Category Archives: Technology

ก้าวสู่เวทีระดับโลก: AITO จัดแสดงรถยนต์ SUV อัจฉริยะระดับไฮเอนด์ที่งาน Paris Motor Show 2024

Logo

AITO เข้าร่วมงาน Paris Motor Show ครั้งที่ 90 โดยนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์รุ่นล่าสุดภายใต้แนวคิด “Intelligence Redefining Luxury” ซึ่งภายในงานมีการจัดแสดงรถยนต์ 3 รุ่น ได้แก่ AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ซึ่งเน้นย้ำถึงการผสมผสานระหว่าง “ความหรูหราแบบดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” ของแบรนด์ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีขั้นสูง การขับขี่อัจฉริยะ และคุณสมบัติความปลอดภัยที่ครอบคลุม โดยสะท้อนถึงความอเนกประสงค์สำหรับสถานการณ์การขับขี่ที่แตกต่างกัน การมาถึงของ AITO ในงานแสดงสินค้า ณ กรุงปารีสนี้เป็นจุดสิ้นสุดของ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ซึ่งเป็นการเดินทางยาวนาน 38 วันในระยะทางประมาณ 15,000 กิโลเมตร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของรถยนต์ของแบรนด์

ปารีส–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

AITO แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์ เข้าร่วมงาน Paris Motor Show 2024 โดยจัดแสดงรถยนต์ไฟฟ้าระบบขยายระยะ (REEVs) ระดับหรู 3 รุ่น โดยผสมผสาน “ความหรูหราดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” เข้าด้วยกัน AITO เปิดตัวแนวคิดหรูหราใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางอัจฉริยะชั้นนำให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก AITO นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมต่างๆ เช่น AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 พร้อมด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF และเทคโนโลยีตัวขยายระยะทางพิเศษ ซึ่งเปิดตัวภายใต้แนวคิด “Intelligence Redefining Luxury”

Eurasian Tour with AITO (Photo: Business Wire)

ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO (ภาพ: Business Wire)

“ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” เป็นการเดินทางสำรวจระยะทางประมาณ 15,000 กิโลเมตรจากโรงงาน AITO ในเมืองฉงชิ่งก่อนที่ AITO จะมาถึงงาน Paris Motor Show โดยการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของรถ AITO รุ่นต่างๆ ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและท้าทาย ตั้งแต่บริเวณโรงงานไปจนถึงงานแสดงรถยนต์ ขบวนรถซึ่งประกอบด้วยรถยนต์ AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 เดินทางผ่าน 12 เมืองเป็นเวลา 38 วัน โดยมีเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะของ AITO ที่จัดการกับระยะทางกว่า 8,800 กิโลเมตร เพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ตลอดการเดินทาง

AITO 9 ซึ่งเป็นรถยนต์ SUV อัจฉริยะรุ่นเรือธงที่ใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากระหว่างการเดินทาง โดยต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสภาพถนนที่เลวร้าย อุณหภูมิที่รุนแรง และภูมิประเทศที่ยากลำบาก ตั้งแต่ภูเขาสูงไปจนถึงทะเลทรายที่แห้งแล้ง ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ครอบคลุม ความสามารถของ AITO 9 จึงได้รับทดสอบอย่างเข้มงวดในหลายมิติ AITO 9 ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคและตลาด โดยมียอดสั่งซื้อสะสมกว่า 140,000 คัน และส่งมอบแล้ว 100,000 คันภายในระยะเวลา 9 เดือนหลังจากเปิดตัว จนทำให้ขณะนี้ AITO 9 มียอดขายอยู่ในอันดับ 3 เมื่อเทียบกับรุ่นที่มีราคาสูงกว่า 60,000 ยูโรในตลาดรถหรูของจีน

AITO 7 เป็นรถยนต์ SUV ขนาดใหญ่ที่เน้นความสะดวกสบายและปรับให้เข้ากับสถานการณ์การเดินทางของครอบครัวอย่างราบรื่น รถยนต์รุ่นนี้ได้รับคำชมอย่างมากใน “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ในเรื่องของความกว้างขวางและความสะดวกสบาย โดยมาพร้อมเบาะนั่งแบบไร้แรงโน้มถ่วง พร้อมด้วยฟังก์ชันนวดที่นั่งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าระหว่างการเดินทาง รถคันนี้ผลิตจากเหล็กที่ขึ้นรูปด้วยความร้อนระดับเดียวกับที่ใช้ในเรือดำน้ำ โดยมาพร้อมกับถุงลมนิรภัย 8 จุดเป็นมาตรฐาน และแบตเตอรี่ที่มีฉนวนกันความร้อนเกรดการบิน 5 ชั้นเพื่อความปลอดภัยภายใต้ทุกสภาวะ

AITO 5 เป็นรถสปอร์ต SUV ขนาดกลางที่มีสไตล์สำหรับการขับขี่ในเมืองและมอบสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม โดดเด่นด้วยการออกแบบสไตล์สปอร์ตพร้อมรูปทรงที่สะอาดตาและทรงพลัง ผลิตจากโครงสร้างอะลูมิเนียมอัลลอยด์ทั้งหมด พร้อมปีกนกคู่ที่ด้านหน้าและระบบกันสะเทือนอิสระแบบมัลติลิงก์ด้านหลัง ซึ่งช่วยให้การควบคุมรถยอดเยี่ยมขณะที่ยังมีโครงสร้างน้ำหนักเบา สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 5 วินาที AITO 5 มอบสมรรถนะที่น่าประทับใจในระหว่างการเดินทางผ่านยุโรปตะวันออก ทีมงานได้สัมผัสกับช่วงเวลาที่เร้าใจหลังพวงมาลัย ในด้านฟีเจอร์อัจฉริยะ รถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับระบบช่วยการขับขี่ รวมถึงฟังก์ชันการจอดอัตโนมัติ การช่วยจอดจากระยะไกล และการถอยหลังแบบติดตาม เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่

ประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์อันยอดเยี่ยมของ AITO ขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF ที่มีความหลากหลายและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเพียงหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมที่สามารถรองรับตัวเลือกพลังงานแบบขยายระยะทางพิเศษ พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ และพลังงานไฮบริดอัลตรา โดยมีคุณสมบัติหลัก 4 ประการ ได้แก่ ความปลอดภัยอัจฉริยะ ระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย พื้นที่ห้องโดยสารที่ปรับเปลี่ยนได้ และเทคโนโลยีอัจฉริยะระดับชั้นนำ แพลตฟอร์มนี้เป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีตัวขยายระยะทางพิเศษ ด้วยประสิทธิภาพความร้อนที่น่าประทับใจที่ 45% และอัตราการแปลงเชื้อเพลิงเป็นไฟฟ้าชั้นนำในอุตสาหกรรมที่ 3.65 kWh/L เทคโนโลยีขยายระยะทางพิเศษจะปรับสมดุลพลังงานไฟฟ้าแบบ NVM ที่ปรับให้เหมาะสม เพื่อการขับขี่ในเมืองที่ราบรื่นและเงียบสงบ พร้อมกับการเติมเชื้อเพลิงระยะไกล นอกจากนี้ยังปรับกลยุทธ์การสร้างพลังงานตามพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้ เพื่อให้มั่นใจว่ามีการผสมผสานที่เหมาะสมระหว่างความสะดวกสบายและความประหยัดอีกด้วย

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54135079/en

ข้อมูลติดต่อ

Joanna Gong
gongqiong@dsconsulting.com

ที่มา: AITO




จากพื้นโรงงานถึงงานแสดงรถ: ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” เดินทางถึงปารีส

Logo

AITO ซึ่งเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์จากประเทศจีน นำความหรูหราแบบดั้งเดิมมาผสมผสานเข้ากับความหรูหราทางเทคโนโลยีเพื่อมอบประสบการณ์ในการเดินทางแบบอัจฉริยะแก่ผู้บริโภคทั่วโลก ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ซึ่งประกอบด้วย AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ได้เดินทางเป็นเวลา 38 วันซึ่งกินระยะทางถึง 15,000 กิโลเมตรจากเมืองฉงชิ่งสู่ปารีสเพื่อแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของรถที่มีทั้งความยอดเยี่ยมและเชื่อถือได้ โดย AITO ได้แสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีภายใต้ธีม “ความอัจฉริยะที่นิยามถึงความหรูหรา” ซึ่งประกอบด้วยแพลตฟอร์ม AITO MF ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเทคโนโลยี Super Range-extender ในงาน Paris Motor Show ปี 2024

ปารีส–(BUSINESS WIRE)–26 ตุลาคม 2024

จากพื้นโรงงานถึงงานแสดงรถ ขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับAITO” ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์รุ่น AITO 9, AITO 7 และ AITO 5 ได้เดินทางข้ามจากเอเชียถึงยุโรปเป็นระยะทางถึง 15,000 กิโลเมตรใน 38 วัน ผ่าน 12 ประเทศก่อนที่จะเข้าสู่ปารีสเพื่อร่วมงาน Paris Motor Show ครั้งที่ 90

Press Conference (Photo: Business Wire)

งานแถลงข่าว (ภาพ: Business Wire)

