Category Archives: Energy

Perma-Pipe International Holdings, Inc. ประกาศได้รับสัญญามูลค่า 15 ล้านดอลลาร์ในภูมิภาคอเมริกาและตะวันออกกลาง

Logo

สปริง เท็กซัส–(BUSINESS WIRE)–07 พฤศจิกายน 2024

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (Nasdaq: PPIH) ประกาศในวันนี้ว่าบริษัทได้รับรางวัลโครงการใหม่มูลค่า 6 ล้านดอลลาร์ในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (MENA) นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศว่าได้รับรางวัลโครงการใหม่มูลค่า 9 ล้านดอลลาร์ในทวีปอเมริกา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค

รางวัลโครงการใหม่เหล่านี้จะใช้ความสามารถในการเคลือบป้องกันการกัดกร่อนของ Perma-Pipe และระบบฉนวน XTRU-THERM® ซึ่งเป็นโฟมโพลียูรีเทนแบบสเปรย์หุ้มด้วยปลอกโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง

รางวัลโครงการใหม่เหล่านี้ช่วยเสริมงานในมือของเราซึ่งมีการเติบโตอย่างมาก แบ็คล็อกอยู่ที่ 75.0 ล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2024 และขณะนี้เกิน 100.0 ล้านดอลลาร์

Marc Huber รองประธานอาวุโสประจําภูมิภาคอเมริกาของ Perma-Pipe กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีกับรางวัลเหล่านี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในตลาดอเมริกา และการเสริมสร้างตําแหน่งของเราในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาอย่างต่อเนื่อง”

Saleh Sagr รองประธานอาวุโสประจําภูมิภาค MENA ของ Perma-Pipe กล่าวว่า “รางวัลล่าสุดใน MENA ส่วนใหญ่มอบให้กับโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในเขตภูมิภาค GCC รางวัลเหล่านี้ยืนยันตําแหน่งผู้นําในตลาดของเรา และเปิดโอกาสให้เราได้สาธิตผลิตภัณฑ์และบริการชั้นนําของอุตสาหกรรมให้กับลูกค้าใหม่ได้ชม”

David Mansfield ประธานและซีอีโอกล่าวว่า “การเติบโตในทุกภูมิภาคเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์โดยรวมของเรา และเราภูมิใจที่ได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น ซึ่งช่วยให้ Perma-Pipe สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับตําแหน่งผู้นําในตลาดต่อไปได้

Perma-Pipe International Holdings, Inc.

Perma-Pipe International Holdings, Inc. (Nasdaq: PPIH, “Perma-Pipe” หรือ “บริษัท”) เป็นผู้นําระดับโลกในด้านระบบท่อหุ้มฉนวนล่วงหน้าและระบบตรวจจับการรั่วไหลสําหรับน้ำมันและก๊าซ ระบบทำความร้อนและความเย็นในเขตพื้นที่ และการใช้งานอื่นๆ บริษัทใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการประดิษฐ์ที่กว้างขวางเพื่อพัฒนาโซลูชันระบบท่อที่ช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการขนส่งของเหลวหลายประเภทอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยรวมแล้ว Perma-Pipe มีการดําเนินงานใน 15 แห่งใน 6 ประเทศ

ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

ข้อความและข้อมูลอื่น ๆ ที่มีอยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ซึ่งสามารถระบุได้โดยใช้คําศัพท์ที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า ถือเป็น “ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต” ตามความหมายของมาตรา 27A ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ ปี 1993 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม และมาตรา 21E ของบทบัญญัติกฎหมายหลักทรัพย์ ปี 1934 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม และอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ความปลอดภัยที่สร้างขึ้นโดยหลักเกณฑ์ดังกล่าว  ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จํากัดเพียง ข้อความเกี่ยวกับผลการดําเนินงานและการดําเนินงานที่คาดหวังในอนาคตของบริษัท ข้อความเหล่านี้ควรได้รับการพิจารณาว่าอยู่ภายใต้ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนมากมายที่มีอยู่ในการดําเนินงานและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของบริษัท ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนดังกล่าวรวมถึงแต่ไม่จํากัดเพียงสิ่งต่อไปนี้: (i) ผลกระทบของไวรัสโคโรนา (“COVID-19”) ต่อผลการดําเนินงาน สถานะทางการเงิน และกระแสเงินสดของบริษัท (ii) ความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและผลกระทบต่อปริมาณการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทของลูกค้า (iii) ความสามารถของบริษัทในการปฏิบัติตามพันธสัญญาทั้งหมดในวงเงินสินเชื่อของบริษัท (iv) ความสามารถของบริษัทในการชําระหนี้และต่ออายุวงเงินสินเชื่อระหว่างประเทศที่กำลังจะหมดอายุ (v) ความสามารถของบริษัทในการดําเนินการตามแผนกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลกําไรและกระแสเงินสดที่เป็นบวก (vi) ผลกระทบจากความอ่อนแอและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก (vii) ความผันผวนของราคาเหล็กและความสามารถของบริษัทในการชดเชยการเพิ่มขึ้นของราคาเหล็กผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ (viii) ระยะเวลาในการรับคําสั่งซื้อ การดําเนินการ การส่งมอบ และการยอมรับผลิตภัณฑ์ของบริษัท (ix) การใช้จ่ายของภาครัฐในโครงการที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทลดลง และความท้าทายต่อสภาพคล่องและการเข้าถึงเงินทุนของลูกค้าที่ไม่ใช่ภาครัฐของบริษัท (x) ความสามารถของบริษัทในการเจรจาข้อตกลงการเรียกเก็บเงินตามความคืบหน้าสําหรับสัญญาขนาดใหญ่ได้สําเร็จ (xi) การกําหนดราคาเชิงรุกของคู่แข่งที่มีอยู่และการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ในตลาดที่บริษัทดําเนินธุรกิจอยู่ (xii) ความสามารถของบริษัทในการซื้อวัตถุดิบในราคาที่เหมาะสมและรักษาความสัมพันธ์อันดีกับซัพพลายเออร์ (xiii) ความสามารถของบริษัทในการผลิตสินค้าที่ปราศจากข้อบกพร่องที่แฝงอยู่ และการกู้คืนจากซัพพลายเออร์ที่อาจจัดหาวัสดุที่มีข้อบกพร่องให้กับบริษัท (xiv) การลดหรือยกเลิกคําสั่งซื้อที่รวมอยู่ในแบ็คล็อกของบริษัท (xv) ความสามารถของบริษัทในการเรียกเก็บเงินลูกหนี้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการในตะวันออกกลาง (xvi) ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินธุรกิจระหว่างประเทศของบริษัท (xvii) ความสามารถของบริษัทในการดึงดูดและรักษาผู้บริหารระดับสูงและบุคลากรหลัก (xviii) ความสามารถของบริษัทในการบรรลุผลประโยชน์ที่คาดหวังจากความคิดริเริ่มการเติบโต (xix) ความสามารถของบริษัทในการตีความการเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบและกฎหมายภาษี (xx) ความสามารถของบริษัทในการใช้ผลขาดทุนสุทธิจากการดําเนินงานที่ยกไป (xxi) การกลับรายการของรายได้และกําไรที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้อันเป็นผลมาจากการประมาณการที่ไม่ถูกต้องซึ่งทําขึ้นโดยเชื่อมโยงกับการรับรู้รายได้ตามเปอร์เซ็นต์ของงานที่แล้วเสร็จของบริษัท (xxii) ความล้มเหลวของบริษัทในการสร้างและรักษาการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพต่อการรายงานทางการเงิน และ (xxiii) ผลกระทบของภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์ต่อระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท ผู้ถือหุ้น นักลงทุนที่มีศักยภาพ และผู้อ่านรายอื่น ๆ ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบในการประเมินข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า และควรระวังอย่าพึ่งพาข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าดังกล่าวมากเกินไป ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าที่ทําในที่นี้จัดทําขึ้นเฉพาะ ณ วันที่เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เท่านั้น และเราไม่มีภาระผูกพันในการอัปเดตข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใด ๆ ต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่นๆ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่อาจส่งผลต่อผลการดําเนินงานของเราสามารถดูได้จากเอกสารที่ยื่นต่อสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถดูได้ที่ https://www.sec.gov และภายใต้หัวข้อศูนย์นักลงทุนในเว็บไซต์ของเรา (http://investors.permapipe.com)

