Category Archives: General News

Mary Kay สานต่อความมุ่งมั่นทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อการดูแลผิว

Logo

Mary Kay นำเสนองานวิจัย ณ งานประชุมวิชาการที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ 2 แห่ง ได้แก่ งาน Aesthetic & Anti-Aging Medicine World Congress (AMWC) ครั้งที่ 19 และงานที่จัดโดยสมาคมยุโรปเพื่อการวิจัยโรคผิวหนัง (ESDR)

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–13 มกราคม 2565

Mary Kay Inc. หนึ่งในบริษัทผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัยของโลก ได้เข้าร่วมงานประชุมวิชาการที่มีชื่อเสียงของยุโรป 2 งานในช่วงปลายปี 2564 โดยในงาน Aesthetic & Anti-Aging Medicine World Congress ครั้งที่ 19 Mary Kay Inc. ได้ส่งโปสเตอร์วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการใช้และความทนต่อสูตรเรตินอลที่มีความเข้มข้นสูงสำหรับผิวของชาวเอเชีย และยังได้ร่วมกับสมาคมยุโรปเพื่อการวิจัยโรคผิวหนัง (ESDR) ให้การสนับสนุนการจัดการสัมมนาหัวข้อ Future Leaders in Dermatology ในงานประชุมวิชาการประจำปีครั้งที่ 50 ด้วย ซึ่งในงานดังกล่าว Mary Kay Inc. ได้เผยผลการศึกษาทางคลินิกล่าสุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสูตรเครื่องสำอางในการบรรเทาอาการที่เกี่ยวข้องกับผิวแพ้ง่าย

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220113005071/en/

Dr. Lucy Gildea, Mary Kay Chief Innovation Officer, Product and Science (Photo: Mary Kay Inc.)

ดร. Lucy Gildea ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ และวิทยาศาสตร์ของ Mary Kay (รูปภาพ: Mary Kay Inc.)

งานประชุมวิชาการ Aesthetic & Anti-Aging Medicine World Congress ครั้งที่ 19 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 ถึง 18 กันยายน 2564 ในเมืองมอนติคาร์โล ภายใต้การอุปถัมภ์ของเจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก โดยผู้เข้าร่วมงานประชุมเป็นบุคลากรที่มาจากหลากหลายอาชีพ ทั้งแพทย์ผิวหนัง ศัลยแพทย์ตกแต่งและแพทย์ผ่าตัดเพื่อความงาม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการชะลอวัย และแพทย์เวชปฏิบัติเสริมสวยและแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 8,300 คนจาก 130 ประเทศที่ทั้งเดินทางมาด้วยตนเองและร่วมประชุมผ่านทางออนไลน์ แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ใช้ยังมอบประสบการณ์ที่สมจริงซึ่งช่วยให้การจัดงาน ณ สถานที่จริงสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้ชมนิทรรศการในรูปแบบดิจิทัลและรับชมการประชุมเชิงปฏิบัติการต่าง ๆ ได้แม้จะอยู่ไกลหรือมีข้อจำกัดเรื่องการเดินทาง

นักวิทยาศาสตร์ของ Mary Kay มีความภาคภูมิใจที่ได้รายงานผลวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการใช้และความทนต่อเรตินอลในการประชุมดังกล่าว ซึ่งจากการใช้เรตินอลอย่างต่อเนื่องกับชาวเอเชีย พบว่าลักษณะผิวโดยรวมดีขึ้น รวมถึงรอยดำจากการอับเสบลดลง ซึ่งปัญหาดังกล่าวพบได้บ่อยเมื่อใช้เรตินอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มชาวแอฟริกัน ฮิสแปนิก เอเชีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Skin of Color)

“เรตินอลเป็นส่วนผสมสำคัญของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและมากด้วยประโยชน์ที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว แต่ประสบการณ์และความทนต่อผลิตภัณฑ์เรตินอลในแต่ละคนนั้นต่างกัน สำหรับผู้ที่มีความกังวลว่าอาจเกิดอาการระคายเคืองหรือรอยดำ ผลจากการศึกษานี้ช่วยให้เราค้นพบกับสิ่งที่อาจเป็นทางออก ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้นำผลการวิจัยนี้มาแจ้งให้กับชุมชนวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ณ งาน World Congress ครั้งที่ 19 ของ AMWC ทราบ เพื่อแชร์งานวิจัยที่เป็นนวัตกรรมของเรากับบุคลากรในแวดวงวิทยาศาสตร์เพื่อการดูแลผิวและการชะลอวัย” ดร. Lucy Gildea ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านวิทยาศาสตร์ของ Mary Kay Inc. กล่าว

“งาน AMWC ประจำปี 2564 ประกอบด้วยโปรแกรมเกี่ยวกับเวชศาสตร์ด้านความงามและการชะลอวัยในหลากหลายแง่มุม โดยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการศึกษาต่อเนื่องระดับสูง และเรามีความยินดีที่ได้ Mary Kay มาร่วมงานในปีนี้ เราหวังว่าเราได้สร้างความสำเร็จในการช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะแลกเปลี่ยนความคิดใหม่ ๆ และแบ่งปัน ‘know-how’ ในสาขานี้ไปทั่วโลกให้เกิดขึ้น ดิฉันรู้สึกขอบคุณทีมงานของเรา พันธมิตรจากทั่วโลก ผู้เข้าร่วมงาน และชุมชนวิทยาศาสตร์สำหรับการมีส่วนร่วมของพวกเขา และสำหรับโอกาสที่จะได้รับใช้และตอบสนองความต้องการด้านเวชศาสตร์ความงามและเวชศาสตร์การชะลอวัยของพวกเขาต่อไป” Catherine Decuyper ผู้ก่อตั้งและประธาน EuroMediCom กล่าว

สืบเนื่องจากความสำเร็จของการจัดงาน AMWC ปี 2564 ที่ผ่านมา EuroMediCom จึงได้เตรียมจัดงาน AMWC ประจำปี 2565 ขึ้น ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม ถึง 2 เมษายน 2565 โดยจะจัดในรูปแบบผสมอีกครั้งเพื่อให้ตัวแทนจากทั่วโลกสามารถเข้าร่วมการประชุมระดับโลกด้านเวชศาสตร์ความงามและการชะลอวัย ครั้งที่ 20 ได้ ผู้ที่ลงทะเบียนสามารถเลือกเข้าร่วมงานด้วยตัวเองหรือจะรับชมการประชุมในช่วงต่าง ๆ ผ่านการสตรีมสดได้จากทุกที่ทั่วโลก

งานประชุมวิชาการประจำปีโดยสมาคมยุโรปเพื่อการวิจัยโรคผิวหนัง (ESDR) จะจัดขึ้นในยุโรปในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี สำหรับในปี 2564 ด้วยข้อจำกัดด้านการเดินทางและมาตรการป้องกันโควิด-19 การประชุมประจำปีนี้จึงจัดขึ้นในรูปแบบเสมือนจริง ระหว่างวันที่ 22 ถึง 25 กันยายน 2564 ESDR ให้การสนับสนุนการสืบค้นทางห้องปฏิบัติการทางโรคผิวหนัง (investigative dermatology) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยที่ได้รับความทรมานจากโรคผิวหนังและโรคติดเชื้อต่าง ๆ และความผิดปกติของภูมิคุ้มกันมีสุขภาพที่ดีขึ้น และนอกจากนำเสนองานวิจัยแล้ว Mary Kay ยังได้ให้การสนับสนุนการจัดสัมมนาในหัวข้อ Future Leaders in Dermatology ซึ่งเป็นการเปิดงานประชุมอย่างเป็นทางการอีกด้วย

Geetha Kalahasti รองหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ที่ Mary Kay Inc. ได้เผยถึงผลจากการศึกษาทางคลินิกเมื่อไม่นานมานี้ที่ได้ทำการประเมินผลข้างเคียงของสูตรใหม่ซึ่งมีส่วนผสมของไขมันในอัตราส่วนตามธรรมชาติของผิวหนัง สารที่มีฤทธิ์ปิดกั้นตัวรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวด (TRPV-1) และสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยลดการหลั่งของโปรอินเฟลมมาทอรีไซโตไคน์

“ที่ Mary Kay เราทุ่มเทกับการทำความเข้าใจในเรื่องชีววิทยาของผิว และการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผิว หัวข้อที่เราให้ความสนใจอยู่ตอนนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างผิวที่แพ้ง่ายกับการทำหน้าที่ปกป้องสิ่งแปลกปลอมของผิวหนัง ส่วนผสมแต่ละชนิดจะพุ่งเป้าไปที่แต่ละวิถีทางชีวภาพ (biological pathway) ที่ทำให้ผิวเกิดรอยแดง ผลการศึกษาพบว่าการใช้วิธีการแบบหลายแง่มุมช่วยให้เกราะป้องกันผิวที่ถูกทำลายแข็งแรงขึ้น และยังช่วยลดอาการระคายเคืองที่เกี่ยวข้องกับผิวแพ้ง่ายด้วย” Kalahasti กล่าว

“ในฐานะตัวแทนของคณะกรรมการบริหารของ ESDR ผมอยากแสดงความขอบคุณไปยัง Mary Kay สำหรับการสนับสนุนที่มีต่อ ESDR และการเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมของ ESDR หนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญของสมาคมของเราคือการส่งเสริมการนำเสนอข้อมูลวิจัยและแนวคิดใหม่ ๆ และเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ Mary Kay มาเป็นส่วนหนึ่งของงานครั้งนี้” Leopold Eckhart ประธานคณะกรรมการโครงการวิทยาศาสตร์ของ ESDR กล่าว

