Category Archives: Biomedical

ส่องแสงไปที่วีรบุรุษและวีรสตรีแห่งโรคหายาก

Logo

ผู้สนับสนุนด้านสุขภาพของออสเตรเลียเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทั่วโลกเพื่อสร้างความตระหนักในวันโรคหายาก ณ วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์

ซิดนีย์–(BUSINESS WIRE)–26 ก.พ. 2564

ด้วยภารกิจในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับชุมชนผู้ป่วยโรคหายาก วันนี้ Illumina ได้ร่วมมือกับนักวิจัยทางการแพทย์และครอบครัวหลายครอบครัวในการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดลำดับจีโนม และเพื่อให้ความสำคัญกับผู้คนกว่า 300 ล้านคนทั่วโลกที่เป็นโรคหายาก

วันโรคหายากเป็นกิจกรรมประจำปีเพื่อการเข้าถึงการวินิจฉัยการรักษาสุขภาพการดูแลทางสังคมและโอกาสอย่างเท่าเทียมกันสำหรับผู้ที่เป็นโรคหายาก ในออสเตรเลียมีผู้ป่วยโรคหายากประมาณ 2 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นเด็ก 400,000 คน

ในบรรดาผู้ที่เป็นโรคหายาก หลายคนยังคงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสภาพของพวกเขาและไม่ได้รับการวินิจฉัย หลายครอบครัวมักถูกทิ้งให้อยู่กับสถานการณ์ที่พวกเขาไม่เคยเผชิญมาก่อน ด้วยการใช้เวลาโดยเฉลี่ยถึง 7 ปีในการค้นหาคำตอบ1

Maree Dalton แม่ของเด็กชาวออสเตรเลียที่ป่วยเป็นโรคหายากกล่าวว่า“ หลังจากค้นหาคำอธิบายมานานหลายปี เพียงแค่การรู้ชื่อของอาการก็สร้างความรู้สึกโล่งใจแบบที่ไม่สามารถอธิบายได้แล้ว การวินิจฉัยไม่เพียงให้คำตอบ แต่ยังสามารถนำไปสู่การสนับสนุนเพิ่มเติมและการเข้าถึงความช่วยเหลือและการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมอีกด้วย”

“การได้รับการวินิจฉัยโรคทำให้ครอบครัวของเราสามารถรู้จักกับคนอื่น ๆ ที่ต่างแบ่งปันประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันได้” คุณ Dalton กล่าว “ ชุมชนเหล่านี้เป็นเสาหลักอันล้ำค่าในการสนับสนุนในช่วงเวลาแห่งการต่อสู้และความไม่แน่นอน”

มีโรคหายากที่แตกต่างกันกว่า 7,000 โรคที่เป็นโรคเรื้อรังก้าวหน้า โรคเสื่อมและการพิการ และมักเป็นอันตรายถึงชีวิต

Nicole Millis ซีอีโอของ Rare Voices Australia กล่าวว่า“ การทดสอบยีนและการหาลำดับจีโนมทั้งหมดเป็นเครื่องมือในการตรวจหาโรคที่หายาก”

“การดูแลให้มีการเข้าถึงการตอบสนองการวินิจฉัยเฉพาะทางอย่างกว้างขวาง เช่น การทดสอบจีโนมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อทำให้แน่ใจว่าได้รับการวินิจฉัยอย่างทันท่วงทีและถูกต้อง ซึ่งเป็นลำดับความสำคัญของแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์แห่งชาติสำหรับโรคหายาก หรือ the National Strategic Action Plan for Rare Diseases สำหรับในอนาคต การแพทย์ที่มีความแม่นยำโดยใช้ข้อมูลจีโนมและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาการรักษาที่เหมาะสมจะมีส่วนสำคัญในการจัดการโรคที่หายาก” คุณ Millis กล่าวต่อ

เทคโนโลยีชั้นนำของ Illumina ในการทดสอบจีโนมและการจัดลำดับมีหน้าที่รับผิดชอบกว่า 90% ของข้อมูลการจัดลำดับจีโนมของโลก

“หนึ่งในแอปพลิเคชันที่ทรงพลังที่สุดของการจัดลำดับจีโนมคือการช่วยระบุสาเหตุทางพันธุกรรมที่เป็นสาเหตุของโรคที่หายากของผู้ป่วย” รองประธานและผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น Gretchen Weightman กล่าว “เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยให้ครอบครัวเข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้ได้ดีขึ้นวางแผนการดูแลที่ดีที่สุดสำหรับสภาพของพวกเขาและในบางกรณีผู้ป่วยอาจได้รับการรักษาจนหาย และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

“ในฐานะบริษัท Illumina ทุ่มเทเพื่อสนับสนุนความต้องการของผู้ป่วยและชุมชน งานของเราในการเพิ่มการเข้าถึงการจัดลำดับจีโนมทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาและส่งมอบผลงานตามคำมั่นสัญญาทางการแพทย์ที่มีความแม่นยำ”

ในวันโรคหายากนี้ ได้มีการรณรงค์ให้ชาวออสเตรเลียแบ่งปันภาพถ่ายไปยังหน้าโซเชียลของพวกเขาด้วยการเพนท์ที่มือ โดยใช้แฮชแท็ก #RareDisease Day และแท็ก @rarediseaseday เพื่อแสดงการสนับสนุนสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคหายาก

วันโรคหายาก

วันโรคหายากเกิดขึ้นในวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี วัตถุประสงค์หลักของวันโรคหายากคือเพื่อสร้างความตระหนักในหมู่ประชาชนทั่วไปและผู้มีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับโรคหายากและผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วย แคมเปญนี้มุ่งเป้าไปที่ประชาชนทั่วไปเป็นหลักและพยายามสร้างความตระหนักในหมู่ผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานสาธารณะ ตัวแทนอุตสาหกรรม นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และทุกคนที่มีความสนใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับโรคหายาก หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมโปรดไปที่ www.rarediseaseday.org

ILLUMINA

Illumina กำลังปรับปรุงสุขภาพของมนุษย์โดยการปลดล็อกพลังของจีโนม การมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมของเราทำให้เราเป็นผู้นำระดับโลกในการจัดลำดับดีเอ็นเอและเทคโนโลยีที่ใช้การจัดลำดับ หรือ array-based technologies โดยให้บริการลูกค้าในตลาดการวิจัยการแพทย์และการประยุกต์ใช้ ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ของเราถูกใช้ในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ มะเร็งวิทยา อนามัย การเจริญพันธุ์ เกษตรกรรม และในสาขาที่เกิดขึ้นใหม่อื่น ๆ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.illumina.com และติดตาม @illumina หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมโปรดไปที่ www.illumina.com/areas-of-interest/genetic-disease/rare-disease-genomics.html

RARE VOICES AUSTRALIA

Rare Voices Australia (RVA) เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรสำหรับชาวออสเตรเลียที่เป็นโรคหายาก RVA เข้มแข็งและเป็นหนึ่งเดียวในการสนับสนุนนโยบายด้านสุขภาพ ความพิการ ตลอดจนะระบบอื่น ๆ ที่ใช้ได้ผลกับผู้ที่เป็นโรคหายาก การมุ่งเน้นที่บุคคลเป็นศูนย์กลางทำให้เราทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญทั้งหมดรวมถึงรัฐบาล หน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร นักวิจัย แพทย์ และภาคอุตสาหกรรม เราต้องการสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับชาวออสเตรเลียที่ป่วยเป็นโรคหายาก หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมโปรดไปที่ www.rarevoices.org.au

________________

1 Illumina. การจัดลำดับจีโนมทั้งหมดสำหรับโรคหายาก: แหล่งข้อมูลการสนับสนุนผู้ป่วยทั่วโลก

https://sapac.illumina.com/content/dam/illumina-marketing/documents/company/corporate-citizenship/illumina-global-advocacy.pdf

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210225006322/en/

ติดต่อ:

Illumina

Melinda Hutcheon

858-882-6822

pr@illumina.com

Weber Shandwick

Clare Davies

0402 188 054

clare.davies@webershandwick.com

Sonja Ngenkrajang

0481 132 700

sngenkrajang@webershandwick.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Aptorum Group ประกาศยื่นขอการทดลองทางคลินิกสำหรับยา ALS-4 ซึ่งเป็นยาโมเลกุลขนาดเล็กที่ให้ผ่านทางปากเพื่อรักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรียสตาฟิโลคอคคัสออเรียส รวมถึงแบคทีเรียสตาฟิโลคอคคัสออเรียสที่ดื้อยาปฏิชีวนะในกลุ่มเมธิซิลิน (MRSA)

Logo

นิวยอร์ก & ลอนดอน & ปารีส–(BUSINESS WIRE)–21 ธันวาคม 2563

ข่าวระเบียบข้อบังคับ:

Aptorum Group Limited (Nasdaq: APM, Euronext Paris: APM) (“Aptorum Group” หรือ “Aptorum”) บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ที่มุ่งเน้นเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับรักษาโรคประจำตัวและโรคติดเชื้อชนิดต่าง ๆ ประกาศว่าบริษัทได้ยื่นขอทำการทดลองทางคลินิก (CTA) ต่อ Public Health Agency of Canada หรือ Health Canada ผ่าน Aptorum International Limited  บริษัทย่อยที่เป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการทดลองทางคลินิกในระยะที่ 1 ของ ALS-4 ซึ่งเป็นยาโมเลกุลขนาดเล็กสำหรับให้ผ่านทางปากเพื่อรักษาอาการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส รวมถึงแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ที่ดื้อยาปฏิชีวนะในกลุ่มเมธิซิลิน (MRSA) การทดลองในระยะที่ 1 ซึ่งอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก Health Canada นั้น กำหนดให้มีการทดสอบ ALS-4 ด้านความปลอดภัย ความทนต่อยา และเภสัชจลนศาสตร์กับอาสาสมัคร

Dr. Clark Cheng ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์และกรรมการบริหาร Aptorum Group กล่าวว่า “หลังได้มีการแจ้งความคืบหน้าไปเมื่อเดือนกันยายน 2563 ที่ผ่านมา เรายินดีอย่างยิ่งที่ได้ประกาศให้ทราบถึงการยื่นขอทำการทดลองทางคลินิก ซึ่งแสดงถึงอีกก้าวสำคัญด้านการพัฒนาในโครงการยาปฏิจุลชีวนะ ALS-4 ของเรา ALS-4 เป็นโมเลกุลขนาดเล็กชนิดใหม่ซึ่งใช้วิธียับยั้งปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรงของโรค หรือ anti-virulence (ที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะ) เพื่อรับมือกับความต้องการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นในเรื่องของโรคติดเชื้อซึ่งมีสาเหตุจากแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ALS-4 เป็นยาที่ให้ผ่านทางปาก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายด้านสุขภาพทั่วโลกที่มุ่งส่งเสริมให้เปลี่ยนการรักษาด้วยยาปฏิจุลชีวนะจากการให้ยาผ่านหลอดเลือดดำมาเป็นมาการให้ยาทางปากแทน1,2,3 จากข้อมูลภายในที่ได้จากการทดลองก่อนทดสอบในมนุษย์ (preclinical) ของเรา ซึ่งเตรียมที่จะเข้าสู่การทดลองทางคลินิกต่อไปนั้น พบว่า ALS-4 สามารถใช้เดี่ยว ๆ หรือใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะทีมีอยู่แล้วอย่าง (เช่น vancomycin) เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโดยเฉพาะในกรณีที่รุนแรง เช่นเดียวกัน เราเชื่อว่ายา ALS-4 สำหรับรับประทานของเราสามารถรักษาการติดเชื้อต่าง ๆ ที่เกิดจากแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง (แต่ไม่จำกัดเฉพาะ) แบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ที่ดื้อยาปฏิชีวนะในกลุ่มเมธิซิลิน และการติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน ซึ่งจะมีการทดสอบทางคลีนิกต่อไปตามลำดับ”

การทดลองทางคลินิกในระยะที่ 1 มีแผนที่จะดำเนินการในประเทศแคนาดา และตั้งเป้ารับสมัครอาสาสมัครสำหรับการให้ยาคนละครั้งเดียวโดยเพิ่มขนาด (SAD) ทั้งหมด 48 ราย และการให้ยาคนละหลายครั้งโดยเพิ่มขนาด (MAD) ทั้งหมด 32 ราย ตามลำดับ วัตถุประสงค์หลักของการทดลองครั้งนี้คือประเมินความปลอดภัยและความทนต่อยาจากการให้ยา ALS-4 ทางปากทั้งแบบ SAD และ MAD กับตัวอย่างที่มีร่างกายแข็งแรง วัตถุประสงค์รองของการทดลองครั้งนี้คือประเมินคุณลักษณะด้านเภสัชจลนศาสตร์จากการให้ยา ALS-4 ทางปากทั้งแบบ SAD และ MAD กับตัวอย่างที่มีร่างกายแข็งแรง

เกี่ยวกับ ALS-4

ALS-4 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มโรคติดเชื้อ Acticule โดย Aptorum Group เป็นยาโมเลกุลขนาดเล็กสำหรับให้ทางปากตัวแรกในกลุ่ม (first-in-class) ที่ใช้ใช้วิธียับยั้งปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรงของโรค (ที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะ) โจมตีแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส รวมถึงแบคทีเรีย สตาฟิโลคอคคัส ออเรียส ที่ดื้อยาปฏิชีวนะในกลุ่มเมธิซิลิน (MRSA) เป้าหมายของ ALS-4 คือการยับยั้งความรุนแรงของแบคทีเรียและทำให้มีความไวรับสูงต่อช่วงที่ร่างกายเริ่มทำงานเพื่อกำจัดเชื้อ (immune clearance) รวมถึงมีแนวโน้มที่จะให้ผลดีขึ้นเมื่อให้ร่วมกับยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ในปัจจุบัน

เกี่ยวกับ Aptorum Group

Aptorum Group Limited (Nasdaq: APM, Euronext Paris: APM) เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ที่อุทิศตนเพื่อการคิดค้น พัฒนา และนำเทคโนโลยีการรักษาและวินิจฉัยมาใช้ในเชิงพาณิชย์เพื่อจัดการกับความต้องการด้านการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรคติดเชื้อและมะเร็ง (รวมถึงยากำพร้าที่ใช้รักษาโรคเนื้องอก) ช่องทางพัฒนาของ Aptorum ยังเติมเต็มด้วยการก่อตั้งแพลตฟอร์มคิดค้นยาที่นำมาสู่การค้นพบผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาโรคใหม่ ๆ จากโครงการต่าง ๆ เช่นการคัดกรองโมเลกุลยาที่ได้รับการอนุมัติในปัจจุบันอย่างเป็นระบบ และแพลตฟอร์มวิจัยด้านไมโครไบโอมสำหรับการรักษาโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของเมตาบอลิซึม นอกเหนือจากเป้าหมายหลักที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว บริษัทยังเดินหน้าคิดค้นโปรแกรมการรักษาและวินิจฉัยโรคต่าง ๆ ทางด้านประสาท ทางเดินอาหาร ความผิดปกติของเมตาบอลิซึม สุขภาพสตรี และด้านอื่น ๆ นอกจากนี้ Aptorum ยังมีโครงการที่มุ่งเน้นในเรื่องหุ่นยนต์ผ่าตัดและอาหารเสริมธรรมชาติสำหรับสตรีที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนซึ่งได้รับผลกระทบจากอาการดังกล่าว

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Aptorum Group โปรดดูที่ www.aptorumgroup.com

คำจำกัดสิทธิ์ความรับผิดชอบและข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต

เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ไม่ถือเป็นการเสนอขายหรือการชักชวนให้เข้าซื้อหลักทรัพย์ใด ๆ ของ Aptorum Group

เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Aptorum Group Limited และความคาดหวังในอนาคต แผน และโอกาสในอนาคตซึ่งเป็น “แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้า” ภายใต้ความหมายของพระราชบัญญัติปฏิรูปกฎหมายฟ้องร้องหลักทรัพย์เอกชนปี พ.ศ. 2538 ข้อความที่มีอยู่ในเอกสารฉบับนี้ซึ่งไม่ใช่แถลงการณ์ของข้อเท็จจริงในอดีตอาจถือเป็นข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ในบางกรณีคุณสามารถระบุข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าโดยใช้คำเช่น “อาจ” “ควร” “คาดว่า” “มีแผนจะ” “คาดการณ์” “อาจจะทำได้” “ตั้งใจว่า” “มีเป้าหมายว่า” “มีโครงการว่า" "พิจารณาจะ" "เชื่อว่า" "ประเมินว่า" "พยากรณ์" "มีศักยภาพจะ" หรือ "จะดำเนินการต่อ" หรือคำตรงข้ามของคำเหล่านี้หรือสำนวนอื่น ๆ ที่คล้ายกัน มาจากความคาดหวังและการคาดการณ์ในปัจจุบันเกี่ยวกับเหตุการณ์และแนวโน้มในอนาคตที่เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ สถานะทางการเงิน และผลการดำเนินงาน ข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตของ Aptorum Group ซึ่งรวมถึงข้อความเกี่ยวกับระยะเวลาที่คาดการณ์ไว้สำหรับการยื่นขอทำการทดลองและการทำการทดลอง พิจารณาจากความคาดหวังและการคาดการณ์ ณ  ปัจจุบันต่อเหตุการณ์และแนวโน้มในอนาคตที่เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ สถานะทางการเงิน และผลการดำเนินงาน ข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้เป็นปัจจุบัน ณ วันที่เผยแพร่ และอยู่ภายใต้ความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และข้อสันนิษฐาน รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ประกาศไว้และการเปลี่ยนแปลงองค์กร การให้บริการอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการขยายการจัดประเภทผลิตภัณฑ์โดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมสำหรับกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มเติม กลยุทธ์การเติบโตของบริษัทที่คาดการณ์ไว้ แนวโน้มและความท้าทายที่คาดการณ์ไว้ในธุรกิจของบริษัท และความคาดหวังเกี่ยวกับเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานและความเสี่ยงอย่างเต็มที่อธิบายไว้ในแบบฟอร์ม 20-F ของ Aptorum Group และเอกสารอื่น ๆ ที่ Aptorum Group อาจทำกับ กลต. ในอนาคต รวมถึงหนังสือชี้ชวนหมายเลข visa n°20-352 ที่ได้รับจาก Autorité des Marchés Financiers ประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2563

ฉะนั้นการคาดคะเนต่าง ๆ ในข้อความที่เป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลังและผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงอาจแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้ ณ ที่นี้ Aptorum Group ปฏิเสธข้อผูกมัดใด ๆ ในการปรับปรุงแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ล่วงหน้าที่มีอยู่ในเอกสารประชาสัมพันธ์นี้อันเป็นผลมาจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรืออื่น ๆ

ประกาศนี้ไม่ถือเป็นการชี้ชวนภายใต้ความหมายที่กำหนดไว้ใน Regulation (EU) n°2017/1129 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560 ตามที่แก้ไขโดย Regulations Delegated (EU) n°2019/980 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562 และ n°2019/979 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562

เนื้อหาในเอกสารประชาสัมพันธ์นี้ถูกนำเสนอ “ตามสภาพ” โดยไม่อาจรับรองหรือรับประกันใด ๆ


1 https://www.gloshospitals.nhs.uk/gps/antimicrobial-resources/adult-antibiotic-treatment-guidelines-site-infection/iv-oral-switch-guideline/ และ https://www.dbth.nhs.uk/wp-content/uploads/2017/10/IV-to-oral-switch-and-5-day-stop-policy.pdf
2 https://hgs.uhb.nhs.uk/wp-content/uploads/Guidelines-for-Antimicrobial-Prescribing-v5.0.pdf
3 https://www.jwatch.org/na48403/2019/02/12/sequential-intravenous-oral-treatment-mrsa-bacteremia

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20201221005196/en/

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
Aptorum Group Limited
แผนกนักลงทุนสัมพันธ์:
investor.relations@aptorumgroup.com
+44 20 80929299

Redchip – ฝ่ายสื่อสารด้านการเงินประจำสหัรฐอเมริกา
งานนักลงทุนสัมพันธ์
Dave Gentry
dave@redchip.com
+1 407 491 4498

Actifin – ฝ่ายสื่อสารด้านการเงินประจำภูมิภาคยุโรป
งานนักลงทุนสัมพันธ์
Ghislaine Gasparetto
ggasparetto@actifin.fr
+33 1 56 88 11 22

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ผลการศึกษาใหม่สรุปว่า Xlear สามารถฆ่าและ/หรือหยุดการทำงานของ SARS2

Logo

ไมแอมี–(บิสิเนสไวร์)–30 พ.ย. 2563

การศึกษาใหม่ในหลอดทดลอง ซึ่งนำโดยหน่วยงานที่มีชื่อเสียงด้านโรคระบบทางเดินหายใจได้สรุปว่าสเปรย์ฉีดจมูก Xlear เป็น “แนวทางที่มีประสิทธิภาพ…และมีผลซ้ำในการหยุดการทำงานของ SARS-CoV-2…จนเหลือปริมาณไวรัสที่ตรวจพบไม่ได้” ข้อสรุปนี้ “ได้รับการตรวจทานความถูกต้องโดยชุดการทดลองอิสระสองรา ดำเนินการโดยห้องปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ในสายพันธุ์ไวรัสที่แตกต่างกัน…” การศึกษา Virucidal ได้รับทุนสนับสนุนอย่างอิสระ “การศึกษาการฆ่าไวรัสให้ความสำคัญกับบทบาทของ Xlear ในการช่วยต่อสู้กับการแพร่ระบาดของ COVID-19” ดร. Dr. Gustavo Ferrer ซึ่งเป็นผู้นำทีมวิจัยกล่าว

สถานะของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์:

สเปรย์ฉีดจมูกเช่น Xlear ช่วยลดปริมาณไวรัสในจมูกซึ่งมีความสำคัญในการต่อสู้กับ COVID-19  ผลวิจัยชี้ว่า COVID-19 ส่วนใหญ่ติดเชื้อและแพร่กระจายผ่านระบบทางเดินหายใจส่วนบน  ด้วยการลดปริมาณไวรัสในจมูก สเปรย์ฉีดช่วยจำกัดความรุนแรงและการแพร่กระจายของโรค SARS-CoV-2 (COVID-19) https://jamanetwork.com/journals/jamaotolaryngology/fullarticle/2768627

ส่วนประกอบ Xlear นั้นต้านไวรัสโดยการป้องกันการยึดเกาะของเชื้อไวรัสในจมูก ชมตัวอย่าง https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2020.08.19.225854v1.full.pdf ผลวิจัย SARS-CoV-2 จากมหาวิทยาลัยเทนเนสซีสรุปว่า “สเปรย์ฉีดจมูกต้านไวรัส…มีส่วนช่วยลด…ปริมาณไวรัส…โดยชะลอการลุกลามของโรค…และการแพร่เชื้อ…”

กรณีศึกษาที่ผ่านการตรวจสอบทางวิชาการระบุว่า Xlear ช่วยใน การรักษา COVID-19: การทดลองครั้งแรกที่โรงพยาบาล Larkin Community Hospital (ไมอามี) ระบุว่า: “ผู้ป่วยที่มีอาการ COVID-19 ที่ได้รับการรักษาด้วย [Xlear] เป็นยาเสริมสำหรับ… [การดูแลมาตรฐาน]” แสดง “การรักษาอย่างรวดเร็ว โดยปรับปรุงและลดเวลาการตรวจผบ COVID-19 PCR เป็นลบ https://www.cureus.com/articles/43909-potential-role-of-xylitol-plus-grapefruit-seed-extract-nasal-spray-solution-in-covid-19-case-series

ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกใช้ Xlear มานานกว่า 20 ปี โดยไม่มีรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สำคัญแม้แต่รายงานเดียว

จากข้อมูลที่มีอยู่ การศึกษาการฆ่าไวรัสเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Xlear ไม่ใช่แค่ยาต้านไวรัส แต่เป็นยาฆ่าเชื้อไวรัส (ฆ่า/หยุดการทำงานของ SARS-CoV-2)  การรวมกันของความสามารถในการต้านไวรัสและความสามารถในการฆ่าเชื้อนี้ถือเป็นหมัดคู่ที่สำคัญในการต่อสู้กับไวรัส” Nathan Jones ซีอีโอของ Xlear กล่าว “ด้วยการระบาดใหญ่ทั่วโลก เราต้องใช้เครื่องมือทุกอย่างเพื่อต่อสู้กับมัน  มิฉะนั้นจะเสี่ยงชีวิตนับล้านโดยไม่จำเป็น  ด้วยการคำนึงถึงประวัติความปลอดภัย 20 ปีของเราต่อความเสี่ยงของไวรัสร้ายแรงนี้จึงเห็นได้ชัดว่า Xlear จำเป็นต้องมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย” Jones กล่าวสรุป

การศึกษาแบบเต็ม: https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2020.11.23.394114v1.full

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Xlear: https://xlear.com/

เกี่ยวกับ Dr.Gustavo Ferrer

Dr. Ferrer, MD FCCP เป็น รองศาสตราจารย์ด้านการแพทย์และผู้ก่อตั้งคลินิก Cleveland Clinic Florida Interstitial Lung Disease Clinic และเครือข่ายโรงพยาบาล Aventura Hospital Pulmonary and Critical Care  ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งประธานผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้ป่วยหนักที่ Aventura Pulmonary Institute และเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการด้านการวิจัยระบบทางเดินหายใจของมหาวิทยาลัยแห่งสหประชาชาติประเทศเวเนซุเอลา

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201130005291/en/

ติดต่อ:

Jeff Gulko
617.304.7339
jeff@thegulkogroup.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Humanigen Australia Proprietary Limited ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนแผนการเติบโตในเอเชียแปซิฟิก

Logo

  • หน่วยงาน Humanigen ใหม่ในออสเตรเลียสร้างโอกาสที่มุ่งเน้นการเป็นพันธมิตร การทดลองทางคลินิกระดับภูมิภาค และการเข้าถึงตลาด
  • โครงสร้างก่อให้แรงจูงใจทางการเงินที่น่าสนใจ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย

เบอร์ลิงเกม แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–24 พ.ย. 2563

Humanigen, Inc (NASDAQ: HGEN) (“Humanigen”) ซึ่งเป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ขั้นตอนทดลองทางคลินิกที่เน้นการป้องกันและรักษาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า 'cytokine storm' ด้วยยาทดลอง lenzilumab ได้ประกาศจัดตั้ง Humanigen Australia Proprietary Limited (“Humanigen Australia Pty Ltd”) ซึ่ง Humanigen ตั้งใจที่จะประเมินโอกาสในการเป็นพันธมิตร สนับสนุนโครงการพัฒนาทางคลินิก และดำเนินกิจกรรมพัฒนาองค์กรและธุรกิจอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก  กิจกรรมแรกได้ประกาศเมื่อ วันที่ 3 พฤศจิกายนโดยมีการดำเนินการตามข้อตกลงการออกใบอนุญาตสำหรับ lenzilumab สำหรับเกาหลีใต้และฟิลิปปินส์

การทดลองทางคลินิกที่กำลังดำเนินอยู่หรืออยู่ในการวางแผนขั้นสุดท้ายในออสเตรเลีย ได้แก่

Lenzilumab ในผู้ป่วยมะเร็งที่เป็น COVID-19 และมีปอดบวมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ C-SMART (การป้องกันและรักษา COVID-19 ในผู้ป่วยมะเร็ง การทดลองแบบสุ่มหลายรอบ)

การศึกษา C-SMART นำโดยศูนย์มะเร็ง National Center for Infections in Cancer ที่ Peter MacCallum Cancer Center และจะดำเนินการในท้องที่ออสเตรเลีย 5 แห่งในเมลเบิร์นและซิดนีย์  การศึกษานี้จะรวมผู้ป่วยมะเร็งมากกว่า 1,000 รายที่มีความเสี่ยงหรือมีทราบว่าติดเชื้อ COVID-19  โดยมีผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งภายใต้การกำกับของ lenzilumab  การศึกษานี้ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่ออนาคตด้านการวิจัยทางการแพทย์ของรัฐบาลออสเตรเลีย

Lenzilumab ในมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง chronic myelomonocytic leukemia (CMML) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ PREcision Approach to CHronic Myelomonocytic Leukemia (PREACH-M)

Humanigen อยู่ในการวางแผนขั้นสุดท้ายสำหรับการศึกษาระยะที่ 2 ของการใช้ยา lenzilumab ร่วมกับ azacitidine ในผู้ป่วย CMML ที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยซึ่งแสดงการกลายพันธุ์ NRAS/KRAS/CBL ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความไวต่อปัจจัยกระตุ้น granulocyte macrophage-colony stimulating factor (GM-CSF) ดังนั้นจึงอาจตอบสนองต่อการรักษาด้วย lenzilumab  CMML เป็นมะเร็งทางโลหิตรูปแบบหนึ่งที่หายากโดยไม่มีทางเลือกในการรักษาที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA และอัตราการรอดชีวิตโดยรวม 3 ปีเท่ากับ 20% และมีค่ามัธยฐานของการรอดชีวิตโดยรวม 20 เดือน1,2  การศึกษานี้ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเพื่ออนาคตด้านการวิจัยทางการแพทย์ของรัฐบาลออสเตรเลียและคาดว่าจะเริ่มในปี 2564

Ifabotuzumab ใน glioblastoma multiforme (GBM)

การทดลองในระยะที่ 1 นี้ได้ลงทะเบียนผู้ป่วย 11 ใน 12 รายที่กำหนดเป้าหมายสำหรับการลงทะเบียนเต็มจำนวน  คาดว่าผลการศึกษาจะพร้อมใช้งานในช่วงครึ่งแรกของปี 2564

ศาสตราจารย์ Andrew Scott หัวหน้าห้องปฏิบัติการกำหนดเป้าหมายเนื้องอก สถาบันวิจัยมะเร็ง Olivia Newton-John และศาสตราจารย์คณะแพทยศาสตร์มะเร็งมหาวิทยาลัย La Trobe ซึ่งเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการวิจัยและการพัฒนาทั้ง lenzilumab และ ifabotuzumab กล่าวว่า "การก่อตั้ง Humanigen Australia Pty Ltd เป็นผลจากการวิจัย 20 ปีสำหรับแอนติบอดีใหม่ทั้งสองนี้ ซึ่งเราช่วยกันค้นพบและพัฒนาในออสเตรเลีย  เราหวังว่า lenzilumab จะมีผลกระทบที่สำคัญในการรักษาผู้ป่วย COVID-19.  Ifabotuzumab ถือเป็นแนวทางใหม่ในการระบุเนื้องอกที่เป็นของแข็งหลายชนิด"

Bob Atwill หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Humanigen กล่าวว่า “กลยุทธ์การขยายตัวของ Humanigen ในช่วง COVID-19 รวมถึงการทดลองทางคลินิกระดับภูมิภาค การผลิตในท้องถิ่น การเป็นพันธมิตรและการเข้าสู่ตลาดในช่วงต้น  โอกาสบางส่วนอาจทำให้ Humanigen Australia Pty Ltd ได้รับประโยชน์จากนโยบายจูงใจทางการเงินและภาษีจากรัฐบาลออสเตรเลีย รวมถึงเงินคืน 43.5% สำหรับค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา  นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีชีวภาพและการดูแลสุขภาพ  ผมหวังว่าจะมีการพัฒนา lenzilumab โครงการอื่นของบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจากการเติบโตของ Humanigen Australia Pty Ltd. ”

เกี่ยวกับ Humanigen, Inc.

Humanigen, Inc. กำลังพัฒนาแนวทางการรักษาโรคมะเร็งและโรคติดต่อในรอบการทดลองทางคลินิกและก่อนรอบคลินิกโดยใช้นวัตกรรมใหม่ GM-CSF neutralization และ gene-knockout  เราเชื่อว่าเทคโนโลยี GM-CSF neutralization และแพลตฟอร์มการแก้ไขยีนของเรามีศักยภาพในการลดการอักเสบจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัส  จุดมุ่งเน้นในปัจจุบันของบริษัทคือการป้องกันหรือลดกลุ่มอาการปล่อยไซโตไคน์ก่อนอาการปอดอักเสบขั้นรุนแรงและ ARDS ในกรณีการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ร้ายแรง   บริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างการบำบัด gene-edited CAR-T โดยใช้กลยุทธ์ในการปรับปรุงประสิทธิภาพและใช้เทคโนโลยี GM-CSF gene knockout เพื่อควบคุมความเป็นพิษ  นอกจากนี้ บริษัทกำลังพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ EphA3-CAR-T ที่เป็นกรรมสิทธิ์สำหรับมะเร็งชนิดแข็งต่างๆ และ EMR1-CAR-T สำหรับโรค eosinophilic ต่างๆ  บริษัทกำลังสำรวจประสิทธิภาพของเทคโนโลยี GM-CSF neutralization (โดยใช้ lenzilumab เป็นแอนติบอดีที่ทำให้เป็นกลางหรือผ่านยีน GM-CSF gene knockout) โดยร่วมกับเซลล์ CAR-T, bispecific หรือ natural killer (NK) T อื่นๆ เพื่อทำลายความประสิทธิภาพ/ความเป็นพิษ รวมถึงการป้องกันและ/หรือการรักษาโรคการปลูกถ่ายอวัยวะ (GvHD) ในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ allogeneic hematopoietic stem cell transplantation (HSCT)  นอกจากนี้ Humanigen และ Kite ซึ่งเป็นบริษัทของ Gilead กำลังประเมินการใช้งาน lenzilumab ร่วมกับ Yescarta® (axicabtagene ciloleucel) ในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง B-cell ขนาดใหญ่ที่กำเริบ  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม www.humanigen.com

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า  ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าสะท้อนถึงความรู้ สมมติฐานก ารตัดสินใจ และความคาดหวังในปัจจุบันของผู้บริหารเกี่ยวกับผลการดำเนินงานหรือเหตุการณ์ในอนาคต  แม้ว่าฝ่ายบริหารจะเชื่อว่าความคาดหวังที่แสดงในข้อความดังกล่าวมีความสมเหตุสมผล แต่ก็ไม่ให้ความมั่นใจว่าความคาดหวังดังกล่าวจะพิสูจน์ได้ว่าถูกต้องและคุณควรทราบว่าเหตุการณ์หรือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงอาจแตกต่างอย่างมากจากที่มีอยู่ในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า คำต่างๆ เช่น "จะ" "คาดหวัง" "ตั้งใจ" "วางแผน" "มีศักยภาพ" "เป็นไปได้" "ตั้งเป้าหมาย" "เร่ง" "ดำเนินการต่อ" และคำที่คล้ายกันระบุถึงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งรวมถึง โดยไม่จำกัดเพียงคำแถลงการณ์เกี่ยวกับความคาดหวังของเราเกี่ยวกับกิจกรรมการดำเนินงานการวิจัย การพัฒนา หรือการค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและความสามารถของเราในการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 เพื่อพัฒนาการรักษา CAR-T หรือการรักษามะเร็งแบบแข็งหรือเพื่อป้องกันหรือรักษา GvHD ผ่านเทคโนโลยีใดๆ ในโครงการปัจจุบันของเรา ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนหลายประการ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการขาดความสามารถในการทำกำไรและความต้องการเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการศึกษาระยะที่ 3 และขยายธุรกิจของเรา การพึ่งพาพันธมิตรของเราเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรา ความไม่แน่นอนที่มีอยู่ในการพัฒนา การได้รับการอนุมัติตามกฎข้อบังคับที่จำเป็น และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยาใหม่ๆ ผลของการดำเนินคดีที่รอดำเนินการหรือในอนาคต และความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ ที่อธิบายไว้ในส่วน "ปัจจัยความเสี่ยง" และส่วนอื่นๆ ในเอกสารที่บริษัทยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นระยะๆ

ข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าทั้งหมดมีคุณสมบัติโดยชัดแจ้งอย่างครบถ้วนในประกาศนี้  คุณไม่ควรเชื่อมั่นในข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ ซึ่งพูดถึง ณ วันที่เผยแพร่นี้เท่านั้น  เราไม่มีภาระผูกพันในการแก้ไขหรือปรับปรุงข้อความคาดการณ์ล่วงหน้าใดๆ ที่จัดทำขึ้นในข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เพื่อสะท้อนถึงเหตุการณ์หรือสถานการณ์หลังจากวันที่นี้หรือเพื่อสะท้อนถึงข้อมูลใหม่หรือการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ยกเว้นตามที่กฎหมายกำหนด

1. Patnaik MM, Tefferi A. Chronic Myelomonocytic leukemia: 2020 update on diagnosis, risk stratification and management. Am J Hematol. Jan 2020;95(1):97-115. doi:10.1002/ajh.25684

2. Coston T, Pophali P, Vallapureddy R, et al. Suboptimal response rates to hypomethylating agent therapy in chronic myelomonocytic leukemia; a single institutional study of 121 patients. Am J Hematol. Jul 2019;94(7):767-779. doi:10.1002/ajh.25488

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201123006238/en/

สื่อ
Cammy Duong
Westwicke บริษัท ICR
Cammy.duong@westwicke.com  
203- 682-8380

นักลงทุน
Alan Lada
Solebury Trout
ALada@SoleburyTrout.com 
617-221-8006

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

นักวิจัยของ NTHU ค้นพบดัชนีชี้วัดทางชีวภาพตัวใหม่สำหรับมะเร็งกระเพาะอาหาร เพื่อการบำบัดที่ปรับแต่งได้

Logo

ซินจู๋  ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–14 พฤศจิกายน 2563

ทีมวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์ Wang Wen-ching จากสถาบันชีววิทยาระดับโมเลกุลและเซลล์มหาวิทยาลัย National Tsing Hua (NTHU) ได้ใช้ประโยชน์จากพลังของข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ big data เพื่อระบุตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่สำคัญสองตัวที่มีส่วนในการก่อตัวและการแพร่กระจายของมะเร็งกระเพาะอาหาร ด้วยการใช้ยาที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ทีมได้ทำการบำบัดแบบกำหนดเป้าหมายซึ่งสามารถกำจัดการเติบโตของเนื้องอกและยับยั้งการแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปูทางไปสู่การบำบัดแบบใหม่ งานวิจัยของพวกเขาได้รับการตีพิมพ์ในฉบับล่าสุดของ Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States.

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201113005183/en/

Professor Wang Wen-ching (left) of the Institute of Molecular and Cellular Biology and Dr. Tseng Linlu researching a new treatment for gastric cancer. (Photo: National Tsing Hua University)

ศาสตราจารย์ Wang Wen-ching (ซ้าย) จากสถาบันชีววิทยาโมเลกุลและเซลล์และ ดร. Tseng Linlu ค้นคว้าวิธีการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารแบบใหม่ (ภาพ: National Tsing Hua University)

ค้นหาวิธีใหม่ในการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของโลกและเป็นมะเร็งที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับสองเนื่องจากการรักษาที่ทรหดและยากสำหรับผู้ป่วยจำนวนมาก Wang กล่าวว่า เวลาที่คนจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง เซลล์มะเร็งก็มักจะได้แพร่กระจายไปแล้ว

Wang กล่าวว่าจนถึงขณะนี้มียาเป้าหมายเพียงตัวเดียว (Her 2 therapy) ที่สามารถรักษามะเร็งกระเพาะอาหารได้และเหมาะสำหรับผู้ป่วยน้อยกว่า 20% ทั่วโลกเท่านั้น ในไต้หวันตัวเลขนี้ลดลงเหลือ 8% ทีมงานของ Wang กำลังทำงานเพื่อคลี่คลายกลไกที่เป็นรากฐานของการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งและค้นหาตัวบ่งชี้ทางชีวภาพใหม่โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาการบำบัดแบบใหม่

การเบรกมะเร็งกระเพาะอาหาร

Wang อธิบายว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เซลล์มะเร็งกระเพาะอาหารแพร่กระจายคือความไร้ประสิทธิผลของโปรตีนฟอสฟาเตสและเทนซินโฮโมโลกัล (PTEN) ซึ่งเป็นโปรตีนยับยั้งเนื้องอกซึ่งทำหน้าที่เหมือนเบรค เมื่อเบรคล้มเหลวแล้ว เซลล์มะเร็งจะแพร่กระจายขยายตัวและเติบโตเป็นเนื้องอกระยะลุกลามที่เป็นอันตราย งานแรกของทีมคือการหาสาเหตุของ “เบรกล้มเหลว” ตัวนี้

ทีมวิจัยได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารมากกว่า 300 รายและใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) เพื่อหาเส้นทางทางชีววิทยาที่นำไปสู่การลุกลามของมะเร็งจากยีนมากกว่า 30,000 ยีน พวกเขาค้นพบว่าเอนไซม์ทั้งสองได้แก่ PHF8 และ PKCα มีบทบาทสำคัญในการไขปริศนานี้ เอนไซม์นิวเคลียร์ PHF8 แพร่หลายในเนื้อเยื่อมะเร็งกระเพาะอาหารประมาณ 40% และทำให้ PKCα พุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดการสูญเสีย PTEN ทำให้เกิด “เบรกล้มเหลว”

โชคดี ที่กิจกรรมของ PKCα สามารถถูกยับยั้งได้โดยยา midostaurin ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งในการรักษามะเร็งในเลือดที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเมื่อสามปีก่อน ทีมงานใช้แบบจำลองจากปลาม้าหลายและหนูเพื่อพิสูจน์หลักฐานว่าการรักษา midostaurin สามารถลดขนาดเนื้องอกและลดการแพร่กระจายของมะเร็ง

Wang กล่าวว่าความก้าวหน้าในการค้นหาการบำบัดที่แม่นยำนั้นเกิดจากความร่วมมือแบบสหวิทยาการ Tseng Linlu ผู้ซึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากการฝึกอบรมด้านการแพทย์ระดับโมเลกุลและชีวสถิติที่ NTHU ดร. Yeh Ta-sen ผู้อำนวยการแผนกศัลยกรรมทั่วไปของโรงพยาบาล Chang Gung Memorial ใน Linkou, Dr Yuh Chiou-hwa จากสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งชาติและ  Kung Hsing-jien  จาก Academia Sinica 

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน  businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201113005183/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh

National Tsing Hua University

(886)3-5162006

hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Mevion ร่วมมือกับ Hermes Advanced Therapy Systems เพื่อขยายการเข้าถึงในเอเชีย

Logo

ลิตเติลตัน, แมสซาชูเซตส์–(BUSINESS WIRE)–19 ต.ค. 2563

Mevion Medical Systems มีความยินดีที่จะประกาศว่าได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับ Hermes Advanced Therapy Systems Corp (HATS) สำหรับการจัดจำหน่าย MEVION S250i Proton Therapy System®ในไต้หวันและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงมาเลเซีย ไทย และสิงคโปร์ ในฐานะ บริษัท ย่อยของ Hermes-Ethoughk Corp., ผู้ให้บริการอุปกรณ์และบริการไฮเทคที่เชื่อถือได้ตั้งแต่ปี 2520 โดย HATS จะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและสนับสนุน Mevion ตั้งแต่การวางแผนโครงการไปจนถึงการสนับสนุนลูกค้า

การรักษาด้วยโปรตอนเป็นรูปแบบการฉายรังสีที่เหนือกว่าซึ่งสามารถลดปริมาณรังสีที่ไม่จำเป็นต่อเนื้อเยื่อดีและอวัยวะที่บอบบางโดยรอบซึ่งอาจเผชิญความเสี่ยงจากรังสี การใช้โปรตอนบำบัดได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากการพัฒนาระบบบำบัดโปรตอนขนาดกะทัดรัด อนึ่ง Mevion เป็นบริษัทแรกที่คิดค้นแนวทางใหม่ในการบำบัดด้วยโปรตอนและให้บริการระบบที่กะทัดรัดที่สุดในปัจจุบัน.

“เราภูมิใจที่มีพันธมิตรที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก อย่างเช่น Hermes Advanced Therapy Systems ในฐานะทีมขยายของเราในไต้หวันและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” James Meng, Ph.D. ประธาน Mevion Medical Systems “ ตลาดการรักษาด้วยโปรตอนในภูมิภาคนี้มีการเติบโตและความร่วมมือกับ HATS จะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งที่จำเป็นที่จะได้รับการรักษามากที่สุดสามารถเข้าถึงการรักษาด้วยโปรตอน”

“ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ Mevion เพื่อเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรมนี้ไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้น และขยายความเชื่อของกลุ่มเรา สิ่งนี้คือ ‘บริการจาก Hermes-Epitek’” Eddy Peng ประธาน Hermes Advanced Therapy Systems Corp. กล่าว

MEVION S250i Proton Therapy System ด้วย HYPERSCAN® Pencil Beam Scanning ช่วยเพิ่มประโยชน์ของการบำบัดโปรตอนโดยใช้เครื่อง collimator แบบหลายใบมีดดัดแปลงเพื่อทำให้ลำแสงคมขึ้นและให้ปริมาณที่แม่นยำและสม่ำเสมอมากขึ้นกว่าเดิม ความสามารถทางคลินิกขั้นสูงของระบบพร้อมกับขนาดที่กะทัดรัดได้เปลี่ยนแนวการบำบัดโปรตอน

เกี่ยวกับ Mevion Medical Systems

ตั้งแต่ปี 2004 Mevion Medical Systems เป็นผู้ให้บริการชั้นนำของระบบการรักษาด้วยโปรตอนขนาดกะทัดรัดสำหรับการดูแลโรคมะเร็ง ด้วยความทุ่มเทในการพัฒนาความก้าวหน้าในการออกแบบและการให้การเข้าถึงการบำบัดด้วยโปรตอนทั่วโลก โดย Mevion เป็นบริษัทแรกที่คิดค้นแพลตฟอร์มแบบซิงเกิลรูมแบบใหม่นี้ และยังคงพัฒนาวิทยาศาสตร์และการประยุกต์ใช้การบำบัดด้วยโปรตอน ผลิตภัณฑ์หลักของ Mevion คือ MEVION S250i Proton Therapy System พร้อมการสแกนด้วยลำแสงดินสอ HYPERSCAN ซึ่งเป็นระบบการบำบัดด้วยโปรตอนที่เล็กที่สุดในโลกซึ่งขจัดอุปสรรคด้านขนาดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับระบบการบำบัดโปรตอนอื่น ๆ Mevion มีสำนักงานใหญ่ใน ลิตเติลตัน, แมสซาชูเซตส์ โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในยุโรปและเอเชีย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.mevion.com.

ตามเราบนทวิตเตอร์: @MevionMedical

เชื่อมต่อเราบน LinkedIn: Mevion Medical Systems

กดไลค์บน Facebook: MevionMedical

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201019005068/en/

ติดต่อ:

Melanie Benton

Mevion Medical Systems

Mbenton@mevion.com 1-978-540-1551

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

มหาวิทยาลัย NTHU เปิดตัวรังสีแห่งความหวังในการปรับปรุงการรักษาภาวะสมองเสื่อม

Logo

ซินจู๋ ไต้หวัน–(บิสิเนสไวร์)–07 ต.ค. 2563

สาเหตุหนึ่งของโรคเกี่ยวกับระบบประสาทเช่นพาร์คินสันและอัลไซเมอร์คือการกลายเป็นแคลเซียมของฐานนิวเคลียสของสมอง ซึ่งจะปิดกั้นช่องโปรตีนที่เยื่อหุ้มเซลล์สมองและกันการส่งสัญญาณโมเลกุลและสารอาหารไปยังเซลล์  ทีมวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์ Sun Yuh-Ju จากสถาบันชีวสารสนเทศศาสตร์และชีววิทยาโครงสร้างซึ่งทำงานร่วมกับห้องปฏิบัติการของ Chwan-Deng Hsiao ที่สถาบันชีววิทยาโมเลกุลของ Academia Sinica ได้ไขปริศนาโครงสร้างโมเลกุลของ “สารลำเลียงฟอสเฟต” และการค้นพบนี้คาดว่าจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการวิจัยเกี่ยวกับการรักษาภาวะสมองเสื่อม  ผลการวิจัยของทีมที่ได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Science Advances ฉบับเดือนสิงหาคม

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20201006005444/en/

Professor Sun Yuh-Ju of the Institute of Bioinformatics and Structural Biology showing team member Tsai Jia-Yin how to grow a crystal. (Photo: Business Wire)

ศาสตราจารย์ Sun Yuh-Ju จากสถาบันชีวสารสนเทศศาสตร์และชีววิทยาโครงสร้างกำลังสาธิตวิธีการปลูกคริสตัลให้สมาชิกในทีม Tsai Jia-Yin (ภาพ: บิสิเนสไวร์)

ศาสตราจารย์ Sun กล่าวว่าเมมเบรนโปรตีน เช่นตัวรับและส่งสัญญาณและช่องทางทำการส่งสัญญาณและจัดหาพลังงานให้กับเซลล์ จึงมีบทบาทสำคัญมากในการพัฒนายา  ฟอสเฟตทรานสปอร์ตเตอร์มนุษย์ (hPiT) เป็นโปรตีนเมมเบรนที่สำคัญสำหรับการขนส่งฟอสเฟตและโซเดียมไอออนเข้าสู่เซลล์สมอง  แต่การเปลี่ยนแปลงสามารถขัดขวางการขนส่งนี้ ทำให้แคลเซียมฟอสเฟตตกตะกอนบนพื้นผิวของเยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การกลายเป็นแคลเซียมของฐานนิวเคลียส ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทเช่นโรคพาร์คินสันและโรคอัลไซเมอร์

 Sun กล่าวว่าการวิเคราะห์ตัวส่งฟอสเฟตของมนุษย์และการระบุตำแหน่งของตัวแปรของผู้ป่วยมีความสำคัญในการค้นหาวิธีการรักษาภาวะแคลเซียมในสมอง  ขั้นตอนต่อไปคือการร่วมมือกับแพทย์ในการออกแบบยาตามโครงสร้างนี้โดยใช้การคำนวณทางคอมพิวเตอร์และการจำลองในการทำการทดลองเพื่อระบุโมเลกุลเคมีขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูการทำงานปกติของโปรตีนเมมเบรน  Chwan-Deng Hsiao ซึ่งเชี่ยวชาญด้านชีวฟิสิกส์มีบทบาทสำคัญในการวิจัยเชิงนวัตกรรมนี้  หลังจากทีมวิจัยของ Sun วิเคราะห์โครงสร้างสามมิติของตัวลำเลียงฟอสเฟตของมนุษย์ Hsiao ได้ใช้เยื่อหุ้มเซลล์เทียมเพื่อตรวจสอบว่าการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่งเป้าหมายจะป้องกันไม่ให้โปรตีนเมมเบรนขนส่งฟอสเฟตได้หรือไม่

ร่างกายมนุษย์มีโปรตีนมากกว่า 30,000 ชนิดซึ่งโปรตีนเมมเบรนเป็นโปรตีนที่สำคัญที่สุดและมีคนเข้าใจน้อยที่สุด  นั่นคือเหตุผลที่ Sun ให้ความสำคัญกับการวิจัยของเธอ โดยใช้เวลา 5 ปีในการวิเคราะห์โครงสร้างโมเลกุลของตัวลำเลียงฟอสเฟต

ขั้นตอนแรกในการวิเคราะห์โครงสร้างโมเลกุลของโปรตีนเมมเบรนคือการเพาะเลี้ยงผลึกโปรตีนเมมเบรน ผลึกลำเลียงฟอสเฟตของมนุษย์ที่มีขนาดเพียงหนึ่งในสิบของเม็ดงา  Sun กล่าวว่ารูปแบบเชิงมุม ความแวววาว และความโปร่งแสงนี้มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับโครงสร้างโมเลกุลซึ่งทำให้ “มีค่าและสวยงามกว่าเพชร”

สมาชิกในทีมที่รับผิดชอบในการปลูกผลึกโปรตีนเมมเบรนคือ Tsai Jia-Yin นักวิจัยหลังปริญญาเอกที่สถาบันชีวสารสนเทศศาสตร์และชีววิทยาโครงสร้างของ NTHU

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20201006005444/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh
NTHU
(886) 3-5162006
hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Private Group RLS (USA) Inc. เข้าซื้อกิจการ Radiopharmacy Network ของ GE Healthcare

Logo

แทมปา ฟลอริดา–(บิสิเนสไวร์)–2 กันยายน 2563

RLS (USA) Inc., (Radioisotope Life Sciences) ได้ซื้อเครือข่ายร้านขายยาทางรังสีของ General Electric (GE) ในสหรัฐอเมริกา ทำให้เป็นบริษัทที่เน้นการถ่ายภาพโมเลกุลบริสุทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา  Capitor(www.capitor.co) ที่ปรึกษาทางการเงินระดับโลกได้ร่างและนำเสนอธุรกรรมครั้งนี้ให้กับนักลงทุน โดยเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเจรจาต่อรองนับหลายปีและการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย  การเข้าซื้อกิจการนี้ไม่มีการเปิดเผยเงื่อนไขทางการเงิน

ร้านจำหน่ายยารังสีจะยังคงจัดหาผลิตภัณฑ์การถ่ายภาพโมเลกุลให้แก่ GE Healthcare ต่อไป โดย RLS จะใช้ประโยชน์จากข้อตกลงความร่วมมือในการจัดจำหน่ายนานนับ 10 ปี  ในขณะนี้ เครือข่ายร้านจำหน่ายยาทางรังสีที่เป็นของเอกชนมีผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเป็นเจ้าของโดย Perceptive Advisors บริษัทเชี่ยวชาญการลงทุนด้านการดูแลสุขภาพมูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์ซึ่งตั้งอยู่ในนิวยอร์ก

ทีมผู้บริหารของ RLS ประกอบด้วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Werner Gruner ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน Jaco van Niekerk และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Shane Cobb  คุณ Gruner ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารในบทบาทต่างๆ ในอุตสาหกรรมการเงินระหว่างประเทศรวมถึงการก่อตั้ง Capitor ให้ความเห็นว่า “ผมรู้สึกทึ่งและตื่นเต้นกับกับโอกาสที่ได้มาจากการเข้าซื้อกิจการบริษัทด้านสุขภาพในครั้งนี้ที่มีนอกเหนือจากโอกาสด้านการเงินเท่านั้น  ผมมีอาชีพเป็นที่ปรึกษาการลงทุนแก่ลูกค้าทั่วโลกและเชื่อเสมอว่าไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด ลูกค้าสมควรและมีสิทธิ์ที่จะได้รับบริการระดับสูงที่เป็นส่วนตัว ตรงเวลา และมีคุณภาพ” เขากล่าวเสริมว่า “นี่คือเหตุผลที่เราให้ความสำคัญกับการบริการ คุณภาพ และเทคโนโลยีนวัตกรรมอันเป็นปัจจัยสำคัญในกลยุทธ์การลงทุนของเรา”

เครือข่ายร้านจำหน่ายยาทางรังสีประกอบด้วยร้านขายยา 31 แห่งใน 18 รัฐ รวมถึงสำนักงานใหญ่ปัจจุบันในแทมปา ฟลอริดา  ภายใต้การดูแลของ คุณ van Niekerk, RLS ตั้งเป้าที่จะลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้าเพื่อขยายสาขาของร้านขายยาและจะลงทุนอย่างต่อเนื่องในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย “เราใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้มีเปลี่ยนแปลงอย่างราบรื่นเพราะปรัชญาของเราที่มีบริการเป็นศูนย์กลาง รวมถึงการรักษาพนักงานผู้บริหารที่สำคัญเช่น Shane Cobb ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 30 ปีในอุตสาหกรรมนี้”  คุณ van Niekerk กล่าวสรุปว่า “RLS มุ่งมั่นที่จะให้การวินิจฉัยและการรักษาที่สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยทั่วประเทศ  ด้วยเหตุนี้และด้วยผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นจากความเสียหายของอวัยวะที่เกิดจาก COVID-19 เราได้จัดตั้งหน่วยงานพิเศษที่มุ่งเน้นการรองรับความเป็นไปได้ที่จะมีความต้องการบริการตรวจวินิจฉัยเฉพาะทางเพิ่มขึ้น”

ปัจจุบันพนักงาน GE เกือบห้าร้อยคนทั่วประเทศเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว RLS  บริษัทคาดว่าจะย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังชายฝั่งตะวันออกของฟลอริดาในอนาคตอันใกล้ และอยู่ระหว่างการสนทนากับสภาพัฒนาเศรษฐกิจหลายแห่งรวมถึงเทศบาล

อ่านต้นฉบับใน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200901006104/en/

ติดต่อ:

Amanda Penebaker
608-345-9420
amanda.penebaker@rls.bio
https://rls.bio/