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Perma-Pipe International Holdings, Inc.

David Mansfield ประธานและซีอีโอ

นักลงทุนสัมพันธ์ Perma-Pipe
investor@permapipe.com
847.929.1200

ที่มา: Perma-Pipe International Holdings, Inc.

Black & Veatch ได้รับเลือกให้เป็นวิศวกรที่ปรึกษาของเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในมาเลเซียตะวันออก

Logo

โรงไฟฟ้าแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน Sarawak Gas Roadmap ซึ่งมีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายของรัฐซาราวักในการเพิ่มเศรษฐกิจเป็นสองเท่าภายในปี 2030

รัฐซาราวัก, มาเลเซีย –(BUSINESS WIRE)–05 พฤศจิกายน 2024

Black & Veatch  ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ได้รับเลือกให้เป็นวิศวกรที่ปรึกษาของเจ้าของโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซพลังความร้อนร่วม Miri (Miri CCGT) ของ PETROS Power Sdn Bhd (PETROS Power) ในรัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย

โรงไฟฟ้า Miri CCGT จะเป็นทางเลือกที่ปล่อยมลพิษน้อยกว่าโรงไฟฟ้าแบบถ่านหิน ซึ่งโรงไฟฟ้า Miri CCGT นั้นคาดว่าจะมีกำลังการผลิต 500 เมกะวัตต์ (MW) และมีวัตถุประสงค์เพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับระบบสายส่งไฟฟ้าของรัฐซาราวัก

“ความรู้ด้านกฎและมาตรฐานทางวิศวกรรมระดับนานาชาติและเฉพาะประเทศ ตลอดจนโครงสร้างสัญญาของ Black & Veatch ช่วยลดความเสี่ยงด้านต้นทุนและกำหนดเวลาของโครงการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการจะดำเนินไปได้อย่างแน่นอน”  Narsingh Chaudhary ประธาน Black & Veatch ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอินเดียกล่าว “Black & Veatch มอบความมั่นใจให้กับลูกค้าที่มีความก้าวหน้า เช่น PETROS Power ว่าผู้รับเหมาด้านวิศวกรรม การจัดซื้อจัดจ้าง และการก่อสร้าง (EPC) จะส่งมอบโครงการตามคำมั่นสัญญาได้อย่างคุ้มค่ากับต้นทุน โดยการเชื่อมช่องว่างระหว่างมาตรฐานทางวิศวกรรมที่แตกต่างกัน”

Black & Veatch จะให้ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค ความรู้ และการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสนับสนุนสำหรับการจัดการและบริหารสัญญาทางด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การก่อสร้าง และการทดสอบระบบ (EPCC)

Black & Veatch มีประสบการณ์อันยาวนานในการออกแบบและสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมสำหรับสถานที่ต่างๆ รวมถึงสถานที่ใหม่ การขยายโรงไฟฟ้าพลังไอน้ำที่มีอยู่ และการแปลงโรงไฟฟ้าแบบวงจรธรรมดา ( Simple cycle) ที่มีอยู่ให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม

ติดต่อ Contact Black & Veatch สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทวิศวกรรม จัดซื้อ ที่ปรึกษา และก่อสร้างระดับโลกที่พนักงานเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีประสบการณ์ด้านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนมานานกว่า 100 ปี ตั้งแต่ปี 1915 เราได้ช่วยให้ลูกค้าของเราพัฒนาชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยเน้นที่ความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และใน LinkedIn Facebook X (Twitter) และ Instagram

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ข้อมูลการติดต่อสำหรับสื่อ:
EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | Chialp@bv.com
อีเมลสื่อตลอด 24 ชั่วโมง| Media@bv.com

แหล่งที่มา: Black & Veatch

CRH พัฒนาฟาร์มกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้าให้กับโรงงานปูนซีเมนต์ในโรมาเนีย

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–01 พฤศจิกายน 2024

CRH (NYSE: CRH) ที่เป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านโซลูชันวัสดุก่อสร้าง ได้พัฒนาฟาร์มกังหันลมแห่งใหม่เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับโรงงานปูนซีเมนต์ Medgidia ในประเทศโรมาเนีย ฟาร์มกังหันลมแห่งนี้เป็นแห่งแรกในประเทศที่ผลิตไฟฟ้าให้กับโรงงานปูนซีเมนต์โดยเฉพาะ ฟาร์มกังหันลมจะตอบสนองความต้องการด้านพลังงานต่อปีของโรงงาน Medgidia ได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังสามารถช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นได้ ในขณะเดียวกันก็มีส่วนสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของโรมาเนียอีกด้วย

(Photo: Business Wire)

(รูปภาพ: Business Wire)

Eunice Heath ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืนของ CRH กล่าวว่า “นี่คือโครงการพลังงานสะอาดที่สำคัญของ CRH และเป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีที่เรากำลังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนมากขึ้น การสร้างฟาร์มกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้าให้กับหนึ่งในโรงงานปูนซีเมนต์ของเราแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการลดการปล่อยคาร์บอนและจัดหาโซลูชันวัสดุก่อสร้างที่มีคาร์บอนต่ำให้กับลูกค้าของเรา เพื่อช่วยตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของการก่อสร้าง”