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา AITO ได้แสดงไลน์อัปผลิตภัณฑ์ชั้นนำของอุตสาหกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีภายใต้ธีม “ความอัจฉริยะที่นิยามถึงความหรูหรา” แก่ผู้ชมทั่วโลก โดยมี AITO 9 คันพิเศษหนึ่งเดียวซึ่งเป็นสมาชิกหลักของขบวนรถ “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ร่วมแสดงในงานด้วย การเดินทางอันยาวนานจากเมืองฉงชิ่งสู่ปารีสของรถแบรนด์นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของรถยนต์ AITO รุ่นต่างๆ ในสภาพถนนที่มีความซับซ้อนและในสภาพแวดล้อมสุดหฤโหด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภูมิภาคที่มีโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จไฟที่จำกัด แน่นอนว่าการรักษาแหล่งพลังที่เชื่อถือได้เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยากที่สุดสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ในระหว่างทริป “ทัวร์ยูเรเซียกับ AITO” ที่กินเวลานานนี้ แต่เทคโนโลยี Range-extender ของ AITO ก็สามารถเอาชนะข้อจำกัดในการชาร์จไฟไปพร้อมๆ กับมอบประสบการณ์ในการขับขี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยเทคโนโลยีนี้แก้ปัญหาความกังวลเรื่องระยะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้สามารถขับขี่ได้ไกลเป็นพิเศษ คุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุม อาทิเช่น โครงสร้างตัวถังที่แข็งแรง ฉนวนแบตเตอรี่ 5 ชั้น และฟังก์ชันความปลอดภัยเชิงรุกถึง 20 ฟังก์ชัน ช่วยให้ตลอดการเดินทางในครั้งนี้มีความปลอดภัยบนท้องถนนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

เทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะของ AITO ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความจำเป็นในการลดภาระและความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่เมื่อต้องเดินทางไกล โดยเข้ามาช่วยจัดการการขับขี่ถึง 8,800 กิโลเมตรจากระยะทางทั้งหมด 15,000 กิโลเมตร ยิ่งไปกว่านั้น ระบบจอดอัจฉริยะของ AITO ยังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่หลากหลาย โดยมีโหมดจอดรถหลากหลายโหมดให้เลือกใช้ ซึ่งสามารถขับผ่านพื้นที่จอดรถแคบๆ ได้สบาย และด้วยโหมดช่วยจอดรถระยะไกล ผู้ขับขี่สามารถเลือกจุดจอดแล้วปล่อยให้รถเข้าจอดเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งฟีเจอร์นี้เป็นฟีเจอร์ที่ผู้คนในท้องถิ่นให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องตลอดการเดินทาง

ประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์จาก AITO ล้วนมีรากฐานมาจากแพลตฟอร์ม AITO MF ที่มีความสามารถรอบด้านและได้รับการพัฒนาอยู่เสมอ ซึ่งมอบคุณสมบัติหลักๆ 4 ด้าน ได้แก่ ความปลอดภัยอัจฉริยะ ระบบส่งกำลังที่มีความหลากหลาย พื้นที่ห้องโดยสารที่ปรับเปลี่ยนได้ และระบบอัจฉริยะชั้นนำ แพลตฟอร์มนี้รองรับตัวเลือกด้านพลังงานหลายแบบ ได้แก่ ระบบไฟฟ้า Super Range-extended, ระบบไฟฟ้าแบตเตอรี่ และอัลตร้าไฮบริด อีกทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มเดียวในอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ร่วมกับระบบพลังงานใหม่ทั้ง 3 แบบ จึงให้ประสบการณ์ในการขับขี่ที่ “ขับสนุก สะดวกสบาย และปลอดภัย” แก่ผู้บริโภค

เทคโนโลยี Super Range-extender ที่ได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์ม AITO MF ให้ประสิทธิภาพเชิงความร้อนเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นถึง 45% และมีอัตราการแปลงเชื้อเพลิงเป็นไฟฟ้าอยู่ที่ 3.65 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ลิตร เทคโนโลยีนี้ปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ขับขี่ได้ทุกประเภท ซึ่งจะให้พลังงานไฟฟ้าสำหรับการขับขี่ในเมือง และสามารถเติมเชื้อเพลิงสำหรับการเดินทางข้ามเมืองได้สะดวก การมอบ “สมรรถนะเท่ากันโดยใช้เชื้อเพลิงเพียงครึ่งเดียว” ให้พลังงานเทียบเท่ากับเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบ 3.0T ดั้งเดิม ประสบการณ์ในการขับขี่จะไม่ต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ซึ่งมาพร้อมกับห้องโดยสารที่เงียบ การเร่งความเร็วที่ราบรื่น และการบังคับรถที่ตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานภายนอกระหว่างตั้งแคมป์กลางแจ้งได้อีกด้วย เทคโนโลยีนี้ยังปรับแต่งการสร้างพลังงานตามพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้ โดยจะปรับ NVH (เสียงรบกวน การสั่นสะเทือน และความกระด้าง) และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงให้เหมาะสม เพื่อการเดินทางที่นุ่มนวลและประหยัดค่าใช้จ่าย

คุณภาพที่โดดเด่นของรถยนต์จาก AITO เกิดขึ้นจากการผลิตอัจฉริยะขั้นสูง AITO ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นกรรมสิทธิ์หลัก โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการเชื่อมต่ออุปกรณ์การผลิตกับข้อมูล ด้วยหุ่นยนต์มากกว่า 3,000 ตัวและกระบวนการสำคัญที่ใช้ระบบอัตโนมัติ 100% ช่วยให้โรงงานที่ล้ำสมัยมีการผลิตที่มีประสิทธิภาพในระดับแถวหน้าของอุตสาหกรรม โดยรองรับการผลิตที่ยืดหยุ่น โปร่งใส เป็นแบบอัตโนมัติ เชื่อมโยงถึงกัน และเป็นระบบอัจฉริยะ ในฐานะบริษัทแรกที่นำเครื่องจักรหล่อฉีดไดแคสต์ระดับ 10,000 ตันมาใช้ในการผลิต AITO รับประกันว่าการผลิตมีประสิทธิภาพ มีน้ำหนักเบา และปลอดภัย ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพและผลผลิตของผลิตภัณฑ์

ในฐานะแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับไฮเอนด์จากจีน AITO เป็นผู้บุกเบิกแนวหน้าด้านรถยนต์พลังงานใหม่อัจฉริยะ ซึ่งมาพร้อมกับแนวคิดด้านความหรูหราแบบใหม่ที่ผสมผสาน “ความหรูหราแบบดั้งเดิมและความหรูหราทางเทคโนโลยี” เพื่อมอบประสบการณ์ในการเดินทางแบบอัจฉริยะชั้นนำแก่ผู้บริโภคทั่วโลก

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54135078/en

ข้อมูลติดต่อ

Joanna Gong
gongqiong@dsconsulting.com

ที่มา: AITO





MidOcean Energy ของ EIG ดำเนินการซื้อหุ้นเพิ่ม 15% ใน Peru LNG จาก Hunt Oil Company เสร็จสิ้นแล้ว

Logo

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–24 ตุลาคม 2024

MidOcean Energy (ต่อจากนี้เรียกว่า “MidOcean” หรือ “บริษัท”) บริษัทแก๊สธรรมชาติเหลว (LNG) ที่จัดตั้งและบริหารจัดการโดย EIG สถาบันลงทุนชั้นนำในภาคส่วนพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ประกาศในวันนี้ว่าได้ดำเนินการตามข้อตกลงที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ในการซื้อหุ้นเพิ่มอีก 15% ใน Peru LNG (“PLNG”) จาก  Hunt Oil Company (ต่อจากนี้เรียกว่า “Hunt”) จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว

ขณะนี้ หุ้นของ MidOcean ใน PLNG จึงคิดเป็น 35% โดยที่ Hunt จะยังคงเป็นผู้ดำเนินงานของ PLNG

PLNG เป็นเจ้าของและดำเนินงานเฉพาะโรงงานส่งออก LNG ในอเมริกาใต้ ซึ่งตั้งอยู่ใน Pampa Melchorita ห่างจากทางใต้ของกรุงลิมา ประเทศเปรู 170 กิโลเมตร สินทรัพย์ของ PLNG ประกอบด้วยโรงงานแปรสภาพแก๊สธรรมชาติให้เหลวที่มีขีดความสามารถในการแปรสภาพที่ 4.45 ล้านตันต่อปี (mmtpa), ระบบสายท่อ 408 กิโลเมตรภายใต้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ที่มีความสามารถอยู่ที่ 1,290 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (mmcf/d), ถังจัดเก็บขนาด 130,000 ลูกบาศก์เมตร (m3) จำนวน 2 ถัง, สถานีขนส่งทางทะเลภายใต้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ 1.4 กิโลเมตร และสถานที่บรรจุลงรถที่มีขีดความสามารถสูงสุดที่ 19.2 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (mmcf/d) PLNG อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ Hunt และเป็นหนึ่งในโรงงานผลิต LNG จำนวนเพียง 2 แห่งในลาตินอเมริกา

Morgan Stanley ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ MidOcean โดยเฉพาะเกี่ยวกับการทำธุรกรรมครั้งนี้ และ Latham & Watkins ก็เป็นผู้ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย โดยที่ Bracewell LLP ทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ Hunt

เกี่ยวกับ MidOcean Energy

MidOcean Energy บริษัท LNG ที่จัดตั้งและบริหารจัดการโดย EIG มุ่งเป้าสร้างกลุ่มหลักทรัพย์ LNG ในระดับสากลที่มีความหลากหลาย ยืดหยุ่น และสามารถแข่งขันด้านต้นทุนและการปล่อยคาร์บอน ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อของ EIG ที่เชื่อว่า LNG เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเอื้อในการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานและเชื่อว่าความสำคัญของ LNG ในฐานะแหล่งพลังงานเชิงกลยุทธ์ภูมิรัฐศาสตร์จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ MidOcean Energy อยู่ภายใต้การบริหารของ De la Rey Venter ผู้ชำนาญการในอุตสาหกรรมเป็นระยะเวลา 26 ปีที่เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงมาอย่างหลากหลาย รวมถึง Global Head of LNG ที่ Shell Plc.

