปพลิเคชัน AI ในทุกสถานการณ์ และขับเคลื่อนความก้าวหน้าด้านการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น

เยี่ยมชมหน้ากิจกรรม CES ของ GIGABYTE https://www.gigabyte.com/Events/CES

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54171987/en

Contacts

ข้อมูลผู้ติดต่อด้านสื่อ: Michael Pao brand@GIGABYTE.com

ที่มา: GIGABYTE Technology


illumynt บริษัทในเครือ CNE Direct ประกาศเลื่อนตำแหน่งของ Jörg Herbarth เป็น COO

Logo

BURLINGTON, Mass.–(BUSINESS WIRE)–14 มกราคม 2025

illumynt บริษัทในเครือ CNE Direct มีความยินดีที่จะประกาศเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่ง Jörg Herbarth เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO)

Jörg เข้าร่วมงานกับ illumynt ในเดือนมิถุนายน ปี 2022 และดำรงตำแหน่งผู้บริหารหลายตำแหน่งภายในองค์กร ในบทบาทใหม่นี้ Jörg จะมุ่งเน้นในการเสริมสร้างจุดยืนของ illumynt ให้มั่นคงในฐานะผู้นำตลาดด้านบริการจัดการทรัพย์สินไอทีสำหรับภาคส่วน AI และการคำนวณ นอกจากนี้ เขายังจะเป็นผู้นำในการขยายโซลูชันห่วงโซ่อุปทานย้อนกลับระดับโลกของ illumynt สำหรับ OEM อีกด้วย

ด้วยแนวทางที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Jörg จะดำเนินการขับเคลื่อนแผนริเริ่มเชิงกลยุทธ์ของ illumynt โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลและกระบวนการอัตโนมัติ ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อเพิ่มความยั่งยืน ความปลอดภัย และมูลค่าสูงสุดให้กับลูกค้าของเรา

เราขอแสดงความยินดีต้อนรับความเป็นผู้นำของ Jörg โดยเราจะยังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมและส่งมอบโซลูชันที่ยอดเยี่ยมให้กับพันธมิตรและลูกค้าของเราทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

ติดต่อ

paul.knight@illumynt.com

ที่มา: CNE Direct, Inc. dba illumynt

Perma-Pipe International Holdings, Inc. ประกาศรางวัลของสัญญามูลค่า 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง

Logo

สปริง, เท็กซัส–(BUSINESS WIRE)–10 มกราคม 2025

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (Nasdaq: PPIH) ได้ประกาศในวันนี้ว่า บริษัทได้รับจดหมายรับรองอย่างเป็นทางการสำหรับโครงการพัฒนาที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค GCC โดย Perma-Pipe ได้รับมอบหมายให้จัดหาฉนวนกันความร้อนที่เคลือบป้องกันการกัดกร่อน และบริการต่างๆ จากโรงงานที่ตั้งอยู่ในอาบูดาบี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มโครงการได้ในไตรมาสที่สามของปี 2025 โดยคาดว่ามูลค่าของโครงการนี้จะเกิน 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

โครงการนี้จะใช้ความสามารถในการเคลือบป้องกันการกัดกร่อน การผลิต และระบบฉนวน TRACE-THERM® ซึ่งเป็นโฟมโพลียูรีเทนแบบสเปรย์เคลือบด้วยปลอกโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูงของ Perma-Pipe

Saleh Sagr รองประธานอาวุโสประจำภูมิภาค MENA ของ Perma-Pipe กล่าวว่า “รางวัลนี้เกิดขึ้นหลังจากเราประสบความสำเร็จในการดำเนินโครงการพัฒนามากมายในภูมิภาค โซลูชันการเคลือบที่แตกต่างของเราได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับโครงการต่างๆ ที่มีความท้าทายทางเทคนิค เราขอขอบคุณลูกค้าของเราสำหรับรางวัลอันสำคัญนี้”

David Mansfield ประธานและซีอีโอ ให้ความเห็นว่า “รางวัลนี้เป็นหลักฐานว่าเทคโนโลยีของเราอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่ซับซ้อนได้ในแทบทุกภูมิภาค ในขณะที่เรายังคงมุ่งเน้นไปที่ตลาดน้ำมันและก๊าซที่มีการใช้งานสูงทั่วโลก โครงการนี้ได้เพิ่มกิจกรรมในโครงการขนาดใหญ่ของเราที่ได้เห็นกันอยู่ทั่วโลก และเมื่อรวมกับรางวัลโครงการอื่นๆ ที่เพิ่งประกาศไปเมื่อเร็วๆ นี้ จะยิ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งงานในมือของเราในปี 2025”

 Perma-Pipe International Holdings, Inc.

