All posts by Jasmine

APO Productivity Databook 2024 : แนวโน้มเศรษฐกิจและการคาดการณ์ถึงปี 2035

Logo

โตเกียว–(Business Wire)–23 ตุลาคม 2024

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO) เปิดตัว APO Productivity Databook 2024 ฉบับที่ 17 นำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลิตภาพตั้งแต่ปี 1970 ถึง 2022 พร้อมการคาดการณ์ถึงปี 2035 ครอบคลุมเศรษฐกิจเอเชีย 31 ประเทศ รวมถึงสมาชิก APO 21 ประเทศ และเศรษฐกิจอ้างอิงระดับโลกที่สำคัญ เช่น ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา

(Graphic: Business Wire)

(กราฟิก : Business Wire)

หนังสือข้อมูลนี้อ้างอิงจาก ฐานข้อมูลผลิตภาพของ APO ซึ่งบูรณาการ ฐานข้อมูล Asia QALI สำหรับปัจจัยแรงงานที่ปรับคุณภาพ และรวมข้อมูลทรัพยากรแร่และพลังงาน นับเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบาย ผู้นำธุรกิจ และนักวิจัยในการทำความเข้าใจภูมิทัศน์เศรษฐกิจของภูมิภาคและสนับสนุนการตัดสินใจที่อิงข้อมูล ด้วยวิธีการที่เข้มงวด หนังสือเล่มนี้ช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระบุโอกาสและความท้าทายสำหรับการวางแผนเศรษฐกิจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างน่าเชื่อถือ

จุดเด่นของ APO Productivity Databook 2024

  • บัญชีผลิตภาพโดยละเอียด : เปรียบเทียบสมาชิก APO กับเกณฑ์อ้างอิงระดับภูมิภาค แสดงบทบาทของทุน ปัจจัยแรงงาน และผลิตภาพปัจจัยรวม (TFP) ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • การฟื้นตัวในภาคส่วนสำคัญ : เศรษฐกิจสมาชิกอย่างไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และเวียดนาม แสดงความยืดหยุ่นท่ามกลางการหยุดชะงักจากโควิด-19
  • แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลิตภาพ : ระหว่างปี 1970 ถึง 2022 เอเชียประสบการเติบโตของผลิตภาพที่เปลี่ยนแปลงอย่างมาก นำโดยเศรษฐกิจอย่างสาธารณรัฐจีน (ROC) อินเดีย และญี่ปุ่น ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของ TFP ในช่วงเวลานี้
  • ผลการดำเนินงานรายภาคส่วน : สมาชิก APO บางประเทศแสดงการเติบโตที่แข็งแกร่งในภาคการผลิต ขณะที่ภาคเกษตรยังคงมีความสำคัญ โดยการเพิ่มผลิตภาพได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในทุนและเทคโนโลยีมากขึ้น

APO Productivity Databook 2024 มีให้บริการทั้งในรูปแบบดิจิทัลและสิ่งพิมพ์ สามารถเข้าถึงและดาวน์โหลดได้ฟรีจากลิงก์ด้านล่างนี้

https://doi.org/10.61145/SQVZ2821

APO Productivity Database 2024 เครื่องมือออนไลน์ที่ให้ข้อมูลผลิตภาพของ 31 ประเทศในเอเชียและเกณฑ์มาตรฐานจากกลุ่มเศรษฐกิจทั่วโลก ได้มีการอัปเดตและเข้าถึงได้จากลิงก์ด้านล่างนี้

https://www.apo-tokyo.org/productivitydatabook/

เกี่ยวกับ APO

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO) เป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคที่มุ่งมั่นปรับปรุงผลิตภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านความร่วมมือระหว่างกัน เป็นองค์กรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่แสวงหากำไร และไม่เลือกปฏิบัติ ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้ง 8 ประเทศ ปัจจุบัน APO ประกอบด้วยเศรษฐกิจสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ไทย ทูร์เคีย และเวียดนาม

APO กำลังกำหนดอนาคตของภูมิภาคโดยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสมาชิกผ่านบริการให้คำปรึกษานโยบายระดับชาติ ทำหน้าที่เป็นคลังสมอง ริเริ่มการเสริมสร้างศักยภาพองค์กร และการแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อเพิ่มผลิตภาพ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: 

https://www.businesswire.com/news/home/54137427/en

ข้อมูลติดต่อ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ :

หน่วยข้อมูลดิจิทัลของ APO : pr@apo-tokyo.org เว็บไซต์ : https://www.apo-tokyo.org

แหล่งที่มา : องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO)

รายงาน Technology Radar ของ Thoughtworks พบแนวโน้มของเครื่องมือที่ช่วยทำให้ LLM สำหรับการประยุกต์ใช้ AI ในทางปฏิบัติ เป็นเรื่องง่ายขึ้น

Logo

ชิคาโก–(BUSINESS WIRE)–23 ตุลาคม 2024

Thoughtworks (NASDAQ : TWKS) บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ผสานกลยุทธ์ การออกแบบ และวิศวกรรมเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ได้เผยแพร่ Technology Radar ฉบับที่ 31 ซึ่งเป็นรายงานรายครึ่งปี ที่กลั่นกรองจากการสังเกต บทสนทนา และประสบการณ์ของคนทำงานใน Thoughtworks ที่ทำหน้าที่แก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อนและท้าทายที่สุดให้กับลูกค้า

รายงานฉบับนี้เน้นย้ำถึงการแพร่หลาย (proliferation) ของเครื่องมือ แพลตฟอร์ม และเฟรมเวิร์ก Generative AI ต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสร้างซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบมากขึ้น เรารู้กันดีว่าการสามารถควบคุม 'หน้าต่างบริบท' (context window) หรือการใช้เอาต์พุตที่มีโครงสร้าง (structured output) สามารถลดความเสี่ยงต่าง ๆ จากการใช้ Generative AI ซึ่งสุดท้ายแล้ว สิ่งนี้จะช่วยให้องค์กรอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่จะสามารถใช้ประโยชน์จาก Generative AI ได้อย่างประสบความสำเร็จ

แม้ว่าภูมิทัศน์ที่ขยายตัวของเครื่องมือ Generative AI จะให้ประโยชน์มากมายแก่ผู้ปฏิบัติงาน แต่การจะสำรวจเครื่องมือเหล่านี้ทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก ก็เป็นเรื่องท้าทายเป็นอย่างมาก ดังนั้นในการพิจารณาว่าจะนำเครื่องมือใดมาใช้ Thoughtworks จึงแนะนำให้องค์กรพิจารณากรณีใช้งานที่ต้องการของตนเองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในแง่วัตถุประสงค์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือเหล่านี้จำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับแนวปฏิบัติทางวิศวกรรมที่เชื่อถือได้และได้รับการพิสูจน์แล้ว เพื่อช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะนำไปสู่การมีความน่าเชื่อถือและคุณภาพที่สูง

“แม้ว่า AI ช่วยสร้างและ LLM (โมเดลภาษาขนาดใหญ่) จะกินพื้นที่สนทนาส่วนใหญ่ใน Technology Radar ตามที่เราคาดไว้ แต่ความก้าวหน้าที่รวดเร็วของเครื่องมือ เทคนิค และเฟรมเวิร์กที่เกี่ยวข้องกับ AI จากวงแหวน Trial ไปสู่การใช้งานจริงหลายตัว ก็เป็นการพัฒนาการที่น่าจับตามองในการนำโซลูชัน AI ไปใช้ในระดับ Production” Rachel Laycock ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (Chief Technology Officer) ของ Thoughtworks กล่าว “ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ กำลังพบเครื่องมือ AI จำนวนมากมายที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่สำคัญคือต้องประเมินเครื่องมือเหล่านี้ตามแบบแผนดั้งเดิมของแนวปฏิบัติทางวิศวกรรมที่ดี เพื่อผลักดันการใช้ AI ที่ปลอดภัย โปร่งใส และเชื่อถือได้”

ประเด็นสำคัญในรายงาน Technology Radar ฉบับที่ 31 ประกอบด้วย :