CRH ได้ลงทุนอย่างแข็งขันในพลังงานสะอาดเพื่อช่วยให้สามารถจัดหาผลิตภัณฑ์และโซลูชันคาร์บอนต่ำให้กับลูกค้าได้ โดยการเพิ่มการใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในการดำเนินงาน รวมถึงการผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนในสถานที่ CRH กำลังก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายชั้นนำของอุตสาหกรรมในการลดการปล่อยคาร์บอนลงร้อยละ 30 ภายในปี 2030

โครงการดังกล่าวเริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 2023 และปัจจุบันฟาร์มกังหันลมได้ดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ซึ่งประกอบด้วยกังหันลม 5 ตัว ที่มีกำลังการผลิตที่ติดตั้งแล้วทั้งหมดประมาณ 30 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตสุทธิต่อปีประมาณ 80 กิกะวัตต์ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานของประเทศโรมาเนียได้ 40,000 ตัน

เกี่ยวกับ CRH

CRH (NYSE: CRH, LSE: CRH) เป็นผู้ให้บริการโซลูชันวัสดุก่อสร้างชั้นนำที่สร้าง เชื่อมต่อ และปรับปรุงโลกของเรา CRH มีพนักงานประมาณ 78,500 คน ในสถานที่ปฏิบัติงานประมาณ 3,390 แห่งใน 28 ประเทศ และเป็นผู้นำตลาดทั้งในอเมริกาเหนือและยุโรป ในฐานะพันธมิตรที่สำคัญสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและสาธารณูปโภคที่สำคัญ การก่อสร้างที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยที่ซับซ้อน และโซลูชันการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ผลิตภัณฑ์วัสดุ และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มที่ไม่เหมือนใครของ CRH ได้ช่วยส่งมอบสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนยิ่งขึ้น บริษัทได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมโดยหน่วยงานจัดอันดับด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) โดย CRH เป็นบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 มีหุ้นของบริษัทจดทะเบียนใน NYSE และ LSE สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่: www.crh.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

media@crh.com

แหล่งข้อมูล: CRH

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54145959/en


บริษัท Hassana Investment Company และ EIG ลงนามในบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในโครงการเพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานในตะวันออกกลาง

Logo

ความร่วมมือนี้ส่งเสริมเป้าหมายที่มีร่วมกันเพื่อการลงทุนในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียและภูมิภาคอื่นๆ ด้วยกองทุนเฉพาะในระดับภูมิภาคมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐของ EIG

ริยาด ซาอุดีอาระเบีย และวอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–31 ตุลาคม 2024

บริษัท Hassana Investment Company (Hassana) และ EIG ซึ่งเป็นผู้ลงทุนทางสถาบันชั้นนำในภาคส่วนพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อแสดงความร่วมมือในโครงการเพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานในตะวันออกกลาง ผ่านกองทุนเฉพาะในระดับภูมิภาคของ EIG ซึ่งตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ Hassana กำลังพิจารณาที่จะเป็นผู้ลงทุนหลัก โดยมีการจัดสรรเงินสูงสุด 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

(Photo: Business Wire)

(ภาพจาก Business Wire)

บันทึกความเข้าใจฉบับนี้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นร่วมกันระหว่าง EIG กับ Hassana ในการขยายพอร์ตการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านพลังงานในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาค โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากนักลงทุนต่างชาติและกระตุ้นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเป้าหมายจากวิสัยทัศน์ 2030 ของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่โซลูชันพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนในระดับภูมิภาคที่กว้างไกลขึ้น

บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้รับการลงนามโดยนาย Saad bin Abdulmohsen Al-Fadly ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Hassana และนาย R. Blair Thomas ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท EIG

Al-Fadly กล่าวว่า “Hassana มีความยินดีที่จะขยายความร่วมมือกับ EIG ซึ่งเป็นผู้นำในภาคส่วนพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก โดยข้อตกลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งสองบริษัทในการผลักดันให้เกิดการเติบโตทางการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียและภูมิภาคอื่นๆ”

Thomas กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ Hassana ในโครงการท่อส่งน้ำมัน Pearl ในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และตอนนี้เราก็มุ่งหวังที่จะยกระดับความสัมพันธ์ของเราขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่ง”

เขาเสริมว่า “เราเชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจะเป็นหนึ่งในประเด็นการลงทุนที่สำคัญในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า อีกทั้งนักลงทุนแนวหน้าจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อพยายามส่งมอบระบบพลังงานที่เชื่อถือได้ ราคาไม่แพง และมีความยั่งยืนตามที่สังคมต้องการ ดังนั้นเราจึงมุ่งมั่นที่จะทำให้ได้ตามที่พูด”

Abdulaziz Al-Gudaimi ประธานฝ่ายปฏิบัติการทางตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือของ EIG กล่าวว่า “Hassanaและ EIG ยังคงสร้างความแตกต่างให้กับวงการพลังงานของตะวันออกกลางอย่างต่อเนื่อง เรามุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืน กระตุ้นเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความมุ่งมั่นของภูมิภาคที่มีต่อโซลูชันพลังงานสะอาดในอีกหลายปีข้างหน้าผ่านการจัดสรรเงินทุนให้กับโครงการเพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ล้ำสมัย”

เกี่ยวกับ Hassana Investment Company

Hassana Investment Company เป็นผู้จัดการการลงทุนขององค์การประกันสังคมซาอุดีอาระเบียหรือ GOSI โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการกว่า 1.2 ล้านล้านริยัลซาอุดีอาระเบีย (หรือ 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) Hassana เป็นผู้บริหารกองทุนบำเหน็จบำนาญที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายในประเภทสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับโลก

Hassana มีเป้าหมายที่จะลงทุนในระยะยาวโดยใช้แนวทางที่รอบคอบ กระบวนการที่แข็งแกร่ง และบุคลากรระดับโลก เพื่อให้แน่ใจว่าพอร์ตโฟลิโอของบริษัทจะอยู่ในตำแหน่งที่จะมอบผลลัพธ์การลงทุนที่ดีที่สุด โดยมีความต้องการที่จะตอบสนองต่อความต้องการทางเงินบำนาญในอนาคตของชาวซาอุดีอาระเบียทุกชั่วรุ่น

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่: www.hassana.com.sa

เกี่ยวกับ EIG

EIG เป็นผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร 24,900 ล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2024 บริษัท EIG เองมีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนภาคเอกชนในภาคพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก โดยตลอดระยะเวลา 42 ปีที่ผ่านมานั้น EIG ได้ทุ่มเงินกว่า 48,600 ล้านดอลลาร์ให้กับภาคพลังงานผ่านโครงการหรือบริษัทจำนวน 414 แห่งใน 44 ประเทศจาก 6 ทวีป ลูกค้าของ EIG ได้แก่ แผนเกษียณอายุชั้นนำหลายแห่ง บริษัทประกันภัย กองทุนบริจาค มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งของรัฐในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป ทั้งนี้ EIG มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงวอชิงตันดีซี และมีสำนักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ ริโอเดอจาเนโร ฮ่องกง และโซล สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่เว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com.

