Category Archives: Featured

JMT เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ รุ่นอายุ 3 ปี ดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี และรุ่นอายุ 3 ปี 6 เดือน ดอกเบี้ย 4.40% ต่อปี เสนอขายวันที่ 28 และ 31 สิงหาคม และ 1 กันยายน นี้

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–24 สิงหาคม 2563

imgบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน)  (“บริษัท” หรือ “JMT”) เสนอขายหุ้นกู้ อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี และรุ่นอายุ 3 ปี 6 เดือน ดอกเบี้ย 4.40% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 1 แสนบาทสำหรับผู้ลงทุนรายใหญ่ และทวีคูณครั้งละ 1 แสนบาท ผู้ที่สนใจสามารถจองซื้อได้ที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โดยจะเสนอขายหุ้นกู้วันที่ 28 และ 31 สิงหาคม และ 1 กันยายน 2563 นี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th

บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ โดยเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ “BBB” แนวโน้ม “Stable” โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563

สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ในการลงทุนเพิ่ม และ/หรือดำเนินการทั่วไปของบริษัท นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) กล่าว่า “บริษัทฯ มองว่าในช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่บริษัทฯ จะซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติม เราพร้อมเป็นพาร์ทเนอร์กับสถาบันการเงินทุกแห่ง ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถบริหารจัดการให้สามารถมีผลประกอบการได้ตามเป้าหมายได้ สามารถทำกำไรรายไตรมาสเป็นสถิติสูงสุด และมีกระแสเงินสดที่จัดเก็บจากลูกหนี้ที่เติบโตกว่าร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนของปีที่แล้ว”

JMT เป็นบริษัทในเครือ เจมาร์ท ซึ่ง JMT ดำเนินธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้สิน และ ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินมาบริหาร โดยปัจจุบันบริษัทมีกองหนี้ด้อยคุณภาพที่อยู่ภายใต้การบริหารมากกว่า 189,000 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้นำในการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพอันดับต้นของประเทศ ที่มีทิศทางผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ มามากกว่า 20 ปี โดยล่าสุด ในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 227 ล้านบาท หรือคิดเป็นการขยายตัวที่ 52% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 762 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการขยายตัวที่ 29% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า โดยบริษัทยังมีแผนเดินหน้าซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง จากการที่หนี้ด้อยคุณภาพในระบบยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น ยังไม่ได้ส่งผลกระทบในการจัดเก็บหนี้ของบริษัท โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 นั้น บริษัทมียอดจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) เท่ากับ 1,699 ล้านบาท หรือเท่ากับอัตราการขยายตัวที่ 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า

“สหพัฒน์” เปิดโครงการ “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ครั้งที่ 23 จัดติวฟรีออนไลน์รูปแบบใหม่ให้น้อง ม.ปลายก่อนเข้ามหาวิทยาลัย

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–24 สิงหาคม 2563

imgนางชัยลดา ตันติเวชกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทสหพัฒนพิบูลย์ จำกัด (มหาชน) และ นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย คุณนฤมล ชวเลขยางกูร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ฟร็อกดิจิตอล กรุ๊ป จำกัด เปิดโครงการ “สหพัฒน์แอดมิชชั่น” ครั้งที่ 23 ซึ่งเป็นครั้งแรกของการติวฟรีรูปแบบใหม่ Live Streaming Class ติวฟรีแบบใหม่ อยู่ไหนก็ติวได้” ผ่านระบบ Interactive Video Platform บนเว็บไซต์ Sahapat Admission ณ ลานอเนกประสงค์ เนชั่นทีวี เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั่วประเทศ ได้เตรียมความพร้อมก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเข้มข้นไปพร้อมกัน

#SahatpatAdmission23

#ติวฟรีแบบใหม่อยู่ไหนก็ติวได้

###

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร. 081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

สคฝ. เผยสถิติผู้ฝาก 6 เดือนแรก รวม 80 ล้านราย ย้ำมาตรการคุ้มครองเงินฝากมั่นคงสูง พร้อมเปิดศูนย์บริการให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก 1158 และช่องทางออนไลน์ ให้ข้อมูลการคุ้มครองแก่ประชาชน

Logo

imgกรุงเทพฯ 24 สิงหาคม 2563 – สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) หรือ DPA เสริมความมั่นใจการคุ้มครองเงินฝากในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน ย้ำมาตรการการคุ้มครองเงินฝากที่เป็นบัญชีเงินฝากสกุลเงินบาทภายในประเทศ ครอบคลุมบัญชีของผู้ฝากที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ในสถาบันการเงินภายใต้การคุ้มครองทั้ง 35 แห่ง ซึ่งหากสถาบันการเงินภายใต้การคุ้มครองถูกปิดกิจการ สคฝ. จะคืนเงินฝากภายใน 30 วัน โดยข้อมูลในช่วงครึ่งปี 2563 ระหว่างเดือน มกราคม ถึง มิถุนายน พบว่า ประเทศไทย มีจำนวนผู้ฝากในระบบสถาบันการเงินภายใต้ความคุ้มครองของ สคฝ. รวม 80.82 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.38 หรือราว 1.1 ล้านราย และจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง มีจำนวนทั้งสิ้น 14.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.12 เมื่อเทียบกับข้อมูล ณ สิ้นปี 2562 โดยกว่าร้อยละ 98 เป็นผู้ฝากรายย่อย
มีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลการคุ้มครองเงินฝากเพิ่มเติมได้ที่ www.dpa.or.th   ศูนย์บริการให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก โทร. 1158 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/dpathailand             

นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) หรือ DPA กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนทั่วทุกมุมโลก โดย สคฝ. มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองเงินฝากแก่ผู้ฝาก ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ฝากเงินเป็นสกุลเงินบาทกับสถาบันการเงินภายใต้กฎหมาย ว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากทั้ง 35 แห่ง ซึ่งจะคุ้มครองทันทีในลักษณะ 1 รายชื่อผู้ฝากต่อ 1 สถาบันการเงิน ในบัญชีเงินฝาก 5 ประเภท ได้แก่ 1. เงินฝากกระแสรายวัน 2. เงินฝากออมทรัพย์ 3. เงินฝากประจำ 4. บัตรเงินฝาก และ 5. ใบรับฝากเงิน อย่างไรก็ตาม ในกรณีสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองถูกเพิกถอนใบอนุญาต ผู้ฝากจะได้รับเงินฝากคืนภายใน 30 วัน ตามวงเงินที่กฎหมายกำหนด โดยปัจจุบันวงเงินคุ้มครองเงินฝากอยู่ที่ 5 ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินคุ้มครองดังกล่าว สามารถครอบคลุมการคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนของผู้ฝาก 80.51 ล้านราย หรือคิดเป็นร้อยละ 99.63 ของผู้ฝากทั้งระบบ สำหรับเงินฝากที่เกินวงเงินการคุ้มครอง ผู้ฝากมีโอกาสได้รับเงินฝากคืนเพิ่มเติม จากการชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการในภายหลัง                

จากข้อมูลสถิติการฝากเงินในสถาบันการเงิน ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเงินฝากย้อนหลัง 3 ปี พบแนวโน้มจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองของระบบสถาบันการเงินเป็นไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2560 – 2562 มีเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง จำนวน 12.54 ล้านล้านบาท 13.02 ล้านล้านบาท และ 13.56 ล้านล้านบาท ตามลำดับ และจากข้อมูลในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 ระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน พบว่า
ประเทศไทย มีจำนวนผู้ฝากในระบบสถาบันการเงินภายใต้ความคุ้มครองของ สคฝ. รวม 80.82 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 1.38 หรือราว 1.1 ล้านราย และมีจำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองมีจำนวนทั้งสิ้น 14.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.12 เมื่อเทียบกับข้อมูลเมื่อสิ้นปี 2562 โดยกว่าร้อยละ 98 เป็นผู้ฝากรายย่อยที่มีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท

จากข้อมูลพบว่า ปัจจุบันปริมาณเงินฝากมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ฝากเกือบทุกกลุ่ม โดยปริมาณเงินฝากเพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่ม “ผู้ฝากบุคคลธรรมดา” และ “ผู้ฝากภาคธุรกิจ องค์กรภาครัฐ และกองทุนต่าง ๆ” อีกทั้งมีการขยายตัวใน
ทุกระดับวงเงินฝาก โดยเกือบครึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินฝากในระดับเงินฝากวงเงินสูงกว่า 25 ล้านบาท อย่างไรก็ดี
จากปริมาณเงินฝากที่ขยายตัวในอัตราสูง เป็นผลมาจากความผันผวนในตลาดการเงิน ทำให้นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนมาเข้าเงินฝากมากขึ้นเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากเงินฝากมีความปลอดภัยสูง เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นในตลาดเงินที่ผลตอบแทนลดลง และยังมีแนวโน้มการออมเพื่อสำรองการใช้จ่ายในอนาคต

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลผลตอบแทนตามประเภทสินทรัพย์เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ระหว่าง 2553 – 2562 พบว่า ผลตอบแทนการฝากเงินประเภทออมทรัพย์อยู่ที่ร้อยละ 0.72 ประเภทฝากประจำ 1 ปีอยู่ที่ร้อยละ 1.88 ประเภทพันธบัตร 3 ปีอยู่ที่ร้อยละ 2.41 ทองคำอยู่ที่ร้อยละ 2.31 JUMBO25 (หุ้น) อยู่ที่ร้อยละ 10.01 ทั้งนี้ แม้ว่าการฝากเงินยังเป็นช่องทางที่มั่นคงและมีความปลอดภัยสูง แต่ผู้ฝากยังสามารถพิจารณาการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ตามความเหมาะสมและความต้องการของตนเอง โดยต้องพิจารณาและศึกษาการจัดสรรสินทรัพย์อย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัยในการบริหารการเงินอย่างยั่งยืน ขณะนี้ สคฝ. อยู่ระหว่างการศึกษาผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ เพื่อพิจารณาขยายการคุ้มครองในอนาคต นายทรงพล กล่าวทิ้งท้าย

 ประชาชนและองค์กรต่าง ๆ สามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝากได้ที่ www.dpa.or.th
ศูนย์บริหารให้ความรู้การคุ้มครองเงินฝาก โทร. 1158 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/dpathailand    

###

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชนติดต่อ

เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์ – JC&CO PUBLIC COMMUNICATIONS –

ชิดชนก ทองดี / +6698-494-9351 / chidchanokt@jcco.co.th  

ปัณณทัต กิตติพงศ์ยิ่งยง / 6662-445-9966 / pannatatk@jcpr.co.th

** MEDIA HOTLINE: 063-641-9549 (ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์) **

“แลคตาซอย” ชวนโพสต์ท่า สู้สู้ คู่กับกล่องเเลคตาซอย ครีเอทท่าเด็ดพร้อมข้อความให้กำลังใจลุ้นรับรางวัลใหญ่