  • รูปแบบการใช้งาน AI ที่ไม่พึงประสงค์ (AI usage antipatterns) : ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ แม้ว่า AI จะเป็นทรัพย์สินที่ทรงพลัง แต่สิ่งสำคัญคือต้องระวังหลุมพรางต่างๆ ในการใช้งาน เช่น การพึ่งพาและเชื่อถือ AI มากเกินไป ปัญหาคุณภาพของโค้ด และการขยายตัวของโค้ด มันสำคัญมากที่จะต้องรักษาการกำกับดูแลโดยมนุษย์และมีแนวปฏิบัติทางวิศวกรรมที่แข็งแกร่ง เพื่อให้แน่ใจว่า AI จะช่วยส่งเสริมแทนที่จะทำให้ความพยายามในการพัฒนาซอฟต์แวร์กลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น การมีแนวทางที่สมดุลจะทำให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพเต็มรูปแบบของ Generative AI ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงต่าง ๆ ได้
  • Rust ยังห่างไกลจากคำว่าขึ้นสนิม: ความนิยมของภาษาโปรแกรมนี้เห็นชัดผ่านการที่เครื่องมือและไลบรารีที่ใช้ Rust มีจำนวนเพิ่มขึ้นในหลากหลายระบบนิเวศ ความสามารถของ Rust ในการให้การประมวลผลที่ 'รวดเร็วดุจสายฟ้า' และลดการติดกับดักต่าง ๆ ทำให้ Rust เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ระบบนิเวศที่แข็งแกร่งและการมีชุมชนนักพัฒนายิ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Rust ในฐานะภาษาโปรแกรมระดับระบบชั้นนำ
  • การเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของ WebAssembly (WASM) : WASM เป็นรูปแบบไบนารีระดับต่ำ (a low-level binary format) สำหรับเครื่องเสมือนแบบใช้สแตก (stack-based virtual machine) ซึ่งมอบวิธีที่ทรงพลังในการรันแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนภายในเว็บเบราว์เซอร์ ด้วยการใช้เครื่องเสมือน JavaScript ที่มี WASM ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อน พกพาได้ และใช้งานข้ามแพลตฟอร์มได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องด้วยเทคโนโลยีนี้มีมาระยะหนึ่งแล้ว เรารู้สึกประหลาดใจที่มีการกล่าวถึงเทคโนโลยีนี้อยู่บ่อยครั้งในการพูดคุยในรายงานฉบับนี้ ซึ่งอาจเป็นการบ่งบอกว่า WASM พร้อมที่จะก้าวกระโดดและปลดล็อกความเป็นไปได้ใหม่ ๆ สำหรับนักพัฒนาและธุรกิจ
  • การเติบโตแบบก้าวกระโดดของระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับ AI : ขณะที่โมเดล AI ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ระบบนิเวศของเครื่องมือ แพลตฟอร์ม และเฟรมเวิร์กสนับสนุนได้มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากนักพัฒนาไม่สามารถปรับเปลี่ยนความสามารถหลักของ Generative AI โดยตรง นักพัฒนาจึงได้สร้างเครื่องมือมากมายเพื่อปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพโซลูชัน AI การพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็วนี้สะท้อนและคล้ายคลึงกับการเติบโตของระบบนิเวศ JavaScript ในปี 2015 ซึ่งบ่งบอกถึงศักยภาพของระบบนิเวศ AI ที่จะเติบโตก้าวหน้าไปยิ่งขึ้น

เยี่ยมชม www.thoughtworks.com/radar เพื่อดูรายงาน Technology Radar ในเวอร์ชันอินเทอร์แอคทีฟ หรือดาวน์โหลดเวอร์ชัน PDF

ทรัพยากรสนับสนุน :             

– ### – <TWKS915>

เกี่ยวกับ Thoughtworks

Thoughtworks เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ผสานกลยุทธ์ การออกแบบ และวิศวกรรมเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล เรามีพนักงาน กว่า 10,500 ราย ในสำนักงาน 48 แห่ง ใน 19 ประเทศ ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี เราได้ร่วมมือกับลูกค้าแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อนโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความโดดเด่นไม่เหมือนใคร

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
 
สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54137452/en

ข้อมูลติดต่อ

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อมวลชน :

Linda Horiuchi, global head of public relations
อีเมล : linda.horiuchi@thoughtworks.com
โทรศัพท์ : +1 (646) 581-2568

Michelle Surendran, head of public relations for Thoughtworks APAC and India
อีเมล : michels@thoughtworks.com

แหล่งที่มา : Thoughtworks

เมืองต้าหลี่ มณฑลยูนนาน นำเสนอความสำเร็จด้านนิเวศวิทยาในงานประชุมเอ๋อไห่ และได้รับการยอมรับระดับนานาชาติ

Logo

ต้าหลี่, จีน–(BUSINESS WIRE)–22 ตุลาคม 2024

งานประชุมเอ๋อไห่ ว่าด้วยการสร้างอารยธรรมเชิงนิเวศระดับโลก ประจำปี 2024 (2024 Erhai Forum on Global Ecological Civilization Construction) ภายใต้หัวข้อ “ร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” (Working Together to Promote Eco-Friendly Modernization) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ณ เมืองต้าหลี่ มณฑลยูนนาน (Dali, Yunnan) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ในฐานะเจ้าภาพ เมืองต้าหลี่ได้นำเสนอความคิดริเริ่มด้านอารยธรรมเชิงนิเวศ ดึงดูดผู้ร่วมงานเกือบ 300 ราย จากทั้งในและต่างประเทศ และได้รับความสนใจจากนานาชาติ

The beautiful autumn scenery in Shangguan town, Dali, Yunnan, China. (Photo: Business Wire)

ทัศนียภาพฤดูใบไม้ร่วงอันงดงามใน Shangguan เมืองต้าหลี่ มณฑลยูนนาน จีน (ภาพ : Business Wire)

งานประชุมปีนี้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับความร่วมมือข้ามพรมแดนและการดำเนินโครงการ โดยมุ่งที่จะขยายผลกระทบให้ครอบคลุมพื้นที่นอกเหนือจากเมืองต้าหลี่และภูมิภาคเอ๋อไห่

ที่สำคัญ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2024 งานประชุมได้จัดกิจกรรมคู่ขนานในยุโรปเป็นครั้งแรก โดยจัดขึ้นที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีการแบ่งปัน “ประสบการณ์เอ๋อไห่” ของจีนในระดับนานาชาติ ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกับแนวปฏิบัติการจัดการน้ำในทะเลสาบเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์ การแลกเปลี่ยนนี้ได้ช่วยเพิ่มพูนอิทธิพล ชื่อเสียง และการยอมรับในระดับโลกของงานประชุม

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมืองต้าหลี่ได้ดำเนินแนวคิดริเริ่ม “จีนงดงาม” (Beautiful China) อย่างแข็งขัน โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการที่แม่นยำในการปกป้องทะเลสาบเอ๋อไห่ ความพยายามเหล่านี้ได้สร้างรูปแบบการพัฒนาใหม่ที่การปกป้องสิ่งแวดล้อมและการเติบโตทางเศรษฐกิจดำเนินควบคู่กันไป บรรลุเป้าหมายคู่ขนานของทั้งความงดงามเชิงนิเวศและการพัฒนาที่ยั่งยืน

ภายในปี 2023 ปริมาณมลพิษที่ไหลลงทะเลสาบเอ๋อไห่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยแม่น้ำสายหลักทั้ง 27 สายที่ไหลสู่ทะเลสาบมีคุณภาพน้ำในเกณฑ์ดีเยี่ยมทั้งหมด

ในปีนี้ แนวคิดริเริ่ม “เอ๋อไห่ดิจิทัล” (Digital Erhai) ได้รับการคัดเลือกให้เป็นกรณีศึกษาต้นแบบสำหรับการพัฒนาดิจิทัลของจีน และ “โมเดลเอ๋อไห่ SF Express” (SF Express Erhai Model) กลายเป็นโครงการเดียวจากมณฑลยูนนานที่ได้รับการยอมรับเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาด้านการลดมลพิษและคาร์บอนแห่งแรก ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้แนวคิดริเริ่ม “เมืองปลอดขยะ” (Zero-Waste Cities) ของอนุสัญญาบาเซิล (Basel Convention)

ในเขต Jianchuan ทะเลสาบ Jianhu เป็นถิ่นอาศัยสำคัญของนกอพยพที่เดินทางตามแนวเทือกเขา Hengduan ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน ในขณะเดียวกัน ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ดอก Cibi ที่ใกล้สูญพันธุ์ก็กลับมาผลิบานอีกครั้ง ใกล้ทะเลสาบ Cibi ในเขต Eryuan

ในเมือง Yousuo ในเขต Eryuan ลูกกระจับสดที่เก็บเกี่ยวใหม่ ๆ กำลังถูกส่งไปยังเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกว่างโจว