งานสัมมนาครั้งนี้ได้ช่วยให้นักวิจัยรุ่นใหม่ได้มาพบปะกับนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทางด้านโรคผิวหนังและส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ Mary Kay Inc. ให้ความสำคัญอย่างมาก

เกี่ยวกับ MARY KAY

Mary Kay Ash คือหนึ่งในผู้ที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่มองไม่เห็น และก่อตั้งบริษัทความงามของตัวเองขึ้นในปี 2506 โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ การยกระดับชีวีตของผู้หญิงให้ดีขึ้น ความฝันนั้นได้เบ่งบานขึ้นกลายเป็นบริษัทที่เติบโตทางการเงินมูลค่าหลายพันล้าน พร้อมพนักงานขายอิสระหลายล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ ในฐานะบริษัทพัฒนาผู้ประกอบการ Mary Kay มุ่งมั่นกับการสร้างพลังให้กับผู้หญิงบนเส้นทางสู่ความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจของพวกเธอผ่านการให้ความรู้ การสอน การสนับสนุน เครือข่าย และนวัตกรรม Mary Kay ยังอุทิศตัวให้กับการลงทุนทางด้านวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงามและการผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสุดล้ำ รวมถึงเครื่องสำอางแต่งหน้า อาหารเสริมที่อุดมด้วยโภชนาการ และน้ำหอม Mary Kay เชื่อมั่นในการยกระดับการใช้ชีวิตในวันนี้เพื่อวันข้างหน้าที่ยั่งยืน โดยได้ร่วมกับองค์กรจากทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความเป็นเลิศทางธุรกิจ สนับสนุนการวิจัยด้านมะเร็ง ผลักดันความเท่าเทียมทางเพศ ปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว สร้างชุมชนของเราให้สวยงาม และสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ เดินตามความฝัน เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com พบกับเราได้ทาง FacebookInstagram และ LinkedIn หรือติดตามเราที่ Twitter

เกี่ยวกับ EUROMEDICOM

EuroMediCom ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2542 โดยเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงาน Informa Exhibitions มาตั้งแต่ปี 2553 มีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมทางด้านชีววิทยาศาสตร์และความรู้ผ่านการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้ และการประชุมและการจัดนิทรรศการ สำหรับงาน AMWC ซึ่งเป็นงานหลัก มีการจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2546 และกลายมาเป็นงานประชุมระดับชั้นนำของโลกด้านเวชศาสตร์ความงามที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การจัดงาน AMWC เกิดขึ้นมาพร้อมความเชื่อมั่นอย่างมากว่าการรักษาเพื่อความงามภายนอกและการชะลอวัยจากภายในสามารถทำได้พร้อม ๆ กันจากการบูรณการสองสิ่งเข้าด้วยกัน นั่นคือ กลยุทธ์ด้านความงามจากวิทยาการด้านผิวหนังและขั้นตอนทางการผ่าตัดเพื่อรูปลักษณ์ภายนอก และศาสตร์การชะลอวัยสำหรับป้องกันการความชราและการยกระดับการรักษาเพื่อความงาม สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AMWC คลิกที่นี่: https://www.euromedicom.com/en/home.html

เกี่ยวกับสมาคมยุโรปเพื่อการวิจัยโรค (ESDR)

สมาคมยุโรปเพื่อการวิจัยโรค (ESDR) ก่อตั้งขึ้นในปี 2513 และเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ต้องการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานและระดับคลินิกที่เกี่ยวกับโรคผิวหนัง ESDR เป็นสมาคมด้านการสืบค้นทางห้องปฏิบัติการทางโรคผิวหนังที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและมีสมาชิกราว 1100 คนในปัจจุบัน จากการสนับสนุนการสืบค้นทางห้องปฏิบัติการทางโรคผิวหนังและการวิจัยด้านผิวหนัง ESDR ได้เข้าไปมีส่วนในการสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการปรับดุลยภาพของผิว และต่อการยกระดับสุขภาพของผู้ป่วยที่ได้รับความทรมานจากโรคเกี่ยวกับผิวหนังและกามโรค โรคติดเชื้อต่าง ๆ และความผิดปกติเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันและการอักเสบ ESDR ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสืบค้นทางห้องปฏิบัติการทางโรคผิวหนังระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก และยังเป็นผู้จัดงานเพื่อให้ความรู้ต่าง ๆ ตลอดทั้งปีเพื่อต่อยอดความรู้ในงานวิจัยด้านผิวหนังต่อไป สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่: https://esdr.org/

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220113005071/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc. ฝ่ายสื่อสารองค์กร
marykay.com/newsroom
972.687.5332 or media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย



Women’s Entrepreneurship Accelerator เปิดตัวโปรแกรมประกาศนียบัตรการเป็นผู้ประกอบการออนไลน์สำหรับผู้หญิงทั่วโลก

Logo

พัฒนาโดย ITC SheTrades และสนับสนุนโดย Mary Kay เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนโครงการ WEA ทั้งนี้โปรแกรมใบประกาศนียบัตร หรือ Certificate Programme ที่แนะนำนั้นประกอบด้วยหน่วยวิชาฝึกอบรมเชิงโต้ตอบ 27 หน่วยที่เสริมด้วยวิดีโอมากกว่า 200 รายการครอบคลุมเจ็ดขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาธุรกิจ

นิวยอร์ก & เจนีวา–(BUSINESS WIRE)–11 มกราคม 2565

Women's Entrepreneurship Accelerator (WEA) ประกาศเปิดตัวหลักสูตรผู้ประกอบการออนไลน์ทั่วโลกที่ออกแบบมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้ความรู้ และส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีทั่วโลก โปรแกรมประกาศนียบัตรการเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ หรือ Online Entrepreneurship Certificate Programme ได้รับการประกาศครั้งแรกในระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA 76) ในวันครบรอบปีที่สองของ WEA

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220111005443/en/

Deborah Gibbins, Chief Operating Officer at Mary Kay Inc. (Photo: Mary Kay Inc.)

Deborah Gibbins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Mary Kay Inc. (ภาพ: Mary Kay Inc.)

WEA เป็นหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายที่จัดโดยหน่วยงานสหประชาชาติ 6 แห่ง ได้แก่: องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO), ศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ITC), สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU), โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP), ข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ (UNGC), องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) และ Mary Kay ทั้งนี้ ITC เป็นผู้นำองค์ประกอบการสร้างขีดความสามารถของพันธมิตรหลายราย

พัฒนาโดย ITC SheTrades และสนับสนุนโดย Mary Kay เพื่อช่วยเหลือสนับสนุนโครงการ WEA ทั้งนี้โปรแกรมประกาศนียบัตรการเป็นผู้ประกอบการที่แนะนำนั้นประกอบด้วยหน่วยวิชาฝึกอบรมเชิงโต้ตอบ 27 หน่วยที่เสริมด้วยวิดีโอมากกว่า 200 รายการ จุดมุ่งหมายคือการสอนผู้ประกอบการสตรี—ผู้ที่มีความใฝ่ฝันหรือผู้มีประสบการณ์—ให้มีทักษะในการออกแบบและจัดตั้งธุรกิจที่มีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจ ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้วิธีนำวัฒนธรรมการเป็นผู้ประกอบการ พัฒนาแนวคิดผ่านการคิดเชิงออกแบบและวิธีการสร้างธุรกิจอย่างมีนวัติกรรมที่ทำให้เกิดความสำเร็จแบบก้าวกระโดด (lean start-up) การเตรียมเครื่องมือที่ช่วยออกแบบโมเดลธุรกิจ การออกแบบเสนอขาย การระบุแหล่งที่มาของเงินทุน การหาพันธมิตรที่เหมาะสม การให้คำปรึกษา การสร้างทีม และการจัดตั้งธุรกิจของตน

โปรแกรมประกาศนียบัตรที่ครอบคลุมเจ็ดขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาธุรกิจ:

  • ประกาศนียบัตร 1: การตัดสินใจที่จะเป็นผู้ประกอบการ (6 หน่วย) ,
  • ประกาศนียบัตร 2: การพัฒนาแนวคิด – แนวคิดทางธุรกิจ (3 หน่วย),
  • ประกาศนียบัตร 3: การสร้างแบบจำลองธุรกิจ (4 หน่วย),
  • ประกาศนียบัตร 4: การเสนอขายธุรกิจ (4 หน่วย),
  • ประกาศนียบัตร 5: การให้ทุนแก่กิจการ (3 หน่วย),
  • ประกาศนียบัตร 6: การสร้างทีม (4 หน่วย),
  • ประกาศนียบัตร 7: การจัดตั้งธุรกิจ (3 หน่วย)

โปรแกรมประกาศนียบัตรการเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ของ WEA (WEA Online Entrepreneurship Certificate Programme) สามารถเข้าถึงได้จากปลายนิ้วมือของผู้หญิงหลายล้านคนได้โดยตรงบนเว็บไซต์ ITC SheTrades (www.shetrades.com/en/learn/e-learning) และบนเว็บไซต์ของ WEA ปัจจุบันนี้มีให้บริการในภาษาอังกฤษ สเปน และฝรั่งเศส โดยกำลังจะมีภาษาอาหรับ รัสเซีย และจีนกลางในปี 2565 นี้ ทั้งนี้ให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ใช้ shetrades.com ทุกคนด้วยไม่มีการป้องกันในการเข้าร่วม ผู้เข้าร่วมจะได้รับประกาศนียบัตรเมื่อเสร็จสิ้นแต่ละขั้นตอนสำคัญเจ็ดขั้นตอนของการพัฒนาธุรกิจ