หมายเหตุ: ปัจจุบัน กองทุนเฉพาะในภูมิภาคของ EIG มีให้บริการเฉพาะนักลงทุนในตลาดโลกแห่งอาบูดาบี, อาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, บาฮามาส, บาห์เรน, เบลเยียม, เบอร์มิวดา, บราซิล, หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน, บรูไน, แคนาดา, หมู่เกาะเคย์แมน, ชิลี, จีน, โคลอมเบีย, คอสตาริกา, ไซปรัส, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก, ศูนย์การเงินนานาชาติดูไบ, เอกวาดอร์, ประเทศสมาชิก EEA, เอลซัลวาดอร์, เอสโตเนีย, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีซ, กัวเตมาลา, เกิร์นซีย์, ฮ่องกง, ไอซ์แลนด์, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เจอร์ซีย์, คูเวต, เลบานอน, ลิเบีย, ลิกเตนสไตน์, มาเลเซีย, หมู่เกาะมาร์แชลล์, เม็กซิโก, โมนาโก, โมร็อกโก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โอมาน, ปานามา, เปรู, ฟิลิปปินส์, โปแลนด์, โปรตุเกส, กาตาร์, รัสเซีย, ซาอุดีอาระเบีย, สิงคโปร์, แอฟริกาใต้, เกาหลีใต้, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ไต้หวัน, ไทย, ตุรกี, ยูเครน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร, อุรุกวัย และเวียดนาม

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54143888/en

การติดต่อ

ผู้ติดต่อด้านสื่อ
Sard Verbinnen & Co.
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG-SVC@sardverb.com

ที่มา: EIG


สุดยอดนวัตกรรมของ TIME ประจำปี 2024: โซลูชัน ForeverGone ของ Gradiant สำหรับการกำจัดและทำลายสารเคมี PFAS

Logo

ได้รับการขนานนามว่าเป็นโซลูชันครบวงจรเพียงโซลูชันเดียวแห่งอุตสาหกรรมที่จะกำจัด “สารเคมีตลอดการ” อย่าง PFAS โดยถาวรในแหล่งน้ำเขตเทศบาลและอุตสาหกรรม

บอสตัน–(BUSINESS WIRE)–30 ตุลาคม 2024

วันนี้ Gradiant ผู้นำระดับสากลด้านการบำบัดน้ำและน้ำเสียประกาศว่าเทคโนโลยี ForeverGone ของบริษัทได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมของ TIME ประจำปี 2024

Gradiant’s ForeverGone, named one of TIME’s Best Inventions of 2024, is the only all-in-one solution that permanently removes and destroys harmful PFAS chemicals on-site, offering safe, sustainable water treatment across industries. (Graphic: Business Wire)

ForeverGone ของ Gradiant ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนิตยสาร TIME ประจำปี 2024 และเป็นโซลูชันความสามารถครบครันตัวเดียวที่สามารถขจัดและกำจัดสารเคมี PFAS ที่เป็นอันตรายในสถานที่ต่างๆ ได้ ช่วยให้ทั่วอุตสาหกรรมได้มีระบบบำบัดน้ำที่ปลอดภัยและยั่งยืน (ภาพกราฟิกจาก Business Wire)

ForeverGone คือโซลูชันครบวงจรเพียงหนึ่งเดียวที่จะกำจัดและทำลายสารประกอบเปอร์- และโพลีฟลูออโรอัลคิล (PFAS) หรือที่เรียกว่า “สารเคมีตลอดกาล” ออกจากแหล่งน้ำปนเปื้อนในแหล่งน้ำอุตสาหกรรม เขตเทศบาล และสถานที่ฝังกลบขยะ โดยไม่เกิดความเสี่ยงที่สารเคมีอันเป็นพิษจะรั่วไหลออกไปสู่สภาพแวดล้อม การปนเปื้อนกับ PFAS ในแหล่งน้ำและระบบนิเวศเกี่ยวโยงกับโรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ และปัญหาด้านพัฒนาการ จึงกลายเป็นข้อกังวลทางสาธารณสุขทั่วโลก

ในแต่ละปี นิตยสาร TIME จะประกาศสุดยอดนวัตกรรม 200 รายการที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนทั่วโลก ผู้ชนะรางวัลผ่านการคัดเลือกมาจากการเสนอชื่อโดยบรรณาธิการและนักข่าวจากทั่วโลกของ TIME รวมถึงกระบวนการสมัคร โดยคัดเลือกจากความคิดริเริ่ม ประสิทธิภาพ ความมุ่งมั่น และผลลัพธ์ของนวัตกรรม

“ForeverGone ต่างจากทุกอย่างที่มีอยู่ในตลาด เพราะแก้ไขปัญหาการปนเปื้อน PFAS ได้ทั้งหมด” Prakash Govindan ผู้ดำรงตำแหน่ง COO ของ Gradiant กล่าว “ForeverGone เป็นนวัตกรรมพลิกโฉมวงการที่อุตสาหกรรมรอคอยอย่างแท้จริง เราขอบคุณที่ TIME ให้การยอมรับนวัตกรรมของเราและความสามารถของนวัตกรรมในการช่วยให้เขตเทศบาลและผู้ใช้งานด้านอุตสาหกรรมทั่วโลกสามารถกำจัดสารเคมี PFAS ออกจากธรรมชาติได้ตลอดกาล”

เทคโนโลยี ForeverGone ของ Gradiant ที่ผ่านการตรวจสอบโดยอิสระจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองหลายแห่งใช้การแยกส่วนฟองขนาดเล็กควบคู่กับเครื่องยนต์ทำลายเพื่อสกัดสาร PFAS ให้เป็นฟองขนาดเล็กแล้วจึงทำการทำลายโดยใช้กระบวนการอิเล็กโทรออกซิเดชัน ทำให้น้ำมีคุณสมบัติตรงตามหรือเกินมาตรฐานน้ำดื่ม EPA ของสหรัฐฯ ล่าสุด แนวทางบูรณาการนี้สร้างมาตรฐานใหม่ด้านความเรียบง่าย ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน ซึ่งทำให้สามารถกำจัดสารเคมี PFAS ได้อย่างครบถ้วนด้วยต้นทุนรวมที่ต่ำที่สุด