ตามแนวระเบียงนิเวศเอ๋อไห่ ภูมิทัศน์ที่ได้รับการฟื้นฟูอย่างสวยงามได้ขับเคลื่อนการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศรอบทะเลสาบ นอกจากนี้ โครงการเกษตรเชิงนิเวศหลายโครงการกำลังก่อร่างสร้างตัว ขยายโอกาสการจ้างงานแก่คนในท้องถิ่นและส่งเสริมการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน

เมืองต้าหลี่มุ่งนำเสนอภูมิปัญญาและแนวทางแก้ปัญหาแบบจีนสู่ความพยายามระดับโลกในการสร้างอารยธรรมเชิงนิเวศ ผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศและการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จในการปกป้องทะเลสาบเอ๋อไห่

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54140376/en

ข้อมูลติดต่อ

Eason Zhou, evisionsinfo@gmail.com

แหล่งที่มา : สำนักงานสารสนเทศเมืองต้าหลี่

บริษัท Kolmar BNH บริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HemoHim ได้รับการจัดประเภทเป็น NAI จากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา

Logo

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–21 ตุลาคม 2024

‘HemoHim’ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันจากบริษัท Kolmar BNH (KRX : 200130) ได้รับการรับรองระดับสากลในด้านคุณภาพ จากทั้งองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (US FDA) และคณะกรรมาธิการควบคุมดูแลผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพของออสเตรเลีย (Therapeutic Goods Administration : TGA) ซึ่งช่วยเสริมความน่าเชื่อถือในตลาดโลก

HemoHIM G, manufactured by Kolmar BNH and distributed by Atomy (Image: Kolmar BNH)

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HemoHIM G ผลิตโดย Kolmar BNH และจัดจำหน่ายโดย Atomy (ภาพ : Kolmar BNH)

Kolmar BNH ประกาศว่า โรงงานเซจง (Sejong plant) ของตนได้รับการจัดประเภทเป็น NAI หรือ ‘ไม่มีข้อบ่งชี้ให้ดำเนินการใด ๆ’ (No Action Indicated) หลังการตรวจสอบโดยองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายน การจัดประเภทดังกล่าว ซึ่งเป็นการยืนยันว่า โรงงานตนเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตที่เป็นปัจจุบัน (Current Good Manufacturing Practice : cGMP) ในแง่การควบคุมคุณภาพ อย่างสมบูรณ์ ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ Kolmar BNH ในฐานะผู้ผลิตและผู้พัฒนาต้นทาง (Original Development Manufacturer : ODM) ชั้นนำระดับสากล ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ

การตรวจสอบโดย US FDA ดำเนินการเพื่อประเมินความสามารถในการจัดการคุณภาพของ Kolmar BNH โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อตอบสนองต่อการขยายการส่งออกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HemoHim ไปยังสหรัฐอเมริกา การจัดประเภทเป็น NAI สะท้อนการประเมินที่ครอบคลุมปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงกระบวนการผลิต มาตรฐานด้านอนามัย ขั้นตอนการควบคุมคุณภาพ และการฝึกอบรมพนักงาน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรูปของเหลวที่มีความเป็นกรดต่ำ (low-acid liquid dietary supplement) HemoHim ได้ผ่านการทดสอบที่ครอบคลุมแง่มุมต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการประเมินการจัดการคุณภาพวัตถุดิบ ระดับ pH และความเสถียร และได้คะแนนเต็มในเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้

คุณภาพของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HemoHim ได้รับการรับรองในออสเตรเลียแล้วก่อนหน้านี้ โดยในปี 2021 TGA รับรองว่า โรงงานเซจงเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิต (Good Manufacturing Practice : GMP) TGA ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการกำกับดูแลเภสัชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) ในออสเตรเลีย ได้ออกใบรับรอง GMP โดยอิงจากการประเมินที่ครอบคลุมด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และความเหมาะสมของกระบวนการผลิต นอกจากนี้ ภายใต้ข้อตกลงยอมรับร่วม (Mutual Recognition Arrangement : MRA) ระหว่างออสเตรเลียและยุโรป ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก TGA จะได้รับประโยชน์จากขั้นตอนการส่งออกที่คล่องตัวกว่า ภายในยุโรป

Kolmar BNH ได้ดำเนินการตามระเบียบวิธีการปฏิบัติงานมาตรฐาน (Standard Operating Procedure : SOP) ที่โรงงานเซจง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง GMP สากลสำหรับการผลิตและการควบคุมคุณภาพเภสัชภัณฑ์ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน GMP ของ TGA ออสเตรเลีย บริษัทได้นำระบบตรวจสอบการผลิตแบบเรียลไทม์ (real-time production monitoring system) มาใช้ และดำเนินการทดสอบคุณภาพที่เข้มข้นกว่ามาตรฐานที่ใช้ในการควบคุมของเกาหลีเป็นอย่างมาก เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ปราศจากข้อบกพร่อง ด้วยความพยายามต่าง ๆ เหล่านี้ประกอบกัน บริษัทจึงได้รับการรับรองว่ามีคุณภาพของเภสัชภัณฑ์ที่เชื่อถือได้

จากความสำเร็จจากการได้รับการรับรองจาก FDA และ TGA นั้น Kolmar BNH วางแผนที่จะเร่งการขยายตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HemoHim ในตลาดโลก ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HemoHim ซึ่งเปิดตัวในปี 2006 เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันรายแรกของเกาหลีที่ได้รับการอนุมัติเป็นการเฉพาะผลิตภัณฑ์ ทำจากส่วนผสมธรรมชาติต่าง ๆ ของเกาหลี เช่น Angelica gigas, Cnidium officinale และ Paeonia japonica และจัดจำหน่ายโดย Atomy ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรหลักของ Kolmar BNH ปัจจุบันผลิตภัณฑ์นี้ส่งออกไปยังประมาณ 20 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกาและจีน นับตั้งแต่เปิดตัว ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HemoHim มียอดขายสะสมกว่า 2 ล้านล้านวอน จากทั้งในและต่างประเทศ และมียอดการส่งออกสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ที่กว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงรักษาตำแหน่งผลิตภัณฑ์ขายดีอันดับหนึ่งในหมวดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันในเกาหลีนานกว่าสิบปี

เจ้าหน้าที่จาก Kolmar BNH กล่าวว่า “การตรวจสอบขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาเป็นมาตรฐานสำคัญในการรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ด้วยกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดและเป็นระบบ การที่เราได้รับจัดประเภทเป็น ‘ไม่มีข้อบ่งชี้ให้ดำเนินการใด ๆ’ (NAI) นั้น นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญสำหรับ Kolmar BNH เนื่องจากเป็นการยืนยันคุณภาพผลิตภัณฑ์ของเราในเวทีโลก เรามุ่งมั่นที่จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกผ่านการพัฒนานวัตกรรมด้านคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับขอรับการรับรองมาตรฐานระดับสากลเพิ่มเติม โดยมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร HemoHim เป็นกำลังสำคัญของความพยายามในครั้งนี้”

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54138541/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Kolmar Holdings
Jang Woo Lee
jay.lee@kolmar.co.kr

แหล่งที่มา : Kolmar BNH Co., Ltd.

แก้ไขและแทนที่: Kioxia สาธิต SSD ที่รองรับ Flexible Data Placement พร้อมฐานข้อมูล RocksDB ในงาน OCP Global Summit 2024

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–18 ตุลาคม 2024

บริษัท Kioxia Corporation ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ เตรียมจัดแสดงและสาธิตประสิทธิภาพของ SSD รุ่น KIOXIA XD Series ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Flexible Data Placement (FDP) ซึ่งรองรับฐานข้อมูล RocksDB ในงาน OCP Global Summit 2024 ระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2024 ณ เมืองซานโฮเซ่ สหรัฐอเมริกา ฐานข้อมูล RocksDB โดดเด่นด้วยความสามารถในการค้นหาข้อมูลปริมาณมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและจัดการข้อมูลประวัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในแอปพลิเคชัน AI ช่วยสร้าง (generative AI) และแอปพลิเคชันบนคลาวด์ ฟังก์ชัน FDP ซึ่งถูกกำหนดในข้อเสนอทางเทคนิคของ NVM Express™ TP4146 ช่วยให้สามารถควบคุมการจัดวางข้อมูลภายใน SSD ได้อย่างยืดหยุ่น การจัดการตำแหน่งข้อมูลใน SSD อย่างเหมาะสม โดยปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์โฮสต์และไดรเวอร์อุปกรณ์เพียงเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้อย่างมีนัยสำคัญ