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–24 สิงหาคม 2563

imgแลคตาซอย ชวนมาร่วมสนุกกับกิจกรรม “โชว์ท่า..เเลคตาซอย สู้ๆ เติมพลัง ในวันใหม่” ด้วยกติกาแสนง่าย เพียงโพสต์รูปโชว์ท่าสู้ๆ คู่กับกล่องเเลคตาซอย 300 มิลลิลิตร หรือ 500 มิลลิลิตร  พร้อมคำให้กำลังใจเพื่อนๆ ให้สู้ๆ ไปด้วยกัน นำมาโพสต์ลงเฟซบุ๊กของตนเองและตั้งค่าเป็นสาธารณะ ติด #Lactasoy #แลคตาซอย เเคปภาพมายืนยันการร่วมกิจกรรมที่ FB: Lactasoy https://www.facebook.com/lactasoyclub/ ระยะเวลาการร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 63 ถึง 24 ก.ย. 63 นี้เท่านั้น

ผู้โชคดีที่ร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัลใหญ่ ได้แก่ รางวัลที่ 1 iPad 10,900.- รางวัลที่ 2 หม้อทอดไร้น้ำมัน tefal 5,900.-  รางวัลที่ 3 เครื่องชงกาแฟแรงดัน mini mex 4,290.-  รางวัลที่ 4 เครื่องสกัดน้ำผักผลไม้ electrolux 3,200.-  ประกาศผลวันที่ 30 ก.ย. 63 ทาง FB: Lactasoy https://www.facebook.com/lactasoyclub/

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์  บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์  โทร. 081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

ความปกติใหม่ได้นำมาสู่ยุคใหม่ แต่เรายังสามารถเดินทางต่อไปได้: คือข้อความที่แข็งแกร่งในงานประชุมวิชาการออนไลน์ครบรอบ 53 ปีอาเซียนที่จัดโดย AJC

Logo

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–21 ส.ค. 2563

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ศูนย์อาเซียนญี่ปุ่น (AJC) ร่วมกับคณะกรรมการอาเซียนในโตเกียว (ACT) ซึ่งประกอบด้วยเอกอัครราชทูตอาเซียนไปยังประเทศญี่ปุ่น ได้จัดงานประชุมวิชาการออนไลน์ครบรอบ 53 ปีอาเซียนภายใต้แนวคิด “หลังจาก Covid-19 ก้าวสู่ความปกติใหม่” ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจากทั้งญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียน

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200821005186/en/

H.E. Dato Lim Jock Hoi, Secretary-General of ASEAN, delivered his keynote address (Photo: Business Wire)

H.E. Dato Lim Jock Hoi เลขาธิการอาเซียนกล่าวปาฐกถาพิเศษ (ภาพ: Business Wire)

H.E. Mr. Myint Thu เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ประจำญี่ปุ่นและประธาน ACT ได้เปิดการประชุมสัมมนา โดยทางเอกอัครราชทูต Myint Thu เรียกร้องให้อาเซียนและญี่ปุ่นจัดการกับความท้าทายใหม่ร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลและดำเนินมาตรการรับมือกับผลกระทบของการระบาดทั่วโลก

หลังจากกล่าวเปิดงาน H.E. Dato Lim Jock Hoi เลขาธิการอาเซียนได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ  Dato Lim ให้ความมั่นใจในความมุ่งมั่นของอาเซียนในการต่อสู้กับโรคระบาดผ่านการดำเนินการที่เด็ดขาดและรอบคอบ  ตัวอย่างที่ยกมา ได้แก่ การจัดตั้ง “กองทุนอาเซียนเพื่อตอบสนองต่อ COVID-19” และ “คลังเครื่องมือทางการแพทย์ประจำภูมิภาคอาเซียน”; และการใช้ “แผนปฏิบัติการฮานอยเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนและการเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทานเพื่อตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19”

Dato Lim ยังยอมรับว่าโลกหลังการแพร่ระบาดจะนำเสนอการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในรูปแบบของกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กับอาเซียน โดยอาจสามารถรับมือกับปัญหานี้ด้าน 5 มาตรการ: มาตรการแรก การตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นต่างๆ มาตรการที่สอง แนวโน้มต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล มาตรการที่สาม การมุ่งเน้นไปที่การค้าและการลงทุนภายในอาเซียน  มาตรการสี่ การมุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการแข่งขันในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุนและศูนย์กลางการค้าและการผลิต  และสุดท้ายคือการเสริมสร้างการใช้ประโยชน์จาก FTA ของอาเซียน

ในระหว่างการอภิปรายในช่วงหลังของการประชุมสัมมนาที่มีเครือข่ายการผลิตระหว่างประเทศ (IPN) เป็นประเด็นหลัก Dr. Fukunari Kimura ศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเคโอและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สถาบันวิจัยเศรษฐกิจอาเซียนและเอเชียตะวันออก (ERIA) ได้แบ่งปันมุมมองของเขาว่าเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกกำลังประสบกับการขาดอุปสงค์และอุปทานฉับพลัน ซึ่งจะตามมาด้วยอุปสงค์อย่างมากอีกครั้งด้วยเครือข่ายการผลิตที่ถูกปรับเปลี่ยนใหม่  ศาสตราจารย์ Kimura ยังได้นำเสนอกรอบนโยบายเบื้องต้นสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนในการก้าวเข้าสู่มาตรฐานใหม่โดยแบ่งออกเป็น (i) การตอบสนองฉุกเฉิน (ii) นโยบายการถอนตัวและ (iii) นโยบายสำหรับภาวะปกติใหม่