เกี่ยวกับ EIG

EIG เป็นสถาบันลงทุนชั้นนำในภาคส่วนพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกที่มีมูลค่า 24.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายใต้การบริหารจัดการ ณ วันที่ 30 มิถุนายน โดย EIG มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านการลงทุนเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก ตลอดระยะเวลา 42 ปีที่ดำเนินการมา EIG ลงทุนไปกว่า 48.6 พันล้านดอลลาร์ในภาคส่วนพลังงานผ่าน 413 โครงการหรือบริษัทใน 42 ประเทศ 6 ทวีป ลูกค้าของ EIG รวมถึงบริษัทประกันบำนาญ ประกันชีวิต ประกันสะสมทรัพย์ มูลนิธิ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป สำนักงานใหญ่ของ EIG อยู่ในวอชิงตัน ดี.ซี. และมีสำนักงานอยู่ในฮิวสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ รีโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล

เกี่ยวกับ Hunt Oil Company

Hunt ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1934 และเป็นหนึ่งในบริษัทเอกเทศที่เป็นเจ้าของโดยเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา บริษัทจัดตั้งอยู่ในแดลลัส รัฐเท็กซัส ซึ่งมีสถานที่ปฏิบัติการหลักอยู่ในเปรู สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเคอร์ดิสถานในอิรัก รวมถึงมีโครงการสำรวจในตูนิเซียและโมร็อกโก โดย Hunt นั้นเป็นบริษัทสำรวจที่ดำเนินการในระดับนานาชาติและได้ทำการขุดเจาะมาแล้วในทุกทวีป ยกเว้นแอนตาร์กติกา

หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่เว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com หรือเว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อ EIG/MidOcean
FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

ข้อมูลติดต่อ Hunt
Paul Schulze
+1 214-978-8534
publicaffairs@huntconsolidated.com

แหล่งที่มา: EIG

Tabreed คว้ารางวัลใหญ่ในสิงคโปร์ที่งาน Asian Power Awards ปี 2024

Logo

  • บริษัทได้รับรางวัลใหญ่สองรางวัลสําหรับโครงการริเริ่มที่ก้าวล้ำล่าสุดในด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพหมุนเวียนและความก้าวหน้าด้านประสิทธิภาพที่พลิกโฉม

อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–25 ตุลาคม 2024

Tabreed บริษัทระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ชั้นนําของโลกได้รับเกียรติจากงานประกาศรางวัล Asian Power Awards ประจําปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่สิงคโปร์ในสัปดาห์นี้ คณะกรรมการยกย่องให้ Tabreed เป็นแชมป์ด้านการทําความเย็นที่ยั่งยืนมาอย่างยาวนาน จึงมอบรางวัลสําคัญสองรางวัลให้กับบริษัท: 'โครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพแห่งปี – ทองคํา' และ 'โครงการริเริ่มระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์แห่งปี – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์'

Tabreed Wins Big in Singapore at the 2024 Asian Power Awards (Photo: AETOSWire)

Tabreed คว้ารางวัลใหญ่ในสิงคโปร์ที่งาน Asian Power Awards ปี 2024 (รูป: AETOSWire)

Asian Power Awards เป็นงานประกาศรางวัลอันทรงเกียรติที่ยกย่องโครงการและความคิดริเริ่มที่ล้ำสมัยและสร้างสรรค์โดยบริษัทกำลังและพลังงาน งานประกาศรางวัลนี้จัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติผู้ที่ได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเพื่อจัดการกับผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศขณะเดียวกันก็ตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น Irshad Hussain รองประธานฝ่ายโครงการซึ่งเป็นตัวแทนของ Tabreed รับทั้งสองรางวัลในคืนนั้น

โครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพแห่งปี

Tabreed เป็นผู้นําด้านการทําความเย็นอย่างยั่งยืนด้วยโครงการความร้อนใต้พิภพ 'G2COOL' ในเมืองมาสดาร์ อาบูดาบี ร่วมกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ADNOC โดยเริ่มดําเนินการในเดือนธันวาคม ปี 2023 โดยโรงงานนวัตกรรมแห่งนี้ใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพในการให้บริการทําความเย็นและบูรณการกับเครือข่ายทําความเย็นแบบรวมศูนย์ที่มีอยู่เดิม โดยเป็นโรงงานทําความเย็นแบบรวมศูนย์แห่งแรกในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ช่วยลดคาร์บอนในการทําความเย็นในเมืองมาสดาร์ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์พลังงานแห่งชาติปี 2050 ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

โรงงานแห่งนี้ใช้น้ำร้อนจากแหล่งความร้อนใต้พิภพที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินเพื่อจ่ายไฟให้กับเครื่องทําความเย็นแบบดูดซึมพิเศษ ซึ่งให้ประสิทธิภาพทางไฟฟ้าที่น่าประทับใจที่ 0.5 ถึง 0.55 กิโลวัตต์ต่อตันทําความเย็น (RT) เมื่อเทียบกับ 0.85 กิโลวัตต์ต่อตันทำความเย็นทั่วไปในระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์ทั่วไป พลังงานความร้อนใต้พิภพก่อให้เกิดการปล่อยมลพิษน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีการแบบดั้งเดิม ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการกระจายแหล่งพลังงานและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล

โครงการริเริ่มระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์แห่งปี – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

รางวัลนี้เป็นเกียรติแก่การศึกษานําร่องที่โรงงานแห่งหนึ่งของ Tabreed ในอาบูดาบี ซึ่งร่วมมือกับ HT Materials Science (HTMS) ของไอร์แลนด์ เพื่อสํารวจศักยภาพของเทคโนโลยีนาโนฟลูอิดที่ปฏิวัติวงการที่เรียกว่า 'Maxwell' ซึ่งได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อปรับปรุงการถ่ายเทความร้อน Tabreed ค้นพบว่าการใช้ Maxwell ในลูปน้ำเย็นทําให้ประสิทธิภาพของระบบทําความเย็นเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจประมาณ 15%

Maxwell ตั้งชื่อตาม James Clerk Maxwell นักวิทยาศาสตร์ผู้บุกเบิกที่พัฒนาแนวคิดของของเหลวนาโนเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 เป็นวิศวกรรมการแขวนลอยของอนุภาคอะลูมิเนียมออกไซด์ขนาดเล็กกว่าไมครอนในของเหลวฐานพื้นฐานที่เป็นน้ำหรือน้ำ/ไกลคอล ('นาโนฟลูอิด') ซึ่งเป็นสารเติมแต่งแบบดรอปอินสําหรับระบบทําความเย็นและทําความร้อน ซึ่งทํางานโดยเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อนในระบบทําความเย็นโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนหรือเปลี่ยนอุปกรณ์

 Khalid Al Marzooqi ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Tabreed กล่าวว่ารางวัลเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจที่สําคัญว่าการแสวงหาการดําเนินงานที่ยั่งยืนของบริษัทเป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นที่มีต่ออนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น “การแสวงหาประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเราไม่มีขีดจํากัด” “เราเป็นผู้นําอุตสาหกรรมที่สําคัญนี้ด้วยแนวทางที่เป็นนวัตกรรมของเรา ซึ่งเราไม่ละเลยแม้แต่น้อยในการลดการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผมภูมิใจมากกับสิ่งที่ทุกคนใน Tabreed ประสบความสําเร็จ และการได้รับเกียรติจากรางวัลเหล่านี้เป็นการยอมรับถึงขั้นตอนสําคัญที่เรากําลังดําเนินการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการก่อสร้าง”

ก่อนหน้านี้ Tabreed ได้ประกาศเป้าหมายที่จะขยายการดำเนินงานในระดับนานาชาติ โดยมุ่งเน้นไปที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะ บริษัทซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1998 และดําเนินกิจการอยู่ใน 6 ประเทศโดยมีพอร์ตโฟลิโอของโรงงานระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันมีจำนวน 91 แห่งเนื่องจากหลายประเทศประสบกับผลกระทบจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นความต้องการระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในฐานะผู้นําระดับโลกด้านระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์อย่างยั่งยืน การดําเนินงานของ Tabreed สามารถป้องกันการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายล้านตันด้วยการประหยัดพลังงานอย่างมาก

เกี่ยวกับ Tabreed:

Tabreed ให้บริการระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์ที่จําเป็นและยั่งยืนให้กับโครงการสำคัญต่างๆ ในตะวันออกกลางและเอเชีย ซึ่งเป็นแรงผลักดันหลักในการพัฒนาผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมทั่วโลกสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ก่อตั้งขึ้นในปี 1998 และจดทะเบียนในตลาดการเงินดูไบ เป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ด้วยการดำเนินงานที่กว้างขวางระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพที่เป็นผู้นําในอุตสาหกรรม โปรแกรมการวิจัยและพัฒนา  และการลงทุนในเทคโนโลยี AI ทำให้ Tabreed เป็นผู้นําระดับโลกในอุตสาหกรรมระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์ นอกเหนือจากระบบทําความเย็นแบบรวมศูนย์แล้ว บริการด้านประสิทธิภาพพลังงานของ Tabreed ยังช่วยขยายผลกระทบต่อความยั่งยืนของบริษัท ช่วยให้ธุรกิจและองค์กรต่างๆ ปรับปรุงการใช้พลังงานโดยรวมได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

LinkedIn

*ที่มา: AETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54141284/en

ติดต่อ

Samer Al Tawil
ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดและการมีส่วนร่วม
saltawil@tabreed.ae

Kevin Hackett
ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสื่อสารภายนอก
khackett@tabreed.ae

ที่มา: Tabreed

Toshiba เปิดตัวโฟโตรีเลย์สําหรับยานยนต์ที่มีเอาต์พุตที่ทนต่อแรงดันไฟฟ้า 900V บรรจุมาในแพ็คเกจขนาดเล็ก