“โลกต้องการผู้ประกอบการสตรีมากขึ้น” Deborah Gibbins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Mary Kay Inc. กล่าว “เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ประกอบการสตรีทั้งหมดยืนยันว่าได้รับแรงผลักดันจากความประสงค์ที่จะมีส่วนทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมที่ยิ่งใหญ่ ผลกระทบของพวกเขานั้นสามารถมีอย่างมหาศาล โปรแกรมประกาศนียบัตรการเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ของ WEA เป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลก ด้วยเครื่องมือและการสนับสนุนที่เหมาะสม ทั้งนี้ไม่จำกัดสิ่งที่ผู้หญิงสามารถทำได้”

“เราต้องเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในการค้าระหว่างประเทศ โดยช่วยให้พวกเขาขยายธุรกิจเพื่อให้กลายเป็นแรงกระตุ้นสำหรับชุมชนที่ครอบคลุมและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ผู้หญิงเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงที่ทรงพลัง และการเสริมอำนาจให้ผู้หญิงเป็นประโยชน์ต่อทั่วทั้งสังคม” Pamela Coke-Hamilton กรรมการบริหารของ International Trade Centre กล่าว

งานเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะจัดขึ้นในวันที่ 18 มกราคม 2565 เวลา 15:00 น. ตามเวลายุโรปกลาง (CET) ในความร่วมมือกับ Mary Kay ทั้งนี้จะเรียกผู้ประกอบการสตรีและธุรกิจที่ผู้หญิงเป็นเจ้าของจากเครือข่าย ITC SheTrades ทั่วโลก งานจะจัดขึ้นเสมือนจริงเป็นภาษาอังกฤษ และจะทำหน้าที่เป็นเวทีในการนำเสนอโปรแกรมประกาศนียบัตรการเป็นผู้ประกอบการ และการฝึกอบรมในประเทศที่กำลังจะมีขึ้น ทีมงาน SheTrades จะนำเสนอหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการรวมถึงเครื่องมืออื่น ๆ ที่มีอยู่ใน www.shetrades.com สามารถลงทะเบียนที่นี่เพื่อเปิดตัวโปรแกรมประกาศนียบัตรการเป็นผู้ประกอบการที่ไม่มีค่าใช้จ่ายของ WEA

การเปิดตัวโปรแกรมประกาศนียบัตร WEA หรือ WEA Certificate Programme บนแพลตฟอร์มการฝึกอบรมออน์ไลน์ของ ITC SheTrades จะได้รับการเสริมในระดับชาติด้วยการฝึกอบรมภาคสนามสำหรับผู้หญิงจากประเทศกำลังพัฒนาที่สนใจในการเป็นผู้ประกอบการและ/หรือวางแผนที่จะรวมเข้ากับห่วงโซ่คุณค่าระดับภูมิภาคและระดับโลก การฝึกอบรมในประเทศจะให้ข้อมูลเชิงลึกและความเชี่ยวชาญในทางปฏิบัติแก่ผู้ประกอบการสตรีและกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ทั้งนี้จะมีขึ้นในโคลอมเบีย บราซิล เม็กซิโก และอินเดีย การฝึกอบรมจะจัดขึ้นเป็นภาษาสเปน (โคลอมเบีย เม็กซิโก) โปรตุเกส (บราซิล) และอังกฤษ (อินเดีย) การฝึกอบรมนี้จะเน้นในสองหัวข้อหลัก: “ความสามารถในการแข่งขันและความพร้อมในการส่งออก” (19-20 มกราคม) และ “การสัมมนาเชิงปฏิบัติการการตลาดดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ” (1-3 กุมภาพันธ์)

การสนับสนุนดังกล่าวอยู่ภายใต้ “โปรแกรมส่งเสริมสตรีเพื่อการค้า” ของ ITC ซึ่งมีส่วนโดยตรงต่อประเด็นที่ ITC มุ่งเน้นที่ 5 เรื่อง “การส่งเสริมและบูรณาการการค้าที่มุ่งหมายอย่างทั่วถึงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ข้อ 5, 8 และ 17

WEA มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีจำนวน 5 ล้านคนภายในปี 2573

เกี่ยวกับ Women’s Entrepreneurship Accelerator

Women's Entrepreneurship Accelerator (WEA) เป็นโครงการริเริ่มแบบหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายเกี่ยวกับผู้ประกอบการสตรีที่จัดโดยหน่วยงานของสหประชาชาติหกแห่ง ได้แก่ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO), ศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ITC), สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU), โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP), ข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ (UNGC), องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) และ Mary Kay มุ่งมั่นจะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสตรีจำนวน 5 ล้านคนภายในปี 2573 เป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้คือการเพิ่มผลกระทบด้านการพัฒนาของผู้ประกอบการสตรีให้มากที่สุดในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยการสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยสำหรับผู้ประกอบการสตรีทั่วโลก โครงการ Accelerator เป็นตัวอย่างของพลังในการเปลี่ยนแปลงของการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือจากภาคส่วนที่หลากหลายที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เพื่อควบคุมศักยภาพของผู้ประกอบการสตรี สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ we-accelerate.com ติดตามเราบน: Twitter และ Instagram (@we_accelerator), Facebook และ LinkedIn (@womensentrepreneurshipaccelerator)

เกี่ยวกับ ITC SheTrades

โครงการ SheTrades ของ International Trade Centre มีเป้าหมายที่จะเชื่อมโยงผู้หญิงสามล้านคนเข้าสู่ตลาดภายในปี 2564 และรวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทั่วโลกให้ทำงานร่วมกันเพื่อจัดการกับอุปสรรคทางการค้าและสร้างโอกาสที่มากขึ้นสำหรับผู้ประกอบการสตรี ทั้งนี้ได้รับการสนับสนุนโดยเว็บและแพลตฟอร์มดิจิทัลบนมือถือ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม SheTrades.com: https://www.shetrades.com/en

เกี่ยวกับ International Trade Centre

ศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (Interantional Trade Centre) เป็นหน่วยงานร่วมขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization) และสหประชาชาติ (United Nations) ทั้งนี้ ITC ให้ความช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในระบบเศรษฐกิจกำลังพัฒนาและช่วงเปลี่ยนผ่านให้มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนภายใต้กรอบของวาระความช่วยเหลือทางการค้า หรือ Aid-for-Trade และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (United Nations’ Sustainable Development Goals) สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมได้ที่ www.intracen.org ติดตาม ITC บน Twitter | Facebook | LinkedIn | Instagram | Flickr

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220111005443/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom
(+1) 972.687.5332 or media@mkcorp.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย



Black & Veatch ออกแบบศูนย์วิจัยและพัฒนาต้นแบบให้กับบริษัทอาหารทะเลจากการสังเคราะห์ในสิงคโปร์

Logo

Mini Plant ของ Shiok Meats คือกุญแจสู่การขยายการผลิตเพื่อรับมือกับปัญหาความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–9 มกราคม 2565

Black & Veatch ร่วมมือกับ Shiok Meats ในการออกแบบและการวางผังศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารทะเลจากการสังเคราะห์ที่มีความทันสมัยและไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน โดย Ms. Grace Fu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมของสิงคโปร์ ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

ศูนย์วิจัยฯ แห่งใหม่นี้จะช่วยให้ Shiok Meats ซึ่งเป็นบริษัทเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกลุ่มครัสตาเชียจากการสังเคราะห์แห่งแรกของโลก ขยายการผลิตอาหารทะเลกลุ่มครัสตาเชียจากกรรมวิธีเซลล์สังเคราะห์ และตั้งเป้าหมายเริ่มวางจำหน่ายภายในปีพ.ศ. 2566

Dr. Sandhya Sriram ซีอีโอกลุ่มและผู้ร่วมก่อตั้ง Shiok Meats กล่าวว่า “การสร้าง Mini Plant คือก้าวแห่งความสำเร็จครั้งใหญ่สำหรับเรา โรงงานผลิตของเราซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในอีก 18 เดือน จะเป็นส่วนขยายของ Mini Plant แห่งนี้ในแง่ของการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการวางรากฐาน ศูนย์วิจัยฯ แห่งใหม่นี้จะช่วยให้เราเพิ่มการผลิตอาหารทะเลจากการสังเคราะห์อย่างค่อยเป็นค่อยไปตามกลยุทธ์ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเราจะมีโมเดลการผลิตที่มีความครอบคลุมและผลิตภัณฑ์ชั้นเยี่ยม”