Dr. Seiya Sukegawa ศาสตราจารย์คณะรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยโคคุชิคังประเทศญี่ปุ่นได้ตอบสนองโดยเน้นย้ำถึงการสร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานขึ้นมาใหม่ผ่านห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่นและการจัดการเฉพาะกรณีแทนที่จะเป็นอุปทานที่แสวงหาประสิทธิภาพและการจัดการแบบทันเวลา  Dr. Maria Socorro G. Bautista ศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์กล่าวว่าอาเซียนในฐานะผู้สนับสนุนการค้าเสรีควรกำหนดแนวทางในการเพิ่มอุปสงค์โดยรวมและดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ภูมิภาคเนื่องจากดูเหมือนจะมีผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่พึงประสงค์แม้จะมีส่วนร่วมใน IPN  ทั้ง Kimura และ Bautista ไม่คิดว่าจะมีการปรับขนาดใหญ่

ในการกล่าวสรุปคุณ Masataka Fujita เลขาธิการ AJC ได้สะท้อนความรู้สึกของเอกอัครราชทูต Myint Thu ว่าถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับอาเซียนและญี่ปุ่นในการมองว่าการแพร่ระบาดครั้งนี้เป็นปัญหาร่วมกันและควรดำเนินกลยุทธ์ที่สร้างสรรค์และยืดหยุ่นร่วมกัน

AJC เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นโดยประเทศสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่นในปี 2524 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ตลอดจนการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและญี่ปุ่น  AJC จัดงาน ASEAN Anniversary Symposium ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อรำลึกถึงการก่อตั้งอาเซียนโดยนำผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของอาเซียนและภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นมารวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นปัจจุบันในอาเซียน

เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของศูนย์อาเซียน – ญี่ปุ่น: https://www.asean.or.jp/en/

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200821005186/en/

ติดต่อ:

Office of Secretary General, PR (ฝ่ายประชาสัมพันธ์สำนักงานเลขาธิการ)
Tomoko Miyauchi
ASEAN-Japan Center
โทร: +81-3-5402-8118
E-mail: toiawase_ga@asean.or.jp

“มาม่าคัพ Spicy Carbonara” รสชาติเผ็ดร้อน ถูกปากคนชอบความแซ่บ

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–21 สิงหาคม 2563

imgบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ส่งเมนูความแซ่บ “มาม่าคัพ Spicy Carbonara” อร่อยได้ทุกที่ Spicy กว่าเดิม เอาใจคนชอบรักเส้นด้วยเส้นที่หนานุ่มกว่าเดิม ผสานกับรสชาติคาโบนาร่าที่สไปซี่เข้มข้นขึ้นอย่างลงตัว สำหรับใครที่ชอบรสชาติจัดจ้านรับรองว่าถูกปากถูกใจ อดใจไม่ไหวอย่างแน่นอน รีบไปลิ้มลองความอร่อยกันได้แล้ววันนี้ที่ร้าน 7-11 ทุกสาขา ในราคา 15 บาท

###

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th

อุษณีย์ ถาวรกาญจน์ โทร.081 984 5500 Email: usanee@incom.co.th

การท่องเที่ยวฮ่องกง เตรียมนำเทศกาล Hong Kong Wine & Dine Festival สู่โลกออนไลน์

Logo

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–21 สิงหาคม 2563

ด้วยสถานการณ์ความไม่แน่นอนจากวิกฤติการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 การท่องเที่ยวฮ่องกงได้ประกาศเตรียมจัดงานใหญ่ประจำปีอย่างเทศกาล “Hong Kong Wine & Dine Festival” ในรูปแบบออนไลน์เป็นครั้งแรก

Hong Kong Wine & Dine Festival (Photo: Business Wire)

Hong Kong Wine & Dine Festival (รูปภาพ: Business Wire)

ดร.วาย เค แปง (Dr YK Pang) ประธานการท่องเที่ยวฮ่องกง กล่าวถึงการจัดงานรูปแบบใหม่ครั้งนี้ว่า “เทศกาล Hong Kong Wine & Dine ถือเป็นหนึ่งในอีเว้นท์ที่มีชื่อเสียงที่สุดสำหรับทั้งชาวฮ่องกงและนักท่องเที่ยวตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมานับตั้งแต่มีการจัดงานขึ้นเป็นครั้งแรก แม้ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปีนี้ เราก็หวังว่าผู้คนจะยังได้สัมผัสประสบการณ์ด้านวัฒนธรรมอาหารที่มีเอกลักษณ์ของฮ่องกง พร้อมกับช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของฮ่องกงท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทายเช่นนี้ การจัดงานในรูปแบบเทศกาลออนไลน์ในปีนี้จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดการด้านสาธารณสุขและความปลอดภัย”

ดร. แปง กล่าวเพิ่มเติมว่า “เทศกาล Hong Kong Wine & Dine ในรูปแบบออนไลน์นี้ จะยังคงบรรยากาศที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวาอันเป็นสเน่ห์ของงานนี้เอาไว้อย่างครบถ้วน ด้วยการมอบประสบการณ์การลิ้มรสอาหารและไวน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟนำเสนอโดยกูรูผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ด้วยรูปแบบงานเทศกาลออนไลน์ เราได้ขยายระยะเวลาของเทศกาลออกไป จากปกติ 4 วันเป็นหลายสัปดาห์ เพื่อให้ผู้คนสามารถร่วมงานได้จากทุกที่ทุกเวลามากยิ่งขึ้น”