Logo

-เหมาะสำหรับระบบแบตเตอรี่ยานยนต์ 400V-

คาวาซากิ ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–24 ตุลาคม 2024

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“Toshiba”) ได้เปิดตัวโฟโตรีเลย์สําหรับยานยนต์[1] รุ่น “TLX9150M” ที่มีเอาต์พุตที่ทนต่อแรงดันไฟฟ้า 900V (นาที) ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสําหรับการใช้งานในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า 400V โฟโตรีเลย์ตัวใหม่จะบรรจุอยู่ในแพ็คเกจ SO12L-T ขนาดเล็ก โดยเริ่มจัดส่งในปริมาณมากได้แล้ววันนี้

Toshiba: TLX9150M, an automotive photorelay with output withstand voltage of 900V, housed in a small package (Graphic: Business Wire)

Toshiba: โฟโตรีเลย์ TLX9150M สําหรับยานยนต์ที่มีเอาต์พุตที่ทนต่อแรงดันไฟฟ้า 900V บรรจุมาในแพ็คเกจขนาดเล็ก (ภาพ: Business Wire)

ยานพาหนะไฟฟ้า (EV) ใช้แบตเตอรี่ที่มีความจุสูงและแรงดันไฟฟ้าที่สูงขึ้นในการปรับปรุงระยะทางขับขี่ เวลาในการชาร์จ และระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS) ให้ดีขึ้น เพื่อตรวจสอบและจัดการแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่องซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานและได้ประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ยังช่วยตรวจสอบฉนวนระหว่างแบตเตอรี่และตัวถังรถเพื่อให้มีความปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ จึงใช้โฟโตรีเลย์ที่มีฉนวนไฟฟ้าในระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS) ที่ต้องจัดการกับไฟฟ้าแรงสูง

โฟโตรีเลย์ที่ใช้กันทั่วไปในระบบแบตเตอรี่ต้องมีความทนต่อแรงดันไฟฟ้าประมาณสองเท่าของแรงดันไฟฟ้าของระบบ ด้วยเหตุนี้ เอาต์พุตที่ทนต่อแรงดันไฟฟ้าที่มากกว่า 800V จึงเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับระบบ 400V TLX9150M เหมาะสำหรับระบบ 400V เนื่องจากมีเอาต์พุตที่ทนต่อแรงดันไฟฟ้าที่ 900V นอกจานี้ยังใช้แพ็คเกจ SO12L-T ใหม่ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า[2]แพ็คเกจ SO16L-T ของ Toshiba กว่า 25% ด้วย ซึ่งช่วยให้แบตเตอรี่มีขนาดเล็กลงและช่วยลดต้นทุนได้ ระยะพินและเลย์เอาต์ของพินจะเหมือนกับรุ่น SO16L-T ซึ่งช่วยให้ออกแบบรูปแบบแผงวงจรทั่วไปได้ง่ายขึ้น

หมายเหตุ:
[1] ในโฟโตรีเลย์ ด้านหลัก (ควบคุม) และด้านรอง (สวิตช์) จะถูกแยกจากกันทางไฟฟ้า สวิตช์ที่เชื่อมต่อโดยตรงกับสายไฟ AC และสวิตช์ระหว่างอุปกรณ์ที่มีศักย์ไฟฟ้าที่พื้นดินต่างกันสามารถควบคุมได้โดยใช้แผงกั้นฉนวน
[2] การเปรียบเทียบขนาดแพ็คเกจ SO16L-T (10.3×10.0×2.45 มม.) กับขนาดแพ็คเกจ SO12L-T (7.76×10.0×2.45 มม.)

การใช้งาน

อุปกรณ์ยานยนตร์

  • ระบบการจัดการแบตเตอรี่: การตรวจสอบแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ การตรวจจับการติดรีเลย์ทางกล การตรวจจับการลัดวงจรลงดิน ฯลฯ
  • การเปลี่ยนรีเลย์ทางกล

คุณสมับติ

  • เอาต์พุตที่ทนต่อแรงดันไฟฟ้า: VOFF=900V(นาที)
  • อุปกรณ์แบบปกติเปิด (1-Form-A)
  • พิกัดกระแสการพังทลาย: IAV=0.6mA
  • แรงดันไฟแยกสูง: 5000Vrms (นาที)
  • ผ่านการรับรอง AEC-Q101
  • สอดคล้องตามมาตรฐานสากล IEC 60664-1

ข้อมูลจำเพาะหลัก

(เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น Ta=25°C)

หมายเลขชิ้นส่วน

TLX9150M

หน้าสัมผัส

1a

ระดับค่าสูงสุดสัมบูรณ์

กระแสตกคร่อม IF (mA)

30

กระแสไฟขณะเปิด ION (mA)

50

อุณหภูมิในการทํางาน Topr (°C)

-40 ถึง 125

กระแสการพังทลาย IAV (mA)

0.6

ค่าทางไฟฟ้า

กระแสไฟขณะปิด

IOFF (nA)

VOFF=900V

สูงสุด

100

เอาต์พุตที่ทนต่อแรงดันไฟฟ้า VOFF (V)

IOFF=10μA

ต่ำสุด

900

เงื่อนไขการใช้งานที่แนะนํา

แรงดันไฟฟ้า VDD (V)

สูงสุด

720

ค่าทางไฟฟ้าคู่

กระแสไฟ LED ขาจ่าย IFT (mA)

ION=50mA

สูงสุด

3

กระแสไฟ LED ขากลับ IFC (mA)

Ta=-40 to 125°C

ต่ำสุด

0.05

ความต้านทานขณะเปิด

RON (Ω)

ION=50mA, IF=10mA, t<1s

สูงสุด

250

ค่าการสลับ

เวลาเปิดใช้งาน tON (ms)

สูงสุด

1

เวลาปิดใช้งาน tOFF (ms)

สูงสุด

1

ค่าการแยกจากกัน

แรงดันไฟฟ้าแยก BVS (Vrms)

ต่ำสุด

5000

ระยะห่างในอากาศ (มม.)

ต่ำสุด

8

ระยะห่างตามผิวฉนวน (มม.)

ต่ำสุด

8

แพ็คเกจ

ชื่อ

SO12L-T

ขนาด (มม.)

ประเภท

7.76×10.0×2.45

ตรวจสอบสต็อกและจัดซื้อ

ซื้อออนไลน์

ไปที่ลิงค์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่
TLX9150M

ไปที่ลิงค์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวแยกและโซลิดสเตตรีเลย์ของ Toshiba
ตัวแยก/โซลิดสเตตรีเลย์

ไปที่ลิงค์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุปกรณ์ยานยนต์ของ Toshiba
อุปกรณ์ยานยนต์

หากต้องการตรวจสอบความพร้อมจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตัวแทนจําหน่ายออนไลน์ โปรดไปที่:
TLX9150M

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง
* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจําเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาของบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ประกาศ แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation เป็นซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์และการจัดเก็บข้อมูลขั้นสูง ซึ่งใช้ประสบการณ์และนวัตกรรมกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ ระบบ LSIs และ ระบบ HDD อันโดดเด่นให้กับลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจของเรา

พนักงานจำนวน 24,000 คนทั่วโลกของเรามีความตั้งใจที่จะเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ของเราให้ถึงระดับสูงสุด และให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับลูกค้า เพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์มูลค่าและตลาดใหม่ ๆ ร่วมกัน บริษัทตั้งตารอที่จะได้สร้างและมีส่วนร่วมเพื่ออนาคตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54138510/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สอบถามข้อมูลลูกค้า
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์ออปโตอิเล็กทรอนิกส์
โทร: +81-44-548-2218
ติดต่อเรา

สอบถามข้อมูลสื่อ:
Chiaki Nagasawa
ฝ่ายการตลาดดิจิทัล
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

แหล่งข้อมูล: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
 

ไฮเทราเปิดตัววิทยุใส่ซิม PoC ซีรีส์ P5 สำหรับการสื่อสารระหว่างการเคลื่อนที่

Logo

เซินเจิ้น, ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–22 ตุลาคม 2024

ไฮเทรา คอมมูนิเคชั่นส์ (SZSE : 002583) ผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและโซลูชันระดับมืออาชีพ ได้เปิดตัววิทยุแบบกดเพื่อพูดผ่านเครือข่ายโทรศัพท์หรือวิทยุใส่ซิม (Push-to-Talk over Cellular : PoC) รุ่นล่าสุด P5 Series ซึ่งประกอบด้วยรุ่น P50 และ P50 Pro ที่โดดเด่นด้วยการผสมผสานความทนทาน ความง่ายต่อการใช้งาน เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้เป็นโซลูชันการสื่อสารที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสื่อสารและการทำงานร่วมกันของบุคลากรในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น การรักษาความปลอดภัย โลจิสติกส์ และการขนส่ง

Hytera's newly released PoC P5 Series Radio (Graphic: Business Wire)

วิทยุ PoC P5 Series รุ่นใหม่ของไฮเทรา (กราฟิก : Business Wire)

วิทยุใส่ซิม PoC P5 Series ที่ติดตั้งเสาอากาศแบบโมโนโพลระดับมืออาชีพ (professional monopole antenna) ให้ประสิทธิภาพสัญญาณที่ยอดเยี่ยม รับรองการสื่อสารแบบการกดเพื่อพูด (push-to-talk) ที่เชื่อถือได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นใจ ตัวอย่างเช่น ในย่านความถี่ Band 5 นั้น วิทยุ P5 Series มีค่า TRP (Total Radiated Power) ที่ 18.5 dBm และค่า TIS (Total Isotropic Sensitivity) ที่ -93.5 dBm ทำให้สามารถเชื่อมต่อได้ในพื้นที่ที่มีสัญญาณอ่อน ด้วยกำลังส่งขนาด 3 วัตต์ และอัลกอริธึมตัดเสียงรบกวนขั้นสูง วิทยุนี้ให้เสียงที่คมชัดแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง ด้วยการประมวลผลเสียงแบบแบนด์กว้าง ที่มีอัตราการชักตัวอย่าง (sampling rate) ที่ 16 kHz และช่วงความถี่ตั้งแต่ 20 Hz ถึง 8 kHz P5 Series สามารถผลิตซ้ำเสียงที่มีความชัดเจนเป็นพิเศษ ทำให้แน่ใจได้ว่า การโทรด้วยเสียงจะเป็นไปอย่างแม่นยำ

