All posts by Jasmine

Toshiba เปิดตัวแอมพลิฟายเออร์การทำงาน CMOS ที่ใช้กระแสไฟต่ำเป็นพิเศษซึ่งช่วยให้อุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้น

Logo

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–29 ก.ย. 2563

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“โตชิบา”) ได้เพิ่ม “TC75S102F” ซึ่งเป็นแอมพลิฟายเออร์ชั้นนำของอุตสาหกรรมตัวใหม่สำหรับการทำงาน CMOS[1]  ที่มีอัตราการสิ้นเปลืองกระแสไฟต่ำพิเศษในกลุ่มผลิตภัณฑ์  การจัดส่งเริ่มตั้งแต่วันนี้

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200928005236/en/

Toshiba: a new CMOS operational amplifier TC75S102F featuring industry-leading ultra-low current consumption. (Photo: Business Wire)

Toshiba: แอมพลิฟายเออร์ชั้นนำของอุตสาหกรรมรุ่นใหม่สำหรับการทำงาน CMOS, TC75S102F ที่มีการสิ้นเปลืองกระแสไฟต่ำพิเศษ (ภาพ: Business Wire)

แอมพลิฟายเออร์ช่วยเพิ่มสัญญาณที่อ่อนแอจากเซ็นเซอร์และเพื่อรองรับการใช้งานที่ยาวนานขึ้นระหว่างการชาร์จอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่รวมถึงอุปกรณ์ IoT edge และอุปกรณ์พกพา[2] โดยจะต้องให้การใช้กระแสไฟฟ้าที่ต่ำลงด้วย

โตชิบาได้ใช้เทคโนโลยีกระบวนการ CMOS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพวงจรของแอมพลิฟายเออร์สำหรับการดำเนินงานใหม่และลดการใช้พลังงานโดยรักษาความปลอดภัยชั้นนำของอุตสาหกรรมการใช้กระแสไฟฟ้าต่ำ[1]   ด้วยแรงดันไฟฟ้าขั้นต่ำ 1.5V อุปกรณ์ใหม่นี้เป็นเครื่องขยายสัญญาณอินพุต/เอาท์พุตแบบฟูลเรนจ์ (Rail-to-Rail input/output) ที่ให้ประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อน

การใช้งาน

  • เซ็นเซอร์ต่างๆ[2] ในอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่[3]
  • โมดูล IoT

คุณสมบัติ

  • กระแสไฟฟ้าที่ใช้พลังงานต่ำมาก:
    IDD=0.27μA (typ.) @VDD=1.5V
    IDD=0.35μA (typ.) @VDD=5.0V
  • ช่วงแรงดันไฟฟ้าปฏิบัติการที่กว้าง: VDD-VSS=1.5V to 5.5V
  • อินพุตและเอาท์พุตอย่างเต็มรูปแบบ(Input and output Rail-to-Rail)

ข้อมูลจำเพาะหลัก

(เว้นแต่จะระบุเป็นอย่างอื่น @TA= 25 ° C)

หมายเลขส่วน

ชื่อแพ็กเกจ

(รหัสแพ็กเกจ)

ช่วงการทำงาน

คุณสมบัติทางไฟฟ้า

ตัวอย่างการตรวจสอบและความพร้อม

จ่าย

แรงดันไฟฟ้า

VDD-VSS

@Ta= -40℃

ถึง +105℃

(V)

กระแสจ่ายไฟ

(การใช้กระแส)

IDD

@Ta= -40℃

to +105℃

(μA)

กระแสจ่ายไฟ

(การใช้กระแส)

IDD

(μA)

แรงดันไฟฟ้าอินพุตชดเชย

VIO

max

@VDD=

1.5V

(mV)

ที่มาแรงดันไฟฟ้า

@VDD=

1.5V

(mA)

กระแสซิงค์

Isink

typ.

@VDD=

1.5V

(mA)

ความถี่อัตราขยายเป็นหนึ่ง

fT

typ.

@VDD=

5.0V

(kHz)

typ.

max

typ.

max

TC75S102F

SMV

(SOT-25)

1.5 ถึง 5.5

0.27

0.6

0.27

0.46

1.3

0.6

0.4

0.63

ซื้อออนไลน์

หมายเหตุ:

[1] ณ วันที่ 28 กันยายน 2563 จากการสำรวจของโตชิบา

[2] รวมถึงพีซี แล็ปท็อป กล้องถ่ายภาพนิ่งดิจิทัล เครื่อง POS แบบใช้มือถือเครื่องนับก้าวเดิน ฯลฯ

[3] เซ็นเซอร์ต่างๆ (ก๊าซ ควัน ฝุ่น คน เซ็นเซอร์ UV และกลิ่น)

ไปที่ลิงก์ด้านล่างสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่

TC75S102F

https://toshiba.semicon-storage.com/info/lookup.jsp?pid=TC75S102F

ไปที่ลิงค์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ Operational Amplifier ICs ของ Toshiba

แอมพลิฟายเออร์และเครื่องเปรียบเทียบเชิงปฏิบัติการ

https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/semiconductor/product/linear-ics/operational-amplifiers-and-comparators.html

หากต้องการตรวจสอบความพร้อมของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตัวแทนจำหน่ายออนไลน์โปรดไปที่:

TC75S102F

https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/semiconductor/where-to-buy/stockcheck.TC75S102F.html

สอบถามสำหรับลูกค้า:

Small Signal Device Sales & Marketing Department  ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์สัญญาณขนาดเล็ก

โทร: + 81-3-3457-3411

https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/contact.html

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง

* ข้อมูลในเอกสารนี้รวมถึงราคาและข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์เนื้อหาของบริการและข้อมูลการติดต่อเป็นข้อมูลปัจจุบัน ณ วันที่ประกาศ แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ผสมผสานความแข็งแกร่งของบริษัทใหม่เข้ากับภูมิปัญญาแห่งประสบการณ์  นับตั้งแต่กลายเป็นบริษัทอิสระในเดือนกรกฎาคม 2560 บริษัท ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านอุปกรณ์ทั่วไปและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจในเซมิคอนดักเตอร์แบบแยกระบบ LSI และ HDD

พนักงาน 24,000 คนทั่วโลกร่วมกันมุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงสุดและเน้นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าเพื่อส่งเสริมการร่วมสร้างมูลค่าและตลาดใหม่  บริษัทตั้งตารอที่จะสร้างยอดขายต่อปีได้ทะลุ 750 พันล้านเยน (6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีส่วนร่วมในอนาคตที่ดีกว่าสำหรับผู้คนทุกที่

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

อ่านต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/ home / 20200928005236 / th /

สอบถามสำหรับสื่อ:

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation
Digital Marketing Department  แผนกการตลาดดิจิทัล
Chiaki Nagasawa
โทร: + 81-3-3457-4963
semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp

นาทีชีวิต!! พนักงานเซเว่นฯ ช่วยชีวิต ขณะส่งสินค้าเดลิเวอรี่

Logo

กรุงเทพฯ–(THAI BUSINESS NEWS)–29 กันยายน 2563

imgชาวโซเชียล แชร์คลิปเรื่องราว ของนางสาวสุมนศรี เพ็งทับ พนักงาน7-11 สาขา Work Place (หนองแขม) หมู่บ้าน หรรษาทาวน์ ช่วยชีวิตลูกค้าจากอาการหอบกำเริบเข้าขั้นวิกฤต

เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่นางสาววิภัศศรี วรรณวิไชย ได้สั่งสินค้าผ่านบริการ เซเว่น เดลิเวอรี่ โดยมีนางสาวสุมนศรี เพ็งทับ หรือ น้องเต้ พนักงาน 7-11 เป็นผู้ส่งสินค้า โดยขณะที่ไปส่งสินค้า พบว่า ลูกค้ามีอาการเกร็ง ล้มลงกับพื้น หายใจรวยริน จึงรีบเข้าไปให้ความช่วยเหลือ และได้ติดต่อเจ้าหน้าที่กู้ชีพ เพื่อปฐมพยาบาล และส่งถึงโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย

นางสาววิภัศศรี วรรณวิไชย เล่าว่า ตอนเกิดเหตุ ตนมีอาการหายใจแล้วเจ็บหน้าอก มือและเท้าเกร็ง จึงล้มตัวลงนอนกับพื้น ในขณะนั้น น้องเต้ก็ได้โทรเข้ามาเพื่อที่จะนำของมาส่งพอดี ตนจึงได้ขอความช่วยเหลือ จากนั้นน้องเต้ก็ได้ช่วยโทรประสานศูนย์นเรนทร เพื่อขอให้มารับตนไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งในขณะที่รอ น้องเต้ก็ได้เข้ามาบีบนวดมือและเท้า และพยายามเรียกให้กำลังใจและให้มีสติอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งศูนย์นเรนทรมารับเพื่อไปส่งโรงพยาบาล

“ขณะนั้นเหมือนว่าตัวเองกำลังจะหมดสติ เหมือนเป็นลมหายใจสุดท้าย ต้องขอบคุณน้องเต้มากๆ ขอบคุณที่รู้สึกว่ามีประสบการณ์ดีๆ และมีความทรงจำดีๆกับเซเว่น อีเลฟเว่น ทำให้รู้ว่าการทำงานด้วยใจเป็นอย่างไร ขอให้เซเว่นรักษามาตรฐานแบบนี้เอาไว้ และสร้างบุคคลากรดีๆแบบนี้ต่อไป”

น้องเต้พูดทิ้งท้ายว่า “ยุคนี้ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า แต่ลูกค้าคือครอบครัวของเรา”

สามารถชมคลิปได้ที่      https://www.youtube.com/watch?v=5oO4sf7AWew

                                    https://www.facebook.com/100445640022349/posts/3478894358844110/

Mavenir เข้าซื้อ ip.access เพื่อขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์วิทยุ OpenRAN สำหรับกลุ่ม CSPs และ Enterprise Private Networks

Logo

วิวัฒนาการของ OpenRAN เพิ่ม 2G / 3G ตลอดทั่วทั้ง Single Unified RAN เพื่อรองรับการเข้าถึงเครือข่ายวิทยุ "Multi-G"

เคมบริดจ์, ประเทศอังกฤษ และ ริชาร์ดสัน, เท็กซัส–(BUSINESS WIRE)–28 ก.ย. 2563

Mavenir ผู้ให้บริการชั้นนำด้านการบริการซอฟต์แวร์เครือข่ายคลาวด์เนทีฟแบบ end-to-end สำหรับผู้ให้บริการการสื่อสาร หรือ Communications Service Providers (CSP) ประกาศในวันนี้ว่าได้เข้าซื้อ  ip.access Ltd, ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นเซลล์ขนาดเล็กชั้นนำที่พร้อมใช้งาน 2G, 3G, 4G และ 5G ชั้นนำ การซื้อกิจการครั้งนี้ช่วยขยายความเป็นผู้นำของ Mavenir ในวิทยุ OpenRAN ในสามด้าน:

  • ด้านการเป็นผู้ให้บริการการสื่อสาร: การเพิ่มความสามารถ 2G และ 3G ในพอร์ตโฟลิโอ OpenRAN
  • ด้านองค์กร: การเพิ่มชุดโซลูชันวิทยุสำหรับองค์กรสำหรับข้อเสนอเครือข่ายส่วนตัวของ Mavenir รวมถึงโซลูชันที่ได้รับการรับรองอย่าง OnGo / CBRS
  • เครือข่ายที่ฉีกกฎแบบดั้งเดิม:: ใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์ชั้นนำของตลาดที่กำหนดโซลูชัน vRAN สำหรับเครือข่ายการบิน การเดินเรือ การควบคุมระยะไกลหรือจากที่ที่ห่างไกลด้วยโซลูชันรุ่นใหม่ในอากาศ บนบก และในทะเล

“ ผู้ให้บริการกำลังมองหาการเปลี่ยนแปลงเครือข่าย 2G / 3G ของพวกเขา ในระหว่างที่พวกเขาย้ายไปสู่ระบบ 4G และ 5G” Pardeep Kohli ประธานและซีอีโอของ Mavenir กล่าว “ เราคาดหวังว่าจะนำเสนอ RAN แบบเดี่ยวที่เป็นเทคโนโลยีการเข้าถึงวิทยุหลายแบบที่ราบรื่นสำหรับผู้ให้บริการ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาได้รับประโยชน์จากโซลูชันวิทยุขั้นสูงในทุกระดับชั้น”

“ip.access จะนำฐานที่มั่นคงมาสู่ระบบ 2G, 3G และ 4G รวมถึงในพื้นที่องค์กรที่เราเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความเป็นผู้นำในตลาดของ Mavenir” Aniruddho Basu รองประธานอาวุโสและ GM แผนก Emerging Business ของ Mavenir กล่าว “ การรวมทรัพย์สินของเราช่วยเพิ่มข้อเสนอเครือข่าย end-to-end ของเราให้เส้นทางวิวัฒนาการ RAN เดี่ยวแบบ“ Multi-G” สำหรับผู้ให้บริการ และยังสร้างข้อเสนอชั้นนำสู่ตลาดสำหรับตลาดองค์กรเครือข่ายส่วนตัว”

“ สมาชิกจำนวนมากในเครือข่ายและพื้นที่หลายแห่งต้องการบริการ GSM และ 3G ที่มาพร้อม LTE ถึงแม้ว่าจะมีการเปิดตัว 5G แล้วก็ตาม โซลูชัน OpenRAN และ Enterprise ของ Mavenir ที่รวมกับเทคโนโลยีการเข้าถึงคลื่นหลายคลื่นของ ip.access ทำให้เกิดบริษัทที่สมบูรณ์แบบสำหรับอนาคตนั้น” Richard Staveley ซีอีโอ ip.access กล่าว

Nick Johnson, ผู้ก่อตั้งและ CTO ของ ip.access กล่าวเพิ่มเติมว่า“ CBRS / OnGo ในสหรัฐอเมริกาและโครงการริเริ่มด้านคลื่นความถี่ร่วมกันในยุโรปเป็นโอกาสเพียงไม่กี่ตัวอย่างจากอีกหลากหลายโอกาส และไม่ใช่แค่ในด้านบริการผู้บริโภคอีกต่อไป แต่ยังรวมถึงเครือข่ายส่วนตัวทางอุตสาหกรรมเครือข่ายกลุ่มปิดที่เป็นมืออาชีพสำหรับการเงิน การดูแลสุขภาพ การพักผ่อน การท่องเที่ยวและอื่น ๆ อีกมากมาย เราหวังว่าจะใช้ประสบการณ์อันยาวนานของเราในเครือข่ายส่วนตัวเพื่อเสริมพอร์ตโฟลิโอที่มีอยู่ของ Mavenir ในการให้บริการฐานลูกค้าที่ขยายตัวอย่างมหาศาลนี้”

ip.access จะดำเนินการเป็นหน่วยธุรกิจภายในกลุ่มธุรกิจที่เกิดใหม่ของ Mavenir และคาดว่าจะพัฒนาการทำงานร่วมกันที่แข็งแกร่งกับ OpenRAN, Cloud Core, Edge และ Analytics ของ Mavenir สำหรับข้อเสนอเครือข่ายแบบ end-to-end ที่น่าสนใจสำหรับทุกเซ็กเมนต์ทั้ง CSP และ Enterprise / Industry โดย ip.access นำเสนอผลงานที่ได้รับการพิสูจน์แล้วโดยมีเครือข่ายถ่ายทอดสดมากกว่า 50 เครือข่ายที่ใช้งานได้ทั่วโลกผ่าน CSP และเครือข่ายส่วนตัวหลายร้อยแห่งสำหรับอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างรายได้จากข้อมูล ความปลอดภัย และการเฝ้าระวังที่สำคัญ ๆ

เกี่ยวกับ ip.access:

ip.access ได้พัฒนาโซลูชันระดับผู้ให้บริการตั้งแต่ปี 2545 และเป็นผู้นำตลาดสำหรับโซลูชัน Small Cell และ Presence Sensor โดยการเป็นผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร องค์กรเอกชนและแอปพลิเคชันพิเศษทำการตลาดทั่วโลกด้วยโซลูชันเซลล์ขนาดเล็ก ด้วยประวัติอันยาวนานในการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับโซลูชันและบริการแบบครบวงจร ip.access จะปลดล็อกมูลค่าคลื่นความถี่ที่หลากหลายสำหรับลูกค้าทั่วโลก www.ipaccess.com

เกี่ยวกับ Mavenir:

Mavenir เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เครือข่ายและโซลูชั่น / การผสานรวมระบบคลาวด์แบบ end-to-end ชั้นนำซึ่งมุ่งเน้นไปที่การเร่งการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายซอฟต์แวร์สำหรับผู้ให้บริการการสื่อสาร หรือ Communications Service Providers (CSP) โดย Mavenir นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ end-to-end ที่ครอบคลุมในทุกชั้นของสแต็กโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย เริ่มจากชั้นแอปพลิเคชัน / บริการ 5G ไปจนถึงแพ็กเก็ตคอร์และ RAN และ Mavenir เป็นผู้นำในโซลูชันระบบเครือข่ายคลาวด์เนทีฟที่พัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่สร้างสรรค์และปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ปลายทาง การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมใน IMS (VoLTE, VoWiFi, การส่งข้อความขั้นสูง หรือ Advanced Messaging (RCS)), เครือข่ายส่วนตัวและ vEPC, 5G Core และ OpenRAN vRAN ทำให้ Mavenir เร่งการเปลี่ยนแปลงด้านเครือข่ายลูกค้า CSP มากกว่า 250 รายในกว่า 120 ประเทศซึ่งถือเป็นการให้บริการมากกว่า 50% ของสมาชิกทั่วโลก

Mavenir รวบรวมสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัยและรูปแบบธุรกิจที่ขับเคลื่อนความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และความเร็วในการให้บริการ ด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนวิวัฒนาการของ NFV เพื่อบรรลุเศรษฐศาสตร์ระดับเว็บ (web-scale economics) อนึ่ง Mavenir นำเสนอโซลูชันเพื่อช่วย CSP ในการลดต้นทุน การสร้างรายได้ และการปกป้องรายได้ www.mavenir.com

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน  businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200928005183/en/

ติดต่อ:

Mavenir:

Maryvonne Tubb/Denise Hogberg

PR@mavenir.com

ip.access:

Emmanuela Spiteri

emmanuela.spiteri@ipaccess.com

GlobalResults PR

Kevin Taylor

Mavenir@globalresultspr.com

MatterNowPR

Loren Guertin

mavenir@matternow.com

BrainBox AI ขยายความร่วมมือในเอเชียกับ Sunland Cleantech

Logo

มอนทรีออล–(BUSINESS WIRE)–29 กันยายน 2563

BrainBox AI ผู้บุกเบิกบริการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อัตโนมัติสำหรับอาคารสำนักงานและอาคารพาณิชย์ ต้อนรับ Sunland Cleantech สมาชิกใหม่จากฮ่องกงสู่ครอบครัวพันธมิตรผู้แทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตที่กำลังเติบโตอย่างชื่นมื่น

บริการสำหรับเจ้าของอาคารจาก BrainBox AI ประกอบด้วยเทคโนโลยีเฉพาะที่รวมศาสตร์การเรียนรู้เชิงลึก (deep learning) คลาวด์คอมพิวติ้งและอัลกอริทึมเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้อาคารสามารถบริหารจัดการได้ด้วยตัวเอง โซลูชันปัญญาประดิษฐ์ของ BrainBox ช่วยให้ระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศ (HVAC) ของอาคารสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติและแบบเรียลไทม์ ซึ่งทำให้ต้นทุนทางพลังงานโดยรวมลดลงถึง 25% ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน ค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ลดลง 20-40% และระดับความสบายภายในตัวอาคารเพิ่มขึ้น 60%

ปัจจุบัน ลูกค้าของ Sunland Cleantech สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยจัดการการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมที่ใหม่ที่สุดของตลาดและช่วยให้เจ้าของอาคารประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคได้อย่างเห็นผล เทคโนโลยีของ BrainBox AI สามารถติดตั้งให้เสร็จได้ใน 2-3 ชั่วโมงโดยไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งเซ็นเซอร์

“การจับมือกับ BrainBox AI เพื่อให้บริการด้านการประหยัดพลังงานกับลูกค้าของเราโดยมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเป็นศูนย์และระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบที่สั้นช่วยให้เราทำตามพันธกิจที่ต้องการลดการบริโภคพลังงานทั้งจากระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศในเอเชีย” Chad Sunde กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง Sunland Cleantech เผย “จากผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นทุกวัน โซลูชันของ BrainBox AI สามารถนำเสนอทางเลือกที่ดีกว่าที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น”

“พวกเรายินดีเป็นอย่างมากที่ได้เป็นพันธมิตรกับ Sunland Cleantech และนำเสนอ BrainBox AI ในตลาดเอเชีย เราหวังว่า Sunland Cleantech จะช่วยให้เราบรรลุภารกิจในการลดการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งให้ผลกระทบทางด้านสภาพภูมิอากาศลดลงไปด้วย” Rainer Wellige ผู้อำนวยการสูงสุดด้านรายได้ของ BrainBox AI กล่าว

นับตั้งแต่การเปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2562 เป็นต้นมา BrainBox AI ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรจากทั่วโลกไปแล้วกว่า 30 ราย เพื่อนำเสนอโซลูชัน AI ที่เป็นตัวกำหนดอุตสาหกรรมให้กับตลาด Sunland Cleantech ขอเรียนเชิญเจ้าของอาคารในเอเชียให้ติดต่อทีมงาน Sunland Cleantech เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการด้านอาคารใหม่ล่าสุดจาก BrainBox AI โปรดเยี่ยชมเว็บไซต์ของ BrainBox AI เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี

เกี่ยวกับ Sunland Cleantech

Sunland Cleantech เป็นบริษัทจากฮ่องกงที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ เราตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการอันดับ 1 ทางด้านเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดพลังงานในระบบทำความร้อน ระบายอากาศและปรับอากาศ (HVAC) ในเอเชีย และตื่นเต้นกับการได้นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในตลาดให้กับบริษัทต่าง ๆ ในเอเชีย

ไม่เพียงเท่านั้น เรายังเป็นบริษัทที่รักษ์โลกและต้องการทำสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อให้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันกลับมาสู่สภาวะสมดุลและทำให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับคนเจเนอเรชันถัดไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ Sunland Cleantech

เกี่ยวกับ BrainBox AI

BrainBox AI ภายใต้การนำของ Sean Neely ผู้เป็นทั้งซีอีโอและผู้ก่อตั้งร่วม ผนวกกับความเชี่ยวชาญของ Jean-Simon Venne ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสูงสุดด้านเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2560 โดยตั้งเป้าที่จะพลิกโฉมระบบอัตโนมัติภายในอาคารด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อเป็นผู้นำด้านอาคารสีเขียว สำนักงานใหญ่ของ BrainBox AI ตั้งอยู่ที่เมืองมอนทรีออล ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้าน AI ของโลก มีพนักงานกว่า 60 คนที่คอยสนับสนุนลูกค้าในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ในหลายภาคส่วน ได้แก่ อาคารสำนักงาน สนามบิน โรงแรม ที่พักอาศัย อาคารพักอาศัยรวม สถานดูแลระยะยาว ร้านขายของชำและร้านค้าปลีกเชิงพาณิชย์

BrainBox AI ทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านวิจัยหลายราย รวมถึงห้องปฏิบัติการพลังงานทดแทนแห่งชาติ (NREL) ของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ และ Institute for Data Valorization (IVADO) รวมถึงสถาบันด้านการศึกษาอย่าง École de technologie supérieure (ETS) ในมอนทรีออล ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ BrainBox AI

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่:
Sunland Cleantech
Chris Marland
chris@slcleantech.com

BrainBox AI
Perry Goldman
ผู้อำนวยการ, Montieth & Co.
pgoldman@montiethco.com

การทดสอบสาธิตของ NTT Com เพื่อเชื่อมโยงเทคโนโลยี “IDS Connector” ของแพลตฟอร์ม GAIA-X และ SDPF จาก Data Trust®

Logo

  • จะพัฒนาแพลตฟอร์มระดับโลกสำหรับการใช้ข้อมูลข้ามเขตโดยปกป้องสิทธิ์ของผู้ให้บริการข้อมูล –

โตเกียว–(บิสิเนสไวร์)–28 ก.ย. 2563

NTT Communications Corporation (NTT Com) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ไอซีทีและธุรกิจการสื่อสารระหว่างประเทศภายใน NTT Group (TOKYO: 9432) ประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ทางบริษัทจะร่วมมือกับองค์กรวิทยาศาสตร์ข้อมูล International Data Spaces Association (IDSA)1 ในการสาธิตการทดสอบการมีส่วนร่วมในการพัฒนาแพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลที่ปลอดภัยระดับโลกในขั้นตอนแรก2 ซึ่งรับประกันความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างแพลตฟอร์มข้อมูลที่สร้างและจัดการในประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยมัลติมีเดีย อ่านฉบับเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200927005006/en/

The test environment image (Graphic: Business Wire)

ภาพสภาพแวดล้อมการทดสอบ (กราฟิก: บิสิเนสไวร์)

สภาพแวดล้อมการทดสอบสำหรับการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นความลับสูงปลอดภัยจะรวมถึงการเชื่อมต่อ IDS3, เทคโนโลยีหลักของ GAIA-X4 ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลแบบรวมสำหรับยุโรปและ Things Cloud® ของ NTT Com แพลตฟอร์ม IoT และแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะ (SDPF)5 ซึ่งเป็นผสมผสานด้วยนโยบาย Data Trust®6  นโยบายนี้นอกเหนือจากการประเมินการใช้งานจริงและความสามารถในการใช้งานของโครงสร้างใหม่สำหรับการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงของข้อมูลแต่ละรายการอย่างเหมาะสมตามกฎหมายและสัญญาที่เกี่ยวข้องแล้ว จะทำให้เกิดความกระจ่างใหม่เกี่ยวกับข้อกำหนดต่างๆ ของแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาสำหรับการจัดการข้อมูลระหว่างประเทศ ผลลัพธ์คาดว่าจะนำไปสู่การจัดตั้งแพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลระดับโลกที่เชื่อมโยงแพลตฟอร์มข้อมูลท้องถิ่นในประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้อย่างราบรื่น

ในการสาธิตนี้ สภาพแวดล้อมการทดสอบจะถูกสร้างขึ้นเพื่อทดสอบกรณีต่างๆ ของการแบ่งปันข้อมูลระหว่างประเทศ เช่นการตรวจสอบระยะไกลของเครื่องในต่างประเทศ เป็นต้น เพื่อตรวจสอบการใช้งานจริงและการทำงานของการแบ่งปันข้อมูล  ในขั้นต้น ด้วยความร่วมมือกับ NTT Software Innovation Center7 จะมีการติดตั้ง IDS Connector และ SDPF ในสภาพแวดล้อมการทดสอบในญี่ปุ่นเพื่อทดสอบความสามารถในการทำงานร่วมกันของระบบและการจัดการสิทธิ์การใช้ข้อมูลเฉพาะ จากนั้นสภาพแวดล้อมการทดสอบในญี่ปุ่นจะเชื่อมต่อกับสภาพแวดล้อมการทดสอบของ IDSA ในเยอรมนีและสภาพแวดล้อมการทดสอบแยกต่างหากที่ Switzerland Innovation Park Biel/Bienne ไม่แสวงหาผลกำไรของสวิสเซอร์แลนด์8 เพื่อทดสอบการใช้งานจริงและการทำงานของระบบในการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลระหว่างประเทศผ่านเครือข่ายของ NTT Com

หลังจากนั้น NTT Com จะดำเนินการตรวจสอบและทดสอบเพิ่มเติมโดยใช้ผลการทดสอบปัจจุบันในสภาพแวดล้อมการดำเนินการเพื่อตรวจสอบความสามารถในการทำงานร่วมกันของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ต่างๆ โดยใช้ IDS Connector  แพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลระดับโลกใหม่นี้จะได้รับการพัฒนาร่วมกันโดยบริษัทและองค์กรในญี่ปุ่นและต่างประเทศ  ในขณะเดียวกัน NTT Com จะกำหนดข้อกำหนดที่เป็นรูปธรรมสำหรับแพลตฟอร์มร่วมกับองค์กรและบริษัทต่างๆ ที่ทำงานอยู่ในญี่ปุ่นและต่างประเทศ รวมถึงความคิดริเริ่มทางหุ่นยนตร์และไอโอที Robot Revolution & Industrial IoT Initiativeในอนาคต NTT Com หวังว่าจะสนับสนุนการกำหนดคุณสมบัติพื้นฐานผ่านความร่วมมือทางวิชาการระหว่างภาครัฐและเอกชน  ท้ายที่สุดแล้ว NTT Com มีเป้าหมายที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างโลกที่ชาญฉลาดโดยการพัฒนาและจัดหาแพลตฟอร์มสำหรับการแบ่งปันและการใช้งานข้อมูลในวงกว้างทั่วโลก

เทคโนโลยีสำหรับ IoT ปัญญาประดิษฐ์ และการใช้ข้อมูลถูกนำไปใช้มากขึ้นในหลากหลายสาขา เช่นการผลิต โลจิสติกส์ การขนส่ง การดูแลทางการแพทย์ พลังงาน ผังเมือง และรัฐบาล  เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ข้อมูลขั้นสูงแบบหลายจุด จำเป็นต้องมีระบบเพื่อให้แน่ใจว่ามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ระหว่างอุตสาหกรรมธุรกิจและประเทศต่างๆ  ในขณะเดียวกันสิทธิ์ของผู้ให้บริการข้อมูลและผู้ใช้จะต้องได้รับการปกป้องและปฏิบัติโดยการจัดการว่าสามารถใช้ข้อมูลเฉพาะได้เมื่อใด ที่ไหน ใคร ทำไม และภายใต้เงื่อนไขใด  ปัจจุบันระบบ กฎหมายและเทคโนโลยีกำลังได้รับการพัฒนาทั่วโลกเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลดังกล่าว  ในที่สุด การแลกเปลี่ยนข้อมูลในธุรกิจระหว่างประเทศอาจต้องการการปฏิบัติตามข้อกำหนดโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลตามกฎหมายและข้อบังคับของประเทศที่เกี่ยวข้อง

1

International Data Spaces Association (IDSA) จากยุโรปได้กำหนดสถาปัตยกรรมอ้างอิงและมาตรฐานที่เป็นทางการเพื่อใช้ในการสร้างและดำเนินการพื้นที่ข้อมูลเสมือน  สถาปัตยกรรม International Data Spaces (IDS) มีพื้นฐานมาจากรูปแบบการกำกับดูแลข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปซึ่งอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนที่ปลอดภัยและการเชื่อมโยงข้อมูลที่ง่ายดายภายในระบบนิเวศทางธุรกิจ  IDSA มีองค์กรสมาชิกมากกว่า 120 องค์กรจาก 21 ประเทศ

2

แพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลระดับโลกเป็นฟังก์ชันสำหรับเชื่อมโยงแพลตฟอร์มข้อมูลข้ามพรมแดนเพื่อให้แต่ละประเทศสามารถเผยแพร่ข้อมูลระหว่างประเทศได้อย่างปลอดภัย เป็นธรรม และเหมาะสม และปกป้องทรัพย์สินของชาติและสิทธิมนุษยชน

3

IDS Connector ที่จัดทำโดย IDSA เป็นองค์ประกอบหลักของระบบนิเวศข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างปลอดภัยระหว่างฝ่ายที่เชื่อถือได้  โดยปรับใช้ในโครงสร้างพื้นฐาน GAIA-X เช่นเดียวกับในระบบคลาวด์บนคอมพิวเตอร์ขอบหรือบนอุปกรณ์ ฯลฯ ที่ส่งและรับข้อมูลมีการตั้งค่าสำหรับจัดการการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะตามกฎหมายและสัญญา

4

GAIA-X เป็นโครงการริเริ่มที่ประกาศโดยรัฐบาลเยอรมันและฝรั่งเศสในเดือนตุลาคม 2562 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลแบบกระจายอำนาจสำหรับการแบ่งปันและการใช้ข้อมูลที่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายข้อมูลของยุโรป

5

Smart Data Platform (SDPF) เป็นแพลตฟอร์มรุ่นต่อไปของ NTT Com ที่มีฟังก์ชั่นครบวงจรแบบครบวงจรสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลขององค์กร (DX)

6

DATA Trust® เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Nippon Telegraph and Telephone Corporation (NTT)

7

ศูนย์นวัตกรรมซอฟต์แวร์ NTT เป็นห้องปฏิบัติการของ NTT ที่ทำงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเช่นการเร่งความเร็ว DX โครงสร้างพื้นฐานซอฟต์แวร์ โครงสร้างพื้นฐาน AI และคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ซึ่งกำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ

8

Switzerland Innovation Park Biel/Bienne เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรเอกชนของสวิสที่ดำเนินการและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาประยุกต์ที่เน้นอุตสาหกรรม

9

The Robot Revolution & Industrial IoT Initiative เป็นองค์กรเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 ตามความคิดริเริ่มของรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ IoT อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และอื่นๆ  NTT Com ได้เข้าร่วมเป็นหน่วยงานเลขานุการของคณะทำงาน Global Data Management Platform Sub-Working group ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2019

เกี่ยวกับ NTT Communications

NTT Communications แก้ปัญหาความท้าทายด้านเทคโนโลยีของโลกโดยช่วยให้องค์กรต่างๆ เอาชนะความซับซ้อนและความเสี่ยงในสภาพแวดล้อม ICT ด้วยผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่มีการจัดการ  โซลูชันเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกของเราซึ่งรวมถึงเครือข่ายสาธารณะและส่วนตัวระดับ 1 ระดับโลกที่ครอบคลุมกว่า 190 ประเทศ/ภูมิภาคและมากกว่า 500,000m2 ของศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดในโลก ทีมบริการระดับมืออาชีพระดับโลกของเราให้คำปรึกษาและบริการสถาปัตยกรรมเพื่อความยืดหยุ่นและความปลอดภัยที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จทางธุรกิจของคุณ โดยขนาดและความสามารถระดับโลกของเราในโลกเทคโนโลยีนั้นไม่มีใครเทียบได้  เมื่อรวมกับ NTT Ltd., NTT Data และ NTT DOCOMO เราคือ NTT Group

www.ntt.com | Twitter@NTT Com | Facebook@NTT Com | LinkedIn@NTT Com

อ่านเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200927005006/en/

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

Akira Sakaino, Hideaki Niitsuma
Smart Factory Office
Business Planning, Business Solution Division (ฝ่ายวางแผนด้านธุรกิจและผลิตภัณฑ์)
NTT Communications
smart-factory@ntt.com

BrainBox AI ขยายความร่วมมือในเอเชียกับ Sunland Cleantech

Logo

มอนทรีออล–(BUSINESS WIRE)–28 กันยายน 2563

BrainBox AI ผู้บุกเบิกบริการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อัตโนมัติสำหรับอาคารสำนักงานและอาคารพาณิชย์ ต้อนรับ Sunland Cleantech สมาชิกใหม่จากฮ่องกงสู่ครอบครัวพันธมิตรผู้แทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตที่กำลังเติบโตอย่างชื่นมื่น

บริการสำหรับเจ้าของอาคารจาก BrainBox AI ประกอบด้วยเทคโนโลยีเฉพาะที่รวมศาสตร์การเรียนรู้เชิงลึก (deep learning) คลาวด์คอมพิวติ้งและอัลกอริทึมเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้อาคารสามารถบริหารจัดการได้ด้วยตัวเอง โซลูชันปัญญาประดิษฐ์ของ BrainBox ช่วยให้ระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศ (HVAC) ของอาคารสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติและแบบเรียลไทม์ ซึ่งทำให้ต้นทุนทางพลังงานโดยรวมลดลงถึง 25% ในเวลาไม่ถึง 3 เดือน ค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ลดลง 20-40% และระดับความสบายภายในตัวอาคารเพิ่มขึ้น 60%

ปัจจุบัน ลูกค้าของ Sunland Cleantech สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยจัดการการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมที่ใหม่ที่สุดของตลาดและช่วยให้เจ้าของอาคารประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคได้อย่างเห็นผล เทคโนโลยีของ BrainBox AI สามารถติดตั้งให้เสร็จได้ใน 2-3 ชั่วโมงโดยไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งเซ็นเซอร์

“การจับมือกับ BrainBox AI เพื่อให้บริการด้านการประหยัดพลังงานกับลูกค้าของเราโดยมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเป็นศูนย์และระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบที่สั้นช่วยให้เราทำตามพันธกิจที่ต้องการลดการบริโภคพลังงานทั้งจากระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศในเอเชีย” Chad Sunde กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง Sunland Cleantech เผย “จากผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นทุกวัน โซลูชันของ BrainBox AI สามารถนำเสนอทางเลือกที่ดีกว่าที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น”

“พวกเรายินดีเป็นอย่างมากที่ได้เป็นพันธมิตรกับ Sunland Cleantech และนำเสนอ BrainBox AI ในตลาดเอเชีย เราหวังว่า Sunland Cleantech จะช่วยให้เราบรรลุภารกิจในการลดการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งให้ผลกระทบทางด้านสภาพภูมิอากาศลดลงไปด้วย” Rainer Wellige ผู้อำนวยการสูงสุดด้านรายได้ของ BrainBox AI กล่าว

นับตั้งแต่การเปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2562 เป็นต้นมา BrainBox AI ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรจากทั่วโลกไปแล้วกว่า 30 ราย เพื่อนำเสนอโซลูชัน AI ที่เป็นตัวกำหนดอุตสาหกรรมให้กับตลาด Sunland Cleantech ขอเรียนเชิญเจ้าของอาคารในเอเชียให้ติดต่อทีมงาน Sunland Cleantech เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการด้านอาคารใหม่ล่าสุดจาก BrainBox AI โปรดเยี่ยชมเว็บไซต์ของ BrainBox AI เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี

เกี่ยวกับ Sunland Cleantech

Sunland Cleantech เป็นบริษัทจากฮ่องกงที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ เราตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการอันดับ 1 ทางด้านเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดพลังงานในระบบทำความร้อน ระบายอากาศและปรับอากาศ (HVAC) ในเอเชีย และตื่นเต้นกับการได้นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในตลาดให้กับบริษัทต่าง ๆ ในเอเชีย

ไม่เพียงเท่านั้น เรายังเป็นบริษัทที่รักษ์โลกและต้องการทำสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อให้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันกลับมาสู่สภาวะสมดุลและทำให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับคนเจเนอเรชันถัดไป ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ Sunland Cleantech

เกี่ยวกับ BrainBox AI

BrainBox AI ภายใต้การนำของ Sean Neely ผู้เป็นทั้งซีอีโอและผู้ก่อตั้งร่วม ผนวกกับความเชี่ยวชาญของ Jean-Simon Venne ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสูงสุดด้านเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้ง ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2560 โดยตั้งเป้าที่จะพลิกโฉมระบบอัตโนมัติภายในอาคารด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อเป็นผู้นำด้านอาคารสีเขียว สำนักงานใหญ่ของ BrainBox AI ตั้งอยู่ที่เมืองมอนทรีออล ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้าน AI ของโลก มีพนักงานกว่า 60 คนที่คอยสนับสนุนลูกค้าในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ในหลายภาคส่วน ได้แก่ อาคารสำนักงาน สนามบิน โรงแรม ที่พักอาศัย อาคารพักอาศัยรวม สถานดูแลระยะยาว ร้านขายของชำและร้านค้าปลีกเชิงพาณิชย์

BrainBox AI ทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านวิจัยหลายราย รวมถึงห้องปฏิบัติการพลังงานทดแทนแห่งชาติ (NREL) ของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ และ Institute for Data Valorization (IVADO) รวมถึงสถาบันด้านการศึกษาอย่าง École de technologie supérieure (ETS) ในมอนทรีออล ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ BrainBox AI

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่:
Sunland Cleantech
Chris Marland
chris@slcleantech.com

BrainBox AI
Perry Goldman
ผู้อำนวยการ, Montieth & Co.
pgoldman@montiethco.com

IWBI เผย Menarco เป็นรายแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผ่านการประเมิน WELL Health-Safety Rating สำหรับการบริหารและจัดการอาคารสถานที่

Logo

แชมป์ประจำภูมิภาคเป็นผู้บุกเบิกวิธีรับมือกับความท้าทายจากการระบาดของ Covid -19 และให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยในภาพรวมเป็นอันดับต้น ๆ

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–24 กันยายน 2563

วันนี้ International WELL Building Institute หรือ IWBI ได้ประกาศว่าตึก Menarco Tower สัญลักษณ์ของฟิลิปปินส์ เป็นอาคารแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ที่ผ่านระบบประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัยสำหรับการบริหารและจัดการอาคารสถานที่โดย WELL ซึ่งเป็นโครงการที่ IWBI เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้เพื่อเป็นแนวทางและช่วยให้ธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นต่าง ๆ ที่จะทำให้เรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของทั้งพนักงาน ผู้มาเยือน และผู้ถือหุ้นเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้น ๆ

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยเนื้อหาในรูปแบบมัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200924005639/en/
 

Menarco เป็น 1 ในบริษัทกว่า 100 แห่งทั่วโลกที่ลงทะเบียนในการประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัยในรูปแบบเอกสารตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม และได้เตรียมแนวทางซึ่งรองรับโดยวิทยาศาสตร์ของบริษัทขึ้นมา การประเมินนี้เป็นการประเมินโดยอิงจากหลักฐานและมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานภายนอกสำหรับประเภทอาคารและพื้นที่ใช้สอยใหม่และที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งให้ความสำคัญกับนโยบายเชิงปฏิบัติการ เกณฑ์วิธีด้านการบำรุงรักษา แผนฉุกเฉิน และกลยุทธ์การมีส่วนร่วมของผู้ถือหุ้นเพื่อช่วยให้องค์กรกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ

“ระหว่างที่เรากำลังชื่นชมความสำเร็จของ Menarco Tower ในการเป็นอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกของภูมิภาคที่ได้รับการประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัยจาก WELL อยู่นี้ เราภาคภูมิใจที่ได้เห็น Menarco ก้าวไปอีกขั้นในการเดินทางร่วมกับ WELL ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของพวกเขาต่อเรื่องสุขภาพ ความปลอดภัย และการเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน” Rachel Gutter ประธาน IWBI กล่าว “ความสำเร็จครั้งล่าสุดของ Menarco เป็นเสมือนเครื่องยืนยันให้กับทีมที่รับผิดชอบโครงการ พนักงาน และผู้ถือหุ้นว่ามาตรการต่าง ๆ ที่พวกเขานำมาปฏิบัติสอดคล้องกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และผ่านการตรวจสอบตามขั้นตอนรับรองของหน่วยงานภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือในระดับนานาชาติ”

อาคาร Menarco Tower เป็นโครงการแรกที่ได้รับการรับรอง WELL Certified ในประเทศฟิลิปปินส์ โดย Gutter ชี้ให้เห็นว่าเส้นทางสู่การประเมิน WELL Health-Safety Rating ของโครงการที่ได้ขึ้นทะเบียน WELL-registered และได้รับการรับรอง WELL Certified นั้นมีการออกแบบอย่างถี่ถ้วน โดยใช้ประโยชน์จากความสอดคล้องกันของทั้งสองโปรแกรมอย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรมประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัย WELL นั้นดัดแปลงจาก WELL v2 ซึ่งเป็นมาตรฐานอาคารของ WELL ฉบับล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่จะให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาอาคารและปฏิบัติการที่อยู่ในรูปของเอกสารเป็นพิเศษ โครงการต่าง ๆ ของ WELL สามารถนำกลุยทธ์การออกแบบในระยะที่ยาวนานขึ้นไปใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการกระจายของโรคติดเชื้อได้ รวมถึงศึกษาจากระบบประเมินเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เพื่อรับมือกับปัญหาภัยคุกคามแบบฉับพลันและเรียกความมั่นใจให้กลับคืนมาเพื่อรองรับการทำธุรกิจขององค์กร

“ด้วยความร่วมมือจาก IWBI Menarco จะยังคงครองตำแหน่งผู้นำในโครงการริเริ่มต่าง ๆ ด้านอาคารที่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป” Carmen Jimenez-Ong ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Menarco Development Corporation กล่าว ก่อนที่จะเสริมว่า Menarco confidently strode forward during the Covid-19 pandemic despite rising cases in the Philippines. “Menarco ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนา (Covid-19) และยอดผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นในฟิลิปปินส์ “เราทราบดีว่าระบบประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัย WELL ที่เรานำมาใช้นั้นเป็นแนวปฏิบัติที่ใช้ในระดับนานาชาติ และฉันมีความยินดีอย่างมากที่ได้แจ้งข่าวว่าในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ อาคาร Menarco Tower ได้ช่วยเหลือให้ผู้คนปลอดภัยและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข”

Menarco Tower ผ่านการประเมินจากการดำเนินการต่าง ๆ ในห้าหมวดหมู่ ได้แก่ ขั้นตอนการทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อ โครงการเตรียมความพร้อมฉุกเฉินซึ่งประกอบด้วยแผนสำหรับทั้งพนักงานและแขกของอาคาร และแผนสำหรับกลับเข้าอาคารหลักเกิดเหตุฉุกเฉิน ทรัพยากรสำหรับบริการด้านสุขภาพ เช่น การจัดโปรแกรมฟื้นฟูสำหรับผู้ที่ลาป่วยหรือลาคลอด การจัดการคุณภาพอากาศและน้ำ และการมีส่วนร่วมของผู้ถือหุ้นและทรัพยากรสื่อสารเพื่อส่งเสริมการสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

ระบบประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัย WELL โดย IWBI จัดทำขึ้นภายใต้แนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคต่าง ๆ และหน่วยงานที่ดูแลด้านการจัดการเหตุฉุกเฉิน คณะกรรมการจัดทำมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ เช่น ASTM International and ASHRAE และสถาบันวิชาการและวิจัยชั้นนำทั่วโลก IWBI ได้ประโยชน์อย่างมากจากข้อมูลเชิงลึกจากทีม Task Force on COVID-19 ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังเกิดโรคระบาดเพื่อช่วยให้ธุรกิจและผู้นำด้านอาคารต่าง ๆ บูรณาการข้อมูลเชิงลึกพร้อมใช้และกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ได้รับการรับรองแล้วในการต่อสู้กับ COVID-19 และโรคคิดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ

เจ้าของอาคาร ผู้ดำเนินการ และผู้เช่าสามารถรับการประเมินด้านสุขภาพและความปลอดภัย WELL ได้เองอย่างอิสระโดยใช้ระบบประเมินเป็นเป็นแนวทางสู่การได้รับการรับรอง WELL Certification หรือรวมการประเมินไว้ในความสำเร็จสำคัญ ๆ ภายใต้การเดินทางสู่การขอรับรอง WELL Certification หรือใน WELL Portfolio

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบประเมินสุขภาพและความปอลดภัย WELL ได้ที่ https://www.wellcertified.com/health-safety

เกี่ยวกับ Menarco Development:

Menarco Development Corporation (Menarco) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2557 โดยตระกูล Jimenez ที่มี Menardo R. Jimenez (GMA Network) เป็นประธาน และก่อตั้งโดย Carmen Jimenez-Ong ภายใต้วิสัยทัศน์ที่จะก้าวสู่การเป็นกระบอกเสียงในการสร้างพื้นที่ทำงาน เล่น และอาศัยที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ที่ได้รับความไว้วางใจในระดับโลก ด้วยยึดในหลักที่ว่าสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ สุขภาพ และพฤติกรรม Carmen จึงได้เริ่มภารกิจสร้างอาคารสำนักงานที่ดีกว่า ซึ่งได้มาตรฐานด้านสุขภาพและความยั่งยืนในระดับนานาชาติ ผลลัพธ์ที่ได้คืออาคาร Menarco Tower อาคารสำนักงานขนาด 32 ชั้นที่เป็นแลนด์มาร์กและคว้ารางวัลมามากมายซึ่งก่อสร้างเสร็จในปี 2560 อาคารแห่งนี้ได้รับการพิจารณาให้เป็นอาคารที่ดีที่สุดด้านสุขภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลังจากเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวที่ได้รับการรับรอง WELL Certified™ ระดับ Gold ของภูมิภาคนี้ การรับรอง LEED ™ Gold ยังเป็นเครื่องยืนยันที่ว่าอาคารแห่งนี้ไม่เพียงดีต่อผู้คนแต่ยังรวมถึงโลกด้วย ปัจจุบัน Menarco ตั้งตระหง่านอย่างภาคภูมิในฐานะอาคารที่เป็นหนึ่งเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยหลังผ่านการประเมิน Health & Safety Rating ™ จาก IWBI ที่เป็นที่ต้องการของหลาย ๆ คน โดยMenarco เป็นอสังหาแห่งที่สองของโลกที่ผ่านการประเมินต่อจากสนามแยงกี้สเตเดียม

Menarco Development Corporation เจ้าของอาคาร Menarco Tower ซึ่งเป็นเครื่องการันตีถึงความสามารถของบริษัทในการดำเนินการตามวิสัยทัศน์ เป็นผู้นำและนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ในฟิลิปปินส์โดยเป็นผู้บุกเบิกการสร้างอาคารที่ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพและพื้นที่ใช้สอยที่ให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางมากขึ้น ตามสโลแกน Putting You Above All สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม คลิกที่นี่ Facebook: facebook.com/MenarcoDevCorp; InstagramL @menarcotower

เกี่ยวกับ International WELL Building Institute:

The International WELL Building Institute (IWBI) คือผู้นำการเคลื่อนไหวที่จะพาโลกสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านอาคารและชุมชน ด้วยวิธีการที่จะช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ มากขึ้น สิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือวิธีการที่จะทำให้อาคารและชุมชน และทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น มีความสบายมากขึ้น สร้างทางเลือกที่ดีกว่า และยกระดับสุขภาพกายและสุขภาพใจของผู้คนให้ดีขึ้น

WELL v2 เป็นเวอร์ชันล่าสุดของมาตรฐาน WELL Building Standard (WELL) ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และโครงการนำร่อง WELL Community Standard เป็นระบบให้คะแนนในระดับเขตที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการสร้างชุมชนสุขภาพดีทั่วโลก ระบบประเมิน WELL Health-Safety Rating เป็นการประเมินจากหลักฐานและรับรองโดยหน่วยงานภายนอกที่สามารถใช้ได้กับอาคารทุกประเภท ซึ่งให้ความสำคัญกับนโยบายเชิงปฏิบัติการ เกณฑ์วิธีด้านการบำรุงรักษา แผนฉุกเฉิน และการศึกษาของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อรับมือกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) และปัญหาด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่กว้างขึ้นต่อไปในอนาคต IWBI ขับเคลื่อนชุมชนสุขภาพด้วยการจัดการของ WELL AP การแสวงหางานวิจัยที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ การพัฒนาด้านแหล่งทรัพยากรทางการศึกษา และการสนับสนุนด้านนโยบายที่จะส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดีทั่วโลก IWBI เป็นสมาชิก United Nations Global Compact ซึ่งเป็นโครงการด้านการเป็นพลเมืองที่ดีขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดของโลก และช่วยเหลือให้บริษัทพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยใช้ WELL สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่นี่

International WELL Building Institute, IWBI, the WELL Building Standard, WELL v2, WELL Certified, WELL AP, WELL Portfolio, WELL Portfolio Score, The WELL Conference, We Are WELL, the WELL Community Standard, WELL Health-Safety Rating, WELL Health-Safety Rated, WELL Workforce, WELL และอื่น ๆ รวมถึงโลโก้ที่เกี่ยวข้องเป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายรับรองของ International WELL Building Institute pbc ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ.

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่นี่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200924005639/en/

สื่อ:
Yan Tai
media@wellcertified.com
hello@menarco.com.ph

งาน TIE 2020 จะแสดงเส้นทางสู่อนาคตที่ชาญฉลาดที่ถูกหลอมมาจากโดยความสามารถในการฟื้นตัวของไต้หวัน

Logo

ไทเป, ไต้หวัน–(BUSINESS WIRE)– 25 กันยายน 2563

ผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด -19 เมื่อเร็ว ๆ นี้ต่อการค้าทั่วโลกและชีวิตประจำวันของเราทำให้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีในภาคส่วนต่าง ๆ เกิดการเร่งตัวขึ้น ในขณะเดียวกันสังคมของเรากำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคของ Big Data ไปสู่ Hyper Digitization ดังนั้น เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ เตรียมพร้อมรับมือกับเทรนด์เหล่านี้และการเตรียมตัวสู่โลกหลังการแพร่ระบาดของโควิด งาน Taiwan Innotech Expo (TIE 2020) ในปีนี้จึงเน้นถึงเทคโนโลยีการอยู่อาศัยอัจฉริยะล่าสุดที่สามารถจุดประกายจินตนาการใหม่ ๆ โดยนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการจัดงานให้เป็นงานแสดงสินค้าระดับโลก TIE ยังคงดึงดูดความสนใจจากนานาชาติในด้านความแข็งแกร่งของไต้หวันว่าด้วยการวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง งานในปีนี้จะแสดงให้เห็นว่าไต้หวันมีความสามารถในการเผชิญกับวิกฤตโลกและฟื้นตัวคืนได้อย่างไร

พิมพ์เขียวเพื่อโลกที่ดีขึ้นที่พร้อมถูกค้นพบได้ในซุ้มงานสามหัวข้อ

งาน TIE 2020 ที่กำหนดจัดขึ้นที่ Hall 1 ณ Taipei World Trade Center (TWTC) ระหว่างวันที่ 24 ถึง 26 กันยายน   ได้รับการดูแลร่วมกันโดยหน่วยงานของรัฐ 10 หน่วยงานดังต่อไปนี้คือ กระทรวงเศรษฐกิจ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี , กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงกลาโหม, กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ, กระทรวงแรงงาน, สภาเกษตร, สภาพัฒนาการแห่งชาติ, สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสถาบันการศึกษาซินิก้า หรือ  Academia Sinica

ด้วยแนวคิด“ Resilient Taiwan, Smarter Future” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ครอบคลุมการจัดงานในครั้งนี้ ผู้จัดงานจึงได้สร้างพาวิลเลียนหรือซุ้มเพื่อจัดงานใน 3 หัวข้อ ได้แก่ สิ่งประดิษฐ์ยุคบุกเบิก เทคโนโลยีแห่งอนาคต และการพัฒนาที่ยั่งยืน ผลิตภัณฑ์ แนวคิด และเทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตรมากกว่า 1,000 รายการ จะถูกจัดแสดงในงานแสดงสินค้าสามวัน การจัดนิทรรศการ การกล่าวสุนทรพจน์นำเสนอประเด็นสำคัญ และการสัมมนาจะถูกถ่ายทอดสดสำหรับผู้ชมจากต่างประเทศ การทัวร์ชมนิทรรศการโดยไกด์จะถูกจัดให้มีขึ้นทั้งในงานและทางรูปแบบออนไลน์ ส่วนอื่น ๆ ของงาน เช่น การให้คำปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IP) และการประชุมแบบตัวต่อตัวกับซัพพลายเออร์จะสามารถเข้าถึงได้จากระยะไกลผ่านทางอินเทอร์เน็ต

TIE แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งด้านการวิจัยและพัฒนาขององค์กรเอกชน หน่วยงานรัฐบาล สถาบันการศึกษา และหน่วยงานวิจัยของไต้หวัน ไต้หวันกำลังดำเนินการตามนโยบาย New Southbound Policy และกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นโดยการใช้ประโยชน์จากตำแหน่งในภูมิภาคนี้และความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในท้องถิ่น  เป้าหมายระยะยาวคือการเปลี่ยนเกาะไต้หวันให้เป็นศูนย์กลาง IP ระหว่างประเทศและส่งเสริมเทคโนโลยีภายในประเทศ

ซุ้ม Pioneering Inventions หรือ ซุ้มสิ่งประดิษฐ์ยุคบุกเบิก ประกาศการมาถึงของ Hyper Digitization

Pioneering Inventions Pavilion หรือซุ้มสิ่งประดิษฐ์ยุคบุกเบิก จะจัดแสดงโซลูชันเทคโนโลยี 105 รายการที่อุตสาหกรรมต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ได้ภายในห้าปีข้างหน้า โดยซุ้ม หรือ พาวิลเลียนนี้จะถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนย่อย ได้แก่ ไฮเปอร์ออโตเมชั่น อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง การรวมโลกความจริงกับโลกเสมือนจริงเข้าไว้ด้วยกัน และเทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพใหม่ ๆ โดยโซลูชันที่แสดงในงานนี้จะนำเสนอในลักษณะที่เน้นย้ำถึงบทบาทของตนในด้านการป้องกันประเทศ การป้องกันภัยพิบัติ การคมนาคมในอนาคต และการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค นอกจากนี้ซุ้มนี้ยังมีนิทรรศการที่น่าตื่นตาตื่นใจเกี่ยวกับหุ่นยนต์บริการผ่านประสบการณ์แบบเสมือนจริง หรือ VR แบบอินเทอร์แอคทีฟ และห้องออกกำลังกายอัจฉริยะ ฯลฯ อีกด้วย

ซุ้มการพัฒนาอย่างยั่งยืนนำเสนอการสำรวจสำหรับอนาคตของมนุษยชาติ

เพื่อให้เป็นไปตามหลักการของ 4Rs (การออกแบบใหม่ การกู้คืน การลดและการนำกลับมาใช้ใหม่ / รีไซเคิล หรือ redesign, recovery, reduce, and reuse/recycle) นิทรรศการที่ซุ้มการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะจัดแสดงเทคโนโลยีที่อาจนำมาใช้เพื่อสร้างบ้านสีเขียวในอีก 20 ปีข้างหน้า โดย TIE ประจำปีนี้ต้องการนำเสนอระบบนิเวศทางเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยเหตุนี้นิทรรศการที่นี่จึงสะท้อนให้เห็นถึงสี่หัวข้อต่อไปนี้ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของเรามากขึ้นในอนาคต: การเกษตรสมัยใหม่ เทคโนโลยีพลังงานสีเขียว เศรษฐกิจหมุนเวียน และความปลอดภัยในที่ทำงาน นอกจากนี้ TIE ยังได้เชิญชวนให้สมาชิกภาคการเกษตรของยุโรปแบ่งปันเทคโนโลยีและประสบการณ์ระดับมืออาชีพที่ซุ้มการพัฒนาอย่างยั่งยืน พวกเขาจะเข้าร่วมการสัมมนาเพื่อหารือเกี่ยวกับการริเริ่มด้านการตลาดร่วมกันและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์

ซุ้มเทคโนโลยีแห่งอนาคตเปิดขอบเขตใหม่ในการวิจัยและพัฒนา

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีอิทธิพลสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของเราในอนาคตและสามารถกำหนดโลกในรูปแบบที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ดังนั้นซุ้มเทคโนโลยีแห่งอนาคตจะแสดงผลการวิจัยและพัฒนาที่สามารถกำหนดทิศทางของภาคเทคโนโลยีในอีก 3-10 ปีข้างหน้า ในการจัดงานซุ้มนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รวบรวมทรัพยากรจำนวนมากและเชิญนักวิชาการจาก Sinica, กระทรวงศึกษาธิการ และ กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการมาช่วยในความพยายาม การจัดงานแสดงจะเน้นไปที่การดูแลสุขภาพที่แม่นยำถูกต้อง ออปโตอิเล็กทรอนิกส์ วัสดุใหม่ ๆ รวมไปถึง เทคโนโลยี AI และ AIoT ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้เน้นย้ำถึงข้อได้เปรียบของไต้หวันในการพัฒนาเทคโนโลยีระดับแนวหน้าและการใช้งานในระดับที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 การจัดแสดงหลายรายการที่นี่จะสามารถดูได้ทางออนไลน์

พื้นที่นานาชาติที่นำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ณ งานแสดง

การระบาดของโรคครั้งใหญ่นำไปสู่การยกเลิกและเลื่อนงานแสดงสินค้าหลายงานทั่วโลก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นสำหรับ TIE 2020 โดยงานนี้จะรวบรวมผู้แสดงสินค้า 69 รายจาก 18 ประเทศ ได้แก่ Corning, Cisco, Microsoft, Logitech, Siemens, Nissan และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้เข้าร่วมงานจากต่างประเทศเหล่านี้จะจัดแสดงโซลูชันทางเทคโนโลยี 123 รายการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของข้อมูล อุตสาหกรรม 4.0 หุ่นยนต์เทคโนโลยีชีวภาพ พลังงาน และการเกษตร

อย่าพลาดฟอรัม IPBC ไต้หวันที่จะจัดขึ้นในช่วงงานนี้

สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจและสถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรมได้ร่วมมือกับ IAM (Intellectual Asset Management) เพื่อจัดงานประชุมฟอรัมเสมือนจริง IPBC Taiwan ในช่วงเช้าของวันที่ 25 กันยายน โดยการประชุมในครั้งนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับมูลค่าของสินทรัพย์และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่จับต้องไม่ได้ โดยมี Hitachi, Uber และ MediaTek เป็นหนึ่งในผู้นำ IP ระดับโลกที่จะเข้าร่วมการสนทนาออนไลน์และแบ่งปันกลยุทธ์ของพวกเขา ฟอรัมนี้จะออกอากาศภายในสถานที่จัดงาน TIE 2020 บนเวทีหลักในพื้นที่ C ของ TWTC Hall 1 และผู้ชมสามารถติดตามผ่านการสตรีมสด ขอยินดีต้อนรับทุกคนที่ต้องการจะเข้าร่วม

รายละเอียดของงาน

Taiwan Innotech Expo

วันที่: พฤหัสบดีที่ 24 กันยายนถึงวันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2563

สถานที่: Taipei World Trade Center Exhibition Hall 1 ชั้นล่าง

เว็บไซต์: https://tie.twtm.com.tw/

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200923005488/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ

Ms. Mavis Chuang

โทร: 886-03-591-7862

yh.chuang@itri.org.tw

แถลงการณ์ครบรอบหนึ่งปีของโครงการ Women’s Entrepreneurship Accelerator

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–24 กันยายน 2563

โปรดดูคำชี้แจงด้านล่างจากผู้นำ Women’s Entrepreneurship Accelerator เกี่ยวกับการครบรอบหนึ่งปีของโครงการริเริ่มที่สร้างความเปลี่ยนแปลงโครงการนี้

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20200924005283/en/

Anita Bhatia, Deputy Executive Director, UN Women

Anita Bhatia รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจาก UN Women

หนึ่งปีที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นที่จะให้ความรู้และเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการสตรี 10 ล้านคนในช่วงสิบปีข้างหน้าผ่านโครงการ Women’s Entrepreneurship Accelerator (WEA) โดยเราเริ่มวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบเพื่อทำลายอุปสรรคที่ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถบรรลุอิสรภาพทางการเงินและการมีส่วนร่วมในอนาคตที่ดีกว่าสำหรับตนเองและชุมชน

ทุกวันนี้ อนาคตของผู้หญิงกำลังอยู่ในทางแยกของประวัติศาสตร์ ผู้หญิงได้รับผลกระทบในด้านลบอย่างไม่สมสัดส่วนจากความหายนะทางเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจาก COVID-19 แต่ในขณะเดียวกันผู้หญิงก็กุมกุญแจสำคัญในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วย โดยปัจจุบันมีผู้หญิงจำนวน 39% ในการจ้างงานทั่วโลก แต่ว่ามีการสูญเสียงานโดยรวมของสตรีในช่วงการระบาดใหญ่ คิดเป็น 54% และพวกเขามีแนวโน้มที่จะทำงานในภาคส่วนที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบจาก Covid มากกว่า เช่น ภาคการผลิต การศึกษา การท่องเที่ยว การบริการและอาหาร การขายส่งและการขายปลีก สถานประกอบการของสตรีมีความอ่อนไหวต่อแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจเป็นพิเศษ แต่ในสถานการณ์ที่เราดำเนินการในขณะนี้เพื่อต่อสู้กับแนวโน้มเหล่านี้การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของผู้หญิงสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับ GDP ได้ถึง 13 ล้านล้านดอลลาร์ทั่วโลกภายในปี 25731  ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกประเทศ จึงควรให้ผู้หญิงเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเศรษฐกิจหลังการระบาดและความพยายามในการฟื้นตัว

นั่นคือเหตุผลที่ผู้ประกอบการสตรีต้องกลายเป็นสถาปนิกของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ ซึ่งจะเป็นเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น และเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน มันเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของเราในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย โดยให้ธุรกิจที่นำโดยผู้หญิงเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง

  • กรอบนโยบาย: เราเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติพัฒนากรอบนโยบายระดับชาติโดยมีเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและเป้าหมายระดับชาติที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในอันที่จะส่งเสริมเพิ่มจำนวนและสร้างขีดความสามารถของธุรกิจที่ผู้หญิงเป็นเจ้าของ เราขอปรบมือให้กับประเทศที่ได้เริ่มใช้นโยบายการตอบสนอง COVID-19 ในการระดมทุนเพื่อสตรีและเสนอบริการให้กับผู้ประกอบการสตรีแล้ว2  อย่างไรก็ดีธุรกิจของผู้หญิงมักจะยังไม่อยู่ในแผนและมาตรการระดับชาติของประเทศส่วนใหญ่ในด้านการสนับสนุน SMEs
  • การเข้าถึงด้านการเงิน: ภาคเอกชนและภาครัฐต้องร่วมมือกันเพื่อเพิ่มการลงทุนในธุรกิจของผู้หญิงทั้งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดและช่วงอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาโซลูชั่นทางการเงินระดับนวัตกรรม ผ่านการจัดหาทุนและการชำระหนี้และการแนะนำสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
  • การจัดหางาน: รัฐบาลและบริษัททุกขนาดสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้อย่างเหลือเชื่อโดยการซื้อกิจการที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของ สร้างความแตกต่างแบบก้าวกระโดดของการเพิ่มขึ้นของธุรกิจที่มีสตรีเป็นผู้นำในห่วงโซ่อุปทานโดยการแสวงหาธุรกิจที่เป็นของผู้หญิง ตั้งและติดตามเป้าหมาย พร้อม ๆ กับสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีให้เข้าถึงโอกาสในการจัดหางานใหม่ ๆ
  • การศึกษาเชิงดิจิทัล: ผู้ประกอบการสตรีจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลทักษะดิจิทัลและการฝึกอบรมเพื่อให้สามารถเป็นผู้นำและผู้สร้างผลงานในโลกออนไลน์ได้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเลิกการกีดกันทางเพศแบบดิจิทัลและช่วยให้ผู้หญิงเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลทางการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นและสามารถเข้าถึงได้
  • การคุ้มครองทางสังคม: 75% ของผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลกทำงานบ้านโดยไม่ได้รับค่าจ้าง  และการทำงานบ้านก็เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการระบาดของโควิด การคุ้มครองทางสังคม เช่น การลาเพื่อดูแลบุตร เงินสนับสนุนจากรัฐในการดูแลบุตรการประกันสุขภาพ และการชดเชยการว่างงานจะต้องได้รับการสนับสนุนให้ครอบคลุมผู้หญิงในการจ้างงานอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการซึ่งรวมไปถึงผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระด้วย สิ่งนี้จะสร้างเสถียรภาพให้กับชุมชนทั้งหมดทำให้ผู้หญิงมีทางเลือกในการพิจารณาเส้นทางการเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น
  • การสนับสนุนข้ามภาคส่วน: เราทุกคนมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเป็นผู้ประกอบการของสตรี ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรภาคประชาสังคม สมาคมเชิงธุรกิจ โรงเรียนและมหาวิทยาลัย สามารถร่วมมือกันเพื่อสร้างระบบนิเวศที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสตรีเติบโตขึ้นได้3

หากเราไม่ให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้หญิงในระหว่างการต่อกรในระยะยาวกับการแพร่ระบาดของโควิด เราเสี่ยงที่จะทิ้งผู้หญิงหลายล้านคนไว้ข้างหลังและการสูญเสียความก้าวหน้าด้านความเท่าเทียมทางเพศที่เราสามารถเก็บเกี่ยวมาได้นานหลายทศวรรษ ซึ่งนี่ยังรวมถึงการจัดการกับอุปสรรคที่มีมายาวนานตลอดจนการดูแลความปลอดภัยของผู้หญิงทุกคน

ผลกระทบเชิงลบของ COVID-19 ทำให้ความไม่เท่าเทียมกันที่มีอยู่ทวีความรุนแรงมากขึ้นซึ่งทำให้ผู้หญิงที่มีภูมิหลังที่หลากหลายไม่สามารถมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมในทีม ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องใช้มุมมองแบบประสานภาคส่วน (intersectional lens) ในการพัฒนากลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการทางเศรษฐกิจของผู้หญิงทุกคนในการพยายามฟื้นฟูโลกหลังจากภาวะโควิด

การลงทุนในผู้ประกอบการสตรีเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นตัวจากการระบาดของโรค พร้อม ๆ ไปกับการสร้างสังคมที่เข้มแข็ง ครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้น มีความสามารถในการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งมากขึ้น อนาคตของเราขึ้นอยู่กับการลงทุนในผู้ประกอบการสตรี

ลงชื่อ,

Anita Bhatia

รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร UN Women

Pamela Coke-Hamilton

กรรมการบริหาร, The International Trade Centre (ITC)

Annemarie Hou

กรรมการบริหาร a.i., UN Office for Partnerships

Deborah Gibbins

ประธานฝ่ายปฏิบัติการ, Mary Kay Inc.

เกี่ยวกับ the Women’s Entrepreneurship Accelerator

Women’s Entrepreneurship Accelerator เป็นโครงการริเริ่มที่มีพันธมิตรหลายรายซึ่งออกแบบมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้ความรู้และส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีทั่วโลก ภารกิจของ Accelerator คือการขจัดอุปสรรคสำหรับผู้ประกอบการสตรีทั่วโลกผ่าน 4 วิธีการส่งเสริมศักยภาพ หรือ Four Pathways of Empowerment ได้แก่ ด้านการศึกษา การให้ทุน การสนับสนุน และการมีส่วนร่วม โครงการริเริ่มระดับโลกที่เริ่มต้นโดย Mary Kay Inc. ที่ไม่มีการกีดกั้นด้านการมีส่วนร่วม เป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นโดยการหารือกับหน่วยงานของสหประชาชาติ 6 แห่ง ได้แก่ UN Women, สำนักงานเพื่อความร่วมมือแห่งสหประชาชาติ (UNOP), องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO),  International Trade Centre (ITC), UN Global Compact (UNGC) และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) อนึ่ง Accelerator ตั้งเป้าที่จะเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับผู้หญิง 10 ล้านคนภายในปี 2573

อ่านเพิ่มเติมที่ https://www.we-accelerate.com/ ติดตามเราบน Twitter (We_Accelerator), Instagram (@we_accelerator), Facebook (@womensentrepreneurshipaccelerator).

เกี่ยวกับ UN Women

UN Women เป็นหน่วยงานของสหประชาชาติที่อุทิศตนเพื่อความเท่าเทียมทางเพศและการเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิง โดย UN Women เป็นองค์กรส่งเสริมผู้หญิงและเด็กผู้หญิงระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเร่งความคืบหน้าในการตอบสนองความต้องการของพวกเขาทั่วโลก

UN Women สนับสนุนประเทศสมาชิกสหประชาชาติในการกำหนดมาตรฐานระดับโลกเพื่อก่อให้เกิดความเท่าเทียมกันทางเพศ พร้อม ๆ ไปกับการทำงานร่วมกับรัฐบาลและภาคประชาสังคมในการออกแบบกฎหมาย นโยบาย โครงการ และการบริการที่จำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรฐานต่าง ๆ ถูกดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้หญิงจริง ๆ นอกจากนี้ UN Women ยังได้ทำงานไปทั่วโลกเพื่อสร้างวิสัยทัศน์ของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals ให้เกิดขึ้นจริงสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิง และคอยสนับสนุนผลักดันการมีส่วนร่วมของผู้หญิงอย่างเท่าเทียมกันในทุกด้านของชีวิตโดยมุ่งเน้นที่สี่ยุทธศาสตร์สำคัญคือ

UN Women ยังประสานงานและส่งเสริมการทำงานของระบบสหประชาชาติในการส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศและในด้านข้อพิจารณาและข้อตกลงทั้งหมดที่เชื่อมโยงกับวาระ 2030 โดยองค์กรได้วางตำแหน่งด้านความเสมอภาคทางเพศไว้ให้เป็นหลักการพื้นฐานของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และโลกที่ทุกคนได้รับประโยชน์อย่างครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้น

เกี่ยวกับ the International Trade Centre

International Trade Center (ITC) เป็นหน่วยงานร่วมขององค์การการค้าโลกและองค์การสหประชาชาติ โดย ITC ช่วยองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลางในการพัฒนา และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจเพื่อให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้นในตลาดโลกเพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนภายใต้กรอบของวาระการช่วยเหลือเพื่อการค้า หรือ Aid-for-Trade และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ

โครงการริเริ่ม SheTrades ของ ITC มีจุดมุ่งหมายเพื่อเชื่อมโยงผู้ประกอบการสตรีและธุรกิจที่เป็นของผู้หญิงสามล้านคน เพื่อเข้าสู่ตลาดต่างประเทศภายในปี 2564 โดย SheTrades ทำงานร่วมกับรัฐบาล บริษัท และองค์กรสนับสนุนทางธุรกิจเพื่อดำเนินการวิจัย กำหนดรูปแบบนโยบายและกฎระเบียบทางการค้า อำนวยความสะดวกในการจัดหาเงินทุน และขยายการเข้าถึงสู่สาธารณะ การประมูลและซัพพลายเชนขององค์กร ITC ให้โแกาสผู้ประกอบการสตรีในการได้รับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่หลากหลายและหลักสูตรที่ยืดหยุ่นบนแพลตฟอร์ม  www.shetrades.com ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.intracen.org หรือติดตาม ITC บน Twitter | Facebook | LinkedIn | Instagram | Flickr.

เกี่ยวกับ the International Labour Organization

The International Labour Organization (ILO) เป็นหน่วยงานเฉพาะของสหประชาชาติที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2462 หลังจากเกิดสงครามทำลายล้างเพื่อดำเนินตามวิสัยทัศน์ตามสมมติฐานที่ว่าสันติภาพที่เป็นสากลและยั่งยืนสามารถสร้างได้ก็ต่อเมื่อตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมในสังคม จุดมุ่งหมายหลักของ ILO คือการส่งเสริมสิทธิในการทำงานส่งเสริมโอกาสในการจ้างงานที่เหมาะสมเพิ่มการคุ้มครองทางสังคมและเสริมสร้างการเจรจาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการทำงาน โครงสร้างไตรภาคีที่เป็นเอกลักษณ์ของ ILO ให้เสียงที่เท่าเทียมกับคนงาน นายจ้าง และรัฐบาล เพื่อทำให้แน่ใจว่ามุมมองของพันธมิตรทางสังคมจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของการมีมาตรฐานแรงงาน และในการกำหนดนโยบายและโครงการต่าง ๆ

โครงการพัฒนาผู้ประกอบการสตรีของ ILO หรือ The ILO’s Women’s Entrepreneurship Development programme  (ILO-WED) เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และดำเนินการมากว่าทศวรรษ โดย ILO-WED ดำเนินการเพื่อเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้หญิงโดยการปฏิบัติงานเพื่อสนับสนุนผู้หญิงในการเริ่มต้นจัดตั้งและขยายกิจการของตน และโดยการนำประเด็นความเท่าเทียมทางเพศมาใช้ในงานของ ILO ในการพัฒนาองค์กร เว็บไซต์: www.ilo.org | Twitter – @ILOWED | Facebook – ILO WED (International Labour Organization)

เกี่ยวกับ the United Nations Global Compact

ในฐานะที่เป็นโครงการความคิดริเริ่มพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติงาน the United Nations Global Compact คือความพยายามเรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ จัดให้มีการดำเนินงานและกลยุทธ์ตามหลักการสากลสิบประการในด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และการต่อต้านการทุจริต องค์กรซึ่งเปิดตัวในปี 2543 นี้มีหน้าที่ให้คำแนะนำและสนับสนุนชุมชนธุรกิจทั่วโลกในการพัฒนาเป้าหมายและค่านิยมขององค์การสหประชาชาติผ่านแนวทางปฏิบัติขององค์กร ทั้งนี้ ด้วยว่ามีบริษัทมากกว่า 10,000 แห่ง และสมาชิกที่ไม่ใช่องค์กรธุรกิจอีก 3,000 ราย ในกว่า 160 ประเทศ และเครือข่ายท้องถิ่นมากกว่า 60 เครือข่าย มันจึงเป็นโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมติดตาม @globalcompact บนโซเชียลมีเดียและเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราที่ unglobalcompact.org.

เกี่ยวกับ United Nations Office for Partnerships

The United Nations Office for Partnerships (UNOP) ทำหน้าที่เป็นเกตเวย์ระดับโลกสำหรับการเร่งปฏิกิริยาและการสร้างพันธมิตรแบบผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่มเพื่อความก้าวหน้าในการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) โดย UNOP จัดทำแพลตฟอร์มสำหรับการมีส่วนร่วมของพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพและการทำงานเพื่อยกระดับสินทรัพย์และความเชี่ยวชาญของคู่ค้าที่หลากหลายในการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน  UNOP จะกำกับดูแลกองทุนแห่งสหประชาชาติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (the United Nations Fund for International Partnerships) กองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งสหประชาชาติ (the United Nations Democracy Fund) ศูนย์ปฏิบัติการ SDG และผู้ให้การสนับสนุน SDG ของสำนักงานเลขาธิการ  the Secretary-Generals’ SDG Advocates

เยี่ยมชมข้อมูลเพิ่มเติมที่:

สำนักงานเพื่อความร่วมมือแห่งสหประชาชาติ (UNOP) พยายามที่จะเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้สำหรับเหล่าพันธมิตรในการเชื่อมต่อและสร้างโอกาสและแนวทางแก้ไขเพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดย The UN Office for Partnerships ทำงานในระดับโลกภูมิภาคและในประเทศต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกผ่านการเป็นหุ้นส่วนของ SDG – สำหรับผู้คนและโลกใบนี้

สำนักงานนี้ดูแลกองทุนแห่งสหประชาชาติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ( the United Nations Fund for International Partnerships), กองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งสหประชาชาติ (the United Nations Democracy Fund), SDG Action Hub และ Secretary-Generals’ SDG Advocates ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.un.org/partnerships/.

เกี่ยวกับ Mary Kay

Mary Kay ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฉีกกฎเกณฑ์แบบเดิมได้ก่อตั้งบริษัทด้านความงามของเธอมานานกว่า 57 ปี โดยมีเป้าหมายสามประการ คือ มอบโอกาสที่คุ้มค่าสำหรับผู้หญิง ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อาจต้านทานได้ และการทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น ความฝันดังกล่าวได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์โดยมีพนักงานขายอิสระหลายล้านคนใน เกือบ 40 ประเทศ Mary Kay ทุ่มเทให้กับการค้นคว้าวิทยาศาสตร์เบื้องหลังความงามและเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ทันสมัยเครื่องสำอาง ค์สี น้ำหอม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Mary Kay มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิงและครอบครัวด้วยการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ จากทั่วโลกโดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนการวิจัยโรคมะเร็ง การปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงภายในครัวเรือน การทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และการส่งเสริมเด็ก ๆให้ทำตามความฝันของตน ดังนั้นวิสัยทัศน์อันดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ในคอนเซปท์ ก้าวไปด้วยกันทีละลิปสติกยังคงส่องสว่างนำทางต่อไป อ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.marykay.com.

1McKinsey Global Institute, COVID-19 และความเท่าเทียมทางเพศ: การต่อต้านผลกระทบที่ถดถอยโดย Anu Madgavkar, Olivia White, Mekala Krishnan, Deepa Mahajan และ Xavier Azcue (กรกฎาคม 2563)

2ได้แก่ แคนาดา โคลอมเบีย อียิปต์ กัวเตมาลา จอร์เจีย ฮอนดูรัสไอร์แลนด์ เม็กซิโก โมร็อกโก ปารากวัย และสหราชอาณาจักร  นโยบายการตอบโต้ COVID-19 ที่คำนึงถึงเรื่องเพศจากประเทศต่าง ๆ สามารถหาดูได้จาก UN Women และ UNDP’s COVID-19 Global Gender Response Tracker https://www.undp.org/content/undp/en/home/covid-19-gender-dashboard.html

3การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีในการตอบสนองต่อ COVID-19 และเครื่องมือสนับสนุนการฟื้นตัวหน้า 2 หาอ่านได้ที่: https://www.empowerwomen.org/en/resources/documents/2020/09/strengthening-support-for-women-entrepreneurs-in-covid-19-response-and-recovery?lang=en

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20200924005283/en/

ติดต่อ:

Mary Kay Inc.

Michael Wassmer

media@mkcorp.com

+1-972-687-5332

UN Women

Oisika Chakrabarti

oisika.chakrabarti@unwomen.org

+1-646-781-4522

International Trade Centre

Vittorio Cammarota

vcammarota@intracen.org

+41 (0)22 730-0322




Mavenir ส่งมอบความเป็นผู้นำด้านการรับส่งข้อมูลบน 5G (User Plan Function) ด้วยเทคโนโลยีเร่งการส่งข้อมูลของ Nvidia Mellanox SmartNIC

Logo

และ Combo Node ที่สามารถสนับสนุนอุปกรณ์ 2G, 3G, 4G และ 5G ได้พร้อม ๆ กัน

ริชาร์ดสัน, เท็กซัส–(BUSINESS WIRE)–23 กันยายน 2563

Mavenir ผู้ให้บริการด้านซอฟต์แวร์เครือข่ายบนคลาวด์แบบครบวงจรเพียงรายเดียว ได้ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยี User Plane Function (UPF) ที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยการเสริมของเทคโนโลยี NVIDIA Mellanox ConnectX-6 Dx SmartNICs ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและในปริมาณมากในเวลาเดียวกัน

เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนผ่านไปสู่เครือข่าย 5G มีความสมเหตุสมผลขึ้น ระบบ UPF ของ Mavenir จะประกอบด้วยชุดการให้บริการ UPF สำหรับ 5G แบบเครื่องเดี่ยว ที่มีฟังก์ชัน Combo Node ที่ช่วยให้สามารถให้บริการได้ตั้งแต่ 2G จนถึง 5G ได้พร้อม ๆ กัน

ชุด UPF ของ Mavenir ส่งมอบคุณค่าที่มีลักษณะเฉพาะตัวผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น Cloud-Native และประมวลผลบนสถาปัตยกรรม Container นอกจากนี้ยังถูกปรับค่าการประมวลผล Packet ด้วยระบบฮาร์ดแวร์ที่สามารถปรับแต่งและประมวลผลแทนซอฟต์แวร์ได้ (Hardware Offloading) และยังถูกเสริมระบบสำรองการทำงานของอุปกรณ์ในตัวเองในกรณีทีเกิดความเสียหายของอุปกรณ์ (High Availability) แม้ว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการระดับสูงด้วยอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่จำกัด อุปกรณ์ UPF ของ Mavenir สามารถสนับสนุนการติดตั้งและจัดการอุปกรณ์ UPF เป็นจำนวนมาก ๆ ด้วยระบบอัตโนมัติและระบบบำรุงรักษาจากส่วนกลาง ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการบำรุงรักษาและต้นทุนการเป็นเจ้าของ (TCO) ลงไปได้

Mavenir ได้พัฒนาระบบ UPF ที่สามารถปรับแต่งได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยเทคนิคและความสามารถของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ถึง 524 Gbps โดยใช้ fast path (fp) CPU จำนวน 16 ตัวในการทดสอบ ในขณะเดียวกัน UPF ชุดนี้ยังลดขนาดฟุตพริ้นท์ของเซิร์ฟเวอร์ได้ถึง 50% ด้วยการใช้ Nvidia SmartNIC UPF Offload โดย Nvidia ConnecX-6 Dx ช่วยเร่งการรับส่งข้อมูลของ UPF ผ่านระบบ Dynamic Load Balancing, Efficient Packet Processing และระบบ Intelligent Forwarding เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลของผู้ใช้งานหลายพันคน อย่างราบรื่นและรวดเร็วตามมาตรฐานการให้บริการ

“จุดที่มีความสำคัญจุดหนึ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงคือการที่เราสามารถลดฟุตพริ้นท์ของการทำงานลงได้ 50% หลังจากที่มีการใช้ฮาร์ดแวร์ของ Nvidia เข้ามาช่วย” Ashok Khuntia รองประธานกรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไปด้าน Packet Computing ของ Mavenir กล่าว “เราดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เป็นพันธมิตรกับ Nvidia ซึ่งทำให้เราสามารถออกผลิตภัณฑ์ที่มีสมรรถนะสูงและคุ้มค่าต่อราคาในการให้บริการ 5G ในตลาดทั่วโลก”

“UPF packet forwarding เป็นส่วนสำคัญในการให้บริการเครือข่ายที่มีความยืดหยุ่นและมีความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำบนเครือข่าย 5G” Amit Krig รองประธานอาวุโสด้านซอฟต์แวร์และตัวปรับเครือข่ายของ NVIDIA กล่าว “Mavenir ได้ใช้ข้อได้เปรียบของอุปกรณ์ Nvidia ในการส่งมอบอุปกรณ์ UPF ที่มีสมรรถนะในลำดับต้น ๆ ของโลก ในขณะอุปกรณ์ยังช่วยลดการภาระการประมวลผลของ CPU เพื่อให้ CPU สามารถไปประมวลงานด้านอื่นเพื่อเกิดกำไรในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น

เกี่ยวกับ Mavenir:

Mavenir เป็นผู้ให้บริการด้านซอฟต์แวร์เครือข่ายบนคลาวด์เพียงรายเดียวและบริการควบรวมระบบเข้ากับโซลูชันต่าง ๆ อย่างครบวงจร โดยมุ่งเน้นการพัฒนาการเร่งความเร็วในการรับส่งข้อมูลบนเครือข่ายผ่านซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในการให้บริการการสื่อสารของผู้ให้บริการระบบเครือข่ายโทรศัพท์เจ้าต่าง ๆ Mavenir นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการอย่างครบวงจรและครอบคลุมในทุกระดับชั้นของเครือข่ายและระบบโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่สำคัญ ตั้งแต่เครือข่าย 5G application/service layers และระบบ RAN (Radio Access Network) Mavenir เป็นผู้ริเริ่มในการเปลี่ยนแปลง ด้วยระบบ Cloud-Native Networking ที่ช่วยให้สามารถต่อยอดนวัตกรรมและสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังเป็นผู้คิดค้นระบบ IMS ที่ช่วยให้สามารถใช้งานเทคโนโลยี VoLTE, VoWiFi, Advanced Messaging (RCS) Private Network รวมไปถึง vEPC, 5G Core และเทคโนโลยี OpenRan, vRan ของ Mevenir ช่วยเร่งความเร็วในการส่งข้อมูลบนเครือข่ายมากกว่า 250 ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ทั่วโลกในมากกว่า 140 ประเทศ ซึ่งถือว่ามีจำนวนเกินครึ่งของผู้ใช้งานโทรศัพท์ทั่วโลกที่ใช้งานเทคโนโลยีของ Mavenir ในปัจจุบัน

Mavenir อ้าแขนเปิดรับความเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม สถาปัตยกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมไปถึงโมเดลทางธุรกิจที่ช่วยให้เกิดความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และความรวดเร็วของการบริการด้วยโซลูชัน Network Function Virtualization ที่ช่วยให้สามารถขยายตัวได้ตามความต้องการ Mavenir นำเสนอโซลูชันที่ช่วยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ทั่วโลกสามารถลดต้นทุน มีกำไรอย่างสม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงของค่าใช้จ่าย www.mavenir.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20200923005257/en/

ติดต่อ:

Maryvonne Tubb
Mavenir PR

NA-Loren Guertin
MatterNow

EMEA-Kevin Taylor
GlobalResultsPR