Gradiant กำลังขยายการใช้งาน ForeverGone อย่างรวดเร็วในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ อาหารและเครื่องดื่ม การทำเหมืองแร่ และเขตเทศบาลใหญ่ ๆ หลายแห่ง เพื่อให้ชุมชนทั่วโลกสามารถทำการบำบัดสารเคมี  PFAS ได้ง่ายขึ้น

หากสนใจใช้งาน ForeverGone ในสถานที่ของท่าน Gradiant ก็ได้เปิดตัวโปรแกรมทดลองฟรีเพื่อสาธิตความสามารถของ ForeverGone ในการบำบัดแหล่งน้ำปนเปื้อนหลายประเภท หากเป็นผู้ที่สนใจ โปรดติดต่อ Gradiant ที่ https://www.gradiant.com/contact

ไปที่นี่เพื่อดูรายการสุดยอดนวัตกรรมประจำปี 2024 ทั้งหมดของ TIME

เกี่ยวกับ Gradiant

Gradiant เป็นบริษัทด้านการจัดการน้ำที่แตกต่างออกไป ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยโซลูชันครบวงจรอันเป็นกรรมสิทธิ์ที่โดดเด่นของบริษัทสำหรับการบำบัดน้ำและน้ำเสียขั้นสูง ซึ่งขับเคลื่อนโดยบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับน้ำ บริษัทให้บริการแก่ลูกค้าในการปฏิบัติงานที่สำคัญต่อภารกิจในอุตสาหกรรมสำคัญต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงอุตสาหกรรมสารกึ่งตัวนำ เภสัชกรรม อาหารและเครื่องมือ ลิเทียมและแร่สำคัญ ตลอดจนพลังงานหมุนเวียน นวัตกรรมโซลูชันของ Gradiant จะลดปริมาณน้ำที่ใช้และน้ำเสียที่ปล่อย ดึงทรัพยากรที่มีค่ากลับมาอีกครั้ง และบำบัดน้ำเสียให้กลายเป็นน้ำสะอาด สำนักงานใหญ่ของบริษัทอยู่ในบอสตัน ซึ่งมีการก่อตั้งบริษัทที่ MIT และมีพนักงานมากกว่า 1,000 คนทั่วโลก เรียนรู้เพิ่มเติมที่ gradiant.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54143996/en

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อสำหรับบริษัท
Felix Wang
Gradiant
Global Head of Brand and PR
fwang@gradiant.com

แหล่งที่มา: Gradiant

.

MidOcean Energy ของ EIG ดำเนินการซื้อหุ้นเพิ่ม 15% ใน Peru LNG จาก Hunt Oil Company เสร็จสิ้นแล้ว

Logo

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–24 ตุลาคม 2024

MidOcean Energy (ต่อจากนี้เรียกว่า “MidOcean” หรือ “บริษัท”) บริษัทแก๊สธรรมชาติเหลว (LNG) ที่จัดตั้งและบริหารจัดการโดย EIG สถาบันลงทุนชั้นนำในภาคส่วนพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ประกาศในวันนี้ว่าได้ดำเนินการตามข้อตกลงที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ในการซื้อหุ้นเพิ่มอีก 15% ใน Peru LNG (“PLNG”) จาก  Hunt Oil Company (ต่อจากนี้เรียกว่า “Hunt”) จนเสร็จสมบูรณ์แล้ว

ขณะนี้ หุ้นของ MidOcean ใน PLNG จึงคิดเป็น 35% โดยที่ Hunt จะยังคงเป็นผู้ดำเนินงานของ PLNG

PLNG เป็นเจ้าของและดำเนินงานเฉพาะโรงงานส่งออก LNG ในอเมริกาใต้ ซึ่งตั้งอยู่ใน Pampa Melchorita ห่างจากทางใต้ของกรุงลิมา ประเทศเปรู 170 กิโลเมตร สินทรัพย์ของ PLNG ประกอบด้วยโรงงานแปรสภาพแก๊สธรรมชาติให้เหลวที่มีขีดความสามารถในการแปรสภาพที่ 4.45 ล้านตันต่อปี (mmtpa), ระบบสายท่อ 408 กิโลเมตรภายใต้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ที่มีความสามารถอยู่ที่ 1,290 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (mmcf/d), ถังจัดเก็บขนาด 130,000 ลูกบาศก์เมตร (m3) จำนวน 2 ถัง, สถานีขนส่งทางทะเลภายใต้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ 1.4 กิโลเมตร และสถานที่บรรจุลงรถที่มีขีดความสามารถสูงสุดที่ 19.2 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (mmcf/d) PLNG อยู่ภายใต้การดำเนินงานของ Hunt และเป็นหนึ่งในโรงงานผลิต LNG จำนวนเพียง 2 แห่งในลาตินอเมริกา

Morgan Stanley ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ MidOcean โดยเฉพาะเกี่ยวกับการทำธุรกรรมครั้งนี้ และ Latham & Watkins ก็เป็นผู้ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย โดยที่ Bracewell LLP ทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ Hunt

เกี่ยวกับ MidOcean Energy

MidOcean Energy บริษัท LNG ที่จัดตั้งและบริหารจัดการโดย EIG มุ่งเป้าสร้างกลุ่มหลักทรัพย์ LNG ในระดับสากลที่มีความหลากหลาย ยืดหยุ่น และสามารถแข่งขันด้านต้นทุนและการปล่อยคาร์บอน ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อของ EIG ที่เชื่อว่า LNG เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเอื้อในการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานและเชื่อว่าความสำคัญของ LNG ในฐานะแหล่งพลังงานเชิงกลยุทธ์ภูมิรัฐศาสตร์จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ MidOcean Energy อยู่ภายใต้การบริหารของ De la Rey Venter ผู้ชำนาญการในอุตสาหกรรมเป็นระยะเวลา 26 ปีที่เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงมาอย่างหลากหลาย รวมถึง Global Head of LNG ที่ Shell Plc.