David Ziskind ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมของ Black & Veatch NextGen Ag กล่าวว่า “การพลิกโฉมระบบอาหารของเราจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พวกเราภูมิใจที่ได้ช่วย Shiok Meats บรรลุก้าวแห่งความสำเร็จครั้งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของอาหาร นวัตกรรมและความยั่งยืนคือแกนหลักสู่ทางออกด้านวิศวกรรมและการก่อสร้างของเราในขณะที่เราช่วยให้หลาย ๆ บริษัทลดช่องว่างระหว่างวิทยาศาสตร์ การวิจัยและการพัฒนา วิศวกรรม และการพาณิชย์เพื่อนำผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ ๆ สู่ตลาดได้ในปริมาณมาก เราตื่นเต้นที่ได้สนับสนุน Shiok Meats ในความพยายามครั้งใหญ่เพื่อสร้างสรรค์อาหารที่ดีกว่าและมีความยั่งยืนมากขึ้นโดยนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้เพื่อยกระดับความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก”

Hoe Wai Cheong ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารประจำทวีปเอเชียแปซิฟิกและอินเดียของ Black & Veatch กล่าวว่า “ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมของตลาดอย่าง Shiok Meats กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สะอาดและยั่งยืนขึ้นไปอีกขั้น โดยผลิตภัณฑ์อาหารเหล่านั้นเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อซึ่งกำลังเติบโตและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย เรามีความภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับบริษัทอย่าง Shiok Meats ซึ่งมีความมุ่งมั่นเช่นเดียวกันกับเราในการที่จะพัฒนาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมให้มีความยั่งยืนยิ่งขึ้น และแนะนำให้พวกเขาได้รู้จักกับระดับความพร้อมของเทคโนโลยีตั้งแต่แรกเริ่มไปจนถึงการพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ”

Black & Veatch ให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบและนวัตกรรมในขั้นแรก ไปจนถึงการติดตั้งระบบพร้อมสรรพให้กับทั้งบริษัทเกิดใหม่และผู้ผลิตที่มีความมั่นคง Black & Veatch มีความพร้อมที่จะบริหารจัดการตลอดวงจรชีวิตของโครงการ ตั้งแต่การออกแบบกระบวนการและพัฒนาโครงร่างไปจนถึงงานออกแบบเชิงวิศวกรรม การสร้างโรงงานผลิตทั้งในระดับนำร่องและเชิงพาณิชย์ บริการของบริษัทครอบคลุมในหลายภาคส่วน ทั้งอาหารและเครื่องดื่มแบบดั้งเดิม รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อการผลิตอาหารแห่งอนาคต เช่น การเกษตรกรรมในสภาพแวดล้อมปิด โปรตีนทางเลือก และการสังเคราะห์พืชและสัตว์น้ำ

คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดภาพประกอบ

หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ

  • จากการจัดอันดับ 2021 Engineering News-Record’s (ENR) โดย Sourcebook Black & Veatch เป็นหนึ่งใน 10 บริษัทยอดเยี่ยมใน 19 หมวดหมู่ การจัดอันดับดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จของบริษัททางด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษา และการก่อสร้าง ในการคาดการณ์การพัฒนาองกรค์ของลูกค้าที่มุ่งไปสู่การลดการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานให้เหลือศูนย์ การฟื้นฟูระบบน้ำที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น และการใช้ข้อมูลทั่วโลกที่ดียิ่งขึ้น

เกี่ยวกับ Shiok Meats

Shiok Meats คือบริษัทผลิตเนื้อและอาหารทะเลจากการสังเคราะห์แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบริษัทผลิตอาหารทะเลกลุ่มครัสตาเชีย (กุ้ง ล็อบสเตอร์ ปู กั้ง) จากการสังเคราะห์แห่งแรก ที่จะเสิร์ฟเนื้อสัตว์จากการสังเคราะห์ที่มีความยั่งยืน ดีต่อสุขภาพ ปราศจากการทารุณกรรมสัตว์ และรสชาติอร่อยให้กับโลก ติดตามข่าวของ Shiok Meats ได้ทาง Facebook, Instagram และ Twitter ที่ @shiokmeats

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch คือบริษัทออกแบบด้านวิศวกรรม การจัดซื้อ การให้คำปรึกษา และการก่อสร้างระดับโลกที่มีพนักงานร่วมเป็นเจ้าของ โดยมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในด้านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2458 เป็นต้นมา เราได้ช่วยลูกค้าของเราพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยการพัฒนาความยืดหยุ่น และคุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ในปีพ.ศ. 2563 บริษัทมีรายได้รวมในการดำเนินงานกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และทางสื่อสังคม

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211215006149/en/

ติดต่อ:

EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | +65 9875 8907 M | Chialp@bv.com
สายด่วน 24 ชั่วโมงสำหรับสื่อ | +1 855-999-5991

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Robert J. Giuffra Jr. และ Scott Miller เป็นประธานร่วมของบริษัท Sullivan & Cromwell LLP

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–03 มกราคม 2565

Sullivan & Cromwell LLP ประกาศในวันนี้ว่า Robert J. Giuffra, Jr. และ Scott Miller เป็นประธานร่วมของบริษัท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565

เอกสารนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20220103005204/en/

Robert Giuffra and Scott Miller become Co-Chairs of Sullivan & Cromwell LLP. (Photo: Sullivan & Cromwell LLP)

Robert Giuffra และ Scott Miller เป็นประธานร่วมของบริษัท Sullivan & Cromwell LLP (รูปภาพ: Sullivan & Cromwell LLP)

Giuffra และ Miller ดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 พวกเขาสืบทอดตำแหน่งต่อจาก Joseph C. Shenker ซึ่งเป็นประธานของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2553 และจะดำรงตำแหน่งในฐานะประธานอาวุโสของคณะกรรมการบริหารในบริษัทต่อไปนอกเหนือจากการดำเนินงานให้แก่ลูกค้าที่มีอยู่

Shenker กล่าวว่า “นับตั้งแต่ก่อตั้ง บริษัท Sullivan & Cromwell มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ต่อลูกค้า บุคลากร และชุมชนของเรา Bob และ Scott เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความมุ่งมั่นเหล่านี้มาเป็นระยะเวลานานผ่านการสร้างความน่าเชื่อถือในการเป็นที่ปรึกษา โดยจุดแข็งด้านกฎหมายการดำเนินคดีและกฎหมายองค์กรได้แสดงให้เห็นถึงขอบเขตการทำงานภาพรวมที่เราดำเนินการเพื่อลูกค้าของเราทั่วโลก”

Miller กล่าวว่า “การดำเนินงานและความสามารถในระดับสากลของบริษัทเพื่อให้บริการลูกค้าแบบบูรณาการผ่านเครือข่ายสำนักงาน 13 แห่งทั่วทั้ง 4 ทวีปคือสิ่งที่สำคัญมากต่อความสำเร็จของเรา ลูกค้าของบริษัทมากกว่าครึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่นอกสหรัฐอเมริกา และผมกับ Bob ต่างก็ใช้เวลาในอาชีพของเราในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ที่ซับซ้อนที่สุดของลูกค้าในต่างประเทศ ในขณะที่โลกมีการบูรณาการมากขึ้นและปัญหาที่ลูกค้าเผชิญก็ซับซ้อนมากขึ้น เราคาดว่าการดำเนินงานระดับโลกของเราจะเป็นแรงผลักดันให้บริษัทของเราประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง”

Giuffra กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับ Scott และหุ้นส่วนของเราเพื่อสร้างวัฒนธรรมความเป็นเลิศ นวัตกรรม และความมุ่งมั่นของบริษัทของเราที่มีต่อลูกค้า และมีต่อกันและกัน กว่า 143 ปีที่รูปแบบของเราได้รับการทดลองและเป็นจริง ซึ่งประกอบไปด้วยการสรรหาและฝึกอบรมทนายความที่ดีที่สุดในการทำงานร่วมกันเพื่อช่วยลูกค้าของเราแก้ปัญหาความท้าทายที่สำคัญที่สุดและคว้าโอกาสที่มีคุณค่าสูงสุด”

Giuffra ผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ ซึ่งเข้าร่วม S&C ในปี 2532 หลังจากดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานกฎหมายให้กับ William Rehnquist ประธานศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา และ Ralph Winter ผู้พิพากษาของศาลอุทธรณ์เขต 2 สหรัฐอเมริกา Giuffra เป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของ Sullivan & Cromwell ตั้งแต่ปี 2550 โดยประจำอยู่ที่นิวยอร์ก ด้วยความเป็นศิษย์จากวิทยาลัยทนายความคดีแห่งอเมริกา (ACTL) และสถาบันทนายความคดีนานาชาติ (IATL) เขาประสบความสำเร็จในการว่าความและพิจารณาคดีของลูกค้ามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ รวมถึงการตรวจสอบรัฐบาล เขามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขวิกฤตขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งประกอบไปด้วย การล้มละลายของ Enron การฉ้อโกงทางบัญชีที่ Computer Associates และ HealthSouth Corporation วิกฤตการณ์ทางการเงิน และวิกฤตการปล่อยมลพิษดีเซลของ Volkswagen ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาประสานงานระดับชาติของผู้ผลิตรถยนต์ ลูกค้าปัจจุบันของเขา ได้แก่ Allianz, Goldman Sachs, Stellantis, UBS และ Volkswagen เขาได้เป็นตัวแทนของคณะกรรมการบริหารของบริษัท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ้าหน้าที่รัฐบาลอาวุโส ครอบครัวที่มีชื่อเสียง บริษัทกฎหมาย และทีมกีฬามืออาชีพ