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (Nasdaq: PPIH, “Perma-Pipe” หรือ “บริษัท”) เป็นผู้นำระดับโลกในด้านท่อหุ้มฉนวนและระบบตรวจจับการรั่วไหลสำหรับท่อส่งน้ำมันและก๊าซ การทำความร้อนและความเย็นแบบรวมศูนย์ และการใช้งานในรูปแบบต่างๆ เราใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการผลิตเพื่อพัฒนาโซลูชันการวางท่อที่แก้ปัญหาในด้านความท้าทายที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการขนส่งของเหลวหลากหลายประเภทอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยรวมแล้ว Perma-Pipe มีการดำเนินงานในสถานที่ตั้งสิบห้าแห่งในหกประเทศ

 คำแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า

คำแถลงและข้อมูลอื่นๆ ที่ระบุไว้ในข่าวเผยแพร่ฉบับนี้สามารถระบุได้โดยการใช้คำศัพท์ที่มีลักษณะคาดการณ์ล่วงหน้า ถือเป็น “คำแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า” ตามความหมายของมาตรา 27A ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ปี 1933 แก้ไขเพิ่มเติม และมาตรา 21E ของพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ปี 1934 แก้ไขเพิ่มเติม และอยู่ภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัยที่สร้างขึ้นโดยกฎหมายดังกล่าว ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงคำชี้แจงเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและการดำเนินงานในอนาคตที่คาดหวังของบริษัท คำชี้แจงเหล่านี้ควรได้รับการพิจารณาว่าอยู่ภายใต้ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจำนวนมากที่มีอยู่ในการดำเนินงานและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของบริษัท ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนดังกล่าวรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงดังต่อไปนี้: (i) ความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อปริมาณการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทจากลูกค้า (ii) ความสามารถของบริษัทในการซื้อวัตถุดิบในราคาที่เอื้ออำนวยและการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับซัพพลายเออร์ (iii) การลดลงของการใช้จ่ายของรัฐบาลในโครงการที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท และความท้าทายต่อสภาพคล่องและการเข้าถึงเงินทุนของลูกค้าที่ไม่ใช่ภาครัฐของบริษัท (iv) ความสามารถของบริษัทในการชำระหนี้และต่ออายุสินเชื่อระหว่างประเทศที่กำลังจะหมดอายุ (v) ความสามารถของบริษัทในการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลกำไรที่ยั่งยืนและกระแสเงินสดที่เป็นบวก (vi) ความสามารถของบริษัทในการเรียกเก็บเงินลูกหนี้ระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับโครงการในตะวันออกกลาง (vii) ความสามารถของบริษัทในการตีความการเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบและกฎหมายภาษี (viii) ความสามารถของบริษัทในการใช้การนำการสูญเสียการดำเนินงานสุทธิไปหักกลบ (ix) การกลับรายการรายได้และกำไรที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้อันเป็นผลมาจากการประมาณการที่ไม่ถูกต้องซึ่งทำขึ้นเกี่ยวกับการรับรู้รายได้ “ล่วงเวลา” ของบริษัท (x) ความล้มเหลวของบริษัทในการสร้างและรักษาการควบคุมภายในที่มีประสิทธิผลต่อการรายงานทางการเงิน (xi) ช่วงเวลาของการรับคำสั่งซื้อ การดำเนินการ การจัดส่ง และการยอมรับสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัท (xii) ความสามารถของบริษัทในการเจรจาข้อตกลงการเรียกเก็บเงินตามความคืบหน้าสำหรับสัญญาขนาดใหญ่ของบริษัทได้สำเร็จ (xiii) การกำหนดราคาเชิงรุกโดยคู่แข่งที่มีอยู่และการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ในตลาดที่บริษัทดำเนินงาน (xiv) ความสามารถของบริษัทในการผลิตสินค้าที่ปราศจากข้อบกพร่องที่แฝงอยู่ และการกู้คืนจากซัพพลายเออร์ที่อาจจัดหาวัสดุที่มีข้อบกพร่องให้กับบริษัท (xv) การลดหรือยกเลิกคำสั่งซื้อที่รวมอยู่ใน Backlog ของบริษัท (xvi) ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เฉพาะเจาะจงกับการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศของบริษัท (xvii) ความสามารถของบริษัทในการดึงดูดและรักษาผู้บริหารระดับสูงและบุคลากรสำคัญไว้ (xviii) ความสามารถของบริษัทในการบรรลุผลประโยชน์ที่คาดหวังจากการริเริ่มการเติบโต (xix) ผลกระทบของโรคระบาดและวิกฤตสาธารณสุขอื่นๆ ต่อบริษัทและการดำเนินงานของบริษัท และ (xx) ผลกระทบของภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่อระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท ผู้ถือหุ้น นักลงทุนที่มีศักยภาพ และผู้อ่านรายอื่นๆ ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบในการประเมินคำแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า และไม่ควรพึ่งพาคำแถลงการณ์ดังกล่าวมากเกินไป คำแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าที่ระบุไว้ในที่นี้จัดทำขึ้นเฉพาะในวันที่เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เท่านั้น และเราไม่มีข้อผูกมัดที่จะต้องอัปเดตคำแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ใดๆ ต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นผลจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่นๆ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของเราสามารถดูได้จากเอกสารที่เรายื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถดูได้ที่ https://www.sec.govและภายใต้ส่วนของศูนย์นักลงทุนในเว็บไซต์ของเรา (http://investors.permapipe.com.)