เพื่อรักษากลิ่นอายและเอกลักษณ์แบบฉบับของเทศกาลให้ได้มากที่สุด การท่องเที่ยวฮ่องกงเลยสร้างพื้นที่ออนไลน์เพื่อเป็นศูนย์กลางรวบรวมโปรแกรมและกิจกรรมต่าง ๆ ของเทศกาลที่จะเกิดขึ้นเข้าไว้ด้วยกัน บริษัทผู้จัดจำหน่ายไวน์หลากหลายแบรนด์เตรียมมอบส่วนลดพิเศษ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่คัดสรรมาสำหรับเทศกาลนี้โดยเฉพาะ โดยผู้ร่วมงานสามารถเลือกดูและซื้อผลิตภัณฑ์ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ตามความสะดวก นอกจากนี้ จะมีการเชิญนักวิจารณ์อาหารและไวน์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ รวมถึงเชฟและผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ มาบรรยายแนะนำการจับคู่ไวน์กับเมนูอาหารชั้นเลิศในรูปแบบของกิจกรรมเวิร์กชอปและคลาสออนไลน์ด้วย

งานเทศกาล Hong Kong Wine & Dine Festival เริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2552 หลังจากฮ่องกงและเมืองบอร์กโดซ์ (Bordeaux) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือด้านธุรกิจที่เกี่ยวกับไวน์ร่วมกัน เทศกาลกลางแจ้งขนาดใหญ่นี้เลยกลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ในเวลาอันรวดเร็ว และได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน10เทศกาลอาหารและไวน์นานาชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกโดยนิตยสาร Forbes Traveler

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน “Hong Kong Wine & Dine Festival” สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์การท่องเที่ยวฮ่องกง DiscoverHongKong.com

-จบ –

สื่อมวลชนสามารถดาวน์โหลดรูปภาพ ได้จากลิงก์ด้านล่างนี้

หากสื่อมวลชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ

คุณวันดี เลิศสุพงศ์กิจ หรือคุณกมลพิชญ์ พรมบาง

ศูนย์ข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวฮ่องกงสำหรับสื่อมวลชน

แฟรนคอม เอเชีย

02 233 4329 ต่อ 17 หรือ pr@francomasia.com

CleverTap แต่งตั้ง Abhishek Gupta ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารลูกค้า

Logo

ผู้เชี่ยวชาญด้านบริการระบบซอฟต์แวร์ (SaaS) รายนี้จะเป็นหัวหอกในการมอบประสบการณ์เริ่มใช้งานที่ราบรื่นและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า

เมาน์เทนวิว, แคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–20 สิงหาคม 2563

CleverTap แพลตฟอร์มรักษาฐานผู้ใช้งานและบริหารวงจรลูกค้าด้วยเทคโนโลยี AI ชั้นนำ ประกาศแต่งตั้งคุณ Abhishek Gupta ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารลูกค้าในวันนี้ คุณ Gupta มาพร้อมประสบการณ์ด้านบริการระบบซอฟต์แวร์หรือ SaaS และการบริหารความสำเร็จของลูกค้าที่สะสมมากว่า 18 ปี และจะใช้ประสบการณ์นี้ต่อยอดความสำเร็จของ CleverTap ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันสร้างความผูกพันและรักษาฐานลูกค้าชั้นนำของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการตลาดบนมือถือที่มีการแข่งขันสูงต่อไป

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200820005124/en/

Abhishek Gupta, Chief Customer Officer, CleverTap (Photo: Business Wire)

Abhishek Gupta ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารลูกค้า CleverTap (รูปภาพ: Business Wire)

“ในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก การลงทุนเพื่อการเติบโตของทีมที่ดูแลเรื่องความสำเร็จของลูกค้าคือความสำคัญสูงสุด” คุณ Sunil Thomas ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอแห่ง CleverTap กล่าว “คุณ Abhishek มีประสบการณ์ที่กว้างขวางทางด้านการบริหารความสำเร็จของลูกค้า และมีผลงานที่เป็นประจักษ์ในการสร้างทีมและขั้นตอนการทำงานที่ช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สร้างมูลค่าสูงสุดจากการลงทุนใน SaaS พวกเราตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้เขามารวมงานที่ CleverTap และตัวผมเองก็ตั้งตารอที่จะได้เห็นเขามาต่อยอดความสำเร็จให้กับทีมบริหารความสำเร็จลูกค้าที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพของเรา”

คุณ Gupta เป็นผู้นำธุรกิจที่มากด้วยประสบการณ์และได้ร่วมบริหารธุรกิจ SaaS และอินเทอร์เน็ตที่ให้ความสำคัญกับความสำเร็จของลูกค้าและสร้างธุรกิจที่มีการเติบโตสูงมาแล้วมากมาย ก่อนหน้าที่จะเข้าร่วม CleverTap คุณ Gupta เคยนำทีมที่ดูแลงานด้านบริหารความสำเร็จของลูกค้าและการบริการเฉพาะทางที่ Asia for Sprinklr บริษัทชั้นนำด้านการบริหารประสบการณ์ลูกค้า ซึ่งเขาได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาพลิกโฉมงานด้านต่าง ๆ ทั้งการตลาด โฆษณา วิจัย และการดูแลและสร้างความผูกพันกับลูกค้าให้กับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงทั้งในระดับโลกและภูมิภาคหลายแห่ง ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทภายใต้เครือ Trilogy คุณ Gupta ยังเป็นผู้ขับเคลื่อนงานปฏิบัติการให้กับกลุ่มธุรกิจของบริษัทภายในองค์กรและที่เข้าซื้อมาทั้งในด้านแพลตฟอร์มพัฒนาแอปพลิเคชัน โซลูชันการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ และเครื่องมือเพื่อเพิ่มผลผลิต คุณ Gupta สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจาก IIM Bangalore และปริญญาตรีด้านเทคโนโลยีสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และวิศวกรรมศาสตร์จากสถาบัน IIT (BHU)