P5 Series ได้รับการออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ ปุ่มหมุนระดับมืออาชีพที่มักพบในวิทยุสื่อสารสองทางแบบดั้งเดิม ช่วยให้สามารถสลับกลุ่มและแจ้งเตือนด้วยเสียงได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้สามารถโฟกัสกับงานที่กำลังทำ มาพร้อมจอแสดงผลขนาดใหญ่ ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงฟีเจอร์ที่ใช้บ่อยได้อย่างรวดเร็ว เช่น การโทรด้วยเสียงและข้อความกลุ่ม ฟีเจอร์ Quick Group ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างหรือเข้าร่วมกลุ่มได้ทันที เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเป็นทีม P50 Series รองรับฟีเจอร์การโคลนผ่าน Wi-Fi สำหรับการคัดลอกการตั้งค่าอย่างรวดเร็วระหว่างวิทยุหลายเครื่อง และทำให้สมาชิกในทีมพร้อมที่จะทำงานร่วมกันได้ทันที

เนื่องจากสร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่สุด วิทยุ PoC P5 Series จึงมีการป้องกันฝุ่นและน้ำที่มาตรฐาน IP68 การออกแบบที่ทนทานรวมถึงผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด เช่น หัวต่อเสียงแบบ 9 พินที่ทนทาน และพอร์ต Type-C กันน้ำ ให้ความน่าเชื่อถือในการใช้งานระยะยาว วิทยุนี้สร้างขึ้นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องมือที่เชื่อถือได้ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ตั้งแต่ไซต์ก่อสร้างไปจนถึงสถานประกอบการอุตสาหกรรมที่อยู่ห่างไกล

P5 Series ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ Hytera HyTalk ได้อย่างราบลื่น เพื่อการใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น Lone Worker (บุคลากรที่ทำงานคนเดียว) และ Man Down (ระบบแจ้งเตือนคนล้ม) เพื่อความปลอดภัยในที่ทำงาน เครื่องมือการจัดการ เช่น PoC Manager และ Smart MDM ทำงานร่วมกับ P5 Series เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันและเพื่อการจัดการของบุคลากรเคลื่อนที่

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิทยุ PoC P5 Series ของไฮเทรา โปรดเยี่ยมชม : https://www.hytera.com/en/product-new/lte-broadband/poc-radios.html

เกี่ยวกับไฮเทรา

ไฮเทรา คอมมูนิเคชั่นส์ คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด (SZSE : 002583) เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นการสื่อสารระดับมืออาชีพชั้นนำระดับโลก ด้วยความสามารถด้านเสียง วิดีโอ และข้อมูล เราให้การเชื่อมต่อที่รวดเร็ว ปลอดภัย และมีความหลากหลายมากขึ้นสำหรับธุรกิจและผู้ใช้งานที่สำคัญ เราช่วยให้ลูกค้าของเราบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้นทั้งในการดำเนินงานประจำวันและการตอบสนองฉุกเฉิน เพื่อทำให้โลกมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54140218/en

ข้อมูลติดต่อ
lele.yao@hytera.com

แหล่งที่มา : Hytera Communications

I Squared ประกาศการเข้าซื้อกิจการสถานีเก็บน้ำมัน Philippines Coastal ในอ่าวซูบิก ประเทศฟิลิปปินส์

Logo

มะนิลา, ฟิลิปปินส์ และไมอามี–(BUSINESS WIRE)–23 ตุลาคม 2024

I Squared Capital ประกาศในวันนี้ว่า ได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการ Philippines Coastal Storage & Pipeline Corporation และบริษัทในเครือ

Philippines Coastal terminal at Subic Bay. (Photo: Business Wire)

สถานี Philippines Coastal ที่อ่าวซูบิก (ภาพ : Business Wire)

Philippines Coastal ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวซูบิก (Subic Bay Freeport Zone) และให้บริการในระเบียงเศรษฐกิจลูซอน (Luzon Economic Corridor : LEC) เป็นสถานีนำเข้าอิสระที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ ด้วยความจุ 6.3 ล้านบาร์เรล Philippines Coastal มีความจุในการเก็บน้ำมันนำเข้าสูงกว่า 20% ของประเทศ

Philippines Coastal มีบทบาทสำคัญในการรับประกันว่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงเหลวเข้าสู่ประเทศจะเป็นไปอย่างมั่นคงและเชื่อถือได้ โดยตอบสนองความต้องการของผู้จัดจำหน่ายสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่และผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์อื่น ๆ ด้วยท่าเทียบเรือน้ำลึกและทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ จึงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมในการให้บริการแก่ตลาดในเขตเมโทรมะนิลา (metro Manila) และลูซอนเหนือ และเป็นสถานีที่ผู้ประกอบการรายใหญ่เลือกใช้ในการนำเข้าเชื้อเพลิงเข้าประเทศ Philippines Coastal ได้รับประโยชน์จากสัญญาแบบจ่ายหรือรับ (take or pay contract) ที่คิดค่าเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐ กับลูกค้าที่มีความน่าเชื่อถือทางเครดิตสูง ซึ่งบริษัทมีความสัมพันธ์อันยาวนาน

ในเดือนเมษายน 2024 ประธานาธิบดีไบเดน นายกรัฐมนตรีคิชิดะแห่งญี่ปุ่น และประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์แห่งฟิลิปปินส์ ได้จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระเบียงเศรษฐกิจลูซอน เพื่อสนับสนุนการเชื่อมต่อระหว่างอ่าวซูบิก คลาร์ก (Clark) มะนิลา และบาตังกัส (Batangas) ในฟิลิปปินส์ Philippines Coastal ซึ่งตั้งอยู่ที่อ่าวซูบิก จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการลงทุนในอนาคตใน LEC

Harsh Agrawal หุ้นส่วนอาวุโสของ I Squared กล่าวว่า “Philippines Coastal เป็นสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นของฟิลิปปินส์ ด้วยการขยายตัวของเมืองและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น จากชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตในฟิลิปปินส์ ความต้องการเชื้อเพลิงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราเห็นโอกาสเชิงกลยุทธ์ในการขยายขีดความสามารถของสินทรัพย์เพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นนี้ และเพื่อกระจายไปสู่การจัดเก็บเชื้อเพลิงชีวภาพและเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน”

ตั้งแต่ปี 1993 Philippines Coastal ได้ดำเนินการสถานีภายใต้สัญญาเช่าระยะเวลา 50 ปี กับหน่วยงานบริหารอ่าวซูบิก (Subic Bay Metropolitan Authority : SBMA) โดยมีสิทธิ์ในการขยายสัญญาเช่าออกไปอีก 15 ปี Philippines Coastal ครอบคลุมพื้นที่กว่า 160 เฮกตาร์ มีถังเก็บน้ำมัน 91 ถังสำหรับเชื้อเพลิงประเภทต่าง ๆ มีท่าเทียบเรือสองท่า โดยท่าเทียบเรือหลักสามารถรองรับเรือขนาดกลางประเภท 1 ได้ (Medium Range 1 ขนาดไม่เกิน 50,000 DWT) ในขณะที่ท่าเทียบเรือรองเหมาะสำหรับการขนถ่ายสินค้าไปยังเกาะอื่น ๆ ภายในประเทศ

พื้นที่ให้บริการของ Philippines Coastal ครอบคลุมความต้องการเชื้อเพลิงส่วนใหญ่ของฟิลิปปินส์ (มากกว่า 55% ของน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน มากกว่า 35% ของเชื้อเพลิงดีเซล/เบนซิน) และความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน (sustainable fuels) เช่น เอทานอลและไบโอดีเซลจากน้ำมันมะพร้าว

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิลิปปินส์เป็นผู้นำในการผสมเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน (sustainable fuel blending) ในเดือนตุลาคม รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้เพิ่มข้อกำหนดการผสมไบโอดีเซลเป็น 3% ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปัจจุบัน การผสมเอทานอล 20% ในเชื้อเพลิงเบนซินเป็นไปโดยสมัครใจ และรัฐบาลกำลังพิจารณาที่จะทำให้เป็นข้อบังคับในอนาคต Philippines Coastal จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการริเริ่มด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการจัดเก็บเชื้อเพลิงระดับโลก เพื่อเก็บเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน

I Squared ได้ลงนามในข้อตกลงขั้นสุดท้ายเพื่อเข้าซื้อกิจการผ่านกองทุน ISQ Global Growth Market Fund ขณะนี้ I Squared กำลังเข้าซื้อ Philippines Coastal จาก Keppel Infrastructure Trust สิงคโปร์ และ Metro Pacific Investment Corporation ฟิลิปปินส์ การปิดดีลขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทั่วไปบางประการ รวมถึงการอนุมัติด้านการต่อต้านการผูกขาด (anti-trust clearance) ในฟิลิปปินส์ ภายใต้การปฏิบัติตามหรือการยกเว้นเงื่อนไขดังกล่าว (หากมี) คาดว่าจะสามารถปิดดีลในช่วงปลายปี 2024