SSD ทำงานตามคำสั่งจากซอฟต์แวร์โฮสต์และไดรเวอร์อุปกรณ์ในการจัดเก็บและลบข้อมูล เมื่อกระบวนการนี้เกิดซ้ำ ๆ อาจเกิดการจัดสรรข้อมูลใหม่ภายใน SSD ซึ่งอาจส่งผลให้ความเร็วในการเข้าถึงลดลงและสิ้นเปลืองรอบการเขียนข้อมูลของหน่วยความจำแฟลชโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะเมื่อการจัดสรรข้อมูลเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การใช้ FDP ช่วยลดปัญหาการจัดสรรข้อมูลใหม่ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้อย่างเต็มที่

การสาธิตในงาน OCP Global Summit จะแสดงให้เห็นถึงการทำงานของฟังก์ชัน FDP ใน SSD สำหรับศูนย์ข้อมูล KIOXIA XD Series NVMe™ พร้อมปลั๊กอินที่พัฒนาโดย Kioxia เพื่อรองรับความสามารถของ FDP ซึ่งได้รับการทดสอบร่วมกับ RocksDB ผลการทดสอบและประเมินอย่างละเอียดพบว่า ระบบที่ใช้ FDP ช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของแอปพลิเคชัน RocksDB ได้ประมาณสามเท่า และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ประมาณ 1.8 เท่า เมื่อเทียบกับระบบแบบดั้งเดิมที่ใช้ SSD ทั่วไปและระบบไฟล์มาตรฐาน1

ผลลัพธ์เหล่านี้จะถูกนำเสนอผ่านการสาธิตแบบสดที่บูธของ Kioxia (A7) ในงาน OCP Global Summit นอกจากนี้ Kioxia ยังมีแผนที่จะเผยแพร่ปลั๊กอินที่รองรับ RocksDB FDP ในรูปแบบโอเพนซอร์ส Kioxia ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและแบ่งปันเทคโนโลยีเพื่อการใช้งาน SSD และหน่วยความจำแฟลชอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลขั้นสูงและศูนย์ข้อมูลในอนาคต

หมายเหตุ :

1 อ้างอิงจากผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการของ Kioxia ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2024

NVM Express และ NVMe เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนของ NVM Express, Inc. ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ

เครื่องหมาย OCP และ Open Compute Project เป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิ Open Compute Project และใช้โดยได้รับอนุญาต

ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่น ๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทอื่น ๆ

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia เป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจำ มุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายหน่วยความจำแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายน 2017 Toshiba Memory ซึ่งเป็นบริษัทต้นกำเนิดของ Kioxia ได้แยกตัวออกจาก Toshiba Corporation ผู้คิดค้นหน่วยความจำแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจำ” โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่ให้ทางเลือกแก่ลูกค้าและสร้างคุณค่าจากหน่วยความจำให้แก่สังคม เทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช 3D อันเป็นนวัตกรรมของ Kioxia อย่าง BiCS FLASH™ กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันที่ต้องการความจุสูง เช่น สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล SSD ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล

*ข้อมูลในเอกสารนี้ ซึ่งรวมถึงราคาผลิตภัณฑ์และข้อมูลจำเพาะ เนื้อหาของบริการ และข้อมูลการติดต่อ ถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

สำหรับคำถามจากสื่อ :

บริษัท Kioxia Corporation

แผนกวางแผนกลยุทธ์การขาย

Satoshi Shindo

โทร : +81-3-6478-2404

แหล่งที่มา : บริษัท Kioxia Corporation

Veea ร่วมมือกับ ICT มอบการเชื่อมต่อไร้สายขั้นสูงและการติดตามทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงเพื่อพลิกโฉมการดำเนินงานเหมืองแร่

Logo

การติดตั้งระบบไร้สายใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพย์สิน ความปลอดภัยของพนักงาน และการติดตามสภาพแวดล้อมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ห่างไกล

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–17 ตุลาคม 2024

Veea (NASDAQ : VEEA) ผู้นำรายแรกในตลาดด้านเครือข่ายมัลติแอคเซสที่รวมการทำงานหลายส่วนเข้าด้วยกันพร้อมการรักษาความปลอดภัยด้วย AI ได้ประกาศความร่วมมือกับ Inti Cakrawala Teknologi (ICT) ผู้ให้บริการโซลูชั่นการเชื่อมต่อดิจิทัลยุคใหม่ เพื่อนำเสนอการเชื่อมต่อขั้นสูงและการติดตามทรัพย์สินให้กับลูกค้าของ ICT ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และพลังงานในอินโดนีเซียและทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การติดตั้งครั้งแรกมีกำหนดเริ่มขึ้นในวันที่ 20 ตุลาคม 2024

ICT ให้บริการแก่เหมืองขนาดใหญ่หลายแห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งการเชื่อมต่อเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากระยะทางอันยาวไกลระหว่างเหมืองและคลังเก็บสินค้า ทำให้การจัดการทรัพย์สิน การรักษาความปลอดภัย และการดูแลความปลอดภัยของพนักงานแบบเรียลไทม์เป็นเรื่องยาก หากไม่มีโซลูชั่นไร้สายที่ทันสมัย

“คุณสมบัติที่น่าประทับใจของ Veea hub คือไม่เพียงแค่แก้ปัญหาการเชื่อมต่อ แต่ยังมาพร้อมกับเกตเวย์ IoT หลายตัวที่สนับสนุนการประมวลผลที่ขอบเครือข่าย (Edge Computing) Wi-Fi การเชื่อมต่อแบบ IoT meshing และการเชื่อมต่อกับคลาวด์ได้” Wiwit Ongko ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของ ICT กล่าว “เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ Veea ในการติดตั้งครั้งนี้และสำรวจความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีนี้สามารถนำเสนอในอนาคต”

โซลูชั่นเครือข่ายขอบแบบรวมหลายส่วนของ Veea มอบโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อและ IoT ที่ครอบคลุม ซึ่งช่วยให้บริษัทเหมืองแร่ในภูมิภาคนี้สามารถแก้ไขความท้าทายในการดำเนินงานในพื้นที่ห่างไกลได้ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามทรัพย์สิน เพิ่มความปลอดภัย และลดต้นทุนการดำเนินงาน โซลูชั่นร่วมระหว่าง Veea และ ICT ไม่เพียงตอบสนองความต้องการเร่งด่วนของบริษัทเหมืองแร่ในปัจจุบัน แต่ยังช่วยให้พวกเขาพร้อมรับการพัฒนาเทคโนโลยีเหมืองแร่ในอนาคต

ICT และ Veea ได้พัฒนาและจะดำเนินการติดตั้งดังต่อไปนี้ :

  • Wi-Fi แบบสองทิศทาง (Bi-Directional Wi-Fi) : มีการติดตั้งระบบเชื่อมต่อไร้สายที่มีความเสถียร ตั้งแต่ทางเข้าของเหมืองตามเส้นทางถนนไปยังพื้นที่จัดเก็บสินค้า เพื่อให้การสื่อสารไม่มีสะดุด
  • เกตเวย์ IoT และเซ็นเซอร์ LoRaWAN : Veea hub แบบมัลติฟังก์ชันที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ LoRaWAN เพื่อใช้ในการติดตามและตรวจสอบสถานีอากาศ การเคลื่อนที่ของพื้นดิน และระดับฝุ่น PM2.5
  • การประมวลผลที่ขอบเครือข่าย : โซลูชั่นของ Veea ช่วยให้สามารถประมวลผลข้อมูลและตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ที่ขอบเครือข่าย ลดความล่าช้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
  • การเชื่อมต่อแบบ IoT Meshing และการเชื่อมต่อกับคลาวด์ : ด้วยการเชื่อมต่อแบบ IoT Meshing Veea hub ได้สร้างเครือข่ายที่มีความแข็งแกร่ง สามารถขยายการเชื่อมต่อได้ทั่วพื้นที่เหมือง และยังเชื่อมต่อกับคลาวด์ได้อย่างราบรื่น เพื่อการเก็บข้อมูลระยะยาวและการวิเคราะห์

“ผลิตภัณฑ์ VeeaHub ของเรา ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีไร้สายขั้นสูงและความสามารถในการรันแอปพลิเคชันในท้องถิ่นที่ขอบเครือข่าย ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาช่องว่างด้านการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกลด้วยต้นทุนที่คุ้มค่า โดยไม่จำเป็นต้องใช้การเชื่อมต่อดาวเทียมที่มีค่าใช้จ่ายสูง พร้อมมอบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการดำเนินงานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมเหมืองแร่” Allen Salmasi ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Veea กล่าว “ด้วยการสื่อสารและการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เรามุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการเหมืองแร่ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายที่สุด พร้อมทั้งเพิ่มความปลอดภัยและการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมด้วย Edge AI”

เกี่ยวกับ Veea

Veea® ทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานที่ขอบเครือข่ายง่ายขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น Veea ได้รวมการประมวลผลแบบหลายผู้เช่า การสื่อสารแบบมัลติแอคเซสหลายโปรโตคอล การจัดเก็บข้อมูลที่ขอบเครือข่าย และโซลูชั่นด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ไว้ในผลิตภัณฑ์ที่บริหารจัดการทั้งบนคลาวด์และที่ขอบเครือข่ายแบบครบวงจร ผลิตภัณฑ์ Multiaccess Edge Computing (MEC) ของ Veea ซึ่งพัฒนาขึ้นตั้งแต่ต้นในรูปแบบขนาดกะทัดรัด ได้นำฟังก์ชันการทำงานที่โดยปกติจะได้รับจากการรวมกันของเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่าย (Network Attached Storage หรือ NAS) เราท์เตอร์ ไฟร์วอลล์ จุดเชื่อมต่อ Wi-Fi (Access Points หรือ AP) เกตเวย์ IoT การเข้าถึงไร้สาย 4G หรือ 5G และการประมวลผลบนคลาวด์ (Cloud Computing หรือ CC) มารวมไว้ในผลิตภัณฑ์เดียวกันที่มีการบูรณาการระบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบต่าง ๆ ซึ่ง IT/OT จะต้องดูแลรักษา เมื่อเปรียบเทียบกับโซลูชั่นแบบเดิมแล้ว Veea Edge Platform ให้ประสิทธิภาพในการตอบสนองแอปพลิเคชันที่สูงขึ้น เพิ่มความปลอดภัยด้านไซเบอร์ ปกป้องข้อมูล และสร้างการรับรู้ตามบริบท รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งข้อมูลและค่าใช้จ่ายรวมของการเป็นเจ้าของ ทั้งยังติดตั้ง ใช้งาน ตรวจสอบ และบำรุงรักษาเครือข่ายขอบได้อย่างง่ายดาย ผลิตภัณฑ์ VeeaHub ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่รันระบบ Linux ซึ่งมีสภาพแวดล้อมซอฟต์แวร์ที่จำลองแบบเสมือนอย่างครบถ้วนสำหรับแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบคลาวด์โดยใช้คอนเทนเนอร์ Docker™ ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูง โดยมีการแยกข้อมูลผู้ใช้และแอปพลิเคชันออกจากกันอย่างเข้มงวด รวมถึงมีการสร้างเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software Defined Networking หรือ SDN) และการจำลองฟังก์ชันของเครือข่าย (Network Function Virtualization หรือ NFV) ที่ครอบคลุมความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อส่งมอบเครือข่ายแบบมัลติฟังก์ชันผ่านเครือข่ายเชื่อมต่อและประมวลผล โซลูชั่นครบวงจรที่ติดตั้งได้ง่ายนี้มีการจัดการอุปกรณ์ แอปพลิเคชัน และบริการเสริมต่าง ๆ จากคลาวด์ได้อย่างครบวงจร พร้อมการเข้าถึงเครือข่ายแบบ Zero Trust Network Access (ZTNA) และบริการ Secure Access Service Edge (SASE) ที่ใช้ 5G ซึ่งติดตั้งได้อย่างง่ายดายและเป็นตัวเลือก Veea Edge Platform รองรับการเชื่อมต่อโดยตรงจากเครือข่ายไฟเบอร์ออปติก เครือข่ายเซลลูลาร์ และดาวเทียมสู่เครือข่ายท้องถิ่นที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเครือข่าย VeeaHub ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi และอุปกรณ์ IoT ในลักษณะเดียวกับการจัดการเครือข่ายเซลลูลาร์ ซึ่งเป็นความสามารถที่ได้รับการจดสิทธิบัตรภายใต้ชื่อการแบ่งเครือข่าย (Network Slicing) นอกจากนี้ Veea Developer Portal และเครื่องมือพัฒนายังช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ขอบเครือข่ายเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมความสามารถในการรองรับ Edge AI เป็นทางเลือกเสริม Veea ได้พัฒนาโซลูชั่นที่คุ้มค่าหลากหลายสำหรับข้อเสนอ B2B และ B2B2C ผ่านผู้ให้บริการ ผู้จัดจำหน่ายพันธมิตร ระบบอินทิเกรเตอร์ พันธมิตรด้านองค์กร และหน่วยงานรัฐบาล สำหรับการใช้งานด้านการค้าปลีกอัจฉริยะ การก่อสร้างอัจฉริยะ โลจิสติกส์และคลังสินค้าอัจฉริยะ การเกษตรอัจฉริยะ อาคารอัจฉริยะ โรงเรียนอัจฉริยะ โรงพยาบาลอัจฉริยะ พิพิธภัณฑ์อัจฉริยะ ไปจนถึงเมืองอัจฉริยะ Veea ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก โดยมีประวัติอันยาวนานในด้านนวัตกรรมเครือข่ายขั้นสูง เทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบไร้สายและการประมวลผล รวมถึงมีสิทธิบัตรที่ได้รับการอนุมัติกว่า 103 รายการ และกำลังรอการอนุมัติอีก 33 รายการในเทคโนโลยีหลักด้านการประมวลผลขอบแบบมัลติฟังก์ชัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม veea.com และติดตามเราทาง X และ LinkedIn

เกี่ยวกับ ICT

Inti Cakrawala Teknologi ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 และเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลล้ำสมัยมาใช้ ด้วยความมุ่งมั่นของผู้ก่อตั้งและความเป็นมืออาชีพที่สั่งสมมากว่าสองทศวรรษ Inti Cakrawala Teknologi สามารถนำเสนอเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยมอบความร่วมมือทางธุรกิจระยะยาว Inti Cakrawala Teknologi มุ่งมั่นที่จะให้บริการและช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและแข่งขันได้มากขึ้น ผ่านการบริการหลังการขายที่มีคุณภาพสูงครบวงจร Inti Cakrawala Teknologi ประกอบด้วยทีมงานสนับสนุนด้านเทคนิคที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญสูง พร้อมด้วยทีมงานขาย การตลาด และฝ่ายธุรการที่มุ่งมั่นในการมอบโซลูชั่นที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ Inti Cakrawala Teknologi ได้ร่วมมือกับผู้จำหน่ายเทคโนโลยีดิจิทัลชั้นนำของโลก

แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลาง โดยทั่วไปแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตเหล่านี้จะถูกระบุด้วยคำว่า “เชื่อว่า” “คาดการณ์” “คาดว่า” “ประเมิน” “ตั้งใจ” “กลยุทธ์” “อนาคต” “โอกาส” “แผน” “อาจจะ” “ควรจะ” “จะ” “จะเป็น” “จะดำเนินต่อไป” “จะส่งผลให้” และการแสดงออกที่คล้ายกัน

ตัวอย่างของแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้รวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียง แถลงการณ์เกี่ยวกับการติดตั้งเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นของบริษัทในความร่วมมือกับ ICT และวันเริ่มต้นที่คาดหวัง แถลงการณ์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับสมมติฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะระบุไว้หรือไม่ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ และจากความคาดหวังในปัจจุบันของผู้บริหารของ Veea และ ICT ซึ่งไม่ได้เป็นการทำนายประสิทธิภาพที่แท้จริง แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตเหล่านี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการอธิบายเท่านั้น และไม่ควรใช้เป็นหลักประกัน คำมั่น หรือการทำนายผลลัพธ์ในอนาคตที่แท้จริง หากความเสี่ยงใด ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น หรือสมมติฐานของฝ่ายต่าง ๆ ผิดพลาด ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากจากที่แถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในอนาคตบ่งชี้ มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เหตุการณ์ในอนาคตแตกต่างอย่างมากจากที่ระบุไว้ในแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ในข่าวประชาสัมพันธ์นี้ อาจมีความเสี่ยงเพิ่มเติมที่ Veea หรือ ICT ไม่ทราบในปัจจุบันหรือที่ Veea และ ICT เชื่อว่าไม่มีนัยสำคัญ แต่สามารถทำให้ผลลัพธ์จริงแตกต่างจากที่ระบุไว้ในแถลงการณ์เชิงคาดการณ์ แถลงการณ์เชิงคาดการณ์กล่าวถึงสถานะ ณ วันที่ที่มีการจัดทำเท่านั้น ผู้อ่านควรระมัดระวังไม่ให้เชื่อถือแถลงการณ์เชิงคาดการณ์เหล่านี้เกินไป Veea และ ICT ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปรับปรุงหรือแก้ไขแถลงการณ์เชิงคาดการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นผลจากข้อมูลใหม่ เหตุการณ์ในอนาคต หรือเหตุผลอื่นใด Veea และ ICT ไม่ให้การรับรองใดๆ ว่า Veea หรือ Plum จะบรรลุเป้าหมายตามที่คาดหวัง

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ
James Christopherson
Sterling Communications สำหรับ Veea Inc.
veea@sterlingpr.com

แหล่งที่มา : Veea

Inkia กำลังก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดในเปรูด้วยแผนขยายการดำเนินงานครั้งใหญ่

Logo

  • กำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่กว่า 1 GW จะพร้อมใช้งานภายในสิ้นปี 2025
  • มีโครงการพลังงานที่กำลังพัฒนาอยู่กว่า 3 GW โดยมีโครงการพลังงานลมกว่า 600 MW ที่จะเปิดตัวในปี 2026
  • ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตจากโครงการไฮโดร พลังงานก๊าซธรรมชาติ และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ที่มีอยู่ 2,237 MW ดังนั้น Inkia จะยืนยันตำแหน่งในฐานะบริษัทผลิตไฟฟ้าที่มีความหลากหลายและใหญ่ที่สุดในเปรู

ลิมา ประเทศเปรู–(BUSINESS WIRE)–18 ตุลาคม 2024

Inkia Energy ผ่านบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดอย่าง Kallpa ได้รับการอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับการขยายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างในภาคใต้ของเปรู ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ชั้นนำระดับโลก การอนุมัติครั้งนี้จะทำให้โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ชื่อ Sunny ขยายจาก 228 MWp เป็น 338 MWp และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 Inkia Energy ซึ่งตั้งอยู่ในเปรูเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ และอยู่ภายใต้การควบคุมของ I Squared Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก

(Photo: Business Wire)

(รูปภาพ: Business Wire)

นอกเหนือจากโครงการ Sunny แล้ว Inkia ยังได้สนับสนุนการก่อสร้างโครงการพลังงานแสงอาทิตย์อีก 2 โครงการที่อยู่ใกล้เคียง โดยได้ลงนามในข้อตกลงซื้อขายพลังงานและใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (I-REC) สำหรับการพัฒนาเหล่านี้ ด้วยโครงการทั้ง 3 นี้ Inkia จะรวมพลังงานจาก “ศูนย์กลางพลังงานแสงอาทิตย์ของเปรู” ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนประมาณ 1 Gwp เข้าสู่โครงข่ายพลังงานแห่งชาติในไตรมาสที่ 4 ของปี 2025

นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะเปิดตัวโครงการพลังงานลมอีก 2 โครงการที่มีกำลังการผลิตรวมอย่างน้อย 600 MW ในปี 2026 โครงการพลังงานลม รวมถึงโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และโครงการ BESS อื่นๆ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับจุดยืนของบริษัทให้เป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานในปัจจุบันและอนาคตของเปรู โครงการเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างคุณค่าของ Inkia ในการให้บริการลูกค้าด้วยพลังงานที่มีความต่อเนื่องและเชื่อถือได้ ซึ่งผลิตจากการรวมกันของแหล่งพลังงานหมุนเวียนหลายประเภทและก๊าซธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความสำคัญในการรองรับการขาดแคลนและความไม่ต่อเนื่องของพลังงานหมุนเวียน

Inkia ยังมีบริการโซลูชันด้านพลังงานที่เชื่อมต่อกันด้านหลังมิเตอร์การไฟฟ้าให้กับลูกค้าผ่านช่องทางขายปลีกของตน นั่นคือ Kondu ซึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SME)

“Inkia เป็นนักพัฒนาโดยธรรมชาติ และเป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเปิดตัวโครงการ Sunny ถือเป็นการเริ่มต้นของแคมเปญขยาย Inkia 2.0 ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการพลังงานของเปรู และยืนยันจุดยืนของ Inkia ในฐานะบริษัทโซลูชันพลังงานชั้นนำของประเทศ” Willem Van Twembeke ซีอีโอของ Inkia Energy กล่าว “เรามั่นใจว่าพอร์ตโฟลิโอที่มีความสมดุลและการจัดอันดับกลุ่มระดับลงทุนของ Inkia ทำให้บริษัทเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับลูกค้าในด้านความน่าเชื่อถือ ทั้งในแง่ของพลังงานและการสนับสนุนทางการเงิน”

เกี่ยวกับ Inkia Energy

Inkia เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในเปรู โดยมีกำลังการผลิตติดตั้ง 2,237 MW ผ่านบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดอย่าง Kallpa ซึ่ง Inkia Energy อยู่ภายใต้การควบคุมของ I Squared Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอิสระชั้นนำระดับโลกที่บริหารสินทรัพย์กว่า $40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเปรู Inkia ดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติแบบผสมผสานที่มีประสิทธิภาพ และเพิ่งเปิดตัวระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ขนาด 34 MW นอกเหนือจากโครงการ Sunny แล้ว Kallpa ยังได้พัฒนาโครงการพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และ BESS หลายโครงการ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงการจัดหาไฟฟ้าที่ต่อเนื่อง เชื่อถือได้ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับเปรู Inkia ยังเป็นเจ้าของ Kondu ซึ่งเป็นบริษัทโซลูชันด้านพลังงานที่มุ่งเน้นความต้องการของตลาดค้าปลีก และให้บริการโซลูชันด้านพลังงานหลากหลายและพลังงานที่เชื่อมต่อกันด้านหลังมิเตอร์การไฟฟ้าแก่ลูกค้าของ Inkia นอกเปรู Inkia ยังเป็นเจ้าของและดำเนินการสินทรัพย์การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ากว่า 5.5 GW และมีลูกค้ากว่า 2 ล้านรายทั่วละตินอเมริกา

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54133250/en

ข้อมูลติดต่อ

สื่อสัมพันธ์

Pamela Gutierrez
communications@inkiaenergy.com

แหล่งข้อมูล: Inkia Energy


Medidata ประกาศเปิดตัว Rave Lite เพื่อสนับสนุนการเติบโตของการทดลองทางคลินิกระยะต้นและระยะปลาย

Logo

โซลูชันใหม่ใช้ประโยชน์จาก Medidata Rave EDC เพื่อทำให้การเก็บข้อมูลทางคลินิกแบบอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลกเข้าถึงได้ในกลุ่มตลาดที่เคยขาดแคลนเทคโนโลยีล้ำสมัย

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–17 ตุลาคม 2024

Medidata แบรนด์ในเครือ Dassault Systèmes และผู้นำด้านการให้บริการโซลูชันการทดลองทางคลินิกในอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ประกาศเปิดตัว Medidata Rave Lite ซึ่งเป็นส่วนขยายของซอฟต์แวร์วิจัยทางคลินิกมาตรฐานระดับทองของบริษัทอย่าง Medidata Rave EDC ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการทดลองระยะที่ I และระยะที่ IV ไม่ว่าจะเป็นขนาดของบริษัท โฟกัสการรักษา หรือสถานะของโครงการ Rave Lite นำเสนอการเก็บข้อมูลทางคลินิกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic clinical data capture หรือ EDC) การจัดการ และการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ พร้อมโมเดลการตั้งราคาที่ปรับให้เหมาะสม

ในขณะที่ EDC เป็นส่วนสำคัญของการทดลองทางคลินิก แต่การแตกแยกของเทคโนโลยีระหว่างเฟสต่าง ๆ นำไปสู่ความท้าทายในการรวมระบบและทำให้เกิดความล่าช้าในการเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขาดการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ส่งผลกระทบอย่างไม่สมดุลต่อการทดลองระยะต้นและระยะปลาย หลังจากที่ Medidata ได้จัดการกับความท้าทายเหล่านี้มากกว่า 34,000 การทดลอง บริษัทจึงได้เสนอทางเลือกที่เหนือกว่าสำหรับการทดลองระยะที่ I และระยะที่ IV ด้วย Rave Lite

ด้วยการผสานรวมกับ Medidata Designer ผู้สร้างการทดลองสามารถออกแบบการทดลองระยะที่ I และระยะที่ IV ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) อย่างต่อเนื่อง ความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการออกแบบการทดลองจะลดลง พร้อมกับรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล Rave Lite จึงมอบประสบการณ์ที่สม่ำเสมอโดยไม่ลดทอนศักยภาพขั้นสูงของ Rave EDC

“Rave Lite ตอบสนองความต้องการที่สำคัญของตลาดสำหรับการทดลองระยะต้นและระยะปลาย ด้วยโซลูชันที่ง่ายและคล่องตัวซึ่งสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Rave EDC ที่เชื่อถือได้ของเรา” Tom Doyle ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Medidata กล่าว “ด้วยการให้ลูกค้าของเราสามารถใช้ EDC เดียวกันได้ในทุกเฟส ลูกค้าจะได้รับความยืดหยุ่นในการขยายการทดลองในขณะที่ยังคงรักษามาตรฐานสูงสุดที่เป็นจุดเด่นของโซลูชันของ Medidata มาโดยตลอด”

เมื่อเร็ว ๆ นี้ Rave EDC ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำโดย Everest Group ในการจัดอันดับ PEAK Matrix® ครั้งแรกสำหรับความมีประสิทธิภาพในการทำให้การทดลองทางคลินิกง่ายขึ้นสำหรับผู้สนับสนุนการทดลองและบริษัทวิจัยตามสัญญา (Contract Research Organizations หรือ CROs) ในขณะที่ยังคงรักษาคุณภาพและความสมบูรณ์ของข้อมูล

Medidata จะนำเสนอ Rave Lite ในงาน NEXT New York ซึ่งเป็นการประชุมการทดลองทางคลินิกชั้นนำ จัดขึ้นที่นครนิวยอร์กในวันที่ 13 และ 14 พฤศจิกายน โซลูชันนี้จะพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าในช่วงต้นปี 2025 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Rave Lite สามารถเป็นประโยชน์ต่อการวิจัย คลิกที่นี่

เกี่ยวกับ Medidata

Medidata สนับสนุนการรักษาที่ชาญฉลาดขึ้นและผู้คนที่มีสุขภาพดีขึ้นผ่านโซลูชันดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการทดลองทางคลินิก ฉลองครบรอบ 25 ปีของนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำในกว่า 34,000 การทดลองและผู้ป่วย 10 ล้านคน Medidata นำเสนอความเชี่ยวชาญชั้นนำของอุตสาหกรรม ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์ และฐานข้อมูลการทดลองทางคลินิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนมากกว่า 1 ล้านคนจากลูกค้าประมาณ 2,200 รายที่ไว้วางใจแพลตฟอร์มแบบครบวงจรของ Medidata เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ป่วย เร่งความก้าวหน้าทางการทดลอง และนำการรักษาออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น Medidata เป็นแบรนด์ในเครือ Dassault Systèmes (Euronext Paris : FR0014003TT8, DSY.PA) มีสำนักงานใหญ่ในนครนิวยอร์ก และได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำจาก Everest Group และ IDC สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.medidata.com และติดตามได้ที่ @Medidata

เกี่ยวกับ Dassault Systèmes

Dassault Systèmes เป็นตัวเร่งให้เกิดความก้าวหน้าของมนุษย์ เราให้บริการธุรกิจและผู้คนด้วยสภาพแวดล้อมเสมือนจริงเพื่อจินตนาการถึงนวัตกรรมที่ยั่งยืน ด้วยการสร้างประสบการณ์คู่แฝดเสมือนของโลกจริงด้วยแพลตฟอร์ม 3DEXPERIENCE และแอปพลิเคชันของเรา ลูกค้าของเราสามารถนิยามกระบวนการสร้างสรรค์ การผลิต และการจัดการวงจรชีวิตของข้อเสนอของตนใหม่ และมีผลกระทบที่มีความหมายในการทำให้โลกยั่งยืนยิ่งขึ้น ความงามของเศรษฐกิจเชิงประสบการณ์คือเป็นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นมนุษย์เพื่อประโยชน์ของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค ผู้ป่วย หรือประชาชน Dassault Systèmes มอบคุณค่าให้กับลูกค้ามากกว่า 350,000 รายในทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรมในกว่า 150 ประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม www.3ds.com

ลิขสิทธิ์ของ ©Dassault Systèmes 3DEXPERIENCE, โลโก้ 3DS, ไอคอน Compass, IFWE, 3DEXCITE, 3DVIA, BIOVIA, CATIA, CENTRIC PLM, DELMIA, ENOVIA, GEOVIA, MEDIDATA, NETVIBES, OUTSCALE, SIMULIA และ SOLIDWORKS เป็นเครื่องหมายการค้าทางการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Dassault Systèmes บริษัทในยุโรป (Societas Europaea) ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายฝรั่งเศส และจดทะเบียนกับทะเบียนการค้าและบริษัทแห่งแวร์ซายส์ภายใต้เลขที่ 322 306 440 หรือบริษัทย่อยในสหรัฐอเมริกาและ/หรือประเทศอื่น ๆ เครื่องหมายการค้าอื่น ๆ ทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง การใช้เครื่องหมายการค้าของ Dassault Systèmes หรือบริษัทย่อยใด ๆ ขึ้นอยู่กับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากพวกเขา

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Medidata
Medidata.PR@3ds.com

ฝ่ายนักวิเคราะห์สัมพันธ์
medidata.AR@3ds.com

แหล่งที่มา : Medidata

กองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบียประกาศเข้ามามีบทบาทในเซอร์เบียเป็นครั้งแรก โดยให้เงินทุนสนับสนุน 3 โครงการพัฒนา มูลค่ารวม 205 ล้านดอลลาร์

Logo

เบลเกรด เซอร์เบีย –(BUSINESS WIRE)–17 ตุลาคม 2024

กองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบีย (SFD) ได้ลงนามในข้อตกลงเงินกู้พัฒนา 3 ฉบับกับสาธารณรัฐเซอร์เบีย รวมมูลค่า 205 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนโครงการสำคัญในภาคเกษตรกรรม การศึกษา และพลังงาน ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นการเข้ามามีบทบาทครั้งแรกของ SFD ในเซอร์เบีย โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว ข้อตกลงนี้ลงนามโดย H.E. Sultan Al-Marshad ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SFD และ H.E. Siniša Mali รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเซอร์เบีย โดยมี Mr.Ali Aldossary อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เป็นสักขีพยาน

H.E. Sultan Al-Marshad, CEO of the SFD, and H.E. Siniša Mali, Serbia’s Deputy Prime Minister and Minister of Finance (Photo: AETOSWire)

คุณ H.E. Sultan Al-Marshad ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอของ SFD กับคุณ H.E. Siniša Mali รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศเซอร์เบีย (รูป: AETOSWire)

สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อตกลงเหล่านี้ ทาง Mr. Mali กล่าวว่า “เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ลงนามในข้อตกลงสำคัญสามฉบับกับกองทุนเพื่อการพัฒนาของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญครั้งแรกหลังจากการลงนามบันทึกความเข้าใจเมื่อปีที่แล้ว เรารู้สึกขอบคุณสำหรับการสนับสนุน โครงการที่เงินทุนนี้จะนำไปใช้นั้นจะช่วยสร้างงานใหม่ เสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของเรา และปรับปรุงสถานะของสาธารณรัฐเซอร์เบียในชุมชนวิทยาศาสตร์ระดับโลก ข้อตกลงเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระยะยาวระหว่างสาธารณรัฐเซอร์เบียและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และช่วยพัฒนาโครงการสำคัญในประเทศของเรา”

ข้อตกลงประกอบด้วยโครงการ 3 โครงการ ได้แก่ การจัดสรรงบประมาณ 75 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการชลประทานในพื้นที่ต่าง ๆ และใช้ 65 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการก่อสร้างวิทยาเขต Bio4 ในกรุงเบลเกรด และอีก 65 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการพัฒนาผู้ดำเนินการระบบส่งไฟฟ้า (ระยะที่ 1)

โครงการแรกจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบชลประทานและปรับปรุงการจัดการน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญ โดยการสร้างสถานีสูบน้ำใหม่ ปรับปรุงคลองที่มีอยู่ และสร้างเครือข่ายชลประทานที่ทันสมัยครอบคลุมกว่า 230 กิโลเมตร โครงการนี้มุ่งเน้นในพื้นที่ เช่น Novi Slankamen และ Jasenicke Kapi โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและจัดการการแจกจ่ายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงภัยแล้ง

โครงการที่สองจะจัดสรรเงินทุนสำหรับการก่อสร้างวิทยาเขต Bio4 ในกรุงเบลเกรด ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่บุกเบิกซึ่งเน้นด้านเทคโนโลยีชีวภาพ วิทยาเขต Bio4 จะประกอบด้วย 6 คณะ 9 สถาบันวิจัย และห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย รวมถึงห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 3 ที่มหาวิทยาลัยเบลเกรด ศูนย์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อรวบรวมนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและความร่วมมือในสาขาต่างๆ เช่น ชีววิทยา การแพทย์ และการวิจัยน้ำเสีย

โครงการสุดท้ายจะขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของเซอร์เบียด้วยการสร้างสายส่งไฟฟ้า 400 กิโลโวลต์ใหม่ และการปรับปรุงสถานีไฟฟ้าย่อยที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเสถียรในการจ่ายพลังงานของเซอร์เบียและเชื่อมโยงประเทศเข้ากับตลาดไฟฟ้ายุโรปผ่านทางเดินส่งไฟฟ้า Trans-Balkan

เพื่อให้เห็นภาพถึงข้อตกลงนี้ ทาง Sultan Al-Marshad ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SFD กล่าว “การสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการให้ทุนเชิงกลยุทธ์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษานั้นเป็นภารกิจหลักของเรา ความร่วมมือครั้งนี้กับเซอร์เบียสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมนวัตกรรม เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการที่เราให้ทุนจะสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนให้กับประชาชนชาวเซอร์เบียและช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของพวกเขา

SFD มุ่งมั่นในการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลก ในฐานะหน่วยงานพัฒนาทางการของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย SFD ได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการมากกว่า 800 โครงการในกว่า 100 ประเทศ โดยมีเงินทุนรวม 20 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2024 SFD ฉลองครบรอบ 50 ปีในการส่งเสริมการพัฒนาระดับโลก โดยล่าสุดได้ขยายไปยัง 11 ประเทศใหม่ รวมถึงเซอร์เบีย

ที่มาAETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54137077/en

ติดต่อ

Randah Al-Hothali
Director General of Corporate Communications
media@sfd.gov.sa

ที่มา: Saudi Fund for Development


ForeverGone ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถกำจัดและทำลาย PFAS ได้อย่างสมบูรณ์แบบในงานด้านอุตสาหกรรมและการประยุกต์ใช้ในเทศบาล

Logo

Gradiant ประกาศความสามารถในการทดสอบภายในที่โดดเด่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสามารถกำจัด PFAS ได้จนถึงระดับที่ต่ำกว่าข้อกำหนดของ EPA สหรัฐฯ และข้อบังคับของยุโรป

บอสตัน–(BUSINESS WIRE)–18 ตุลาคม 2024

Gradiant บริษัทผู้ให้บริการโซลูชันระดับโลกสำหรับการบำบัดน้ำและน้ำเสียได้ประกาศถึงก้าวสำคัญในความพยายามต่อสู้กับการปนเปื้อนของ PFAS ซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่เสื่อมสภาพ โดยทำงานร่วมกับน้ำที่ปนเปื้อนจากอุตสาหกรรม น้ำเทศบาล และน้ำจากหลุมฝังกลบ ซึ่ง ForeverGone™ ได้รับการพิสูจน์ทางปริมาณแล้ว ผ่านห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองจากบุคคลที่สามหลายแห่ง ว่าสามารถลดระดับ PFAS ลงไปถึงระดับที่ต่ำกว่าข้อกำหนดทางกฎหมายและทำลายสาร PFAS ที่เข้มข้นที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์

Gradiant's ForeverGone all-in-one solution and testing data for industrial wastewater (Photo: Business Wire)

โซลูชันแบบครบวงจรของ ForeverGone จาก Gradiant และข้อมูลการทดสอบน้ำเสียจากอุตสาหกรรม (ภาพ: Business Wire)

ก้าวสำคัญในกระบวนการพัฒนานี้เป็นการยืนยันว่า ForeverGone ซึ่งเปิดตัวในปีนี้ เป็นโซลูชันแบบครบวงจรเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถกำจัดและทำลาย PFAS ได้ที่โรงงาน ทำให้ไม่จำเป็นต้องจัดการกับของเสีย การฝังกลบ หรือการเผา ซึ่งแตกต่างจากเทคโนโลยีทั่วไป รวมถึงคาร์บอนที่ใช้งานได้แบบเม็ด (GAC) และการแลกเปลี่ยนไอออน

โซลูชัน ForeverGone ที่บรรจุในตู้คอนเทนเนอร์สามารถนำไปใช้งานได้อย่างรวดเร็วและติดตั้งในสถานที่เพื่อลดระดับ PFAS ให้ลงไปต่ำกว่าระดับสูงสุดที่กำหนดโดย US EPA ที่ 4.0 ppt และข้อกำหนดที่เข้มงวดที่กำหนดโดยกฎระเบียบในยุโรปและออสเตรเลีย

“ผู้ตัดสินใจที่สำคัญต่างชื่นชมข้อเสนอที่โดดเด่นของ ForeverGone ในการกำจัดและทำลาย PFAS จากน้ำที่ปนเปื้อนทุกรูปแบบ” นาย Sankar Natarajan หัวหน้าฝ่ายขายระดับโลกของ Gradiant กล่าว “เรากำลังประสบกับอัตราการขายที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การติดต่อครั้งแรกจนถึงการดำเนินโครงการในระดับเต็มรูปแบบในหลายภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ อาหารและเครื่องดื่ม การทำเหมืองแร่ และบริการสาธารณะใหญ่ๆ ทั้งหมดพยายามที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและปกป้องชุมชนของตน”

“เพื่อสนับสนุนการพัฒนา ForeverGone เราได้ลงทุนอย่างมากในความสามารถของ Gradiant Labs ในการตรวจจับ PFAS ได้ถึงเพียงหนึ่งส่วนในหนึ่งล้านล้านส่วน ซึ่งช่วยให้เราสามารถเสนอหลักฐานที่ลูกค้าต้องการเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเทคโนโลยีของเราในน้ำที่ปนเปื้อนได้อย่างรวดเร็ว” นาย Steven Lam หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ Gradiant กล่าว

Gradiant ได้นำโซลูชัน ForeverGone ไปใช้งานที่โรงงานของลูกค้าทั่วโลกอย่างจริงจัง โดยมอบข้อได้เปรียบที่สำคัญในการกำจัดและทำลาย PFAS แบบครบวงจร ตลอดไป

คุณสนใจนำ ForeverGone ไปใช้ที่โรงงานของคุณไหม Gradiant ขอแนะนำโครงการทดสอบที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อสาธิตการใช้ ForeverGone ในการบำบัดน้ำที่ปนเปื้อนหลากหลายประเภท หากสนใจให้ติดต่อ Gradiant ได้ที่ http://www.gradiant.com/contact

เกี่ยวกับ Gradiant
Gradiant คือบริษัทน้ำในรูปแบบที่แตกต่าง ด้วยชุดโซลูชันที่โดดเด่นและเป็นเจ้าของแบบครบวงจรสำหรับการบำบัดน้ำและน้ำเสียที่ขับเคลื่อนโดยผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดในด้านน้ำ บริษัทให้บริการการดำเนินงานที่สำคัญของลูกค้าในอุตสาหกรรมที่จำเป็นต่อโลก เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยา อาหารและเครื่องดื่ม ลิเธียม และแร่ธาตุที่สำคัญ รวมถึงพลังงานหมุนเวียน โซลูชันที่เป็นนวัตกรรมของ Gradiant ช่วยลดการใช้น้ำและน้ำเสียที่ปล่อยออกมา ฟื้นฟูทรัพยากรที่มีค่า และเปลี่ยนน้ำเสียให้เป็นน้ำสะอาด บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในบอสตันนี้ก่อตั้งขึ้นที่ MIT และมีพนักงานกว่า 1,000 คนทั่วโลก เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ gradiant.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: www.businesswire.com/news/home/54132753/en

ติดต่อ

องค์กร
Felix Wang
Gradiant, Global Head of Brand and PR
fwang@gradiant.com

ที่มา: Gradiant