การแต่งตั้งคุณ Gupta เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ CleverTap หลังการระดมทุน Series C มูลค่า 35 ล้านดอลลาร์โดย Tiger Global Management และ Sequoia เสร็จสมบูรณ์

“ขณะที่ธุรกิจกำลังเดินหน้าไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทั่วโลก การสร้างสัมพันธภาพเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่าที่เคย” คุณ Abhishek Gupta ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารลูกค้าแห่ง CleverTap กล่าว “ในฐานะบริษัท เราให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์ให้กับลูกค้าของ CleverTap และช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จในโลกดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผมตื่นเต้นและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมกับ CleverTap เพื่อเสริมแกร่งและสร้าความสำเร็จให้กับวิธีการที่แบรนด์ระดับโลกใช้สร้างความผูกพันและรักษาฐานลูกค้าให้เกิดขึ้นเร็วขึ้น”

CleverTap ช่วยให้แบรนด์ที่โฟกัสด้านดิจิทัลสร้างมูลค่าจากแอปพลิเคชันมือถือของพวกเขาได้สูงสุด ด้วยการสร้างประสบการณ์เฉพาะให้กับลูกค้าโดยวิเคราะห์จากข้อมูลพฤติกรรมแบบเรียลไทม์และเทคนิคการจำแนกประเภทข้อมูล (Predictive Modeling) ทุกวัน นักการตลาดชั้นนำของโลกนำ CleverTap ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งเทคโนโลยีอาหาร การเงิน อีคอมเมิร์ซ สื่อ/ความบันเทิง การเดินทาง การจำหน่ายตั๋ว และการขนส่ง ปัจจุบัน กว่า 8,000 แอปพลิเคชันสำหรับมือถือของบริษัทเช่น Gojek, Disney+ Hotstar, Discovery Kids, Sony, Vodafone, Carousell และ Cleartrip ใช้ CleverTap ในการบริหารจัดการ ซึ่งช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบัน แพลตฟอร์มนี้สามารถเข้าถึงอุปกรณ์มือถือได้มากกว่าหนึ่งพันล้านเครื่อง

เกี่ยวกับ CleverTap

CleverTap คือแพลตฟอร์มสร้างความผูกพันและรักษาลูกค้าชั้นนำ ซึ่งช่วยให้แบรนด์ต่าง ๆ สร้างมูลค่าสูงสุดจากมูลค่าตลอดช่วงชีวิตของลูกค้าได้ แบรนด์ผู้บริโภคกว่า 8,000 แบรนด์จากทั่วโลก รวมถึง Gojek, Disney+ Hotstar, Discovery Kids, Sony, Vodafone, Carousell และ Cleartrip ต่างวางใจให้ CleverTap เป็นผู้ช่วยด้านการสร้างความผูกพันและการรักษาผู้ใช้งานเพื่อช่วยเพิ่มพูนรายได้ในระยะยาว CleverTap ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทร่วมลงทุนชั้นนำหลายรายทั้ง Sequoia, Tiger Global Management, Accel รวมถึง Recruit Holdings สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีสำนักงานอยู่ในทั้งอัมสเตอร์ดัม สิงคโปร์ ดูไบ และมุมไบ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ clevertap.com หรือติดตามเราได้ทาง LinkedIn และ Twitter

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200820005124/en/

ติดต่อ:

CleverTap
Charles Orlando
415-513-5756
press@clevertap.com

คนขับรถบรรทุกชาวจีนขับรถไกลหลายกิโลเมตรก่อนที่รถจะระเบิด ได้รับ FAW J7 จากการรอดชีวิตอย่างหวุดหวิด

Logo

ซินหมิน จีน–(BUSINESS WIRE)–20 ส.ค. 2563

สื่อจีนเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 รายงานเหตุระทึกที่เกิดขึ้นในเมือง Xinmin เมืองซินหมินในมณฑลเหลียวหนิงของจีน โดยมีรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ลุกไหม้พุ่งขับออกมาจากใกล้ปั๊มน้ำมัน  ตัวรถบรรทุกถูกไฟใหญ่กลืนไปเกือบทั้งหมดขณะที่เปลวไฟลุกโชนสูงกว่า 2 เมตรและดูเหมือนจะระเบิดได้ทุกเมื่อ  ไม่กี่นาทีต่อมารถบรรทุกได้ระเบิดที่ชานเมืองด้านนอกท่ามกลางควันไฟ

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้มีมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200819005798/en/

(Photo: Business Wire)

(รูปภาพ: บิสิเนสไวร์)

หลังเกิดอุบัติเหตุ Sun Gang คนขับรถบรรทุกที่เกือบเสียชีวิตยอมให้สัมภาษณ์ เขากล่าวว่าไฟไหม้รถบรรทุกเกิดจากความผิดพลาดของการซ่อมแซมและสภาพอากาศที่ร้อนจัดทำให้ไม่สามารถควบคุมไฟได้ เมื่อเห็นว่าใกล้จะระเบิดเขาจึงตัดสินใจเสี่ยงชีวิตท่ามกลางไฟที่ลุกโชนและคลื่นความร้อนและขับรถที่กำลังลุกไหม้ออกไปจากเมือง

เหตุการณ์นี้แพร่กระจายไปยังโลกโซเชียลและได้รับความสนใจจากสังคมอย่างมาก โดยมียอดการอ่านออนไลน์ทะลุ 100 ล้านครั้งและ Sun Gang ได้รับการยกย่องให้เป็น "ฮีโร่ร่วมสมัย"  อย่างไรก็ตามฮีโร่ที่จมดิ่งลงไปในวิกฤตชีวิตหลังเหตุการณ์เพราะรถบรรทุกที่ระเบิดเป็นทรัพย์สินที่แพงที่สุดในครอบครัวของเขา

ไม่กี่วันต่อมา Sun Gang ได้รับโทรศัพท์จากผู้ผลิตรถบรรทุก  เขาได้รับแจ้งว่าเขาจะได้รับของขวัญพิเศษจากผู้ผลิตรถบรรทุก FAW Jiefang ซึ่งเป็นรถแทรกเตอร์ FAW 550 แรงม้า J7 รุ่นล่าสุด

ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปของ FAW Jiefang และเลขาธิการคณะกรรมการพรรค Hu Hanjie ส่งมอบกุญแจรถใหม่ให้กับ Sun Gang

Sun Gang กล่าวว่า “ผมเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นกะทันหันผมไม่มีเวลาคิดเรื่องอะไรนอกจากขับรถออกไปตามสัญชาตญาณ ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็จะไม่ปล่อยให้คนอื่นเป็นอันตรายเช่นกัน”

FAW Jiefang เป็นแบรนด์รถบรรทุกที่พัฒนาโดยประเทศจีน มีผู้ใช้งาน 7 ล้านคนและครองอันดับ 1 ในแง่ของยอดขายของโลกสำหรับแบรนด์รถบรรทุกขนาดกลางและงานหนักในปี 2018 และ 2019 FAW.  Jiefang ยินดีที่จะ ช่วยเหลือผู้ขับขี่รถบรรทุกจำนวนมากขึ้นที่ประสบความยากลำบากในครอบครัวเนื่องจากโรคและภัยพิบัติเพื่อที่จะได้ออกเดินทางอีกครั้งในอนาคตทั่วโลกและปฏิบัติตามค่านิยมและความเชื่อด้านการกุศลของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง (Facebook@chinafawtruck)

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200819005798/en/

ติดต่อ:

FAWTRUCKS
Liu TianLi
marketing_cv@faw.com.cn

การรับชมเนื้อหาวิดีโอที่สตรีมออนไลน์ครองความเป็นผู้นำในการบริโภคสื่อและความบันเทิงในเอเชียแปซิฟิก จากรายงานดัชนีวิดีโอทั่วโลกของ Brightcove ไตรมาสที่สองของปี 2563

Logo

ยอดดูวิดีโอในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 40% และทีวีที่เชื่อมต่อออนไลน์เพิ่มขึ้น 160% ในขณะที่การบริโภคข่าวสารและเนื้อหาความบันเทิงเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในช่วงที่ COVID -19 ระบาด

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)– 19 ส.ค. 2563

Brightcove Inc. (NASDAQ: BCOV) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีวิดีโอชั้นนำของโลกได้เผยแพร่ดัชนี Brightcove Q2 2020 Global Video Index Entertainment and Media Edition ซึ่งพบว่าการสตรีมเนื้อหาความบันเทิงแบบ OTT ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะเริ่มคลายนโยบายการให้อยู่ที่บ้าน ข้อมูลนี้ได้แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการบริโภคสื่อของผู้บริโภคอาจเปลี่ยนไปจากการดูทีวีแบบเดิม ๆ อย่างถาวร ซึ่งการสตรีมกลายมาเป็นทางเลือกหลักสำหรับการรับชมความบันเทิง

ดัชนี Brightcove’s Q2 2020 Global Video Index ประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2563 ของ Brightcove วิเคราะห์จุดข้อมูลล่าสุดหลายแสนล้านจุดจากลูกค้าของ Brightcove ทั่วโลก เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกว่าผู้ชมรับชมเนื้อหาวิดีโออย่างไร ข้อมูลไตรมาสที่ 2 แสดงให้เห็นว่าการบริโภคข่าวและเนื้อหาบันเทิงเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า (40%) จากไตรมาสที่ 1 (23%) ซึ่งเป็นการค้นพบที่สำคัญโดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าโดยทั่วไปในไตรมาสที่ 2 มีการเติบโตของการรับชมวิดีโอที่ช้าลง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 เมื่อดูครึ่งแรกของปี 2563 เทียบกับปี 2562 จำนวนการรับชมโดยรวมเพิ่มขึ้นมากกว่า 30%.

“ตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะสูงถึง 31,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 และด้วยเทคโนโลยี 5G ที่กำลังมาถึง เราจะยังคงเห็นผู้บริโภคหันมาใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อสตรีมเนื้อหาวิดีโอต่อไป” Jim O’Neill หัวหน้านักวิเคราะห์ และผู้จัดทำ Brightcove’s Global Video Index กล่าว “ ยิ่งไปกว่านั้น  GSMA รายงานว่าจะมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือใหม่ 663 ล้านคนในเอเชียแปซิฟิกภายในปี 2568 ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2,000 ล้านคนในภูมิภาคนี้ เมื่อคำนึงถึงสถิตินี้ควบคู่ไปกับการมีเครือข่ายที่เร็วขึ้นและแบนด์วิดท์ที่มากขึ้น จะมีอัตราการใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ที่สูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง”

สิ่งที่ผู้บริโภคใช้ในการเข้าดูเนื้อหาก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ทีวีที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต (CTV) มีการเติบโตมากที่สุดในไตรมาสที่ 2 (160% เมื่อเทียบปีต่อปี) ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของหน้าจอทีวีที่ใหญ่ขึ้นในฐานะสื่อการรับชมสำหรับความบันเทิง

ข้อค้นพบที่น่าทึ่งอื่น ๆ จากดัชนี Brightcove Q2 2020 Global Video Index ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ :

  • สมาร์ทโฟนเป็นหน้าจอหลักสำหรับวิดีโอ  ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิคยังคงใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่เกือบทั้งหมดเป็นแบบสมาร์ทโฟนที่มีส่วนแบ่งการดูวิดีโออยู่ที่ 90% หรือเกือบ 90% เป็นระยะเวลาหลายไตรมาสแล้ว
     
  • สมาร์ทโฟนแบบที่ใช้ Android ยังคงครองตลาดอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มที่จะรับชมเนื้อหาบนสมาร์ทโฟน Android มากกว่าของ iPhone ถึง 8 เท่าซึ่ งเป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่ยังคงมีความสอดคล้องกันมาหลายไตรมาส
     
  • ผู้บริโภครับชมเนื้อหาที่มีรูปแบบยาวเป็นพิเศษบนอุปกรณ์มือถือมากขึ้นเรื่อย ๆเอเชียแปซิฟิกเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีอัตราการบริโภคที่เนื้อหาที่มีรูปแบบยาวเป็นพิเศษ (41 นาทีขึ้นไป) โดยเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 66%

“ ปี 2563 กลายเป็นช่วงเวลาแห่งวิวัฒนาการด้านวิดีโอ ส่วนการสตรีมเนื้อหาวิดีโอเพื่อความบันเทิงเป็นส่วนหนึ่งที่เราจะได้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง” Jeff Ray ซีอีโอของ Brightcove กล่าว “ วิกฤตในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อผู้คนในด้านอารมณ์และการเงิน ทำให้การเชื่อมต่อกับเพื่อนมนุษย์ผ่านเนื้อหาวิดีโอมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เราได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นจากการสมัครใช้บริการสตรีมมิ่งที่เพิ่มขึ้นซึ่งบ่งชี้ว่าอนาคตของการบริโภคความบันเทิงจะอยู่ที่อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อออนไลน์และอุปกรณ์เคลื่อนที่ การดูโทรทัศน์แบบเดิม ๆ ในไม่ช้าอาจกลายเป็นเพียงอดีต”

หากต้องการดาวน์โหลด Brightcove Q2 2020 Global Video Index Entertainment and Media Edition ฉบับสมบูรณ์รวมถึงข้อมูลทั้งหมดโปรดไปที่: https://www.brightcove.com/en/video-index

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อค้นพบของไตรมาสนี้ หรือ ติดตามการสัมมนาผ่านเว็บสุดพิเศษกับ Jim O’Neill ในวันที่ 15 กันยายน หรือ หากต้องการลงทะเบียนโปรดไปที่: https://get.brightcove.com/global-video-index-2020-q2/

เกี่ยวกับ the Global Video Index

ดัชนี Brightcove’s Global Video Index ประเมินจุดข้อมูลที่ไม่ระบุตัวตนมากกว่า 400,000 ล้านจุดจากลูกค้าหลายพันรายของ Brightcove ในแต่ละไตรมาส โดยดึงข้อมูลเชิงลึกของอุตสาหกรรมที่สามารถช่วยเป็นแนวทางในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์สำหรับธุรกิจทุกขนาด

เกี่ยวกับ Brightcove Inc. (NASDAQ: BCOV)

เราคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังแพลตฟอร์มเทคโนโลยีวิดีโอชั้นนำของโลก ด้วยเทคโนโลยีและบริการที่ได้รับรางวัลของเรา เราช่วยให้องค์กรต่างๆในกว่า 70 ประเทศพบบรรลุความท้าทายทางธุรกิจและสร้างโอกาสเชิงกลยุทธ์ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจให้ความบันเทิงและดึงดูดผู้ชมผ่านวิดีโอ

นับตั้งแต่ Brightcove ก่อตั้งขึ้นในปี 2004 เราได้ผลักดันขอบเขตอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างแพลตฟอร์มสำหรับผู้ที่จริงจังด้านวิดีโอ นั่นก็คือแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งปรับขนาดได้ และใช้งานง่าย Brightcove ซึ่งได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก การสนับสนุนลูกค้าที่ยอดเยี่ยม ระบบนิเวศของคู่ค้าที่กว้างขวางและการลงทุนอย่างไม่หยุดยั้งในด้านการวิจัยและพัฒนาวิดีโอ ได้กำหนดมาตรฐานระดับมืออาชีพสำหรับการจัดการวิดีโอ การเผยแพร่ และการสร้างรายได้ หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมโปรดไปที่ www.brightcove.com.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200818005473/en/

ติดต่อ:

Radha K Raman

ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด, ภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิค

Brightcove | +65 3163 5555

rraman@brightcove.com

Meredith Duhaime

ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายประชาสัมพันธ์

Brightcove | 603-785-8518

mduhaime@brightcove.com