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

 ติดต่อ

 David Mansfield ประธานและซีอีโอ
 Perma-Pipe นักลงทุนสัมพันธ์
 847.929.1200
 investor@permapipe.com

 ที่มา: Perma-Pipe International Holdings, Inc.

AWS เปิดตัว Region โครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย

Logo

 AWS Asia Pacific (Thailand) Region ช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นในการรันปริมาณงานและจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัยในประเทศไทย พร้อมทั้งให้บริการผู้ใช้ปลายทางด้วยเวลาแฝงต่ำ

 Region ใหม่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวของ AWS ในการตอบสนองความต้องการบริการคลาวด์ที่สูงในประเทศไทยและทั่วเอเชียแปซิฟิก

 AWS วางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และรองรับตำแหน่งงานที่เทียบเท่าแบบเต็มเวลาโดยเฉลี่ยมากกว่า 11,000 ตำแหน่งต่อปีในประเทศไทย ซึ่งจะเพิ่ม GDP ของประเทศไทยประมาณ 10 พันล้านเหรียญสหรัฐ

 ลูกค้าปัจจุบันที่ยังใช้งานในประเทศไทยและทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ 2C2P, Ascend Money, Bank of Ayudhya, Big Data Institute, The Center of Excellence in Digital and AI for Mental Health, Charoen Pokphand Group, Dailitech, Digital Government Development Agency, ECV, G-Able, KASIKORN Business-Technology Group, Metro Systems, NTT DATA, Stock Exchange of Thailand และอื่นๆ อีกมากมายที่สร้างสรรค์นวัตกรรมบน AWS

ซีแอตเทิล–(BUSINESS WIRE)–08 มกราคม 2025

Amazon Web Services, Inc. (AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com, Inc. (NASDAQ: AMZN) ได้ประกาศเปิดตัว AWS Asia Pacific (Thailand) Region แล้ววันนี้ ขณะนี้นักพัฒนา สตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ และองค์กรต่างๆ รวมถึงภาครัฐ สถาบันการศึกษา และองค์กรไม่แสวงหากำไรจะมีทางเลือกมากขึ้นในการเรียกใช้แอปพลิเคชัน และให้บริการผู้ใช้ปลายทางจากศูนย์ข้อมูล AWS ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นระยะยาว AWS วางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในประเทศไทย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AWS Global Infrastructure โปรดไปที่ aws.amazon.com/about-aws/global-infrastructure.

AWS ประเมินว่าการก่อสร้างและการดำเนินการอย่างต่อเนื่องของ AWS Region ใหม่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศไทยประมาณ 10 พันล้านเหรียญสหรัฐ และรองรับตำแหน่งงานที่เทียบเท่าแบบเต็มเวลาโดยเฉลี่ยมากกว่า 11,000 ตำแหน่งในธุรกิจภายนอกต่อปี งานเหล่านี้รวมถึงงานก่อสร้าง การบำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวก วิศวกรรม โทรคมนาคม และงานอื่นๆ ภายในเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ จะเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของ AWS ในประเทศไทย

“ดิฉันขอขอบคุณ Amazon Web Services ที่ได้ลงทุนในการพัฒนาศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย” Paetongtarn Shinawatra นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยกล่าว “ดิฉันรู้สึกยินดีที่บริษัทชั้นนำระดับโลกแห่งหนึ่งยอมรับศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทย ดิฉันหวังว่า AWS จะมีบทบาทสำคัญในการร่วมมือกับรัฐบาลในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นสังคมดิจิทัลที่ครอบคลุมมากขึ้น และขยายการเข้าถึงบริการดิจิทัลสำหรับประชาชนทุกคน”

“เรายังคงเห็นการนำระบบคลาวด์ไปใช้อย่างรวดเร็วทั่วทั้งเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากลูกค้าจำนวนมากขึ้นปลดล็อกศักยภาพของระบบคลาวด์ที่ครอบคลุม เชื่อถือได้ และปลอดภัยมากที่สุดในโลก” Prasad Kalyanaraman รองประธานฝ่ายบริการโครงสร้างพื้นฐานของ AWS กล่าว “AWS Region ใหม่ในประเทศไทยจะช่วยให้ลูกค้าในทุกอุตสาหกรรมสามารถปรับใช้แอปพลิเคชันขั้นสูงที่มีชุดเทคโนโลยี AWS ที่หลากหลาย ซึ่งนำเสนอทั้งความสามารถหลักบนคลาวด์ เช่น การประมวลผล พื้นที่การจัดเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ และเครือข่าย รวมถึงบริการที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว เช่น ปัญญาประดิษฐ์ และแมชชีนเลิร์นนิง ด้วยการเปิดตัวในวันนี้ AWS รู้สึกภูมิใจที่ได้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทย และช่วยเร่งบทบาทในการเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคด้านปัญญาประดิษฐ์”

ด้วยการเปิดตัว AWS Asia Pacific (Thailand) Region ทำให้ AWS มี Availability Zone ทั้งหมด 111 แห่งใน 35 ภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ พร้อมประกาศแผนที่จะเปิดตัว Availability Zone เพิ่มอีก 15 แห่งและ AWS Region เพิ่มอีก 5 แห่งในเม็กซิโก นิวซีแลนด์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ไต้หวัน และ AWS European Sovereign Cloud AWS Region ประกอบด้วย Availability Zone ที่วางโครงสร้างพื้นฐานในที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่แยกจากกันและแตกต่างกัน AWS Asia Pacific (Thailand) Region ประกอบด้วย Availability Zone 3 แห่งที่อยู่ห่างกันเพียงพอที่จะรองรับความต่อเนื่องทางธุรกิจของลูกค้า แต่ใกล้พอที่จะให้เวลาแฝงต่ำสำหรับแอปพลิเคชันที่มีความพร้อมใช้งานสูงที่ใช้หลาย Availability Zone ซึ่ง Availability Zone แต่ละแห่งมีแหล่งพลังงาน การระบายความร้อน และการรักษาความปลอดภัยทางกายภาพที่แยกจากกัน และเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายเวลาแฝงที่ต่ำเป็นพิเศษ ลูกค้า AWS ที่เน้นความพร้อมใช้งานสูงสามารถออกแบบแอปพลิเคชันของตนให้ทำงานใน Availability Zone หลายแห่งเพื่อให้ทนทานต่อความผิดพลาดได้ดียิ่งขึ้น ลูกค้า AWS ที่เน้นความพร้อมใช้งานสูงสามารถออกแบบแอปพลิเคชันให้ทํางานในหลาย ๆ Availability Zone และในหลาย region เพื่อให้เกิดความทนทานต่อความผิดพร่องได้ดียิ่งขึ้น

AWS นำเสนอบริการที่หลากหลายและครอบคลุมที่สุด รวมถึงการวิเคราะห์ การประมวลผล ฐานข้อมูล อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง generative AI แมชชีนเลิร์นนิง บริการมือถือ พื้นที่จัดเก็บข้อมูล และเทคโนโลยีคลาวด์อื่นๆ ลูกค้าตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงองค์กรต่าง ๆ องค์กรภาครัฐ และองค์กรไม่แสวงผลกำไรจะสามารถใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำของโลกเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ตอบสนองความต้องการด้านถิ่นที่อยู่ของข้อมูล ลดเวลาแฝงลง และตอบสนองความต้องการบริการคลาวด์ในประเทศไทยและทั่วเอเชียแปซิฟิก

 ลูกค้าและคู่พันธมิตร AWS ยินดีต้อนรับ AWS Region ในประเทศไทย

องค์กรต่างๆ ทั่วอาเซียนและในประเทศไทยเป็นหนึ่งในลูกค้าหลายล้านรายที่ใช้งาน AWS ในกว่า 190 ประเทศทั่วโลก องค์กรต่างๆ ในประเทศไทยเลือกใช้ AWS เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขับเคลื่อนความคุ้มค่าด้านต้นทุน และเร่งเวลาออกสู่ตลาด ลูกค้าชาวไทยที่ใช้ AWS ได้แก่ 2C2P, Ascend Money, Bank of Ayudhya, Charoen Pokphand Group (CP Group) และ KASIKORN Business-Technology Group ลูกค้าภาครัฐของประเทศไทยใช้ AWS เพื่อช่วยขับเคลื่อนการประหยัดต้นทุนและให้บริการประชาชนในท้องถิ่นได้ดียิ่งขึ้น ลูกค้าเหล่านี้ได้แก่ Big Data Institute (BDI), Digital Government Development Agency, Center of Excellence in Digital and AI for Mental Health (AIMET) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดเล็กของไทย เช่น BODA Technology & Consultancy, BOTNOI Group, Flow Account, Pomelo Fashion และ Sunday Technology กำลังสร้างบน AWS เพื่อขยายตัวอย่างรวดเร็วในระดับประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก

Bank of Ayudhya Public Company Limited หนึ่งในธนาคารชั้นนำของประเทศไทย อาศัย AWS เพื่อรับมือกับความท้าทายเฉพาะ เช่น การยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า การปรับปรุงการเข้าถึงทางการเงิน และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ธนาคารใช้บริการคลาวด์ของ AWS รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูล แมชชีนเลิร์นนิง และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและปรับปรุงกระบวนการต่างๆ “ในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์เชิงกลยุทธ์ของเรา AWS มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนโปรแกรมคลาวด์ของกรุงศรี ซึ่งให้บริการแก่ผู้คนมากกว่า 12 ล้านคน ด้วย Thailand Region สิ่งนี้จะขยายความร่วมมือระหว่างกรุงศรีและ AWS ได้อย่างมาก และจะขยายความเป็นไปได้อย่างมีนัยสำคัญ” Pochara Vanaratseath หัวหน้าฝ่ายไอที Bank of Ayudhya Public Company Limited กล่าว

Charoen Pokphand Group (CP Group) เป็นกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการเกษตร อาหาร การค้าปลีก โทรคมนาคม และอีคอมเมิร์ซในกว่า 21 ประเทศ CP Group ใช้ AWS เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ปรับขนาดอย่างรวดเร็ว ปรับปรุงความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลใหม่ๆ และสร้างสรรค์นวัตกรรมในหน่วยธุรกิจที่หลากหลาย “การลงทุนของ AWS ครั้งนี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนและปรับปรุงคุณภาพชีวิต” Thanasorn Jaidee ประธาน True Internet Data Center (True IDC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ CP Group กล่าว “ภูมิภาคใหม่จะช่วยให้เราสามารถเร่งความคิดริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ยกระดับความปลอดภัยของข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และพัฒนาโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เรามุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน AWS ในท้องถิ่นนี้เพื่อให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย”

KASIKORN Business-Technology Group (KBTG) ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 โดยเป็นหน่วยงานด้านเทคโนโลยีของ KASIKORNBANK ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศไทย โดยใช้บริการ AWS ในการให้บริการแอปพลิเคชันมากกว่า 400 แอปพลิเคชัน เพื่อให้ลูกค้าทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างสะดวก ง่ายดาย และครอบคลุมมากขึ้น “การใช้ AWS ถือเป็นกลยุทธ์ที่เปลี่ยนแปลงเกมสำหรับเรา ทำให้เราสามารถสร้างความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมฟินเทคได้” Tawan Jithavech ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ KBTG กล่าว “เราเลือกใช้ AWS เพราะมีบริการที่หลากหลาย มีความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในโซลูชันคลาวด์ และความคล่องตัวที่สามารถช่วยให้เราขยายขนาดการดำเนินงานได้ ด้วย AWS Thailand Region ใหม่ เราจะสามารถปรับปรุงเวลาตอบสนองของเครือข่ายได้อย่างง่ายดาย สามารถซิงโครไนซ์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่งมอบบริการทางการเงินที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และพร้อมใช้งานมากที่สุดในโลก”

หน่วยงานภาครัฐของไทยอย่าง Big Data Institute (BDI) กำลังเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์ม National Big Data ซึ่งช่วยให้หน่วยงานของรัฐสามารถกำหนดนโยบายที่มีข้อมูลเพียงพอเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ BDI เปิดตัวโครงการบูรณาการข้อมูลหลายโครงการ รวมถึง Health Link, Travel Link และแพลตฟอร์ม Thai Large Language Model (Thai LLM) ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลและประโยชน์ใช้สอยของข้อมูลทั่วทั้งภาคส่วน “ด้วยการเปิดตัว AWS Thailand Region ใหม่ เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะประกาศว่า Big Data Institute จะย้าย Health Link ซึ่งเป็นบริการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพแบบกระจายศูนย์ของเราไปยังศูนย์ข้อมูลของ AWS ในประเทศไทย” Dr. Tiranee Achalakul ประธานและซีอีโอของ BDI กล่าว “Health Link พร้อมที่จะให้การดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพโดยให้เข้าถึงบันทึกสุขภาพได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องจัดเก็บข้อมูลที่ละเอียดอ่อนไว้ที่ศูนย์กลาง เราเลือก AWS เป็นผู้ให้บริการคลาวด์หลักของเรา เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่ขึ้นชื่อในเรื่องความปลอดภัย แข็งแกร่ง และปรับขนาดได้สูง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนด้านวิศวกรรมและการให้คำปรึกษาที่ยอดเยี่ยม ขณะที่เราขยายฐานผู้ใช้ Health Link การรักษาสภาพแวดล้อมการปฏิบัติงานที่มั่นคง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพจะเป็นสิ่งสำคัญ และเรารู้ว่าเราสามารถทำเช่นนั้นได้ด้วย AWS”

The Stock Exchange of Thailand (SET) เป็นสถานที่ซื้อขายหลักทรัพย์หลักของประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ1975 โดยมีแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ที่รองรับผู้ใช้มากกว่า 3.6 ล้านคน AWS มอบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่แข็งแกร่ง ปรับขนาดได้สูง และเวลาแฝงต่ำให้กับ SET สำหรับแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ที่สามารถตอบสนองข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวดได้ “ด้วยจำนวนนักลงทุนดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น จึงมีความจำเป็นที่ SET จะต้องปรับตัวให้เข้ากับความต้องการใหม่ๆ ของตลาดอย่างรวดเร็ว และนำเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตนี้” Thirapun Sanpakit รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายไอทีของ Stock Exchange of Thailand กล่าว “การใช้ AWS สำหรับแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ของ SET ช่วยให้เราปรับขนาดเพื่อรองรับผู้ใช้งานพร้อมกัน 500,000 รายได้อย่างงายดาย ในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพในการดำเนินงานสูงสุด ด้วย AWS ภูมิภาคใหม่ในประเทศไทย“ “การใช้ AWS สำหรับแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ของ SET ช่วยให้เราปรับขนาดเพื่อรองรับผู้ใช้พร้อมกัน 500,000 รายได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพการดำเนินงานสูงสุดไว้ ด้วย AWS Thailand Region ใหม่ เราจะขยายข้อเสนอข้อมูลตลาดที่มีเวลาแฝงต่ำเพื่อยกระดับประสบการณ์การซื้อขายของนักลงทุนของเราให้ดียิ่งขึ้น”

AWS Partner Network (APN) ประกอบด้วยผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์อิสระ (ISV) และผู้รวมระบบ (SI) หลายหมื่นรายทั่วโลก คู่ค้าของ AWS สร้างโซลูชันและบริการที่เป็นนวัตกรรมบน AWS และ APN โดยให้การสนับสนุนด้านธุรกิจ เทคนิค การตลาด และการเข้าสู่ตลาดแก่ลูกค้า AWS ISVs พันธมิตรด้านเทคโนโลยี SIs และพันธมิตรที่ปรึกษา ช่วยให้ลูกค้าองค์กรและภาครัฐสามารถโยกย้ายไปยัง AWS ปรับใช้แอปพลิเคชันที่สำคัญต่อภารกิจ และให้บริการการตรวจสอบ ระบบอัตโนมัติ และการจัดการอย่างเต็มรูปแบบสำหรับสภาพแวดล้อมระบบคลาวด์ของลูกค้า พันธมิตร AWS ในประเทศไทย ได้แก่ Com7, Dailitech, Dakok, Deloitte, Fujitsu, G-Able, Inteltion, Metro Systems, MFEC, NTT DATA, SiS Distribution, SoftwareOne, True IDC และ Yip in Tsoi & Co., Ltd. สำหรับรายชื่อพันธมิตร AWS ทั้งหมด โปรดไปที่ aws.amazon.com/partners.

Dailitech เป็นบริษัทเทคโนโลยีของไทยที่เชี่ยวชาญด้านโซลูชันข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ โดยมุ่งเน้นที่พื้นฐานของเครือข่าย ความปลอดภัย และการโยกย้ายแอปพลิเคชันไปยังคลาวด์ของ AWS “การเปิดตัว AWS Asia Pacific (Thailand) Region จะช่วยเพิ่มความสามารถของ Dailitech ในการเร่งสร้างนวัตกรรมและปรับปรุงประสิทธิภาพให้กับลูกค้าของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมาก” Dr. Vit Niennattrakul กรรมการผู้จัดการ Dailitech กล่าว “เรายังภูมิใจและตื่นเต้นที่การขยายตัวของ AWS ในครั้งนี้จะช่วยตอกย้ำตำแหน่งของประเทศไทยในฐานะผู้เล่นหลักในเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค และจะช่วยปลดล็อกศักยภาพอันยิ่งใหญ่สำหรับธุรกิจไทยและคนไทย”

NTT DATA ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ NTT Group ระดับโลก เป็นผู้ให้บริการด้านไอทีชั้นนำ พวกเขาร่วมมือกับ AWS เพื่อเสนอบริการการโยกย้าย การจัดการ และการเพิ่มประสิทธิภาพบนคลาวด์ให้กับธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย NTT DATA ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือของ AWS เพื่อช่วยลูกค้าเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และสร้างนวัตกรรมในด้านต่างๆ เช่น IoT และการวิเคราะห์ข้อมูล “การลงทุนเชิงกลยุทธ์ของ AWS ครั้งนี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนในวงกว้าง” Sutas Kongdumrongkiat ซีอีโอประจำประเทศไทย กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์ของ NTT DATA กล่าว “AWS Thailand Region ใหม่จะช่วยให้เราสามารถนำเสนอโซลูชันคลาวด์ที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เวลาแฝงต่ำ และอำนาจอธิปไตยของข้อมูลที่แข็งแกร่งขึ้นให้กับลูกค้าของเรา ในฐานะพันธมิตรของ AWS ที่มีมายาวนาน เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นนี้เพื่อเร่งนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านต่างๆ เช่น IoT เมืองอัจฉริยะ และอุตสาหกรรม 4.0 การพัฒนานี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางดิจิทัลและส่งเสริมโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ”

 การลงทุนในประเทศไทย

AWS Asia Pacific (Thailand) ใหม่เป็นการลงทุนล่าสุดอย่างต่อเนื่องของ AWS ในประเทศไทย เพื่อมอบบริการคลาวด์ขั้นสูงและปลอดภัยแก่ลูกค้า พร้อมด้วยโปรแกรมทักษะ การฝึกอบรม และการมีส่วนร่วมของชุมชน ตั้งแต่ปี 2020 AWS ได้เปิดตัว Amazon CloudFront Edge หกแห่งในประเทศไทย ซึ่งช่วยเร่งการส่งมอบข้อมูล วิดีโอ แอปพลิเคชัน และ API ไปยังผู้ใช้ทั่วโลกด้วยเวลาแฝงต่ำและความเร็วในการถ่ายโอนสูง ในปี 2020 AWS ได้เปิดตัว AWS Outposts ในประเทศไทยเพื่อส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานและบริการของ AWS ไปยังตำแหน่งในองค์กรหรือ Edge แทบทุกแห่งเพื่อประสบการณ์ไฮบริดที่สอดคล้องกันอย่างแท้จริง ในปี 2022 AWS ได้เพิ่มการลงทุนในประเทศไทยด้วยการเปิดตัว AWS Local Zones ในกรุงเทพ AWS Local Zones เป็นหนึ่งในบริการการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานของ AWS ที่จัดวางการประมวลผล พื้นที่จัดเก็บ ฐานข้อมูล และบริการอื่น ๆ ที่เลือกสรรไว้ใกล้กับประชากรจำนวนมากและศูนย์กลางอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำให้ลูกค้าสามารถส่งมอบแอปพลิเคชันที่ต้องใช้เวลาแฝงเป็นหน่วยมิลลิวินาทีให้กับผู้ใช้ปลายทางได้

ตั้งแต่ปี 2017 AWS ได้ฝึกอบรมทักษะระบบคลาวด์ให้กับบุคคลมากกว่า 50,000 คนในประเทศไทย AWS ยังคงลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะของนักพัฒนา นักศึกษา และผู้นำด้านไอทีรุ่นต่อไปในประเทศไทยด้วยทักษะระบบคลาวด์ที่เป็นที่ต้องการผ่าน AWS Skills to Jobs Tech Alliance และโปรแกรม AWS Training & Certification เช่น AWS AcademyAWS ยังได้เปิดตัวโปรแกรม “เทคโนโลยีเพื่ออนาคตดิจิทัล” ในประเทศไทยเพื่อมอบทักษะการประมวลผลบนคลาวด์ขั้นพื้นฐานให้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอาชีวศึกษาเกี่ยวกับพื้นฐานคลาวด์ในภาษาไทย AWS Academy มอบหลักสูตรการประมวลผลบนคลาวด์ที่พร้อมสอนฟรีแก่สถาบันอุดมศึกษาทั่วโลก เพื่อเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับการรับรอง AWS ที่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมและงานด้านระบบคลาวด์ที่เป็นที่ต้องการ ปัจจุบัน AWS Academy เปิดสอนหลักสูตรในมหาวิทยาลัยมากกว่า 30 แห่งในประเทศไทย รวมถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสยาม และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งครอบคลุมถึงพื้นฐานด้านคลาวด์ สถาปัตยกรรมคลาวด์ การดำเนินการคลาวด์ การพัฒนาคลาวด์ และวิศวกรรมข้อมูล รวมถึงการรับรองเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับแมชชีนเลิร์นนิง ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และสาขาอื่นๆ นับตั้งแต่เปิดตัวโปรแกรมนี้ มีนักเรียนมากกว่าหนึ่งล้านคนได้รับการฝึกอบรมจาก AWS Academy ทั่วโลก นับตั้งแต่เปิดตัวโปรแกรม มีนักเรียนมากกว่าหนึ่งล้านคนได้รับการฝึกอบรมจาก AWS Academy ทั่วโลก

 ความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน

Amazon มุ่งมั่นที่จะเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้นและบรรลุคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในการดําเนินงานภายในปี 2040 ซึ่งเร็วกว่าข้อตกลงปารีสถึง 10 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ The Climate Pledge Amazon ได้ร่วมก่อตั้ง The Climate Pledge และกลายเป็นผู้ลงนามรายแรกในปี 2019

AWS มุ่งมั่นทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบศูนย์ข้อมูล การลงทุนในชิปที่สร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ และสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยเทคโนโลยีระบายความร้อนใหม่ๆ รายงานของ Accentureซึ่งได้รับมอบหมายจาก AWS ประเมินว่าโครงสร้างพื้นฐานของ AWS มีประสิทธิภาพสูงกว่าโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์กรถึง 4.1 เท่า และเมื่อปริมาณงานได้รับการปรับให้เหมาะสมบน AWS ก็จะสามารถลดปริมาณคาร์บอนที่เกี่ยวข้องได้มากถึง 99% ด้วย AWS Asia Pacific (Thailand) Region ใหม่ของ AWS ลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากความพยายามด้านความยั่งยืนของ AWS ทั่วทั้งโครงสร้างพื้นฐาน หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความพยายามด้านความยั่งยืนของ AWS โปรดไปที่ aws.amazon.com/about-aws/sustainability.

 เกี่ยวกับ Amazon Web Services

ตั้งแต่ปี 2006 Amazon Web Services ได้กลายเป็นระบบคลาวด์ที่ครอบคลุมและได้รับการนำไปใช้งานอย่างกว้างขวางที่สุดในโลก AWS ได้ขยายบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับปริมาณงานทุกรูปแบบ และปัจจุบันมีบริการอย่างเต็มรูปแบบกว่า 240 รายการ สำหรับการประมวลผล การจัดเก็บข้อมูล ฐานข้อมูล ระบบเครือข่าย การวิเคราะห์ แมชชีนเลิร์นนิง และปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) อุปกรณ์พกพา ความปลอดภัย ไฮบริด สื่อ และการพัฒนาแอปพลิเคชัน การปรับใช้ และการจัดการ Availability Zones 111 แห่ง ภายใน 35 ภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ พร้อมแผนที่ประกาศไว้สำหรับ Availability Zones อีก 15 แห่ง และอีก 5 AWS Regions ในเม็กซิโก นิวซีแลนด์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ไต้หวัน และ AWS European Sovereign Cloud ลูกค้าหลายล้านราย รวมไปถึงสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด องค์กรขนาดใหญ่ที่สุด และหน่วยงานภาครัฐชั้นนำ ต่างไว้วางใจให้ AWS ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานให้มีความคล่องตัวมากขึ้น และลดต้นทุน หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ AWS โปรดไปที่ aws.amazon.com.

 เกี่ยวกับ Amazon

Amazon ยึดหลักการ 4 ประการ ได้แก่ การยึดมั่นในตัวของลูกค้าเป็นที่ตั้งมากกว่าการมุ่งเน้นไปที่คู่แข่ง ความหลงใหลในการประดิษฐ์คิดค้น ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน และการคิดถึงอนาคตในระยะยาว Amazon มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากที่สุดในโลก เป็นนายจ้างที่ดีที่สุดของโลก และสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยที่สุดในโลก Customer reviews,1-Click shopping, คำแนะนำส่วนบุคคล, Prime, Fulfillment by Amazon, AWS, Kindle Direct Publishing, Kindle, Career Choice, Fire tablets, Fire TV, Amazon Echo, Alexa, เทคโนโลยี Just Walk Out, Amazon Studios และ The Climate Pledge คือบางสิ่งที่ Amazon เป็นผู้ริเริ่ม หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ amazon.com/aboutและติดตาม @AmazonNews.

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Contacts

 Amazon.com, Inc.
 สายด่วนสื่อ
 Amazon-pr@amazon.com
 www.amazon.com/pr

 ที่มา: Amazon.com, Inc.