เกี่ยวกับ EIG

EIG เป็นสถาบันลงทุนชั้นนำในภาคส่วนพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกที่มีมูลค่า 24.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายใต้การบริหารจัดการ ณ วันที่ 30 มิถุนายน โดย EIG มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านการลงทุนเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก ตลอดระยะเวลา 42 ปีที่ดำเนินการมา EIG ลงทุนไปกว่า 48.6 พันล้านดอลลาร์ในภาคส่วนพลังงานผ่าน 413 โครงการหรือบริษัทใน 42 ประเทศ 6 ทวีป ลูกค้าของ EIG รวมถึงบริษัทประกันบำนาญ ประกันชีวิต ประกันสะสมทรัพย์ มูลนิธิ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป สำนักงานใหญ่ของ EIG อยู่ในวอชิงตัน ดี.ซี. และมีสำนักงานอยู่ในฮิวสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ รีโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล

เกี่ยวกับ Hunt Oil Company

Hunt ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1934 และเป็นหนึ่งในบริษัทเอกเทศที่เป็นเจ้าของโดยเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา บริษัทจัดตั้งอยู่ในแดลลัส รัฐเท็กซัส ซึ่งมีสถานที่ปฏิบัติการหลักอยู่ในเปรู สหรัฐอเมริกา และภูมิภาคเคอร์ดิสถานในอิรัก รวมถึงมีโครงการสำรวจในตูนิเซียและโมร็อกโก โดย Hunt นั้นเป็นบริษัทสำรวจที่ดำเนินการในระดับนานาชาติและได้ทำการขุดเจาะมาแล้วในทุกทวีป ยกเว้นแอนตาร์กติกา

หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่เว็บไซต์ของ MidOcean Energy ที่ www.midoceanenergy.com หรือเว็บไซต์ของ EIG ที่ www.eigpartners.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อ EIG/MidOcean
FGS Global
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG@fgsglobal.com

ข้อมูลติดต่อ Hunt
Paul Schulze
+1 214-978-8534
publicaffairs@huntconsolidated.com

แหล่งที่มา: EIG

I Squared ประกาศการเข้าซื้อกิจการสถานีเก็บน้ำมัน Philippines Coastal ในอ่าวซูบิก ประเทศฟิลิปปินส์

Logo

มะนิลา, ฟิลิปปินส์ และไมอามี–(BUSINESS WIRE)–23 ตุลาคม 2024

I Squared Capital ประกาศในวันนี้ว่า ได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการ Philippines Coastal Storage & Pipeline Corporation และบริษัทในเครือ

Philippines Coastal terminal at Subic Bay. (Photo: Business Wire)

สถานี Philippines Coastal ที่อ่าวซูบิก (ภาพ : Business Wire)

Philippines Coastal ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวซูบิก (Subic Bay Freeport Zone) และให้บริการในระเบียงเศรษฐกิจลูซอน (Luzon Economic Corridor : LEC) เป็นสถานีนำเข้าอิสระที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ ด้วยความจุ 6.3 ล้านบาร์เรล Philippines Coastal มีความจุในการเก็บน้ำมันนำเข้าสูงกว่า 20% ของประเทศ

Philippines Coastal มีบทบาทสำคัญในการรับประกันว่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงเหลวเข้าสู่ประเทศจะเป็นไปอย่างมั่นคงและเชื่อถือได้ โดยตอบสนองความต้องการของผู้จัดจำหน่ายสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่และผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์อื่น ๆ ด้วยท่าเทียบเรือน้ำลึกและทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ จึงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมในการให้บริการแก่ตลาดในเขตเมโทรมะนิลา (metro Manila) และลูซอนเหนือ และเป็นสถานีที่ผู้ประกอบการรายใหญ่เลือกใช้ในการนำเข้าเชื้อเพลิงเข้าประเทศ Philippines Coastal ได้รับประโยชน์จากสัญญาแบบจ่ายหรือรับ (take or pay contract) ที่คิดค่าเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐ กับลูกค้าที่มีความน่าเชื่อถือทางเครดิตสูง ซึ่งบริษัทมีความสัมพันธ์อันยาวนาน

ในเดือนเมษายน 2024 ประธานาธิบดีไบเดน นายกรัฐมนตรีคิชิดะแห่งญี่ปุ่น และประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์แห่งฟิลิปปินส์ ได้จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระเบียงเศรษฐกิจลูซอน เพื่อสนับสนุนการเชื่อมต่อระหว่างอ่าวซูบิก คลาร์ก (Clark) มะนิลา และบาตังกัส (Batangas) ในฟิลิปปินส์ Philippines Coastal ซึ่งตั้งอยู่ที่อ่าวซูบิก จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการลงทุนในอนาคตใน LEC

Harsh Agrawal หุ้นส่วนอาวุโสของ I Squared กล่าวว่า “Philippines Coastal เป็นสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นของฟิลิปปินส์ ด้วยการขยายตัวของเมืองและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น จากชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตในฟิลิปปินส์ ความต้องการเชื้อเพลิงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราเห็นโอกาสเชิงกลยุทธ์ในการขยายขีดความสามารถของสินทรัพย์เพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นนี้ และเพื่อกระจายไปสู่การจัดเก็บเชื้อเพลิงชีวภาพและเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน”

ตั้งแต่ปี 1993 Philippines Coastal ได้ดำเนินการสถานีภายใต้สัญญาเช่าระยะเวลา 50 ปี กับหน่วยงานบริหารอ่าวซูบิก (Subic Bay Metropolitan Authority : SBMA) โดยมีสิทธิ์ในการขยายสัญญาเช่าออกไปอีก 15 ปี Philippines Coastal ครอบคลุมพื้นที่กว่า 160 เฮกตาร์ มีถังเก็บน้ำมัน 91 ถังสำหรับเชื้อเพลิงประเภทต่าง ๆ มีท่าเทียบเรือสองท่า โดยท่าเทียบเรือหลักสามารถรองรับเรือขนาดกลางประเภท 1 ได้ (Medium Range 1 ขนาดไม่เกิน 50,000 DWT) ในขณะที่ท่าเทียบเรือรองเหมาะสำหรับการขนถ่ายสินค้าไปยังเกาะอื่น ๆ ภายในประเทศ

พื้นที่ให้บริการของ Philippines Coastal ครอบคลุมความต้องการเชื้อเพลิงส่วนใหญ่ของฟิลิปปินส์ (มากกว่า 55% ของน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบิน มากกว่า 35% ของเชื้อเพลิงดีเซล/เบนซิน) และความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน (sustainable fuels) เช่น เอทานอลและไบโอดีเซลจากน้ำมันมะพร้าว

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิลิปปินส์เป็นผู้นำในการผสมเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน (sustainable fuel blending) ในเดือนตุลาคม รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้เพิ่มข้อกำหนดการผสมไบโอดีเซลเป็น 3% ซึ่งจะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปัจจุบัน การผสมเอทานอล 20% ในเชื้อเพลิงเบนซินเป็นไปโดยสมัครใจ และรัฐบาลกำลังพิจารณาที่จะทำให้เป็นข้อบังคับในอนาคต Philippines Coastal จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการริเริ่มด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการจัดเก็บเชื้อเพลิงระดับโลก เพื่อเก็บเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน

I Squared ได้ลงนามในข้อตกลงขั้นสุดท้ายเพื่อเข้าซื้อกิจการผ่านกองทุน ISQ Global Growth Market Fund ขณะนี้ I Squared กำลังเข้าซื้อ Philippines Coastal จาก Keppel Infrastructure Trust สิงคโปร์ และ Metro Pacific Investment Corporation ฟิลิปปินส์ การปิดดีลขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทั่วไปบางประการ รวมถึงการอนุมัติด้านการต่อต้านการผูกขาด (anti-trust clearance) ในฟิลิปปินส์ ภายใต้การปฏิบัติตามหรือการยกเว้นเงื่อนไขดังกล่าว (หากมี) คาดว่าจะสามารถปิดดีลในช่วงปลายปี 2024

ที่ปรึกษาทางการเงินของ I Squared สำหรับธุรกรรมนี้คือ Rippledot Capital Advisers Pte Ltd. ที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศคือ Latham & Watkins LLP สิงคโปร์ และที่ปรึกษากฎหมายฟิลิปปินส์คือ Romulo

เกี่ยวกับ I Squared

I Squared เป็นผู้นำในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกที่เป็นอิสระ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการกว่า 40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เราเป็นที่รู้จักในด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเริ่มต้นจากขนาดเล็กและเติบโตขึ้น เราใช้ข้อมูลเชิงลึกระดับโลกและความเข้าใจในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งเพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ส่งเสริมธุรกิจที่ชาญฉลาดขึ้น ให้บริการชุมชนท้องถิ่น และลงทุนในอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นเพื่อให้บริการที่จำเป็นแก่ผู้คนนับล้านทั่วโลก เรามีทีมงานกว่า 280 คน มีสำนักงานใหญ่ในไมอามี และสำนักงานในอาบูดาบี ลอนดอน มิวนิก นิวเดลี เซาเปาโล สิงคโปร์ ซิดนีย์ และไทเป เราดำเนินงานด้วยพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย ประกอบด้วย 86 บริษัทในกว่า 70 ประเทศ มีพนักงานกว่า 66,000 คน ในหลากหลายภาคส่วน ซึ่งรวมถึงภาคสาธารณูปโภค พลังงาน โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.isquaredcapital.com

ข้อจำกัดความรับผิด

เอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำหรือข้อเสนอแนะหรือข้อเสนอในการขายหรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมในหลักทรัพย์หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินใด ๆ เอกสารจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การลงทุนมีความเสี่ยง อาจสูญเสียเงินต้นได้

การลงทุนเฉพาะที่อธิบายไว้ในที่นี้ไม่ได้แสดงถึงการตัดสินใจลงทุนทั้งหมดที่ ISQ ทำ ผู้อ่านไม่ควรสันนิษฐานว่า การตัดสินใจลงทุนที่ระบุและอภิปรายไว้ในที่นี้ได้หรือจะมีกำไร คำแนะนำการลงทุนจำเพาะที่อ้างอิงจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เพื่อประกอบการอธิบายเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแทนของการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54140447/en

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อ :

Dominic McMullan/Shelly Hagan

info@isquaredcapital.com

แหล่งที่มา : I Squared Capital

Inkia กำลังก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดในเปรูด้วยแผนขยายการดำเนินงานครั้งใหญ่

Logo

  • กำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่กว่า 1 GW จะพร้อมใช้งานภายในสิ้นปี 2025
  • มีโครงการพลังงานที่กำลังพัฒนาอยู่กว่า 3 GW โดยมีโครงการพลังงานลมกว่า 600 MW ที่จะเปิดตัวในปี 2026
  • ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตจากโครงการไฮโดร พลังงานก๊าซธรรมชาติ และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ที่มีอยู่ 2,237 MW ดังนั้น Inkia จะยืนยันตำแหน่งในฐานะบริษัทผลิตไฟฟ้าที่มีความหลากหลายและใหญ่ที่สุดในเปรู

ลิมา ประเทศเปรู–(BUSINESS WIRE)–18 ตุลาคม 2024

Inkia Energy ผ่านบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดอย่าง Kallpa ได้รับการอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับการขยายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างในภาคใต้ของเปรู ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำระดับโลก การอนุมัติครั้งนี้จะทำให้โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ชื่อ Sunny ขยายจาก 228 MWp เป็น 338 MWp และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 Inkia Energy ซึ่งตั้งอยู่ในเปรูเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ และอยู่ภายใต้การควบคุมของ I Squared Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก

(Photo: Business Wire)

(รูปภาพ: Business Wire)

นอกเหนือจากโครงการ Sunny แล้ว Inkia ยังได้สนับสนุนการก่อสร้างโครงการพลังงานแสงอาทิตย์อีก 2 โครงการที่อยู่ใกล้เคียง โดยได้ลงนามในข้อตกลงซื้อขายพลังงานและใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (I-REC) สำหรับการพัฒนาเหล่านี้ ด้วยโครงการทั้ง 3 นี้ Inkia จะรวมพลังงานจาก “ศูนย์กลางพลังงานแสงอาทิตย์ของเปรู” ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนประมาณ 1 Gwp เข้าสู่โครงข่ายพลังงานแห่งชาติในไตรมาสที่ 4 ของปี 2025

นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะเปิดตัวโครงการพลังงานลมอีก 2 โครงการที่มีกำลังการผลิตรวมอย่างน้อย 600 MW ในปี 2026 โครงการพลังงานลม รวมถึงโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และโครงการ BESS อื่นๆ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับจุดยืนของบริษัทให้เป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานในปัจจุบันและอนาคตของเปรู โครงการเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างคุณค่าของ Inkia ในการให้บริการลูกค้าด้วยพลังงานที่มีความต่อเนื่องและเชื่อถือได้ ซึ่งผลิตจากการรวมกันของแหล่งพลังงานหมุนเวียนหลายประเภทและก๊าซธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความสำคัญในการรองรับการขาดแคลนและความไม่ต่อเนื่องของพลังงานหมุนเวียน

Inkia ยังมีบริการโซลูชันด้านพลังงานที่เชื่อมต่อกันด้านหลังมิเตอร์การไฟฟ้าให้กับลูกค้าผ่านช่องทางขายปลีกของตน นั่นคือ Kondu ซึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SME)

“Inkia เป็นนักพัฒนาโดยธรรมชาติ และเป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเปิดตัวโครงการ Sunny ถือเป็นการเริ่มต้นของแคมเปญขยาย Inkia 2.0 ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการพลังงานของเปรู และยืนยันจุดยืนของ Inkia ในฐานะบริษัทโซลูชันพลังงานชั้นนำของประเทศ” Willem Van Twembeke ซีอีโอของ Inkia Energy กล่าว “เรามั่นใจว่าพอร์ตโฟลิโอที่มีความสมดุลและการจัดอันดับกลุ่มระดับลงทุนของ Inkia ทำให้บริษัทเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับลูกค้าในด้านความน่าเชื่อถือ ทั้งในแง่ของพลังงานและการสนับสนุนทางการเงิน”