Miller ที่ปรึกษาชั้นนำขององค์กร ซึ่งเข้าร่วม S&C ในปี 2529 หลังจากทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานกฎหมายให้แก่ William A. Norris ผู้พิพากษาแห่งศาลอุทธรณ์เขต 9 สหรัฐอเมริกา เขามักทำหน้าที่จัดการการควบรวมกิจการมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ตลาดทุนและธุรกรรมเชิงกลยุทธ์อื่น ๆ การตรวจสอบกิจการภายในและรัฐบาล และวิกฤตการณ์อื่น ๆ ขององค์กร เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2557 โดยประสานและดำเนินงานให้กับองค์กรในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยปัจจุบันปฏิบัติงานอยู่ที่นิวยอร์ก เขาได้ทำงานเกี่ยวกับการควบรวมกิจการและธุรกรรมหลักทรัพย์ในกว่า 20 ประเทศ รวมถึงการแปรรูปเป็นเอกชนครั้งแรกในอิตาลีและการซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้ (LBO) ครั้งแรกในเยอรมัน เขาเป็นตัวแทนของ Fiat Chrysler ในการควบรวมกิจการกับ Peugeot มูลค่า 60 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกผ่านการสร้างสรรค์ Stellantis ก่อนหน้านี้เขาเป็นตัวแทนของ Fiat ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือ Chrysler ในปี 2552, Ferrari ในการเสนอขายหุ้น IPO ปี 2558 และ Alcan ในการต่อสู้กับข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการที่ไม่เป็นธรรมจาก Alcoa และการเข้าซื้อกิจการ 46 พันล้านดอลลาร์โดย Rio Tinto เขาเป็นตัวแทนของ DISH Network มาเป็นเวลาสองทศวรรษแล้ว และการทำธุรกรรมมากมายเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ช่วยก่อตั้งและให้การสนับสนุนงบประมาณด้านเครือข่ายการสื่อสารไร้สายทั่วประเทศ เขายังเป็นผู้นำในตลาดด้านการเป็นบริษัทที่สร้างขึ้นมาเพื่อระดมเงินทุนไปซื้อบริษัทอื่น (SPAC) โดยเป็นตัวแทนของ DraftKings ในรายการ de-SPAC และการเข้าซื้อกิจการและการจัดหาเงินทุนอื่น ๆ เพื่อก่อร่างให้บริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทบันเทิงและเกมดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นตัวแทนของ Ermenegildo Zegna Group ในการควบรวมกิจการกับบริษัทด้าน SPAC ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Investindustrial โดยที่ Zegna กลายเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเริ่มต้นเกินกว่า 3 พันล้านดอลลาร์

Giuffra สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันและโรงเรียนกฎหมายเยล เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาของคณะกรรมการการธนาคารวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกาและประธานสภาเนติบัณฑิตยสภา เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการถาวรของนิวยอร์กว่าด้วยการเข้าถึงความยุติธรรมและคณะกรรมการประจำว่าด้วยหลักปฏิบัติและขั้นตอนของศาลสหรัฐฯ นอกจากนี้ เขายังเป็นประธานมูลนิธิ American Swiss Foundation อีกด้วย

Miller สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนาและโรงเรียนกฎหมายโคลัมเบีย เขาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ Sullivan & Cromwell สำนักงาน Palo Alto และเคยอาศัยอยู่ในสำนักงานในลอนดอนและลอสแองเจลิสของบริษัท เขาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของสภาธุรกิจระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา

เกี่ยวกับ Sullivan & Cromwell LLP

Sullivan & Cromwell LLP เป็นบริษัทกฎหมายระดับโลกที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินคดีใหญ่ ๆ การสืบสวนขององค์กร และกฎระเบียบที่ซับซ้อน การควบรวมกิจการในประเทศและต่างประเทศ การทำธุรกรรมด้านการเงิน องค์กร และปรับโครงสร้างหนี้ การวางแผนภาษีและอสังหาริมทรัพย์ Sullivan & Cromwell ก่อตั้งขึ้นในปี 2422 มีทนายความประมาณ 900 คน มีสำนักงานอยู่ที่นิวยอร์ก วอชิงตัน ลอสแอนเจลิส พาโลอัลโต ลอนดอน แฟรงก์เฟิร์ต ปารีส บรัสเซลส์ ฮ่องกง ปักกิ่ง โตเกียว เมลเบิร์น และซิดนีย์

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20220103005204/en/

ติดต่อ:

Matthew J. Corrigan
corriganm@sullcrom.com
+1 (212) 558-4906

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

นิทรรศการ K-Chemicals Cyber Exhibition ฤดูกาลที่ 2 จัดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 โดยมีบริษัทจากอุตสาหกรรมเคมีและความงามของเกาหลีกว่า 270 แห่งเข้าร่วม

Logo

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–24 ธันวาคม 2564

K-Chemicals Cyber Exhibition (K-Chemicals) ซึ่งเป็นนิทรรศการออนไลน์ระดับนานาชาติด้านเคมีและความงาม ได้ถูกจัดขึ้นสำหรับฤดูกาลที่ 2 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211221005817/en/

K-Chemicals Cyber Exhibition, an international online exhibition in the field of chemistry and beauty, hosted Season II in the second half of 2021. It has been operating permanently since its opening in March. About 270 companies are participating in the second half of this year for global expansion of the Korean chemical and beauty industries. Beauty products as well as industrial chemicals such as high-quality paints, adhesives, surfactants, additives, and plastics are showcased at the exhibition. The two virtual exhibition halls, Industrial Chemical Hall and Beauty Product Hall are implemented in 2D and 3D. Buyers can use video conferencing systems, chat functions, and counseling reservation functions. It is attracting buyers from all 129 overseas trade centers owned by the KOTRA, and video counseling will be conducted for buyers discovered for a month from December. (Graphic: Business Wire)

K-Chemicals Cyber Exhibition ซึ่งเป็นนิทรรศการออนไลน์ระดับนานาชาติด้านเคมีและความงาม ได้จัดงานนิทรรศการสำหรับฤดูกาลที่ 2 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ซึ่งให้บริการอย่างถาวรตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมีนาคม บริษัทประมาณ 270 แห่งเข้าร่วมในครึ่งหลังของปีนี้เพื่อขยายอุตสาหกรรมเคมีและความงามของเกาหลีไปทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ความงามและเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมคุณภาพสูง เช่น สี กาว สารลดแรงตึงผิว สารเติมแต่ง และพลาสติก จะถูกจัดแสดงในนิทรรศการนี้ ห้องโถงนิทรรศการเสมือนจริงสองแห่ง ได้แก่ ห้องโถงเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม และ ห้องโถงความงามจะจัดแสดงในรูปแบบ 2D และ 3D ผู้ซื้อสามารถใช้ระบบการประชุมทางวิดีโอ ฟังก์ชันการสนทนา และฟังก์ชันการจองเพื่อรับคำปรึกษา นิทรรศการนี้ดึงดูดผู้ซื้อจากศูนย์กลางการค้าต่างประเทศทั้งหมด 129 แห่งที่ KOTRA เป็นเจ้าของ และจะมีการดำเนินการให้คำปรึกษาทางวิดีโอสำหรับผู้ซื้อที่พบเป็นเวลาหนึ่งเดือนตั้งแต่เดือนธันวาคม (กราฟิก: Business Wire)

นิทรรศการ K-Chemicals จัดโดยกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงาน และดำเนินการโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าการลงทุนของเกาหลี (KOTRA) และสมาคมอุตสาหกรรมเคมีพิเศษแห่งเกาหลี (KSCIA) และได้ดำเนินการอย่างถาวรตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ปีนี้

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่การแพร่กระจายของโรคโควิด-19 ยังไม่ลดลง บริษัทประมาณ 270 แห่งเข้าร่วมส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เพื่อขยายอุตสาหกรรมเคมีและความงามของเกาหลีไปทั่วโลก

ผลิตภัณฑ์ความงามที่ได้รับความสนใจในระดับสากล รวมถึงเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรมคุณภาพสูง เช่น สี กาว สารลดแรงตึงผิว สารเติมแต่ง และพลาสติก จะถูกจัดแสดงในนิทรรศการนี้

สีและกาวคุณภาพสูง สารลดแรงตึงผิว สารเติมแต่ง และพลาสติกจะถูกจัดแสดงที่ห้องโถงเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม ในขณะที่ผลิตภัณฑ์จากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เครื่องสำอางที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก จะถูกจัดแสดงที่ห้องโถงความงาม

ห้องโถงนิทรรศการเสมือนจริงสองแห่ง ได้แก่ ห้องโถงเคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม และ ห้องโถงความงามจะจัดแสดงในรูปแบบ 2D และ 3D เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถดูได้ในรูปแบบที่ต้องการ ผู้ซื้อสามารถใช้ระบบการประชุมทางวิดีโอ ฟังก์ชันการสนทนา และฟังก์ชันการจองเพื่อรับคำปรึกษาได้ตลอดเวลา นิทรรศการนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้ซื้อจากต่างประเทศสามารถเยี่ยมชมได้ทุกที่ทุกเวลาด้วยความสะดวกสบาย และเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาบริษัทและสินค้าที่เข้าร่วม

นอกจากนี้ วิดีโอการประชุมเกี่ยวกับเทรนด์อุตสาหกรรมเคมีของเกาหลี นวัตกรรม K-BEAUTY, EU-REACH, K-REACH และระบบการส่งออกของเกาหลีได้เปิดให้เข้าชมในช่วงครึ่งปีแรกเพื่อช่วยให้ผู้ซื้อเข้าใจเกี่ยวกับเทรนด์การส่งออกทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย

นิทรรศการออนไลน์ด้านเคมีและความงามจะได้รับการส่งเสริมให้สอดคล้องกับตลาดเป้าหมายผ่านสื่อต่างประเทศและช่อง YouTube และจะเปิดตัวเข้าสู่ตลาดเอเชีย รวมถึงจีนและอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายที่บริษัทต้องการ นิทรรศการนี้ดึงดูดผู้ซื้อจากศูนย์กลางการค้าต่างประเทศทั้งหมด 129 แห่งที่ KOTRA เป็นเจ้าของ และจะมีการดำเนินการให้คำปรึกษาทางวิดีโอสำหรับผู้ซื้อที่พบเป็นเวลาหนึ่งเดือนตั้งแต่เดือนธันวาคม

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211221005817/en/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ:

สมาคมอุตสาหกรรมเคมีพิเศษแห่งเกาหลี
Sungyong Park
+82-2-2088-7256
psy@kscia.or.kr

Beyond2020 ยกระดับการเข้าถึงน้ำของชาวฟิลิปปินส์ 18,000 คนในพื้นที่ชนบทบนที่สูง

Logo

  • การดำเนินโครงการสุดช่วยปรับปรุงความเป็นอยู่ของชุมชนบนพื้นที่สูงสองแห่งได้อย่างมีนัยสำคัญด้วยการจัดหาแหล่งน้ำที่เชื่อถือได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันตลอด โดยใช้เทคโนโลยีที่ปราศจากคาร์บอน

อาบูดาบี, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–15 ธ.ค. 2564

Beyond2020 หวนคืนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกครั้ง หลังการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืนที่สำคัญในอินโดนีเซียและกัมพูชา ด้วยการดำเนินโครงการที่ช่วยยกระดับชีวิตของผู้คน 18,000 คนในฟิลิปปินส์โดยการเพิ่มการเข้าถึงน้ำและลดต้นทุนน้ำอย่างน้อย 85% มีการใช้ปั๊มไฮดรอลิกสี่ตัวและตู้ 13 ตู้เพื่อส่งผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัย 3,000 คนในหมู่บ้าน Cabagnaan ในจังหวัด Negros Occidental กับผู้คน 15,000 คนใน 14 หมู่บ้านทั่วเมือง Altavista ในจังหวัด Leyte

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211215005619/en/

Beyond2020 Philippines (Photo: AETOSWire)

Beyond2020 ฟิลิปปินส์ (ภาพ: AETOSWire)

เทคโนโลระดับนวัตกรรมนี้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบที่สร้างขึ้นเมื่อกว่า 240 ปีที่แล้ว ซึ่งนำน้ำขึ้นไปบนเนินโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิง หรือปล่อยก๊าซอันตราย

โครงการ Beyond2020 เปิดตัวโดย Zayed Sustainability Prize ร่วมกับองค์กรชั้นนำหลายแห่ง โดยเป็นตัวอย่างมรดกด้านมนุษยธรรมของบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ Sheikh Zayed bin Sultan Al Nahyan ผู้ล่วงลับ โดยการบริจาคเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่ยั่งยืนให้กับชุมชนที่เปราะบางทั่วโลก การติดตั้งที่ฟิลิปปินส์นับเป็นครั้งที่สิบของการดำเนินโครงการ Beyond2020 ซึ่งจัดการกับความท้าทายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เร่งด่วนที่สุดในโลกอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้บริการด้านการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ พลังงานที่จำเป็น และการเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับดื่มและสุขาภิบาล

H.E. Mohammed Obaid Al Zaabi เอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประจำฟิลิปปินส์กล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นโครงการด้านมนุษยธรรมที่ใช้อย่างกว้างขวางซึ่งนำโดยรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และความเป็นผู้นำที่ชาญฉลาดในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนทั่วโลก โครงการ Beyond2020 นำเสนอโซลูชั่นที่สำคัญและเปลี่ยนชีวิตให้กับผู้รับผลประโยชน์ทั่วโลก การดำเนินงานในฟิลิปปินส์นำเสนอโซลูชั่นเทคโนโลยีน้ำที่เป็นนวัตกรรมแก่ชุมชนที่มุ่งพัฒนาสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของชาวชนบทผ่านผลกระทบระยะยาว ปูทางสำหรับวิถีชีวิตที่ง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น และยั่งยืนมากขึ้น”

H.E. Al Zaabi กล่าวเสริมว่า “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และฟิลิปปินส์มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสร้างอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองและยั่งยืนมากขึ้นสำหรับประชาชนของพวกเขา ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันยังช่วยเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ใกล้ชิดในอดีตของเราในหลาย ๆ ช่องทาง แรงผลักดันในการเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากรที่สำคัญเพื่อประโยชน์ของชุมชนในฟิลิปปินส์ นอกไปจากการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ ยังเกิดขึ้นพร้อมกับการเปิดตัว 'หลักการ 50 ประการ' ของ UAE ที่พยายามกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมผ่านความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางที่สำคัญที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมรดกที่ยั่งยืนของ Sheikh Zayed ผู้ล่วงลับซึ่งเป็นบิดาผู้ก่อตั้งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยยึดตามค่านิยมหลักของเขาในด้านความยั่งยืน มนุษยธรรม และความร่วมมือระดับโลก”

ชุมชนของ Cabagnaan และ Altavista ที่ตั้งอยู่บนเกาะต่าง ๆ ต่างก็เผชิญความท้าทายแบบเดียวกัน คือการที่ไม่มีน้ำให้บริการ และต้องดึงน้ำมาจากแหล่งที่อยู่ห่างไกลจากชุมชน การติดตั้งใช้ระบบตะบันน้ำ แบบองค์รวมของบริษัท Alternative Indigenous Development Foundation, Inc. (AIDFI) ผู้เข้ารอบสุดท้ายรางวัล Zayed Sustainability Prize ประจำปี 2020 ภายใต้หมวด 'น้ำ'

เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ H.E. Hjayceelyn M. Quintana กล่าวเสริมว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นการเปิดตัวโซลูชั่นที่จำเป็น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนแปลงชีวิตโดยโครงการ Beyond2020 การเข้าถึงและผลกระทบที่โดดเด่นของเทคโนโลยีสนับสนุนแรงผลักดันของรัฐบาลฟิลิปปินส์ในการปรับปรุงบริการสาธารณะและสุขภาพของประชาชนของเรา โดยที่น้ำมีความสำคัญเป็นลำดับแรกสำหรับสวัสดิการสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืน”

“เรามั่นใจว่าการระดมปฏิบัติการระดับนานาชาติที่ให้อำนาจและสนับสนุนความสามารถของชุมชนในการเข้าถึงและจัดการแหล่งน้ำจะส่งเสริมผลประโยชน์อย่างกว้างขวางต่อชีวิตประจำวันของผู้รับผลประโยชน์ ดังนั้นเราจึงขอแสดงความขอบคุณต่อความคิดริเริ่มและพันธมิตรที่มีส่วนร่วมเป็นศูนย์กลางในการทำให้โครงการเป็นจริงในวันนี้”

H.E. Ólafur Grímsson ประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัล Zayed Sustainability Prize และอดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐไอซ์แลนด์ กล่าวว่า “โครงการล่าสุดของ Beyond 2020 ในฟิลิปปินส์แสดงให้เห็นถึงพลังของการใช้ประโยชน์จากโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่จากชุมชนผู้ชนะและผู้เข้ารอบสุดท้ายทั่วโลกของเรา และเป็นการสำรวจความเป็นไปได้ในระยะยาว ความสามารถสำหรับผู้รับผลประโยชน์ ความคิดริเริ่มนี้ยังแสดงให้เห็นถึงพลังของการทำงานร่วมกันระหว่างรางวัล Zayed Sustainability Prize กับพันธมิตร ที่ได้ส่งผลกระทบต่อชุมชนใน 10 ประเทศจนถึงปัจจุบัน โดยมีกำหนดการขยายการใช้งานเพิ่มเติมในปี 2565”

นอกจากการจัดหาน้ำสะอาดสำหรับดื่มและสุขาภิบาลแล้ว เทคโนโลยีที่ปราศจากคาร์บอนยังเปิดโอกาสให้ผู้อยู่อาศัยได้ปรับปรุงหรือดำเนินชีวิตที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น สวนผัก การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการเลี้ยงปศุสัตว์ ในขณะเดียวกันก็อำนวยความสะดวกในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยมากขึ้นในการหลีกเลี่ยงโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากน้ำ ที่เกิดจากน้ำสกปรก นอกจากนี้ การเข้าถึงสุขอนามัยที่ดีขึ้นยังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากความสำคัญของการล้างมือในการป้องกันการแพร่กระจายของโควิด-19 ซึ่งเป็นข้อกังวลเร่งด่วนสำหรับชุมชนที่เปราะบางทั่วโลก

มีการเปิดตัวโครงการสิบครั้ง ภายใต้โครงการ Beyond2020 โดยมีอีกเก้าดครงการอยู่ในระหว่างดำเนินการ การใช้งานที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ได้แก่ โซลูชั่นด้านพลังงาน สุขภาพ น้ำ และอาหารที่สำคัญในเนปาล แทนซาเนีย ยูกันดา จอร์แดน อียิปต์ กัมพูชา มาดากัสการ์ อินโดนีเซีย บังคลาเทศ และฟิลิปปินส์