ที่ปรึกษาทางการเงินของ I Squared สำหรับธุรกรรมนี้คือ Rippledot Capital Advisers Pte Ltd. ที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศคือ Latham & Watkins LLP สิงคโปร์ และที่ปรึกษากฎหมายฟิลิปปินส์คือ Romulo

เกี่ยวกับ I Squared

I Squared เป็นผู้นำในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่เป็นอิสระ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการกว่า 40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เราเป็นที่รู้จักในด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเริ่มต้นจากขนาดเล็กและเติบโตขึ้น เราใช้ข้อมูลเชิงลึกระดับโลกและความเข้าใจในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งเพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ส่งเสริมธุรกิจที่ชาญฉลาดขึ้น ให้บริการชุมชนท้องถิ่น และลงทุนในอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นเพื่อให้บริการที่จำเป็นแก่ผู้คนนับล้านทั่วโลก เรามีทีมงานกว่า 280 คน มีสำนักงานใหญ่ในไมอามี และสำนักงานในอาบูดาบี ลอนดอน มิวนิก นิวเดลี เซาเปาโล สิงคโปร์ ซิดนีย์ และไทเป เราดำเนินงานด้วยพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย ประกอบด้วย 86 บริษัทในกว่า 70 ประเทศ มีพนักงานกว่า 66,000 คน ในหลากหลายภาคส่วน ซึ่งรวมถึงภาคสาธารณูปโภค พลังงาน โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.isquaredcapital.com

ข้อจำกัดความรับผิด

เอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำหรือข้อเสนอแนะหรือข้อเสนอในการขายหรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมในหลักทรัพย์หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินใด ๆ เอกสารจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การลงทุนมีความเสี่ยง อาจสูญเสียเงินต้นได้

การลงทุนเฉพาะที่อธิบายไว้ในที่นี้ไม่ได้แสดงถึงการตัดสินใจลงทุนทั้งหมดที่ ISQ ทำ ผู้อ่านไม่ควรสันนิษฐานว่า การตัดสินใจลงทุนที่ระบุและอภิปรายไว้ในที่นี้ได้หรือจะมีกำไร คำแนะนำการลงทุนจำเพาะที่อ้างอิงจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เพื่อประกอบการอธิบายเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแทนของการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54140447/en

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ :

Dominic McMullan/Shelly Hagan

info@isquaredcapital.com

แหล่งที่มา : I Squared Capital

รายงาน Technology Radar ของ Thoughtworks พบแนวโน้มของเครื่องมือที่ช่วยทำให้ LLM สำหรับการประยุกต์ใช้ AI ในทางปฏิบัติ เป็นเรื่องง่ายขึ้น

Logo

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–23 ตุลาคม 2024

Thoughtworks (NASDAQ : TWKS) บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ผสานกลยุทธ์ การออกแบบ และวิศวกรรมเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ได้เผยแพร่ Technology Radar ฉบับที่ 31 ซึ่งเป็นรายงานรายครึ่งปี ที่กลั่นกรองจากการสังเกต บทสนทนา และประสบการณ์ของคนทำงานใน Thoughtworks ที่ทำหน้าที่แก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อนและท้าทายที่สุดให้กับลูกค้า

รายงานฉบับนี้เน้นย้ำถึงการแพร่หลาย (proliferation) ของเครื่องมือ แพลตฟอร์ม และเฟรมเวิร์ก Generative AI ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบมากขึ้น เรารู้กันดีว่าการสามารถควบคุม 'หน้าต่างบริบท' (context window) หรือการใช้เอาต์พุตที่มีโครงสร้าง (structured output) สามารถลดความเสี่ยงต่าง ๆ จากการใช้ Generative AI ซึ่งสุดท้ายแล้ว สิ่งนี้จะช่วยให้องค์กรอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่จะสามารถใช้ประโยชน์จาก Generative AI ได้อย่างประสบความสำเร็จ

แม้ว่าภูมิทัศน์ที่ขยายตัวของเครื่องมือ Generative AI จะให้ประโยชน์มากมายแก่ผู้ปฏิบัติงาน แต่การจะสำรวจเครื่องมือเหล่านี้ทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก ก็เป็นเรื่องท้าทายเป็นอย่างมาก ดังนั้นในการพิจารณาว่าจะนำเครื่องมือใดมาใช้ Thoughtworks จึงแนะนำให้องค์กรพิจารณากรณีใช้งานที่ต้องการของตนเองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในแง่วัตถุประสงค์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือเหล่านี้จำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับแนวปฏิบัติทางวิศวกรรมที่เชื่อถือได้และได้รับการพิสูจน์แล้ว เพื่อช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะนำไปสู่การมีความน่าเชื่อถือและคุณภาพที่สูง

“แม้ว่า AI ช่วยสร้างและ LLM (โมเดลภาษาขนาดใหญ่) จะกินพื้นที่สนทนาส่วนใหญ่ใน Technology Radar ตามที่เราคาดไว้ แต่ความก้าวหน้าที่รวดเร็วของเครื่องมือ เทคนิค และเฟรมเวิร์กที่เกี่ยวข้องกับ AI จากวงแหวน Trial ไปสู่การใช้งานจริงหลายตัว ก็เป็นการพัฒนาการที่น่าจับตามองในการนำโซลูชัน AI ไปใช้ในระดับ Production” Rachel Laycock ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (Chief Technology Officer) ของ Thoughtworks กล่าว “ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ กำลังพบเครื่องมือ AI จำนวนมากมายที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่สำคัญคือต้องประเมินเครื่องมือเหล่านี้ตามแบบแผนดั้งเดิมของแนวปฏิบัติทางวิศวกรรมที่ดี เพื่อผลักดันการใช้ AI ที่ปลอดภัย โปร่งใส และเชื่อถือได้”

ประเด็นสำคัญในรายงาน Technology Radar ฉบับที่ 31 ประกอบด้วย :

  • รูปแบบการใช้งาน AI ที่ไม่พึงประสงค์ (AI usage antipatterns) : ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ แม้ว่า AI จะเป็นทรัพย์สินที่ทรงพลัง แต่สิ่งสำคัญคือต้องระวังหลุมพรางต่างๆ ในการใช้งาน เช่น การพึ่งพาและเชื่อถือ AI มากเกินไป ปัญหาคุณภาพของโค้ด และการขยายตัวของโค้ด มันสำคัญมากที่จะต้องรักษาการกำกับดูแลโดยมนุษย์และมีแนวปฏิบัติทางวิศวกรรมที่แข็งแกร่ง เพื่อให้แน่ใจว่า AI จะช่วยส่งเสริมแทนที่จะทำให้ความพยายามในการพัฒนาซอฟต์แวร์กลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น การมีแนวทางที่สมดุลจะทำให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพเต็มรูปแบบของ Generative AI ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงต่าง ๆ ได้
  • Rust ยังห่างไกลจากคำว่าขึ้นสนิม: ความนิยมของภาษาโปรแกรมนี้เห็นชัดผ่านการที่เครื่องมือและไลบรารีที่ใช้ Rust มีจำนวนเพิ่มขึ้นในหลากหลายระบบนิเวศ ความสามารถของ Rust ในการให้การประมวลผลที่ 'รวดเร็วดุจสายฟ้า' และลดการติดกับดักต่าง ๆ ทำให้ Rust เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ระบบนิเวศที่แข็งแกร่งและการมีชุมชนนักพัฒนายิ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Rust ในฐานะภาษาโปรแกรมระดับระบบชั้นนำ
  • การเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของ WebAssembly (WASM) : WASM เป็นรูปแบบไบนารีระดับต่ำ (a low-level binary format) สำหรับเครื่องเสมือนแบบใช้สแตก (stack-based virtual machine) ซึ่งมอบวิธีที่ทรงพลังในการรันแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนภายในเว็บเบราว์เซอร์ ด้วยการใช้เครื่องเสมือน JavaScript ที่มี WASM ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อน พกพาได้ และใช้งานข้ามแพลตฟอร์มได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องด้วยเทคโนโลยีนี้มีมาระยะหนึ่งแล้ว เรารู้สึกประหลาดใจที่มีการกล่าวถึงเทคโนโลยีนี้อยู่บ่อยครั้งในการพูดคุยในรายงานฉบับนี้ ซึ่งอาจเป็นการบ่งบอกว่า WASM พร้อมที่จะก้าวกระโดดและปลดล็อกความเป็นไปได้ใหม่ ๆ สำหรับนักพัฒนาและธุรกิจ
  • การเติบโตแบบก้าวกระโดดของระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับ AI : ขณะที่โมเดล AI ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ระบบนิเวศของเครื่องมือ แพลตฟอร์ม และเฟรมเวิร์กสนับสนุนได้มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากนักพัฒนาไม่สามารถปรับเปลี่ยนความสามารถหลักของ Generative AI โดยตรง นักพัฒนาจึงได้สร้างเครื่องมือมากมายเพื่อปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพโซลูชัน AI การพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็วนี้สะท้อนและคล้ายคลึงกับการเติบโตของระบบนิเวศ JavaScript ในปี 2015 ซึ่งบ่งบอกถึงศักยภาพของระบบนิเวศ AI ที่จะเติบโตก้าวหน้าไปยิ่งขึ้น

เยี่ยมชม www.thoughtworks.com/radar เพื่อดูรายงาน Technology Radar ในเวอร์ชันอินเทอร์แอคทีฟ หรือดาวน์โหลดเวอร์ชัน PDF

ทรัพยากรสนับสนุน :             

– ### – <TWKS915>

เกี่ยวกับ Thoughtworks

Thoughtworks เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ผสานกลยุทธ์ การออกแบบ และวิศวกรรมเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล เรามีพนักงาน กว่า 10,500 ราย ในสำนักงาน 48 แห่ง ใน 19 ประเทศ ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี เราได้ร่วมมือกับลูกค้าแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อนโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความโดดเด่นไม่เหมือนใคร

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
 
สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54137452/en

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อมวลชน :

Linda Horiuchi, global head of public relations
อีเมล : linda.horiuchi@thoughtworks.com
โทรศัพท์ : +1 (646) 581-2568

Michelle Surendran, head of public relations for Thoughtworks APAC and India
อีเมล : michels@thoughtworks.com

แหล่งที่มา : Thoughtworks

แก้ไขและแทนที่: Kioxia สาธิต SSD ที่รองรับ Flexible Data Placement พร้อมฐานข้อมูล RocksDB ในงาน OCP Global Summit 2024

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–18 ตุลาคม 2024

บริษัท Kioxia Corporation ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ เตรียมจัดแสดงและสาธิตประสิทธิภาพของ SSD รุ่น KIOXIA XD Series ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Flexible Data Placement (FDP) ซึ่งรองรับฐานข้อมูล RocksDB ในงาน OCP Global Summit 2024 ระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2024 ณ เมืองซานโฮเซ่ สหรัฐอเมริกา ฐานข้อมูล RocksDB โดดเด่นด้วยความสามารถในการค้นหาข้อมูลปริมาณมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและจัดการข้อมูลประวัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในแอปพลิเคชัน AI ช่วยสร้าง (generative AI) และแอปพลิเคชันบนคลาวด์ ฟังก์ชัน FDP ซึ่งถูกกำหนดในข้อเสนอทางเทคนิคของ NVM Express™ TP4146 ช่วยให้สามารถควบคุมการจัดวางข้อมูลภายใน SSD ได้อย่างยืดหยุ่น การจัดการตำแหน่งข้อมูลใน SSD อย่างเหมาะสม โดยปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์โฮสต์และไดรเวอร์อุปกรณ์เพียงเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้อย่างมีนัยสำคัญ

SSD ทำงานตามคำสั่งจากซอฟต์แวร์โฮสต์และไดรเวอร์อุปกรณ์ในการจัดเก็บและลบข้อมูล เมื่อกระบวนการนี้เกิดซ้ำ ๆ อาจเกิดการจัดสรรข้อมูลใหม่ภายใน SSD ซึ่งอาจส่งผลให้ความเร็วในการเข้าถึงลดลงและสิ้นเปลืองรอบการเขียนข้อมูลของหน่วยความจำแฟลชโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะเมื่อการจัดสรรข้อมูลเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การใช้ FDP ช่วยลดปัญหาการจัดสรรข้อมูลใหม่ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้อย่างเต็มที่

การสาธิตในงาน OCP Global Summit จะแสดงให้เห็นถึงการทำงานของฟังก์ชัน FDP ใน SSD สำหรับศูนย์ข้อมูล KIOXIA XD Series NVMe™ พร้อมปลั๊กอินที่พัฒนาโดย Kioxia เพื่อรองรับความสามารถของ FDP ซึ่งได้รับการทดสอบร่วมกับ RocksDB ผลการทดสอบและประเมินอย่างละเอียดพบว่า ระบบที่ใช้ FDP ช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของแอปพลิเคชัน RocksDB ได้ประมาณสามเท่า และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ประมาณ 1.8 เท่า เมื่อเทียบกับระบบแบบดั้งเดิมที่ใช้ SSD ทั่วไปและระบบไฟล์มาตรฐาน1

ผลลัพธ์เหล่านี้จะถูกนำเสนอผ่านการสาธิตแบบสดที่บูธของ Kioxia (A7) ในงาน OCP Global Summit นอกจากนี้ Kioxia ยังมีแผนที่จะเผยแพร่ปลั๊กอินที่รองรับ RocksDB FDP ในรูปแบบโอเพนซอร์ส Kioxia ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและแบ่งปันเทคโนโลยีเพื่อการใช้งาน SSD และหน่วยความจำแฟลชอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลขั้นสูงและศูนย์ข้อมูลในอนาคต

หมายเหตุ :

1 อ้างอิงจากผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการของ Kioxia ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2024

NVM Express และ NVMe เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนของ NVM Express, Inc. ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ

เครื่องหมาย OCP และ Open Compute Project เป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิ Open Compute Project และใช้โดยได้รับอนุญาต

ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่น ๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทอื่น ๆ

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia เป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ มุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายหน่วยความจำแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายน 2017 Toshiba Memory ซึ่งเป็นบริษัทต้นกำเนิดของ Kioxia ได้แยกตัวออกจาก Toshiba Corporation ผู้คิดค้นหน่วยความจำแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจำ” โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่ให้ทางเลือกแก่ลูกค้าและสร้างคุณค่าจากหน่วยความจำให้แก่สังคม เทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3D อันเป็นนวัตกรรมของ Kioxia อย่าง BiCS FLASH™ กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันที่ต้องการความจุสูง เช่น สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล SSD ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล

*ข้อมูลในเอกสารนี้ ซึ่งรวมถึงราคาผลิตภัณฑ์และข้อมูลจำเพาะ เนื้อหาของบริการ และข้อมูลการติดต่อ ถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สำหรับคำถามจากสื่อ :

บริษัท Kioxia Corporation

แผนกวางแผนกลยุทธ์การขาย

Satoshi Shindo

โทร : +81-3-6478-2404

แหล่งที่มา : บริษัท Kioxia Corporation

Veea ร่วมมือกับ ICT มอบการเชื่อมต่อไร้สายขั้นสูงและการติดตามทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงเพื่อพลิกโฉมการดำเนินงานเหมืองแร่

Logo

การติดตั้งระบบไร้สายใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพย์สิน ความปลอดภัยของพนักงาน และการติดตามสภาพแวดล้อมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ห่างไกล

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–17 ตุลาคม 2024

Veea (NASDAQ : VEEA) ผู้นำรายแรกในตลาดด้านเครือข่ายมัลติแอคเซสที่รวมการทำงานหลายส่วนเข้าด้วยกันพร้อมการรักษาความปลอดภัยด้วย AI ได้ประกาศความร่วมมือกับ Inti Cakrawala Teknologi (ICT) ผู้ให้บริการโซลูชั่นการเชื่อมต่อดิจิทัลยุคใหม่ เพื่อนำเสนอการเชื่อมต่อขั้นสูงและการติดตามทรัพย์สินให้กับลูกค้าของ ICT ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และพลังงานในอินโดนีเซียและทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การติดตั้งครั้งแรกมีกำหนดเริ่มขึ้นในวันที่ 20 ตุลาคม 2024

ICT ให้บริการแก่เหมืองขนาดใหญ่หลายแห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งการเชื่อมต่อเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากระยะทางอันยาวไกลระหว่างเหมืองและคลังเก็บสินค้า ทำให้การจัดการทรัพย์สิน การรักษาความปลอดภัย และการดูแลความปลอดภัยของพนักงานแบบเรียลไทม์เป็นเรื่องยาก หากไม่มีโซลูชั่นไร้สายที่ทันสมัย

“คุณสมบัติที่น่าประทับใจของ Veea hub คือไม่เพียงแค่แก้ปัญหาการเชื่อมต่อ แต่ยังมาพร้อมกับเกตเวย์ IoT หลายตัวที่สนับสนุนการประมวลผลที่ขอบเครือข่าย (Edge Computing) Wi-Fi การเชื่อมต่อแบบ IoT meshing และการเชื่อมต่อกับคลาวด์ได้” Wiwit Ongko ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของ ICT กล่าว “เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ Veea ในการติดตั้งครั้งนี้และสำรวจความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีนี้สามารถนำเสนอในอนาคต”

โซลูชั่นเครือข่ายขอบแบบรวมหลายส่วนของ Veea มอบโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อและ IoT ที่ครอบคลุม ซึ่งช่วยให้บริษัทเหมืองแร่ในภูมิภาคนี้สามารถแก้ไขความท้าทายในการดำเนินงานในพื้นที่ห่างไกลได้ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามทรัพย์สิน เพิ่มความปลอดภัย และลดต้นทุนการดำเนินงาน โซลูชั่นร่วมระหว่าง Veea และ ICT ไม่เพียงตอบสนองความต้องการเร่งด่วนของบริษัทเหมืองแร่ในปัจจุบัน แต่ยังช่วยให้พวกเขาพร้อมรับการพัฒนาเทคโนโลยีเหมืองแร่ในอนาคต

ICT และ Veea ได้พัฒนาและจะดำเนินการติดตั้งดังต่อไปนี้ :

  • Wi-Fi แบบสองทิศทาง (Bi-Directional Wi-Fi) : มีการติดตั้งระบบเชื่อมต่อไร้สายที่มีความเสถียร ตั้งแต่ทางเข้าของเหมืองตามเส้นทางถนนไปยังพื้นที่จัดเก็บสินค้า เพื่อให้การสื่อสารไม่มีสะดุด
  • เกตเวย์ IoT และเซ็นเซอร์ LoRaWAN : Veea hub แบบมัลติฟังก์ชันที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ LoRaWAN เพื่อใช้ในการติดตามและตรวจสอบสถานีอากาศ การเคลื่อนที่ของพื้นดิน และระดับฝุ่น PM2.5
  • การประมวลผลที่ขอบเครือข่าย : โซลูชั่นของ Veea ช่วยให้สามารถประมวลผลข้อมูลและตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ที่ขอบเครือข่าย ลดความล่าช้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
  • การเชื่อมต่อแบบ IoT Meshing และการเชื่อมต่อกับคลาวด์ : ด้วยการเชื่อมต่อแบบ IoT Meshing Veea hub ได้สร้างเครือข่ายที่มีความแข็งแกร่ง สามารถขยายการเชื่อมต่อได้ทั่วพื้นที่เหมือง และยังเชื่อมต่อกับคลาวด์ได้อย่างราบรื่น เพื่อการเก็บข้อมูลระยะยาวและการวิเคราะห์

“ผลิตภัณฑ์ VeeaHub ของเรา ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีไร้สายขั้นสูงและความสามารถในการรันแอปพลิเคชันในท้องถิ่นที่ขอบเครือข่าย ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาช่องว่างด้านการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกลด้วยต้นทุนที่คุ้มค่า โดยไม่จำเป็นต้องใช้การเชื่อมต่อดาวเทียมที่มีค่าใช้จ่ายสูง พร้อมมอบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการดำเนินงานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมเหมืองแร่” Allen Salmasi ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Veea กล่าว “ด้วยการสื่อสารและการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เรามุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการเหมืองแร่ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่สุด พร้อมทั้งเพิ่มความปลอดภัยและการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมด้วย Edge AI”

เกี่ยวกับ Veea

Veea® ทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานที่ขอบเครือข่ายง่ายขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น Veea ได้รวมการประมวลผลแบบหลายผู้เช่า การสื่อสารแบบมัลติแอคเซสหลายโปรโตคอล การจัดเก็บข้อมูลที่ขอบเครือข่าย และโซลูชั่นด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ไว้ในผลิตภัณฑ์ที่บริหารจัดการทั้งบนคลาวด์และที่ขอบเครือข่ายแบบครบวงจร ผลิตภัณฑ์ Multiaccess Edge Computing (MEC) ของ Veea ซึ่งพัฒนาขึ้นตั้งแต่ต้นในรูปแบบขนาดกะทัดรัด ได้นำฟังก์ชันการทำงานที่โดยปกติจะได้รับจากการรวมกันของเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่าย (Network Attached Storage หรือ NAS) เราท์เตอร์ ไฟร์วอลล์ จุดเชื่อมต่อ Wi-Fi (Access Points หรือ AP) เกตเวย์ IoT การเข้าถึงไร้สาย 4G หรือ 5G และการประมวลผลบนคลาวด์ (Cloud Computing หรือ CC) มารวมไว้ในผลิตภัณฑ์เดียวกันที่มีการบูรณาการระบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบต่าง ๆ ซึ่ง IT/OT จะต้องดูแลรักษา เมื่อเปรียบเทียบกับโซลูชั่นแบบเดิมแล้ว Veea Edge Platform ให้ประสิทธิภาพในการตอบสนองแอปพลิเคชันที่สูงขึ้น เพิ่มความปลอดภัยด้านไซเบอร์ ปกป้องข้อมูล และสร้างการรับรู้ตามบริบท รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งข้อมูลและค่าใช้จ่ายรวมของการเป็นเจ้าของ ทั้งยังติดตั้ง ใช้งาน ตรวจสอบ และบำรุงรักษาเครือข่ายขอบได้อย่างง่ายดาย ผลิตภัณฑ์ VeeaHub ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่รันระบบ Linux ซึ่งมีสภาพแวดล้อมซอฟต์แวร์ที่จำลองแบบเสมือนอย่างครบถ้วนสำหรับแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบคลาวด์โดยใช้คอนเทนเนอร์ Docker™ ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูง โดยมีการแยกข้อมูลผู้ใช้และแอปพลิเคชันออกจากกันอย่างเข้มงวด รวมถึงมีการสร้างเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software Defined Networking หรือ SDN) และการจำลองฟังก์ชันของเครือข่าย (Network Function Virtualization หรือ NFV) ที่ครอบคลุมความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อส่งมอบเครือข่ายแบบมัลติฟังก์ชันผ่านเครือข่ายเชื่อมต่อและประมวลผล โซลูชั่นครบวงจรที่ติดตั้งได้ง่ายนี้มีการจัดการอุปกรณ์ แอปพลิเคชัน และบริการเสริมต่าง ๆ จากคลาวด์ได้อย่างครบวงจร พร้อมการเข้าถึงเครือข่ายแบบ Zero Trust Network Access (ZTNA) และบริการ Secure Access Service Edge (SASE) ที่ใช้ 5G ซึ่งติดตั้งได้อย่างง่ายดายและเป็นตัวเลือก Veea Edge Platform รองรับการเชื่อมต่อโดยตรงจากเครือข่ายไฟเบอร์ออปติก เครือข่ายเซลลูลาร์ และดาวเทียมสู่เครือข่ายท้องถิ่นที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเครือข่าย VeeaHub ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi และอุปกรณ์ IoT ในลักษณะเดียวกับการจัดการเครือข่ายเซลลูลาร์ ซึ่งเป็นความสามารถที่ได้รับการจดสิทธิบัตรภายใต้ชื่อการแบ่งเครือข่าย (Network Slicing) นอกจากนี้ Veea Developer Portal และเครื่องมือพัฒนายังช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ขอบเครือข่ายเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมความสามารถในการรองรับ Edge AI เป็นทางเลือกเสริม Veea ได้พัฒนาโซลูชั่นที่คุ้มค่าหลากหลายสำหรับข้อเสนอ B2B และ B2B2C ผ่านผู้ให้บริการ ผู้จัดจำหน่ายพันธมิตร ระบบอินทิเกรเตอร์ พันธมิตรด้านองค์กร และหน่วยงานรัฐบาล สำหรับการใช้งานด้านการค้าปลีกอัจฉริยะ การก่อสร้างอัจฉริยะ โลจิสติกส์และคลังสินค้าอัจฉริยะ การเกษตรอัจฉริยะ อาคารอัจฉริยะ โรงเรียนอัจฉริยะ โรงพยาบาลอัจฉริยะ พิพิธภัณฑ์อัจฉริยะ ไปจนถึงเมืองอัจฉริยะ Veea ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก โดยมีประวัติอันยาวนานในด้านนวัตกรรมเครือข่ายขั้นสูง เทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบไร้สายและการประมวลผล รวมถึงมีสิทธิบัตรที่ได้รับการอนุมัติกว่า 103 รายการ และกำลังรอการอนุมัติอีก 33 รายการในเทคโนโลยีหลักด้านการประมวลผลขอบแบบมัลติฟังก์ชัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม veea.com และติดตามเราทาง X และ LinkedIn

เกี่ยวกับ ICT

Inti Cakrawala Teknologi ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 และเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลล้ำสมัยมาใช้ ด้วยความมุ่งมั่นของผู้ก่อตั้งและความเป็นมืออาชีพที่สั่งสมมากว่าสองทศวรรษ Inti Cakrawala Teknologi สามารถนำเสนอเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยมอบความร่วมมือทางธุรกิจระยะยาว Inti Cakrawala Teknologi มุ่งมั่นที่จะให้บริการและช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและแข่งขันได้มากขึ้น ผ่านการบริการหลังการขายที่มีคุณภาพสูงครบวงจร Inti Cakrawala Teknologi ประกอบด้วยทีมงานสนับสนุนด้านเทคนิคที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญสูง พร้อมด้วยทีมงานขาย การตลาด และฝ่ายธุรการที่มุ่งมั่นในการมอบโซลูชั่นที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ Inti Cakrawala Teknologi ได้ร่วมมือกับผู้จำหน่ายเทคโนโลยีดิจิทัลชั้นนำของโลก

แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลาง โดยทั่วไปแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตเหล่านี้จะถูกระบุด้วยคำว่า “เชื่อว่า” “คาดการณ์” “คาดว่า” “ประเมิน” “ตั้งใจ” “กลยุทธ์” “อนาคต” “โอกาส” “แผน” “อาจจะ” “ควรจะ” “จะ” “จะเป็น” “จะดำเนินต่อไป” “จะส่งผลให้” และการแสดงออกที่คล้ายกัน

ตัวอย่างของแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียง แถลงการณ์เกี่ยวกับการติดตั้งเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นของบริษัทในความร่วมมือกับ ICT และวันเริ่มต้นที่คาดหวัง แถลงการณ์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับสมมติฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะระบุไว้หรือไม่ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ และจากความคาดหวังในปัจจุบันของผู้บริหารของ Veea และ ICT ซึ่งไม่ได้เป็นการทำนายประสิทธิภาพที่แท้จริง แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตเหล่านี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการอธิบายเท่านั้น และไม่ควรใช้เป็นหลักประกัน คำมั่น หรือการทำนายผลลัพธ์ในอนาคตที่แท้จริง หากความเสี่ยงใด ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น หรือสมมติฐานของฝ่ายต่าง ๆ ผิดพลาด ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากจากที่แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตบ่งชี้ มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เหตุการณ์ในอนาคตแตกต่างอย่างมากจากที่ระบุไว้ในแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ อาจมีความเสี่ยงเพิ่มเติมที่ Veea หรือ ICT ไม่ทราบในปัจจุบันหรือที่ Veea และ ICT เชื่อว่าไม่มีนัยสำคัญ แต่สามารถทำให้ผลลัพธ์จริงแตกต่างจากที่ระบุไว้ในแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ แถลงการณ์เชิงคาดการณ์กล่าวถึงสถานะ ณ วันที่ที่มีการจัดทำเท่านั้น ผู้อ่านควรระมัดระวังไม่ให้เชื่อถือแถลงการณ์เชิงคาดการณ์เหล่านี้เกินไป Veea และ ICT ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปรับปรุงหรือแก้ไขแถลงการณ์เชิงคาดการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นผลจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรือเหตุผลอื่นใด Veea และ ICT ไม่ให้การรับรองใดๆ ว่า Veea หรือ Plum จะบรรลุเป้าหมายตามที่คาดหวัง

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ
James Christopherson
Sterling Communications สำหรับ Veea Inc.
veea@sterlingpr.com

แหล่งที่มา : Veea