เกี่ยวกับ Inkia Energy

Inkia เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในเปรู โดยมีกำลังการผลิตติดตั้ง 2,237 MW ผ่านบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดอย่าง Kallpa ซึ่ง Inkia Energy อยู่ภายใต้การควบคุมของ I Squared Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอิสระชั้นนำระดับโลกที่บริหารสินทรัพย์กว่า $40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเปรู Inkia ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติแบบผสมผสานที่มีประสิทธิภาพ และเพิ่งเปิดตัวระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ขนาด 34 MW นอกเหนือจากโครงการ Sunny แล้ว Kallpa ยังได้พัฒนาโครงการพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และ BESS หลายโครงการ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงการจัดหาไฟฟ้าที่ต่อเนื่อง เชื่อถือได้ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับเปรู Inkia ยังเป็นเจ้าของ Kondu ซึ่งเป็นบริษัทโซลูชันด้านพลังงานที่มุ่งเน้นความต้องการของตลาดค้าปลีก และให้บริการโซลูชันด้านพลังงานหลากหลายและพลังงานที่เชื่อมต่อกันด้านหลังมิเตอร์การไฟฟ้าแก่ลูกค้าของ Inkia นอกเปรู Inkia ยังเป็นเจ้าของและดำเนินการสินทรัพย์การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ากว่า 5.5 GW และมีลูกค้ากว่า 2 ล้านรายทั่วละตินอเมริกา

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54133250/en

ข้อมูลติดต่อ

สื่อสัมพันธ์

Pamela Gutierrez
communications@inkiaenergy.com

แหล่งข้อมูล: Inkia Energy


กองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบียประกาศเข้ามามีบทบาทในเซอร์เบียเป็นครั้งแรก โดยให้เงินทุนสนับสนุน 3 โครงการพัฒนา มูลค่ารวม 205 ล้านดอลลาร์

Logo

เบลเกรด เซอร์เบีย –(BUSINESS WIRE)–17 ตุลาคม 2024

กองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบีย (SFD) ได้ลงนามในข้อตกลงเงินกู้พัฒนา 3 ฉบับกับสาธารณรัฐเซอร์เบีย รวมมูลค่า 205 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนโครงการสำคัญในภาคเกษตรกรรม การศึกษา และพลังงาน ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นการเข้ามามีบทบาทครั้งแรกของ SFD ในเซอร์เบีย โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว ข้อตกลงนี้ลงนามโดย H.E. Sultan Al-Marshad ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SFD และ H.E. Siniša Mali รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเซอร์เบีย โดยมี Mr.Ali Aldossary อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เป็นสักขีพยาน

H.E. Sultan Al-Marshad, CEO of the SFD, and H.E. Siniša Mali, Serbia’s Deputy Prime Minister and Minister of Finance (Photo: AETOSWire)

คุณ H.E. Sultan Al-Marshad ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอของ SFD กับคุณ H.E. Siniša Mali รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศเซอร์เบีย (รูป: AETOSWire)

สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงเหล่านี้ ทาง Mr. Mali กล่าวว่า “เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ลงนามในข้อตกลงสำคัญสามฉบับกับกองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญครั้งแรกหลังจากการลงนามบันทึกความเข้าใจเมื่อปีที่แล้ว เรารู้สึกขอบคุณสำหรับการสนับสนุน โครงการที่เงินทุนนี้จะนำไปใช้นั้นจะช่วยสร้างงานใหม่ เสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของเรา และปรับปรุงสถานะของสาธารณรัฐเซอร์เบียในชุมชนวิทยาศาสตร์ระดับโลก ข้อตกลงเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระยะยาวระหว่างสาธารณรัฐเซอร์เบียและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และช่วยพัฒนาโครงการสำคัญในประเทศของเรา”

ข้อตกลงประกอบด้วยโครงการ 3 โครงการ ได้แก่ การจัดสรรงบประมาณ 75 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการชลประทานในพื้นที่ต่าง ๆ และใช้ 65 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการก่อสร้างวิทยาเขต Bio4 ในกรุงเบลเกรด และอีก 65 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการพัฒนาผู้ดำเนินการระบบส่งไฟฟ้า (ระยะที่ 1)

โครงการแรกจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบชลประทานและปรับปรุงการจัดการน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญ โดยการสร้างสถานีสูบน้ำใหม่ ปรับปรุงคลองที่มีอยู่ และสร้างเครือข่ายชลประทานที่ทันสมัยครอบคลุมกว่า 230 กิโลเมตร โครงการนี้มุ่งเน้นในพื้นที่ เช่น Novi Slankamen และ Jasenicke Kapi โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและจัดการการแจกจ่ายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงภัยแล้ง

โครงการที่สองจะจัดสรรเงินทุนสำหรับการก่อสร้างวิทยาเขต Bio4 ในกรุงเบลเกรด ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่บุกเบิกซึ่งเน้นด้านเทคโนโลยีชีวภาพ วิทยาเขต Bio4 จะประกอบด้วย 6 คณะ 9 สถาบันวิจัย และห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย รวมถึงห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 3 ที่มหาวิทยาลัยเบลเกรด ศูนย์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรวบรวมนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและความร่วมมือในสาขาต่างๆ เช่น ชีววิทยา การแพทย์ และการวิจัยน้ำเสีย

โครงการสุดท้ายจะขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของเซอร์เบียด้วยการสร้างสายส่งไฟฟ้า 400 กิโลโวลต์ใหม่ และการปรับปรุงสถานีไฟฟ้าย่อยที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเสถียรในการจ่ายพลังงานของเซอร์เบียและเชื่อมโยงประเทศเข้ากับตลาดไฟฟ้ายุโรปผ่านทางเดินส่งไฟฟ้า Trans-Balkan

เพื่อให้เห็นภาพถึงข้อตกลงนี้ ทาง Sultan Al-Marshad ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SFD กล่าว “การสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการให้ทุนเชิงกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษานั้นเป็นภารกิจหลักของเรา ความร่วมมือครั้งนี้กับเซอร์เบียสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมนวัตกรรม เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการที่เราให้ทุนจะสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนให้กับประชาชนชาวเซอร์เบียและช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของพวกเขา

SFD มุ่งมั่นในการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลก ในฐานะหน่วยงานพัฒนาทางการของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย SFD ได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการมากกว่า 800 โครงการในกว่า 100 ประเทศ โดยมีเงินทุนรวม 20 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2024 SFD ฉลองครบรอบ 50 ปีในการส่งเสริมการพัฒนาระดับโลก โดยล่าสุดได้ขยายไปยัง 11 ประเทศใหม่ รวมถึงเซอร์เบีย

ที่มาAETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54137077/en

ติดต่อ

Randah Al-Hothali
Director General of Corporate Communications
media@sfd.gov.sa

ที่มา: Saudi Fund for Development