Beyond2020 รวบรวมพันธมิตรชั้นนำมากมาย ซึ่งรวมถึง Abu Dhabi Fund for Development, Mubadala Petroleum และ Masdar

ดูรายละเอียดของ the Zayed Sustainability Prize เพิ่มเติมได้ที่: https://zayedsustainabilityprize.com/

*แหล่งที่มา: AETOSWire

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20211215005619/en/

ติดต่อ:

Medhat Juma
Hill+Knowlton Strategies
โทร: +971 561399482
Medhat.Juma@hkstrategies.com

Erika Spagakou
Hill+Knowlton Strategies
โทร: +971 551398765
Erika.Spagakou@hkstrategies.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย


มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา (NTHU) ต้นแบบด้านความยั่งยืน

Logo

ซินจู๋, ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)–2 ธันวาคม 2564

มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา (NTHU) ได้รับรางวัล Taiwan University Sustainability Award ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับองค์กรและบริษัทที่อยู่ในไต้หวันและได้รับการยอมรับด้านความยั่งยืน จากงาน Taiwan Corporate Sustainability Awards (TCSA) ครั้งที่ 14 ซึ่งจัดโดยสถาบัน Taiwan Institute for Sustainable Energy (TAISE) เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวามีความโดดเด่นจาก 38 มหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ โดยได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในการประเมินภาพรวม และในการแข่งขันรายบุคคลยังได้รับรางวัล Social Inclusion Leadership Award และ University Sustainability Report Gold Award อีกด้วย

เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูออย่างเต็มรูปแบบได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211202005031/en/

National Tsing Hua University was awarded the Taiwan University Sustainability Award. President Hocheng Hong (center) and Chief Sustainability Officer Tai Nyan-hwa (second from the left), Sustainability Office Director Lin Fu-ren (first from the left), Vice President and Chief of Staff King Chung-Ta (second from the right), Dean of International College Doong Ruey-an (first from the right). (Photo: National Tsing Hua University)

มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา (NTHU) ได้รับรางวัล Taiwan University Sustainability Award. Hocheng Hong (กลาง) อธิการบดี และ Tai Nyan-hwa (คนที่สองจากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืน, Lin Fu-ren (คนแรกจากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักงานความยั่งยืน, King Chung-Ta (คนที่สองจากขวา) รองอธิการบดีและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพนักงาน), Doong Ruey-an (คนแรกจากขวา) คณบดีวิทยาลัยนานาชาติแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา (ภาพ: มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา)

คณะกรรมการตัดสินกล่าวถึงแนวทางที่เป็นแบบอย่างซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาได้บ่มเพาะจากความสามารถหลัก ๆ ด้านการสอนและการวิจัยเพื่อตอบสนองต่อการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมตามข้อกำหนดของการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการดำเนินโครงการรณรงค์ทั่วทั้งวิทยสาขาเพื่อลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ พวกเขายังประทับใจในจรรยาบรรณการทำงานของมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาที่เน้นความหลากหลายและความเท่าเทียม ตลอดจนการมอบรางวัลให้แก่คณาจารย์และเจ้าหน้าที่ที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการวิจัย การสอน การให้คำปรึกษา และการบริการสาธารณะ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลดีต่อสังคมในวงกว้างและช่วยยกระดับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยในระดับนานาชาติ ในแง่ของความยั่งยืนนั้น มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาได้แสดงออกตามคำขวัญของมหาวิทยาลัยเสมอมา โดยคำขวัญนั้นคือ การเป็นตัวของตัวเองและช่วยดูแลธรรมชาติ “To Oneself Be True, Give Nature Its Due” 

Hocheng Hong อธิการบดีมหาวิทยาลัย กล่าวว่า ความงามตามธรรมชาติของมหาวิทยาลัยเดินหน้าไปพร้อมกับหลักการของความยั่งยืน นอกเหนือจากการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในไต้หวันที่แต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความยั่งยืนแล้ว มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวายังมีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนในระดับปริญญาตรีทั้งหมด 517 หลักสูตร และระดับบัณฑิตศึกษา 216 หลักสูตร ซึ่งรวมกันเป็น 13% ของหลักสูตรในมหาวิทยาลัย

Tai Nyan-hwa รองอธิการบดีอาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่ด้านความยั่งยืนของมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาชี้ให้เห็นว่า เพื่อให้แนวคิดเรื่องความยั่งยืนในทุกระดับลึกซึ้งยิ่งขึ้น ฝ่ายธุรการและวิชาการแต่ละแห่งจึงได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ด้านความยั่งยืน โดยทั้ง 26 คนเป็นสมาชิกของคณะกรรมการความยั่งยืน ซึ่งจะมีการประชุมกันทุก ๆ สองเดือนเพื่อหารือเกี่ยวกับการปรับปรุงและพัฒนาล่าสุดและประสานงานการดำเนินการต่าง ๆ

Lin Fu-ren ผู้อำนวยการสำนักงานความยั่งยืน กล่าวว่า เนื่องจากการวิจัย การสอน และการบริการสาธารณะเป็นงานที่สำคัญที่สุดของมหาวิทยาลัย ความพยายามในช่วงแรก ๆ ของมหาวิทยาลัยเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนจึงเน้นที่การส่งเสริมให้ครู นักวิจัย และนักศึกษาบูรณาการหลักการของความยั่งยืนเข้าไว้ในงานที่กำลังปฏิบัติอยู่ คณาจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวาจำนวนมากกำลังดำเนินการวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ 17 เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ในกระบวนการนี้ พวกเขาได้แสดงให้เห็นว่าการมุ่งความสนใจไปที่ปัญหาจะช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกได้อย่างไร

Lin Fu-ren กล่าวอีกว่านอกเหนือจากทุน Rising Sun ที่สนับสนุนนักเรียนที่ด้อยโอกาสทางการเงินอย่างต่อเนื่องแล้ว มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวายังได้จัดตั้งกองทุนพิเศษเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ประสบความยากลำบากอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เชื่อมโยงกับเป้าหมายความยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติที่ว่า “ความยากจนจะต้องไม่มี” และ “การศึกษาที่มีคุณภาพ”

Lin Fu-ren ยังชี้ให้เห็นอีกว่าการทำให้การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นจริงนั้นต้องหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความยั่งยืนไว้ในหัวใจของนักศึกษา ดังนั้นเมื่อเรียนจบ เมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะงอกงามและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในสังคม

ดูเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211202005031/en/

ติดต่อ:

Holly Hsueh
มหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหวา
(886)3-5162006
hoyu@mx.nthu.edu.tw

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Farmhouse Aurora Bangkok Bank Café Amazon King Power M-150 PTT Station Thai Life Insurance และ TrueOnline คว้ารางวัล World Branding Awards ประจำปี 2564 ที่จัดขึ้นเสมือนจริง

Logo

ลอนดอน–(BUSINESS WIRE)–30 พฤศจิกายน 2564

งานประกาศรางวัล World Branding Awards ครั้งที่สิบสี่ มีแบรนด์มากกว่า 500 แบรนด์จากกว่า 60 ประเทศที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น “แบรนด์แห่งปี” หรือ “Brand of the Year” และต้อนรับบรรดาผู้เยี่ยมเยือนกว่า 100 คนทั่วโลกเพื่อเชื่อมต่อจากระยะทางไกลและเฉลิมฉลองความสำเร็จของพวกเขาในพิธีเสมือนจริงครั้งแรกของฟอรั่ม

Spotify, Zoom, Yakult, Netflix, Amazon, The Lego Group, Neutrogena, Nescafé, Heinz, L'Oréal, Starbucks, Google และ VISA เป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำของโลกที่ได้รับการประกาศให้เป็นผู้ชนะระดับโลกในพิธีออนไลน์ครั้งแรกที่พระราชวังเคนซิงตัน

ผู้ชนะจากประเทศไทย ได้แก่ Aurora, Bangkok Bank, Café Amazon, King Power, M-150, PTT Station, Thai Life Insurance และ TrueOnline ผู้ชนะระดับประเทศอื่น ๆ ได้แก่ Airland (ฮ่องกง), Sinarmas Land (อินโดนีเซีย), Tanduay (ฟิลิปปินส์), ToastBox (สิงคโปร์), Tanishq (อินเดีย), Nahdi (ซาอุดีอาระเบีย), Natural Aqua Gel Cure (ญี่ปุ่น) เป็นต้น

โดยมีเพียงสิบสองแบรนด์เท่านั้นที่ได้รับเลือกให้ได้รับรางวัลระดับภูมิภาคในปีนี้ ได้แก่ Farmhouse, H&M, Mr D.I.Y., De’Longhi และ Pandora ซึ่งเป็นผลงานที่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นสามารถผ่านกระบวนการเสนอชื่อ ตัดสิน และประเมินผลที่ไม่เหมือนใครของฟอรั่ม ทั้งนี้ต้องใช้ 70 % ของการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคเพื่อค้นหาแบรนด์ที่ชื่นชอบของสาธารณชน

“ปี 2564 เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับธุรกิจทั่วโลก โดยโควิด-19 บีบคั้นแบรนด์ต่าง ๆ มากมายให้ปรับตัวสู่ความปกติใหม่ และรางวัลดังกล่าวก็เฉลิมฉลองให้กับความพยายามที่ธุรกิจเหล่านี้ได้ทุ่มเทให้กับการสร้างแบรนด์และการตลาด ผู้ชนะแต่ละคนได้รับความรักและความไว้วางใจจากผู้บริโภค และรางวัลนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสิ่งนี้” Richard Rowles ประธาน World Branding Forum กล่าว

โดยมีการโหวตของผู้บริโภคมากกว่า 1.3 ล้านคนตั้งแต่เริ่มต้นของรางวัล และในปีนี้ผู้บริโภคมากกว่า 345,000 คนเข้าร่วมในกระบวนการเสนอชื่อทั่วโลก โดยเฉลี่ยแล้วมีแบรนด์ที่ชนะเพียง 7 แบรนด์ในแต่ละประเทศ การพิสูจน์ว่าการได้รับรางวัล World Branding Award ถือเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นอย่างแท้จริง

งานนี้จัดโดยพิธีกรรายการโทรทัศน์ Jemma Forte และฟอรั่มวางแผนที่จะกลับไปจัดที่พระราชวังเคนซิงตันในปีหน้า

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและรายชื่อผู้ชนะทั้งหมด สามารถเยี่ยมชมได้ที่ awards.brandingforum.org

###

เกี่ยวกับ the World Branding Awards

World Branding Awards เป็นรางวัลระดับพรีเมียร์ของ World Branding Forum ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่จดทะเบียน รางวัลดังกล่าวเป็นการยกย่องความสำเร็จของแบรนด์ชั้นนำของโลกบางส่วน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ https://awards.brandingforum.org

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211130005606/en/

ติดต่อ:

Kira Heather
media@brandingforum.org
+44(0)2037439880

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ผู้บรรยายระดับสูงประกาศเปิดตัวการประชุม Global Business Forum ASEAN ครั้งแรกในดูไบ

Logo

ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์–(BUSINESS WIRE)–29 พฤศจิกายน 2564  

รัฐมนตรีของรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สามคนจะเข้าร่วมกับรัฐมนตรีจากสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ในการประชุม Global Business Forum ASEAN ครั้งแรก ซึ่งจะจัดขึ้นที่งาน Expo 2020 Dubai ในวันที่ 8-9 ธันวาคม

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20211129005531/en/

HE Hamad Buamim, President and CEO, Dubai Chamber (Photo: AETOSWire)

HE Hamad Buamim, ประธานและซีอีโอของ Dubai Chamber (ภาพ: AETOSWire)

การประชุมนี้จัดโดย Dubai Chamber ร่วมกับงาน Expo 2020 Dubai โดยการประชุม GBF ASEAN จะจัดขึ้นภายใต้เรื่อง The New Frontiers ที่ประชุมประกอบไปด้วยผู้บรรยายมากกว่า 40 คนและการอภิปรายกันเป็นคณะ 25 กลุ่ม โดยจะสำรวจแรงผลักดันที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศอาเซียนและโอกาสในการเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้า ธุรกิจ และการลงทุนระดับทวิภาคีระหว่างสองภูมิภาค

H.E Reem Al Hashemi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศ และผู้อำนวยการใหญ่ของงาน Expo 2020 Dubai; H.E Omar Sultan Al Olama รัฐมนตรีว่าการกระทรวงด้านปัญญาประดิษฐ์ เศรษฐกิจดิจิทัลและการประยุกต์ใช้งานทางไกล และ H.E. Dr Thani Al Zeyoudi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศ จะเป็นผู้แทนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่การประชุม GBF ASEAN

รัฐมนตรีทั้งสามของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะเป็นผู้บรรยายในงานนี้ร่วมกับ H.E. Abdul Aziz Al Ghurair ประธานคณะกรรมการของ Dubai Chambers และ H.E. Hamad Buamim ประธานและ ซีอีโอ ของ Dubai Chamber

รัฐมนตรีจากภูมิภาคอาเซียนที่เข้าร่วมการประชุม ได้แก่ H.E Ramon Lopez เลขาธิการ (รัฐมนตรี) กรมการค้าและอุตสาหกรรม สาธารณรัฐฟิลิปปินส์; H.E William Dar เลขาธิการ (รัฐมนตรี) กรมวิชาการเกษตร สาธารณรัฐฟิลิปปินส์; H.E. Fortunato De La Pena เลขาธิการ (รัฐมนตรี) เลขานุการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รองประธานสภาอวกาศแห่งฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์; H.E. Dato Lim Jock Hoi เลขาธิการใหญ่ สำนักเลขาธิการอาเซียน; และ Mohmed Razip Haji Hasan ผู้อำนวยการใหญ่ ศูนย์การท่องเที่ยวอิสลาม

“กลุ่มผู้บรรยายที่มีความสามารถสูงเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และประเทศในกลุ่มอาเซียนในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการประสานความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนที่มีอยู่ โดยมีศักยภาพมากมายที่จะสร้างความร่วมมือครั้งใหม่ระหว่างธุรกิจของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และคู่ค้าในอาเซียน และเราตั้งตารอที่จะสำรวจสิ่งนั้นในที่เข้าร่วมการประชุมที่จะเกิดขึ้น” H.E. Hamad Buamim ประธานและ CEO ของ Dubai Chamber กล่าว

หมายเหตุบรรณาธิการ

หน่วยงานการค้าและอุตสาหกรรมแห่งดูไบก่อตั้งขึ้นในปี 2508 เป็นหน่วยงานสาธารณะที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดยมีภารกิจในการเป็นตัวแทน สนับสนุน และปกป้องผลประโยชน์ของชุมชนธุรกิจในดูไบด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวย สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจ และ โดยส่งเสริมให้ดูไบเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ

*แหล่งที่มา: AETOSWire

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20211129005531/en/

ติดต่อ:

Ruba Abdel Halim
Manager, PR & Corporate Communications, +97142028450
ruba.halim@dubaichamber.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

เศรษฐกิจทางทะเลเริ่มเฟื่องฟูในเซียะเหมินในช่วงแผน 5 ปีที่ 14

Logo

เซียะเหมิน จีน–(บิสิเนสไวร์)–26 พ.ย. 2564

เศรษฐกิจทางทะเลของเซียะเหมินคาดว่าจะเปิดรับการพัฒนาคุณภาพสูงในช่วงแผนห้าปีที่ 14 (พ.ศ. 2564-2568) เนื่องจากเพิ่งได้รับการรับรองสถานะเมืองชั้นนำในภาคส่วนทางทะเลที่กำลังพัฒนาในมณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกของจีน

ทางเทศบาลได้ออกแผนพัฒนาสองแผน ซึ่งระบุว่าควรมีการส่งเสริมบทบาทของตนในการหนุนเศรษฐกิจทางทะเลของจังหวัด

ตามแผนดังกล่าว เซียะเหมินจะจัดตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมทางทะเลโดยส่งเสริมความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์

โดยจะเร่งสร้างเขตสาธิตระดับชาติสำหรับเศรษฐกิจทางทะเล จะมีการสนับสนุนอุตสาหกรรมชีวภาพทางทะเลและสร้างฐานอุปทานทั่วโลกสำหรับผลิตภัณฑ์ทะเล

เซียะเหมินจะส่งเสริมแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ ของการเติบโตทางเศรษฐกิจทางทะเล เช่น การสร้างตัวเองเป็นศูนย์การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศตะวันออกเฉียงใต้ และปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบขนส่งทางเรือเดินทะเล

แผนดังกล่าวระบุว่าในปี 2565 เซี่ยเหมินจะจัดตั้งระบบอุตสาหกรรมทางทะเลที่ทันสมัย ​​โดยได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมทางทะเลที่เกิดขึ้นใหม่ การประมงสมัยใหม่ การขนส่งท่าเรือ และการท่องเที่ยวชายฝั่งระดับไฮเอนด์

รัฐบาลท้องถิ่นยังได้เพิ่มความพยายามในการปรับปรุงความสามารถในการวิจัยขั้นพื้นฐาน และสร้างกลุ่มสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทางทะเล โดยได้ออกมาตรการสนับสนุนมากมายเพื่อกระตุ้นพลังของนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

นอกจากนี้ยังคาดว่าจะสร้างสวนอุตสาหกรรมไฮเทคสำหรับอุตสาหกรรมทางทะเลในเซียะเหมินซึ่งจะผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมทางทะเลระดับไฮเอนด์

ด้วยการสนับสนุนจากความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง มูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมทางทะเลของเซียะเหมินจะสูงถึง 3 แสนล้านหยวนภายในปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะคิดเป็น 30% ของจีดีพีทั้งหมดของเมือง

ในฐานะเมืองท่าสำคัญของเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 เซียะเหมินจะพยายามดึงดูดผู้ประกอบการทางทะเลระดับโลกและเทคโนโลยีหลัก ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในเซียะเหมินไปต่างประเทศ และเปิดกว้างขึ้นเพื่อร่วมมือในเศรษฐกิจทางทะเล

เมืองนี้จะพัฒนาตนเองให้เป็นเมืองท่าระดับโลก เมืองท่องเที่ยวริมชายฝั่งระดับนานาชาติ ศูนย์แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางทะเลสำหรับประเทศและภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ตลอดจนแบบจำลองระดับโลกสำหรับการกำกับดูแลระบบนิเวศทางทะเล

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/2021126005477/en/

ติดต่อ:

Lorraine Yuan
lorraine@hehutech.cn 
13911130781

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย