Cascale เปิดตัวโมเดลการมีส่วนร่วมของสมาชิกแบบใหม่ พร้อมยกระดับข้อมูลจากซัพพลายเออร์และผู้ผลิต

Logo

อัมสเตอร์ดัม ฮ่องกง และโอกแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย–(BUSINESS WIRE)–31 ตุลาคม 2024

Cascale (เดิมชื่อว่า Sustainable Apparel Coalition) จะเปิดตัวโมเดลการมีส่วนร่วมของสมาชิกและการกำกับดูแลรูปแบบใหม่ เพื่อพัฒนาการตัดสินใจให้เปิดรับความแตกต่างมากขึ้น พร้อมมุ่งยกระดับข้อมูลจากซัพพลายเออร์และผู้ผลิตอย่างแน่วแน่ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ (ซึ่งเกิดขึ้นกับโครงสร้างและผังทีมสมาชิกขององค์กร) จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการที่จะให้มีคนหลาย ๆ กลุ่มอยู่ในซัพพลายเชนอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น รวมถึงตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Cascale ในเรื่องความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการพัฒนาเครื่องมือและมาตรฐานอุตสาหกรรม ทั้งนี้ Cascale มุ่งส่งเสริมการทำงานร่วมกันทั่วทั้งอุตสาหกรรม รวมถึงสร้างความร่วมมือที่เท่าเทียมและมั่นคงยิ่งขึ้นในวงการสินค้าอุปโภคบริโภคโดยการทำให้แบรนด์และซัพพลายเออร์มีอิทธิพลที่สมดุลกันมากขึ้น

ในฐานะองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่อาศัยแนวคิดแบบมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายฝ่าย (Multi-Stakeholder Initiative หรือ MSI) Cascale มีพันธกิจในการมอบห่วงโซ่คุณค่าแบบครบวงจรโดยปราศจากอคติ เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความเท่าเทียมและการเข้าถึงบริการได้สำหรับทุกคน องค์กรคำนึงถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ จึงมุ่งแสวงหาจุดกึ่งกลางระหว่างความต้องการกับความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลากหลายกลุ่ม (ตั้งแต่บริษัทขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก) ผู้ผลิต แบรนด์ และ NGO ต่าง ๆ ซึ่งจะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาอนาคตขององค์กรและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ร่วมกันสำหรับวงการสินค้าอุปโภคบริโภค

ในการรับมือกับข้อเสนอแนะและบทสนทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง Cascale จึงได้ปรับโครงสร้างของทีมสมาชิก โดยเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นที่ระดับภูมิภาคมาเป็นการมุ่งเน้นตามประเภทสมาชิกแทน รวมถึงจะนำกระบวนการกำกับดูแลรูปแบบใหม่เข้ามาปรับใช้ด้วย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อให้บริการแก่สมาชิกที่เป็นผู้ผลิต รวมถึงแบรนด์/ผู้ค้าปลีกได้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน สมาชิกที่เป็นพันธมิตรก็ยังมีส่วนร่วมได้ผ่านทีมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง สมาชิกทุกรายจะได้รับการสนับสนุนและโอกาสต่าง ๆ แบบเฉพาะตัวยิ่งขึ้นผ่านกระบวนการที่มีการวางโครงสร้างแบบใหม่เพื่อช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้นในช่วงระหว่างการเปลี่ยนผ่านนี้

คุณ Andrew Martin ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายบริหารของ Cascale กล่าวว่า “เมื่อใช้โครงสร้างการมีส่วนร่วมของสมาชิกรูปแบบใหม่นี้ เรามีเป้าหมายที่จะสร้างระบบการจัดหาตัวแทนที่ครอบคลุมหลากหลายกลุ่มมากขึ้นและสร้างผลลัพธ์ได้จริง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกความคิดเห็น (โดยเฉพาะผู้ผลิต) จะเป็นที่รับฟังและนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับงานของเราในทุก ๆ ด้านรวมถึงการยกระดับ Higg Index อย่างต่อเนื่องและการพัฒนาโปรแกรมการดำเนินการร่วมกัน” และกล่าวอีกด้วยว่า “การมุ่งเน้นเรื่องความร่วมมือที่เท่าเทียมและการยกระดับกระบวนการครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ Cascale มีต่อเรื่องความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการบรรจบกันของอุตสาหกรรม ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะช่วยให้เรามอบบริการแก่สมาชิก ส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ และขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนอย่างเห็นได้ชัดได้ดียิ่งขึ้นในทุก ๆ ส่วนของห่วงโซ่คุณค่า”

ทีมการมีส่วนร่วมของสมาชิกจาก Cascale เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งนี้ ทีมนี้ทำงานอย่างไม่ลดละเพื่อเสาะหาและยกระดับข้อเสนอแนะจากสมาชิก (โดยเฉพาะผู้ผลิต) เพื่อให้มั่นใจว่าความต้องการของพวกเขาเหล่านี้ได้ถูกนำมาประกอบกระบวนการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น ความพยายามดังกล่าวนี้ช่วยให้เกิดแนวทางที่เปิดรับความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีตัวแทนจากหลากหลายกลุ่มมากขึ้นสำหรับผู้ผลิต ทั้งยังช่วยยกระดับบทบาทต่อการพัฒนาเครื่องมือและแนวคิดต่าง ๆ ของ Cascale อีกด้วย

โครงสร้างที่ Cascale พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้ส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันมากยิ่งขึ้น โดยจะเห็นได้จากการสรรหาสมาชิกเข้าร่วมทีมสมาชิก รวมถึงตำแหน่งใหม่อย่างผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการกำกับดูแลการเป็นสมาชิก ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อข้อเสนอแนะจากซัพพลายเออร์ที่ต้องการให้มีการสนับสนุนและการมีส่วนร่วมในเชิงปฏิบัติมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยตอกย้ำความมุ่งมั่นที่ Cascale มีต่อการดำเนินงานร่วมกันและเน้นย้ำถึงการพินิจพิเคราะห์และความพร้อมปรับตัวอย่างต่อเนื่องขององค์กร นอกจากนี้ โครงสร้างแบบใหม่นี้ยังสอดรับกับคำแนะนำจากคุณ Ilishio Lovejoy ซึ่งเป็นนักวิจัยและปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้จัดการโปรแกรมอยู่ที่ Laudes Foundation อีกด้วย Cascale ช่วยสนับสนุนการศึกษาที่ใช้เวลา 2 ปีของคุณ Lovejoy ในเรื่องเกี่ยวกับ MSI โดยอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลภายในและเปิดให้สัมภาษณ์พูดคุยกับพนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เธอได้นำเสนอกรณีศึกษาของเธอที่งานประชุมประจำปีของ Cascale ที่จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ที่มิวนิก ซึ่งในงานดังกล่าว เธอยังได้ร่วมพูดคุยกับวิทยากรท่านต่าง ๆ รวมถึงตัวแทนสมาชิกในคณะกรรมการจากสามภาคส่วนขององค์กรอีกด้วย เพื่อพูดคุยถึงทฤษฎีว่าด้วยกระบวนการที่เป็นธรรม

หลังจบงาน คุณ Lovejoy กล่าวว่า “ดิฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนองานวิจัยเกี่ยวกับความตึงเครียดในการดำเนินงานร่วมกันที่ Cascale รวมถึงเจาะลึกว่ากระบวนการที่เป็นธรรมจะเป็นกลไกอันล้ำค่าในการตรวจสอบและลดความตึงเครียดเชิงโครงสร้าง การทำงาน และอารมณ์ในแนวคิดแบบมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายฝ่ายเช่นนี้ได้อย่างไรบ้าง” รวมถึง “ดิฉันอยากจะขอบคุณคุณ Colin Browne และคณะกรรมการของ Cascale ที่ได้เชิญดิฉันมานำเสนอผลงานและให้ดิฉันได้มาร่วมพูดคุยแบบเปิดอกในเรื่องยาก ๆ เช่นนี้เพื่อมุ่งให้เกิดการดำเนินงานร่วมกันที่ดียิ่งขึ้นค่ะ”

Cascale ยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนภาคส่วนการผลิต ซึ่งมีความสำคัญมากในการบรรลุเป้าหมายด้านการดำเนินการร่วมกัน เมื่อไม่นานมานี้ องค์กรยังได้ประกาศถึงผลเชิงบวกจากโปรแกรมการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศของผู้ผลิต (Manufacturer Climate Action Program หรือ MCAP) ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญที่ช่วยให้บรรดาผู้ผลิตจากทั่วโลกมาร่วมมือกันเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเปิดรับทั้งสมาชิกของ Cascale และผู้ที่ไม่ใช่สมาชิก ทั้งนี้ ในเดือนกันยายน Cascale ยังได้ประกาศการทำงานร่วมกับสมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องแต่งกายของบังกลาเทศ (BGMEA) โดยมุ่งส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในภาคส่วนเครื่องแต่งกายในภูมิภาคที่กำลังประสบภาวะวิกฤตนี้

ข้อมูลจากซัพพลายเออร์ยังคงมีความสำคัญสูงสุดในขณะที่ Cascale กำลังพัฒนาเครื่องมือ Higg Index ซึ่งมีบริษัทใช้งานกว่า 40,000 แห่งและมีให้บริการบน Worldly เท่านั้น ในแต่ละปี เครื่องมือจะได้รับการอัปเดตให้สอดรับกับความต้องการและเรื่องสำคัญ ๆ ของสมาชิก การอัปเดตเหล่านี้ทำให้เครื่องมือสามารถมอบข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด เพื่อช่วยให้มีการตัดสินใจทางธุรกิจที่ยั่งยืน ทั้งยังสนับสนุนการปฏิบัติตามภาระหน้าที่การรายงานในปัจจุบันและที่เกิดขึ้นใหม่อีกด้วย ในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 การอัปเดต Higg Materials Sustainability Index (Higg MSI) และ Higg Facility Environmental Module (Higg FEM) จะมีข้อเสนอแนะจากสมาชิกและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรวมอยู่ด้วย

Higg MSI (ซึ่งเป็นเครื่องมือการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมแบบ Cradle-to-gate สำหรับวัสดุต่าง ๆ ที่ได้รับการอัปเดตเมื่อเดือนตุลาคม) แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันทั่วทั้งอุตสาหกรรมเป็นเวลาสามปีเกี่ยวกับแนวทางและโมเดลด้านผ้าคอตตอนโดยเฉพาะ นับเป็นการตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับความสอดคล้องกันและความน่าเชื่อถือของข้อมูลเกี่ยวกับเส้นใยโดยเฉพาะ โดยในเดือนพฤศจิกายน การอัปเดต Higg FEM จะเป็นการต่อยอดมาจากการทำงานร่วมกันแบบเชิงลึกในปี 2023 อีกด้วย ทั้งนี้ การอัปเดต Higg FEM ครั้งใหญ่ล่าสุดได้นำข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 140 รายมาใช้ โดยมีผู้ผลิตเป็นกลุ่มที่มีประชากรมากที่สุด

ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของ Cascale ต่างมาร่วมมือกันเพื่อดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศให้รวดเร็วยิ่งขึ้นและขยายผลลัพธ์ในวงกว้างผ่านแนวทางด้านความยั่งยืนที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวซึ่งช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

บุคคลติดต่อ

คุณ Beatrice Thumi เจ้าหน้าที่ฝ่ายการสื่อสารของ Cascale
beatrice.thumi@cascale.org

แหล่งที่มา: Cascale

Mary Kay ได้รับการยกย่องในด้านความเป็นผู้นำด้านการอนุรักษ์ต่อเนื่องเป็นปีที่สองในงาน Texan by Nature 20 ประจำปี 2024

Logo

ดัลลัส–(BUSINESS WIRE)–31 ตุลาคม 2024

Mary Kay Inc. ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมสกินแคร์และความยั่งยืน ได้รับรางวัล Texan by Nature 20 (TxN 20) ประจำปี 2024 ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรด้านการอนุรักษ์ Texan by Nature ที่ก่อตั้งโดยอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง Laura Bush โดย Texan by Nature จัดงานประจำปีเพื่อเชิดชู 20 ธุรกิจที่ตั้งอยู่หรือดำเนินงานในรัฐเท็กซัสที่แสดงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์และความยั่งยืนซึ่งอิงจากข้อมูลผ่านโครงการ TxN 20

Founded by former First Lady Laura Bush, Texan by Nature annually celebrates 20 businesses based or operating in Texas that demonstrate data-backed commitments to conservation and sustainability through the TxN 20 initiative. Photo Credit: Grant Miller Photography

องค์กร Texan by Nature ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง Laura Bush จัดงานประจำปีเพื่อเชิดชู 20 ธุรกิจที่ดำเนินงานในเท็กซัสซึ่งแสดงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์และความยั่งยืนที่อิงจากข้อมูลผ่านโครงการ TxN 20 เครดิตภาพ: Grant Miller Photography

“การได้รับเกียรตินี้เป็นปีที่สองติดต่อกันแสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ Mary Kay ในการผสานรวมแนวทางที่ยั่งยืนเข้ากับธุรกิจของเราผ่านนวัตกรรม การสนับสนุน และความรับผิดชอบ” Virginie Naigeon-Malekหัวหน้าฝ่ายความรับผิดชอบองค์กรและความยั่งยืนของ Mary Kay กล่าว “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้อยู่ในรายชื่อขององค์กรอนุรักษ์ทรงพลังอื่น ๆ ทั่วรัฐเท็กซัส สำหรับ Mary Kay ความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของเรา—เรามุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกสำหรับคนรุ่นต่อไป”

เราเชื่อในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการลงมือทำ ความร่วมมือ และรูปแบบนวัตกรรม” Joni Carswell ซีอีโอและประธานของ Texan by Nature กล่าว “ถือเป็นเกียรติที่ได้ยกย่อง Mary Kay บริษัทที่แสดงให้เห็นว่าการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่านการอนุรักษ์นั้นสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาวทั้งต่อผลกำไร ผู้คน และโลกใบนี้

Cristi Gomez, PhD, DABT, ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกฎระเบียบ ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านวิจัยและพัฒนาของ Mary Kay ได้เข้าร่วมการประชุม Texan by Nature Conservation Summit ครั้งที่ 6 ซึ่งนำเสนอความมุ่งมั่น นวัตกรรม และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดจากหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกับ Texan by Nature  โดย Gomez ได้ร่วมอภิปรายในหัวข้อ “การสร้างคุณค่าในระบบโดยรวม” ซึ่งกล่าวถึงการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ ผลกำไรและความยั่งยืน รวมถึงการประเมินผลลัพธ์จากทุกส่วนในระบบ งานนี้จัดขึ้นเมื่อวันพุธที่ 23 ตุลาคม ณ ศูนย์ประธานาธิบดี George W. Bush

รางวัล TxN 20 ยกย่องผู้นำในอุตสาหกรรม 12 ภาคส่วนในรัฐเท็กซัสที่อยู่แนวหน้าของความพยายามในการอนุรักษ์และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ผู้ชนะรางวัลรายอื่น ๆ สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ของ Texan by Nature

เกี่ยวกับ Mary Kay

อดีต ปัจจุบัน และตลอดไป หนึ่งในผู้บุกเบิกที่ทำลายกำแพงเพดานแก้ว Mary Kay Ash ก่อตั้งแบรนด์ความงามในฝันของเธอในรัฐเท็กซัสเมื่อปี 1963 ด้วยเป้าหมายเดียวคือการยกระดับชีวิตผู้หญิง ความฝันนั้นได้เติบโตเป็นบริษัทระดับโลกที่มีสมาชิกฝ่ายขายอิสระนับล้านคนในกว่า 35 ประเทศ ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา โอกาสจาก Mary Kay ได้เสริมพลังให้ผู้หญิงสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้ผ่านการศึกษา การให้คำปรึกษา การสนับสนุน และนวัตกรรม Mary Kay มุ่งมั่นในการลงทุนในวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงามและผลิตสกินแคร์ที่ล้ำสมัย เครื่องสำอางสี อาหารเสริม และน้ำหอม Mary Kay เชื่อในการอนุรักษ์โลกของเราให้คนรุ่นต่อไป ปกป้องผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากมะเร็งและความรุนแรงในครอบครัว และสนับสนุนเยาวชนให้ทำตามความฝันของพวกเขา เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ marykayglobal.com พบกับเราได้ทาง Facebook, Instagram และ LinkedIn หรือ ติดตามเราได้ที่ X (ชื่อเดิม Twitter)

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54144848/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Mary Kay Inc. Corporate Communications
marykay.com/newsroom
972.687.5332 หรือ media@mkcorp.com

ที่มา: Mary Kay Inc.




Kioxia เริ่มการผลิตอุปกรณ์หน่วยความจําแฟลชแบบฝัง QLC UFS Ver. 4.0 รุ่นแรกจำนวนมากสำหรับอุตสาหกรรม

Logo

อุปกรณ์ 512GB ใหม่นําความหนาแน่นบิตที่สูงขึ้นของ QLC มาสู่ UFS

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–30 ตุลาคม 2024

Kioxia Corporation ผู้นําระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจํา ประกาศในวันนี้ว่าได้เริ่มการผลิตอุปกรณ์หน่วยความจําแฟลชแบบฝัง1 Universal Flash Storage (UFS)2 Ver. 4.0 รุ่นแรกจำนวนมากสำหรับอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีบันทึกข้อมูล 4 บิตต่อเซลล์ (QLC)

QLC UFS Ver. 4.0 Embedded Flash Memory Devices (Photo: Business Wire)

อุปกรณ์หน่วยความจําแฟลชแบบฝัง QLC UFS Ver. 4.0 (ภาพ: Business Wire)

QLC UFS มีความหนาแน่นของบิตที่สูงกว่า TLC UFS แบบดั้งเดิม ทําให้เหมาะสําหรับแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ต้องการความจุในการจัดเก็บข้อมูลที่สูงขึ้น ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีคอนโทรลเลอร์และการแก้ไขข้อผิดพลาดทําให้เทคโนโลยี QLC สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพในการแข่งขันไว้ได้ QLC UFS ขนาด 512 กิกะไบต์ (GB) ใหม่ของ Kioxia มีความเร็วในการอ่านแบบเรียงสูงสุด 4,200 เมกะไบต์ต่อวินาที (MB/s) และความเร็วในการเขียนแบบเรียงสูงสุด 3,200 MB/s โดยใช้ประโยชน์จากความเร็วอินเทอร์เฟซ UFS 4.0 ได้อย่างเต็มที่

QLC UFS ของ Kioxia เหมาะอย่างยิ่งสําหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ตลอดจนแอปพลิเคชันรุ่นต่อไปอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึงความจุและประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลที่สูงขึ้นเป็นหลัก รวมถึงพีซี เครือข่าย AR/VR และ AI

Kioxia เป็นบริษัทแรกที่เปิดตัวเทคโนโลยี UFS3 และยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง อุปกรณ์ QLC UFS Ver. 4.0 ใหม่นี้ผสานรวมหน่วยความจําแฟลช BiCS FLASH™ 3D ที่เป็นนวัตกรรมของบริษัทและคอนโทรลเลอร์ในแพ็คเกจมาตรฐาน JEDEC UFS 4.0 ผสานรวม MIPI M-PHY 5.0 และ UniPro 2.0 และรองรับความเร็วอินเทอร์เฟซเชิงทฤษฎีสูงสุด 23.2 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) ต่อเลนหรือ 46.4 Gbps ต่ออุปกรณ์ UFS 4.0 เข้ากันได้กับ UFS 3.1 รุ่นเก่าได้

คุณสมบัติหลัก ได้แก่ :

  • รองรับคุณสมบัติ High Speed Link Startup Sequence (HS-LSS): ด้วย UFS ทั่วไป การเริ่มต้นลิงค์ (ลําดับการเริ่มต้น M-PHY และ UniPro) ระหว่างอุปกรณ์และโฮสต์จะดําเนินการที่ PWM-G1 ความเร็วต่ำ (3~9 เมกะบิตต่อวินาที 4) แต่ด้วย HS-LSS สามารถทํางานได้ที่ HS-G1 Rate A ที่เร็วกว่า (1,248 เมกะบิตต่อวินาที) คาดว่าจะช่วยลดเวลาในการเริ่มต้นลิงค์ได้ประมาณ 70% เมื่อเทียบกับวิธีทั่วไป
  • เพิ่มความปลอดภัย: โดยใช้ Advanced RPMB (Replay Protected Memory Block) เพื่อปรับปรุงการเข้าถึงการอ่านและเขียนข้อมูลความปลอดภัย เช่น ข้อมูลประจําตัวของผู้ใช้ในพื้นที่ RPMB และ RPMB Purge เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลความปลอดภัยที่ถูกทิ้งจะถูกทำความสะอาดอย่างปลอดภัยและรวดเร็ว
  • รองรับ Extended Initiator ID (Ext-IID): ออกแบบมาเพื่อใช้กับ Multi Circular Queue (MCQ) ที่ตัวควบคุมโฮสต์ UFS 4.0 เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการสุ่ม

หมายเหตุ

(1)การอ้างสิทธิ์ครั้งแรกในอุตสาหกรรมจากการสํารวจข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะของ Kioxia ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2024

(2)Universal Flash Storage (UFS) เป็นหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์สําหรับผลิตภัณฑ์หน่วยความจําแบบฝังที่สร้างขึ้นตามข้อกําหนดมาตรฐาน JEDEC UFS เนื่องจากมีอินเทอร์เฟซแบบอนุกรม UFS จึงรองรับการพิมพ์แบบดูเพล็กซ์เต็มรูปแบบซึ่งช่วยให้สามารถอ่านและเขียนพร้อมกันระหว่างโปรเซสเซอร์โฮสต์และอุปกรณ์ UFS ได้

(3)การจัดส่งตัวอย่างครั้งแรกของ Kioxia Corporation ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2013
https://www.kioxia.com/en-jp/business/news/2013/20130208-1.html

(4)ความเร็วในการสื่อสาร PWM-G1 ขึ้นอยู่กับโฮสต์และอุปกรณ์

*ทุกครั้งที่การกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ Kioxia: ความหนาแน่นของผลิตภัณฑ์จะถูกระบุตามความหนาแน่นของชิปหน่วยความจําภายในผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่ปริมาณความจุหน่วยความจําที่ผู้ใช้ปลายทางสามารถจัดเก็บข้อมูลได้ ความจุที่ผู้บริโภคใช้ได้จะลดลงเนื่องจากพื้นที่ข้อมูลโอเวอร์เฮด การจัดรูปแบบ บล็อกที่ไม่ดี และข้อจํากัดอื่นๆ และอาจแตกต่างกันไปตามอุปกรณ์โฮสต์และแอปพลิเคชัน สําหรับรายละเอียด โปรดดูข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ ที่เกี่ยวข้อง คําจํากัดความของ 1KB = 2^10 ไบต์ = 1,024 ไบต์ คําจํากัดความของ 1Gb = 2^30 บิต = 1,073,741,824 บิต คําจํากัดความของ 1GB = 2^30 ไบต์ = 1,073,741,824 ไบต์ 1Tb = 2^40 บิต = 1,099,511,627,776 บิต

*1 Gbps คํานวณเป็น 1,000,000,000 บิต/วินาที ความเร็วในการอ่านและเขียนเป็นค่าที่ดีที่สุดที่ได้รับในสภาพแวดล้อมการทดสอบเฉพาะที่ Kioxia และ Kioxia รับประกันความเร็วในการอ่านหรือเขียนในอุปกรณ์แต่ละเครื่อง ความเร็วในการอ่านและเขียนอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้และขนาดไฟล์ที่อ่านหรือเขียน

*ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทบุคคลที่สาม

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia เป็นผู้นําระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจํา ซึ่งทุ่มเทให้กับการพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายหน่วยความจําแฟลชและโซลิดสเตตไดรฟ์ (SSD) ในเดือนเมษายน 2017 Toshiba Memory รุ่นก่อนได้แยกตัวออกจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจําแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจํา” โดยนําเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและคุณค่าตามหน่วยความจําสําหรับสังคม เทคโนโลยีหน่วยความจําแฟลช 3D ที่เป็นนวัตกรรมของ Kioxia ที่เรียกว่า BiCS FLASH™ กําลังกําหนดอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันที่มีความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี SSD ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล

*ข้อมูลในเอกสารนี้ เช่น ราคาและข้อมูลจําเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54143662/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สอบถามข้อมูลสื่อ:

Kioxia Corporation

ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การขาย

Satoshi Shindo

โทรศัพท์: +81-3-6478-2404

ที่มา: Kioxia Corporation

Barracuda Technologies เปิดตัวโครงการโรงงานไบโอรีไฟเนอรีแบบมอดุลาร์ครั้งแรกในอินเดีย

Logo

กรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

Barracuda Technologies Pvt. Ltd. บริษัทย่อยทางอ้อมของ Barracuda Technologies Inc. บริษัทสตาร์ตอัปที่ตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโก (สหรัฐอเมริกา) เพิ่งได้ดำเนินการสร้างโครงการโรงงานไบโอรีไฟเนอรีแบบมอดุลาร์ (modular Bio-Refinery) ครั้งแรกในอินเดียสำเร็จไป โดยถือเป็นก้าวสำคัญในด้านการผลิตวัสดุแบบยั่งยืนและหมุนเวียน (sustainable and circular materials) โรงงานไบโอรีไฟเนอรีระดับกึ่งเชิงพาณิชย์นี้ใช้กระบวนการแยกองค์ประกอบชีวมวล (biomass fractionation) เฉพาะของบริษัท เพื่อแปรรูปเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว, ฟางข้าวสาลี, ลำต้นกล้วย, กากอ้อย, ปาล์ม EFB, หญ้า Brachiaria (บราซิล), กัญชง และวัตถุดิบอื่น ๆ ให้กลายเป็นวัสดุที่มีค่า เช่น ลิกนินบริสุทธิ์ (clean Lignin), เซลลูโลส, ไบโอซิลิกา (bio-silica) และเฮมิเซลลูโลส (hemi-cellulose) โรงงานนี้สามารถใช้ชีวมวลได้หลากหลายประเภทและมีของเหลวเหลือทิ้งใกล้ศูนย์ (near-zero liquid discharge) จึงเป็นการดำเนินการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปราศจากของเสีย

เซลลูโลสของ Barracuda มีศักยภาพในการนำไปใช้งานหลากหลาย เช่น การใช้ในวัสดุที่ไม่ถักทอ (non-woven materials) อย่างกระดาษและภาชนะบนโต๊ะอาหาร รวมถึงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (biofuels), ไมโครไฟบริลเลต เซลลูโลส (micro fibrillated cellulose : MFC) และนาโนเซลลูโลส (nano cellulose : CNC) รวมถึงการใช้งานอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ลิกนินบริสุทธิ์ของ Barracuda ซึ่งมีคุณสมบัติ เช่น การป้องกันการไหม้ (anti-charring), การต้านรังสียูวี (UV resistance) และความทนต่อความชื้น และยังมีศักยภาพในการนำไปใช้กับสารเคลือบ กาว เครื่องสำอาง วัสดุก่อสร้าง อาหารเสริมสัตว์ เทอร์มอพลาสติก พอลิยูรีเทน และอื่น ๆ อีกด้วย Barracuda กำลังดำเนินการผลิตไบโอบิทูเมน (Bio-Bitumen) จากลิกนินที่มี โรงงานไบโอรีไฟเนอรียังผลิตไบโอซิลิกาที่มีประโยชน์ในหลากหลายการใช้งาน เช่น ยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์อาหาร วัสดุทั้งหมดของ Barracuda เป็นวัสดุที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ

โครงสร้างแบบมอดุลาร์ของโรงงานไบโอรีไฟเนอรีนี้ช่วยแก้ปัญหาด้านการขนส่งและการจัดการวัตถุดิบที่มีความหนาแน่นต่ำ โดยเอื้อต่อโมเดลแบบระบบศูนย์กลางและเครือข่าย (hub-and-spoke model) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน โครงการนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรของกระบวนการของ Barracuda แต่ยังเป็นทางออกให้กับปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การเผาซังข้าว และยกระดับเศษวัสดุให้มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมหาศาล

Navin Singhania (ผู้ได้ชื่อว่า “มนุษย์เส้นใย”) ผู้ก่อตั้ง Barracuda Technologies และผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการแยกองค์ประกอบชีวมวลกล่าวว่า “นี่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของวงการวัสดุที่ยั่งยืน โรงงานไบโอรีไฟเนอรีแบบมอดุลาร์เปลี่ยนแปลงทุกด้านของปัญหาที่มีมายาวนานเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานและปัญหาด้านการขนส่งวัตถุดิบที่มีความหนาแน่นต่ำและ CAPEX กระบวนการของ Barracuda นั้นมีต้นทุนที่ต่ำมาก สะอาด และเป็นระบบหมุนเวียน เราจะผลิตไฟเบอร์และลิกนินที่ถูกที่สุดในตลาดโลกปัจจุบัน” “เรากำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจำนวนมาก และจะเปิดตัวในอนาคตอันใกล้นี้”

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ
info@barra-labs.com

แหล่งที่มา : Barracuda Technologies

แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์ คว้ารางวัล “Top Production Award 2024” จากแปซิฟิค ครอส

Logo

กรุงเทพฯ–(BUSINESS WIRE)–28 ตุลาคม 2024

แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์ บริษัทนายหน้าประกันสุขภาพระดับโลก ได้รับรางวัล “Top Production Award 2024” ในงาน Hangout Luxury Party 2024 ซึ่งจัดขึ้นโดยแปซิฟิค ครอส โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้น ณ โรงแรม โซ แบงคอก เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2024 และมีคุณ Ricky Batten ผู้จัดการทั่วไป แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์ และคุณ Viktor Voll หัวหน้าทีม CRM เป็นผู้รับมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้ โดยเป็นการมอบให้เพื่อเชิดชูผลงานอันโดดเด่นในการให้บริการด้านประกันสุขภาพทั้งสำหรับองค์กรและแผนประกันสุขภาพระหว่างประเทศ สำหรับลูกค้ารายบุคคลในประเทศไทย

Left to right: Yotsawanrangsikorn Saksinghanatra (Chief Operating Officer at Pacific Cross), Ricky Batten (General Manager at Pacific Prime Thailand), Viktor Voll (CRM Team Lead at Pacific Prime Thailand) (Photo: Business Wire)

จากซ้ายไปขวา : ยสวันต์รังษิกร ศักยดิ์สิงหนาท (ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ แปซิฟิค ครอส), Ricky Batten (ผู้จัดการทั่วไป แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์) และ Viktor Voll (หัวหน้าทีม CRM แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์) (ภาพ : Business Wire)

คุณ Ricky Batten ผู้จัดการทั่วไปของแปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์ ได้กล่าวแสดงความรู้สึกว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ในการรับมอบรางวัลจากแปซิฟิค ครอสในนามของพนักงานทุกคนที่แปซิฟิค ไพร์ม ไทยแลนด์ ความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นได้จากความทุ่มเทของทีมงานที่ยึดมั่นในการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรกและการส่งมอบบริการที่เป็นเลิศ รางวัลนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองความร่วมมืออันมีความหมายยิ่งกับแปซิฟิค ครอส ที่ช่วยให้เราสามารถนำเสนอโซลูชันประกันที่มีคุณภาพสูงและมีการปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง ผมขอแสดงความขอบคุณเป็นพิเศษต่อ ดร. Khanh Bui ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของแปซิฟิค ครอส สำหรับการสนับสนุนอันมีค่าตลอดปีที่ผ่านมา และผมพร้อมที่จะร่วมสร้างความสำเร็จต่อไปในอนาคต”

เกี่ยวกับแปซิฟิค ครอส :

Pacific Cross Insurance Company Limited ดำเนินธุรกิจในฐานะผู้รับประกันภัยและผู้บริหารจัดการแผนประกันภัยในประเทศไทย โดยมีแปซิฟิค ครอส อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นผู้บริหารจัดการแผนประกันในระดับนานาชาติ

สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแปซิฟิค ครอส ได้ที่ : www.pacificcrosshealth.com

เกี่ยวกับแปซิฟิค ไพร์ม

แปซิฟิค ไพร์ม ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 เป็นบริษัทนายหน้าประกันภัยระดับโลกและผู้เชี่ยวชาญด้านสวัสดิการพนักงานที่ได้รับการยอมรับผ่านรางวัลมากมาย นำเสนอโซลูชันประกันภัยทั้งแบบบุคคลและองค์กร ด้วยมูลค่าเบี้ยประกันภัยภายใต้การบริหาร 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันแปซิฟิค ไพร์ม ก้าวขึ้นเป็นนายหน้าด้านสวัสดิการพนักงานที่ใหญ่เป็นอันดับสามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายหลังการเข้าซื้อกิจการธุรกิจนายหน้าของ CXA Group ในปี 2021 บริษัทมีพนักงานกว่า 1,000 คน และสำนักงาน 15 แห่งทั่วโลก ประกอบด้วย ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน ไทย มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อินโดนีเซีย สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย

สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแปซิฟิค ไพร์ม ได้ที่ : https://www.pacificprime.com/corporate

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54142144/en

ข้อมูลติดต่อ

Stephen Ho
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด
แปซิฟิค ไพร์ม

+852 3589 0508

แหล่งที่มา : แปซิฟิค ไพร์ม

Veea, O.N.E. Amazon และ AECOM ร่วมกันสร้างเครือข่าย Internet of Forests (IoF) โซลูชันคอมพิวเตอร์แบบไฮบริด Edge-Cloud เพื่อปกป้องชีวนิเวศป่าฝนและสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น

Logo

โครงการ IoF แรกจะมีการสาธิตสดที่งานประชุมว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของสหประชาชาติ (COP 16) ในเมืองกาลิ โคลอมเบีย ในเดือนตุลาคม 2024

นิวยอร์ก และกาลิ, โคลอมเบีย–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

Veea (NASDAQ : VEEA) ผู้นำรายแรกในตลาดด้านเครือข่ายมัลติแอ็กเซสแบบไฮเปอร์คอนเวอร์จ (hyperconverged multiaccess) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ได้จับมือกับรัฐบาลโคลอมเบีย, O.N.E. Amazon และ AECOM ร่วมกันติดตั้งโซลูชันแบบไฮบริดที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าและหลากหลาย ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์และการสื่อสารแบบ Edge-Cloud ในพื้นที่อนุรักษ์ที่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลโคลอมเบีย วัตถุประสงค์ของการติดตั้งครั้งนี้คือเพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์สุขภาพของป่าฝนและเชื่อมโยงทุกเฮกตาร์ของป่าเข้าสู่ระบบดิจิทัล เพื่อมอบประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนแก่ชุมชนในชนบท โครงการริเริ่ม Internet of Forests นี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของแต่ละหน่วยงานต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งมุ่งส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองขณะเดียวกันก็ปกป้องโลกใบนี้ด้วย

ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งทวีปอเมริกากล่าวว่า “ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศทั่วโลกกำลังลดลง และแรงกดดันที่นำไปสู่การลดลงดังกล่าวยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องการการดำเนินการเร่งด่วนเพื่อผันกลับความสูญเสียทางธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการสูญพันธุ์ขนานใหญ่ครั้งที่ 6 (IPBES, 2019) ตั้งแต่ปี 1970 ทั่วโลกมีการลดลงโดยเฉลี่ยของประชากรสัตว์ถึง 69% ในขณะที่ภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริบเบียนอยู่ในอันดับสูงสุดของรายชื่อนี้ โดยมีการลดลงที่น่าตกใจถึง 94% (WWF, 2022)” โครงสร้างเทคโนโลยีขั้นสูงของ IoF ได้รับการออกแบบมาไม่เพียงเพื่อช่วยรักษาระบบนิเวศของอุทยาน Chiribiquete อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดของโคลอมเบียและเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกเท่านั้น แต่ยังเพื่อเผยคุณค่าที่แท้จริงของทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญที่สุดของโลก ซึ่งมุ่งสู่การบริหารจัดการและปกป้องป่าฝนอะเมซอนอย่างยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต

“เมื่อเราให้การมองเห็นทางโลกดิจิทัลกับสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก เราเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการอนุรักษ์ สร้างการมีส่วนร่วม และพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจ” Allen Salmasi ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Veea กล่าว “ด้วยโซลูชันขั้นสูงอย่าง digital twins นั้น IoF มีศักยภาพในการแปลง (transformative capabilities) ที่สามารถคำนวณและมองเห็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติได้ในวิธีใหม่หมดจด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุรักษ์และสร้างอนาคตที่ยั่งยืน”

โครงการริเริ่ม IoF จะช่วยให้สามารถตรวจสอบและเก็บข้อมูลได้โดยละเอียด โดยเริ่มจากเซ็นเซอร์ภาคพื้นดินและกล้องที่ติดตั้งในป่าฝน ซึ่งข้อมูลที่เก็บได้จะถูกประมวลผลในพื้นที่ด้วยอุปกรณ์ VeeaHub ที่ทำงานในระบบคลัสเตอร์แบบ mesh ที่ติดตั้งในโซนต่าง ๆ ที่ได้รับการคัดเลือกอย่างรอบคอบทั่วป่าฝน โดยใช้การเชื่อมต่อดาวเทียมเป็นตัวสนับสนุน การผสานข้อมูล (data fusion) ผ่านการรวมข้อมูลภาคพื้นดินที่ได้รับการประมวลผลจากแหล่งที่มาต่าง ๆ เข้ากับข้อมูลจาก LIDAR ที่ใช้ดาวเทียม และ/หรือภาพความละเอียดสูง พร้อมการแมชชีนเลิร์นนิงและ AI ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญและความรู้ขั้นสูงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ สภาพแวดล้อม กิจกรรมของมนุษย์ ตัวแปรชีวฟิสิกส์ และทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ ความสามารถหลากหลายที่ติดตั้งใน IoF นี้ทำให้สามารถสร้างกลไกการตรวจสอบ การรายงาน และการยืนยัน (monitoring, reporting and verification : MRV) ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถให้ข้อมูลสภาพของพื้นดินแบบเรียลไทม์ เช่น การเริ่มต้นของไฟป่า การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ขณะเดียวกันยังช่วยในการปกป้องและส่งเสริมสิทธิและความเป็นอยู่ของชุมชนท้องถิ่น

Rodrigo Veloso ซึ่งเป็น CEO ของ O.N.E. Amazon กล่าวว่า “ภารกิจของเราคือการขับเคลื่อนโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยเกือบ 50 ล้านคนในภูมิภาคอะเมซอน ในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาชีวนิเวศ (biome) ไว้สำหรับคนรุ่นหลัง”

Robert Spencer หัวหน้าฝ่ายธรรมชาติและความยั่งยืนระดับโลกของ AECOM กล่าวว่า “เทคโนโลยีด้านธรรมชาติกำลังปฏิวัติวิธีการตัดสินใจเกี่ยวกับป่าฝนเขตร้อนอะเมซอนที่เป็นเอกลักษณ์และชุมชนที่พึ่งพาอยู่ การใช้ข้อมูลสดช่วยให้เรามั่นใจได้ว่า การดำเนินการของเรามีประสิทธิภาพและยั่งยืน AECOM มุ่งมั่นที่จะผลักดันการตัดสินใจที่ดีขึ้นและผลลัพธ์ของชุมชนผ่านความร่วมมือที่มีธรรมชาติเป็นโฟกัสนี้”

แพลตฟอร์ม IoF ที่สร้างโดยพันธมิตรในระบบนิเวศนี้ไม่เพียงแต่มีศักยภาพในการปกป้องระบบนิเวศป่าฝนและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมสำหรับชุมชนท้องถิ่นด้วย ซึ่งจะช่วยให้แอปพลิเคชันที่ใช้ Edge AI สามารถสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืน เช่น เกษตรอัจฉริยะด้วยการเกษตรที่มีความแม่นยำ การจัดการน้ำ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การผลิตพลังงานหมุนเวียนที่หลากหลาย และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์แบบไฮบริด Edge-Cloud ของ Veea ช่วยให้เกิดเครือข่ายขั้นสูงและแอปพลิเคชัน Edge ที่รองรับโดยการเชื่อมต่อและการจัดการแอปพลิเคชันที่ครอบคลุม รวมถึงบล็อกเชน IoT/IIoT/AIoT และเทคโนโลยีการจัดการข้อมูล ซึ่งทั้งหมดนี้ผสานรวมกันให้โซลูชัน “last-hectare” ที่ครบวงจรในป่าฝน เช่น :

  • การเข้าถึงเนื้อหาที่แคชไว้ในพื้นที่และอัปเดตเป็นประจำสำหรับการศึกษา การดูแลสุขภาพ การฝึกอบรม ข่าว และความบันเทิง
  • การวางแผนและการจัดการโซลูชันพลังงานหมุนเวียนในราคาย่อมเยา
  • การติดตามมลพิษทางน้ำ คุณภาพอากาศ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เกี่ยวกับ Veea

Veea® ทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานที่ขอบเครือข่ายง่ายขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น Veea ได้รวมการประมวลผลแบบหลายผู้เช่า การสื่อสารแบบมัลติแอคเซสหลายโปรโตคอล การจัดเก็บข้อมูลที่ขอบเครือข่าย และโซลูชันด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ไว้ในผลิตภัณฑ์ที่บริหารจัดการทั้งบนคลาวด์และที่ขอบเครือข่ายแบบครบวงจร ผลิตภัณฑ์ Multiaccess Edge Computing (MEC) ของ Veea ซึ่งพัฒนาขึ้นตั้งแต่ต้นในรูปแบบขนาดกะทัดรัด ได้นำฟังก์ชันการทำงานที่โดยปกติจะได้รับจากการรวมกันของเซิร์ฟเวอร์, อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่าย (Network Attached Storage หรือ NAS), เราท์เตอร์, ไฟร์วอลล์, จุดเชื่อมต่อ Wi-Fi (Access Points หรือ AP), เกตเวย์ IoT, การเข้าถึงไร้สาย 4G หรือ 5G และการประมวลผลบนคลาวด์ (Cloud Computing หรือ CC) มารวมไว้ในผลิตภัณฑ์เดียวกัน ที่มีการบูรณาการระบบฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบต่าง ๆ ซึ่งผู้ปฏิบัติงานด้าน IT/OT จะต้องดูแลรักษา เมื่อเปรียบเทียบกับโซลูชันแบบเดิมแล้ว Veea Edge Platform ให้ประสิทธิภาพในการตอบสนองแอปพลิเคชันที่สูงขึ้น เพิ่มความปลอดภัยด้านไซเบอร์ ปกป้องข้อมูล และมีการรับรู้ตามบริบท รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งข้อมูลและค่าใช้จ่ายรวมของการเป็นเจ้าของ ทั้งยังติดตั้ง ใช้งาน ตรวจสอบ และบำรุงรักษาเครือข่ายขอบได้อย่างง่ายดาย ผลิตภัณฑ์ VeeaHub ใช้เซิร์ฟเวอร์ที่รันด้วยระบบ Linux ซึ่งมีสภาพแวดล้อมซอฟต์แวร์ที่จำลองแบบเสมือนอย่างครบถ้วนสำหรับแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบคลาวด์โดยใช้คอนเทนเนอร์ Docker™ ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูง โดยมีการแยกข้อมูลผู้ใช้และแอปพลิเคชันออกจากกันอย่างเข้มงวด รวมถึงมีการสร้างเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software Defined Networking หรือ SDN) และการจำลองฟังก์ชันของเครือข่าย (Network Function Virtualization หรือ NFV) ที่ครอบคลุมความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อส่งมอบเครือข่ายแบบมัลติฟังก์ชันผ่านเครือข่ายเชื่อมต่อและประมวลผล โซลูชันครบวงจรที่ติดตั้งได้ง่ายนี้มีการจัดการอุปกรณ์ แอปพลิเคชัน และบริการเสริมต่าง ๆ จากคลาวด์อย่างครบวงจร พร้อมการเข้าถึงเครือข่ายแบบ Zero Trust Network Access (ZTNA) และบริการ Secure Access Service Edge (SASE) ที่ใช้ 5G ซึ่งติดตั้งได้อย่างง่ายดายที่เลือกติดตั้งได้ Veea Edge Platform รองรับการเชื่อมต่อโดยตรงจากเครือข่ายไฟเบอร์ออปติก เครือข่ายเซลลูลาร์ และดาวเทียม สู่เครือข่ายท้องถิ่นที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเครือข่าย VeeaHub ที่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi และอุปกรณ์ IoT ในลักษณะเดียวกับการจัดการเครือข่ายเซลลูลาร์ ซึ่งเป็นความสามารถที่ได้รับการจดสิทธิบัตรภายใต้ชื่อการแบ่งเครือข่าย (Network Slicing) นอกจากนี้ Veea Developer Portal และเครื่องมือพัฒนายังช่วยให้การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ขอบเครือข่ายเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมความสามารถในการรองรับ Edge AI เป็นทางเลือกเสริม Veea ได้พัฒนาโซลูชันที่คุ้มค่าหลากหลายสำหรับข้อเสนอ B2B และ B2B2C ผ่านผู้ให้บริการ ผู้จัดจำหน่ายพันธมิตร ระบบอินทิเกรเตอร์ พันธมิตรด้านองค์กร และหน่วยงานรัฐบาล สำหรับการใช้งานด้านการค้าปลีกอัจฉริยะ การก่อสร้างอัจฉริยะ โลจิสติกส์และคลังสินค้าอัจฉริยะ การเกษตรอัจฉริยะ อาคารอัจฉริยะ โรงเรียนอัจฉริยะ โรงพยาบาลอัจฉริยะ พิพิธภัณฑ์อัจฉริยะ ไปจนถึงเมืองอัจฉริยะ Veea ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก โดยมีประวัติอันยาวนานในด้านนวัตกรรมเครือข่ายขั้นสูง เทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบไร้สายและการประมวลผล รวมถึงมีสิทธิบัตรที่ได้รับการอนุมัติกว่า 103 รายการ และกำลังรอการอนุมัติอีก 33 รายการในเทคโนโลยีหลักด้านการประมวลผลที่ขอบเครือข่ายแบบมัลติฟังก์ชัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม veea.com และติดตามเราทาง X และ LinkedIn

เกี่ยวกับ O.N.E. Amazon

ในฐานะผู้บุกเบิกการผสานรวมด้านความยั่งยืน การทำโทเคไนเซชัน (tokenization) เทคโนโลยี และตลาดการเงิน O.N.E. Amazon พัฒนาโซลูชันนวัตกรรมเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ภารกิจของบริษัทคือการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคอะเมซอนผ่านกองทุนเพื่อผลกระทบเชิงบวก O.N.E. Amazon ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาล เจ้าของที่ดินภาคเอกชน ชนเผ่าพื้นเมือง องค์กรไม่แสวงหากำไร และภาคธุรกิจในดินแดนป่าฝนอะเมซอนครอบคลุมพื้นที่โบลิเวีย บราซิล โคลอมเบีย เอกวาดอร์ กายอานา เปรู ซูรินาเม เวเนซุเอลา และเฟรนช์เกียนา เยี่ยมชมได้ที่ www.oneamazon.com

เกี่ยวกับ AECOM

AECOM คือบริษัทที่ปรึกษาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเชื่อถือระดับโลก บริการระดับมืออาชีพตลอดวงจรชีวิตของโครงการ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การวางแผน การออกแบบและวิศวกรรม ไปจนถึงการบริหารจัดการโครงการและการก่อสร้าง ลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนไว้วางใจให้เราแก้ไขความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดในโครงการต่าง ๆ ครอบคลุมด้านการขนส่ง อาคาร น้ำ พลังงานใหม่ และสิ่งแวดล้อม ทีมงานของเราขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายร่วมกันในการสร้างโลกที่ดีกว่าผ่านความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและดิจิทัลที่ไม่มีใครเทียบ ผ่านวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ความหลากหลาย และการอยู่ร่วมกัน รวมถึงความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล AECOM เป็นบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 โดยธุรกิจบริการระดับมืออาชีพมีรายได้ 14.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2023 ติดตามวิธีการที่เรากำลังสร้างมรดกแห่งความยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปได้ที่ aecom.com และ @AECOM

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ
สื่อมวลชนติดต่อ :
James Christopherson
Sterling Communications สำหรับ Veea Inc.
veea@sterlingpr.com

แหล่งที่มา : Veea

.

.

ปฏิวัติการจัดการและเก็บหลักฐานดิจิทอลด้วยกล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ 5G จาก Hytera

Logo

เซินเจิ้น ประเทศจีน–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

Hytera Communications (SZSE: 002583) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นการสื่อสารระดับมืออาชีพชั้นนำระดับโลกได้เปิดตัวนวัตกรรมกล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ (Body Camera) รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมเปิดตัวสองรุ่นใหม่: กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่อัจฉริยะ 4G SC780 และ SC880 รุ่น 5G ทั้งสองรุ่นพร้อมที่จะปฏิวัติการจัดการ จัดเก็บ และเก็บภาพหลักฐานดิจิทอลให้กับหน่วยงานที่ต้องบังคับใช้กฎหมายและบริการฉุกเฉิน

New Smart SC Series Body Camera (Photo: Business Wire)

กล้องบอดี้แคมอัจฉริยะ SC Series ใหม่ (รูปภาพ: Business Wire)

กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ SC Series รุ่นใหม่ของ Hytera โดดเด่นด้วยความสามารถในการบันทึกวิดีโอและเสียงความละเอียดสูง ทั้งยังมาพร้อมกับการรับส่งข้อมูลความเร็วสูง การสตรีมสดแบบเรียลไทม์ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความรวดเร็วและความน่าเชื่อถือของหลักฐาน จึงช่วยให้ศูนย์ควบคุมรู้ถึงสถานการณ์ภาคสนามได้อย่างดี เมื่อใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มจัดการหลักฐานดิจิทอล (Digital Evidence Management Platform/DEM) กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ ตัวใหม่นี้ก็จะสามารถยกระดับกระบวนการดูแลจัดการ จัดเก็บ และเก็บภาพหลักฐานดิจิทอลได้

กล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ SC Series ตัวใหม่มาพร้อมกับเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหวที่ล้ำสมัยและเลนส์มุมกว้าง จึงทำให้วิดีโอออกมาครอบคลุมและนิ่ง ฟีเจอร์กล้องมองกลางคืนช่วยให้ได้ภาพที่ชัดแม้ในสภาวะแสงน้อย รุ่น SC880 ยกระดับไปอีกขั้นด้วยการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงเป็นพิเศษระดับ 4k และขยายเวลาการบันทึกก่อน/หลังได้สูงสุด 300 วินาที นอกจากนี้ กล้องเหล่านี้ยังสามารถบันทึกเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม โดยบันทึกเสียงได้ชัดเจนภายในระยะ 10 เมตร และยังตัดเสียงรบกวนด้วยฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อให้เสียงออกมาชัดเจนไร้ที่ติ ฟีเจอร์จดจำใบหน้าและป้ายทะเบียนยังช่วยเพิ่มความสามารถในการมอบข้อมูลที่รวดเร็วและแม่นยำไปยังศูนย์บัญชาการ ช่วยให้ระบุผู้ต้องสงสัยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

Hytera ออกแบบโซลูชันกล้องติดบนตัวเจ้าหน้าที่ โดยคำนึงถึงความสามารถด้านเครือข่าย โดยใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบจากเครือข่าย 4G และ 5G SC880 ช่วยให้สามารถรับส่งข้อมูล 5G ได้เร็วขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการบันทึกข้อมูลและการสื่อสารสด นอกเหนือจากความสามารถในการบันทึกขั้นสูงแล้ว ทั้งสองรุ่นยังมีฟังก์ชันการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ซึ่งมีประสิทธิภาพเป็นสองเท่าของวิทยุระบบสัญญาณมือถือ (Push-to-Talk over Cellular/PoC) เพื่อการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่องในสถานการณ์ที่สำคัญต่อภารกิจ กล้องทั้งสองรุ่นสามารถกันฝุ่นและกันน้ำได้อย่างสมบูรณ์ด้วยมาตรฐานระดับ IP68 จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง

แพลตฟอร์มจัดการหลักฐานดิจิทอล (DEM) ของ Hytera มอบการป้องกันที่แข็งแกร่งให้กับหลักฐานดิจิทอล โดยเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลที่เข้มงวด จึงทำให้มั่นใจได้ว่าหลักฐานจะถูกจัดเก็บอย่างแน่นหนาและปลอดภัยตั้งแต่ ณ วินาทีที่เก็บหลักฐานไปจนถึงตอนนำสืบหน้าบัลลังก์ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การแก้ไขและจัดการอุปกรณ์ระยะไกล จึงทำให้เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานด้านความปลอดภัยสาธารณะที่ต้องการมาตรฐานสูงสุดด้านความสมบูรณ์ของข้อมูลและความปลอดภัยตลอดวงจรชีวิตของหลักฐานดิจิทอล

เกี่ยวกับ Hytera

Hytera Communications Corporation Limited (SZSE: 002583) เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีและโซลูชั่นการสื่อสารระดับมืออาชีพชั้นนำระดับโลก ด้วยความสามารถด้านเสียง วิดีโอ และข้อมูล เราให้การเชื่อมต่อที่รวดเร็ว ปลอดภัย และมีความหลากหลายมากขึ้นสำหรับธุรกิจและผู้ใช้งานที่สำคัญ เราช่วยให้ลูกค้าของเราบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้นทั้งในการดำเนินงานประจำวันและการตอบสนองฉุกเฉิน เพื่อทำให้โลกมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54140926/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

lele.yao@hytera.com

แหล่งข้อมูล: Hytera Communications

.

เส้นทางที่เป็นไปได้สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน: APO เปิดตัวกลยุทธ์ Green Productivity 2.0 ที่การประชุม Workshop Meeting ของผู้นำกลุ่ม NPO ครั้งที่ 65

Logo

นาดี ฟิจิ–(BUSINESS WIRE)–28 ตุลาคม 2024

องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (The Asian Productivity Organization – APO) ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop Meeting – WSM) ของผู้นำในกลุ่มองค์กรเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ (NPO) ครั้งที่ 65 ในเมืองนาดี ประเทศฟิจิตั้งแต่วันที่ 23 ถึง 25 ตุลาคม งานประจำปีนี้จัดขึ้นโดยรัฐบาลฟิจิ โดยมีหัวหน้ากลุ่ม NPO และที่ปรึกษา 51 คนจากสมาชิก APO 19 ประเทศ เพื่อช่วยกันกำหนดอนาคตของการผลิตที่ยั่งยืนในภูมิภาค โดยมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (Green Productivity – GP) และปัญญาประดิษฐ์ (AI)

(Photo: Business Wire)

(รูปภาพ: Business Wire)

เซสชั่นเปิดงานครั้งแรกได้รับเกียรติจากการมาเยือนของรองนายกรัฐมนตรีมาโนอา เซรู นาคาอุซาบาเรีย คามิคามิกาของฟิจิ ซึ่งเน้นย้ำถึงการต้องเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เหมือนใครของประเทศหมู่เกาะในการสร้างสมดุลการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน เขากล่าวว่า “ในฐานะชาวเกาะที่วิถีชีวิตถูกคุกคามจากผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรง ชาวฟิจิรู้สึกถึงแรงกดดันสองประการในการแสวงหาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่พยายามบรรเทาผลกระทบด้านลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปด้วยกัน”

ไฮไลท์ของการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้คือการเปิดตัวกลยุทธ์ Green Productivity 2.0 ของ APO: รายงานจาก The Road Ahead ศาสตราจารย์โยอิชิโร มัตสึโมโตะ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (MOFA) ของญี่ปุ่น และสมาชิกสภาที่ปรึกษาการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GPA) ของ APO ได้นำเสนอวิวัฒนาการของแนวคิดการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (Green Productivity – GP) นับตั้งแต่ APO เริ่มต้นขึ้นในปี 1994 รายงานฉบับนี้นำเสนอแผนงานที่มีแนวคิดก้าวหน้าสำหรับรัฐบาล ธุรกิจ และบุคคลทั่วไปในการนำกลยุทธ์ GP 2.0 มาใช้ โดยผสานประสิทธิภาพการผลิตเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การนำเสนอจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงดร. ชินซู ลิน ประธานคณะทำงานด้านเทคนิคเกี่ยวกับ GP 2.0 และตัวแทนจาก Korea Development Institute (KDI) และ MOFA ของญี่ปุ่นช่วยเน้นย้ำว่าการนำกลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GO) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาบูรณาการจะสามารถส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนในภูมิภาคได้อย่างไร

ประธานาธิบดีฟิจิเอชอี ราตู วิเลียม ไมวาลิลี คาโตนิเวียร์ได้เป็นผู้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานเลี้ยงต้อนรับซึ่งจัดโดยประธาน APO ปี 2024-25 และผู้อำนวยการฟิจิโจเน มาริติโน่ เนมานี่ เขาเรียกร้องให้มีความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและเน้นย้ำบทบาทของ GP ในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน “มาร่วมกันควบคุมพลังการผลิตเพื่อปกป้องโลกของเรา” เขาเร่งเร้า โดยเน้นย้ำถึงความทุ่มเทของฟิจิในการเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก นอกจากนี้ เนมานี ประธาน APO ก็ยังได้ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมสภาที่ปรึกษาการเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GPA) ของ APO จากศาสตราจารย์เรียวอิจิ ยามาโมโตะ ซึ่งฝากเชื้อเชิญมาโดยศาสตราจารย์มัตสึโมโตะอีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฟิจิในการพัฒนาความคิดริเริ่มด้านความยั่งยืนในระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ การประชุม WSM ยังมีเซสชั่นการวางแผนเชิงกลยุทธ์ซึ่งผู้นำในกลุ่ม NPO หารือเกี่ยวกับแผนโครงการสำหรับปี 2025 และ 2026 ด้วย แผนเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนสมาชิก APO ในการใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์การเพิ่มผลผลิตสีเขียว (GO) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านการผลิตที่เร่งด่วน และกำหนดรูปแบบการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ขององค์กรหลังวิสัยทัศน์ปี 2025

ในขณะที่ภูมิภาคเผชิญกับความท้าทายระดับโลกอย่างต่อเนื่อง การประชุม WSM ครั้งที่ 65 ก็ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำของ APO ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังเสริมสร้างความมุ่งมั่นร่วมกันของเศรษฐกิจสมาชิกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นอีกด้วย

เกี่ยวกับ APO

Asian Productivity Organization (APO) เป็นองค์กรร่วมระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาคที่มุ่งมั่นเพื่อปรับปรุงผลิตภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกผ่านความร่วมมือร่วมกัน โดยไม่มีความเกี่ยวข้องด้านการเมือง ไม่แสวงหาผลกำไร และไม่เลือกปฏิบัติ APO ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดยมีสมาชิกผู้ก่อตั้งแปดประเทศ และปัจจุบันประกอบด้วยประเทศสมาชิก 21 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฟิจิ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย อิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สปป.ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา ไทย เตอร์กิเย และเวียดนาม

APO มีการดำเนินการเพื่ออนาคตของภูมิภาคโดยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิก ผ่านบริการให้คำปรึกษาด้านนโยบายระดับชาติ ทำหน้าที่เป็นคลังความคิด มีโครงการริเริ่มเพื่อสร้างขีดความสามารถระดับสถาบัน และแบ่งปันความรู้เพื่อเพิ่มผลิตภาพ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54142727/en

ติดต่อ

หากต้องการรายละเอียด โปรดติดต่อ:
Digital Information Unit, APO: pr@apo-tokyo.org เว็บไซต์: https://www.apo-tokyo.org

แหล่งข้อมูล: Asian Productivity Organization (APO)

EGGDROP ได้รับความสนใจจากการสนับสนุนซีรีส์ระดับโลก ‘Love Next Door’ และ ‘Romance in the House’

Logo

  • ซีรีส์ 'Love Next Door' และ 'Romance in the House' ที่ได้รับการสนับสนุนจาก EGGDROP ทั้งสองเรื่อง ติด 10 อันดับแรกของซีรีส์บน Netflix

โซล, เกาหลีใต้–(BUSINESS WIRE)–29 ตุลาคม 2024

บริษัท โกลเด้น ไฮน์ จำกัด (Golden Hind Co., Ltd.)  (โดยมี Young-woo Noh เป็น CEO) บริษัทอาหารและเครื่องดื่มผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์แซนด์วิชไข่พรีเมียมสัญชาติเกาหลี EGGDROP ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้นจากการสนับสนุนการผลิตซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้ทางช่อง tvN เรื่อง 'Love Next Door' และซีรีส์ดราม่าครอบครัวทางช่อง JTBC เรื่อง 'Romance in the House'

Korean drama series ‘LOVE NEXT DOOR’ and ‘ROMANCE in the HOUSE’, supported by EGGDROP, achieve Netflix No. 1 TV series in the Non-English category. (Image: Netflix)

ซีรีส์เกาหลี 'LOVE NEXT DOOR' และ 'ROMANCE in the HOUSE' ที่ได้รับการสนับสนุนจาก EGGDROP คว้าอันดับ 1 ซีรีส์ภาษาต่างประเทศบน Netflix (ภาพ : Netflix)

'Love Next Door' ทะยานขึ้นอยู่ใน 5 อันดับแรกในหมวดซีรีส์ทีวีภาษาต่างประเทศบน Netflix ระดับโลกภายในสัปดาห์แรกที่ออนแอร์ พร้อมติด 10 อันดับแรกใน 75 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ขณะที่ 'Romance in the House' ก็สามารถคว้าอันดับหนึ่งใน 10 อันดับแรก ในหมวดซีรีส์ทีวี (ภาษาต่างประเทศ) ของ Netflix ระดับโลกได้ ภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์หลังออนแอร์ ทั้งสองซีรีส์ยังครองกระแสความนิยมในประเทศอื่น ๆ อาทิ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน และฮ่องกง ซึ่งตอกย้ำกระแสความนิยมของซีรีส์เกาหลีที่ยังคงแรงไม่หยุด

ปรัชญาแบรนด์ของ EGGDROP ที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์มื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพและอิ่มอร่อย ได้ถูกถ่ายทอดผ่านแซนด์วิชไข่อุ่น ๆ ที่นุ่มละมุน ซึ่งผสานเข้ากับฉากชีวิตประจำวันในซีรีส์ได้อย่างกลมกลืน ขณะที่แนวคิด “EGG MAKES BETTER” (ไข่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น) ของแบรนด์ ก็ได้ถูกสื่อสารไปยังผู้ชมทั่วโลกอย่างแนบเนียน Hundo Lee ตัวแทนของ EGGDROP กล่าวว่า “เรารู้สึกปลาบปลื้มที่ซีรีส์ทั้งสองเรื่องที่เราให้การสนับสนุนประสบความสำเร็จในตลาดโลก และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นคุณค่าของแบรนด์ EGGDROP เป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก” พร้อมเสริมว่า “เรามุ่งมั่นที่จะตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภคทั่วโลก โดยวางแผนขยายสู่ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกาในปีนี้

EGGDROP มีแผนสนับสนุนการผลิตผลงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างการรับรู้แบรนด์ในตลาดโลก พร้อมมุ่งสู่การเติบโตในฐานะแบรนด์ระดับนานาชาติผ่านความร่วมมือกับคอนเทนต์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ EGGDROP

Egg Makes Better, EGGDROP EGGDROP คือแบรนด์แซนด์วิชไข่ระดับพรีเมียมที่ได้แรงบันดาลใจจาก “ไข่ซึ่งเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน” โดยสร้างสรรค์มื้ออาหารเพื่อสุขภาพ ที่ใช้ไข่คน (scrambled eggs) ที่ทำจากไข่เกรด A+ และวัตถุดิบสดใหม่เป็นหัวใจหลัก

ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ โกลเด้น ไฮนด์

โกลเด้น ไฮนด์ คือบริษัทรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดสร้างสรรค์ด้าน “Food Venture” (การร่วมทุนทางอาหาร) บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2017 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ในฐานะบริษัทแฟรนไชส์ร้านอาหาร ปัจจุบันมี EGGDROP เป็นธุรกิจหลักและกำลังบ่มเพาะแบรนด์อื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย

(ลิงก์วิดีโอ) ขั้นตอนการทำแฟรนไชส์ EGGDROP บน EGGDROP.co.kr (เว็บไซต์ทางการ)

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54142150/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

บริษัท โกลเด้น ไฮนด์

ทีมปฏิบัติการ

Hundo Lee

+82-1670-4809

anchor@goldenhind.co.kr

แหล่งที่มา : บริษัท โกลเด้น ไฮนด์ จำกัด

บริษัท Starr Insurance ได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการสาขาในกรุงโซลได้

Logo

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–28 ตุลาคม 2024

 บริษัท Starr Insurance ได้ประกาศว่าคณะกรรมการด้านบริการการเงินของเกาหลีใต้ได้ให้ใบอนุญาตแก่บริษัท Starr International Insurance (Singapore) Pte. Ltd. สาขาเกาหลี เพื่อดำเนินกิจการในกรุงโซลและสามารถเริ่มต้นจำหน่ายประกันภัยทรัพย์สินเชิงพาณิชย์/อุบัติเหตุทั่วประเทศเกาหลีได้

Paul Choi ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น CEO ของบริษัท Starr สาขาเกาหลีในเดือนพฤษภาคม 2024 เขามีประสบการณ์ด้านการประกันภัยและนายหน้ารวมถึงผู้ให้บริการมามากกว่า 30 ปี อีกทั้งยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาการจัดการความเสี่ยงและประกันภัยจากมหาวิทยาลัย Georgia State อีกด้วย

Phil Finley ผู้เป็นประธานของบริษัท Starr Asia Pacific กล่าวว่า: “เกาหลีเป็นตลาดประกันภัยเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย และ Starr มีประวัติการดำเนินงานในภูมิภาคนี้มายาวนาน เราคาดว่าเกาหลีจะกลายเป็นแหล่งการเติบโตของเบี้ยประกันภัยที่ทำกำไรได้ดีสำหรับ Starr ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”

เกี่ยวกับ Starr Insurance

บริษัท Starr Insurance (หรือ Starr) เป็นชื่อทางการตลาดสำหรับบริษัทประกันภัยและความช่วยเหลือด้านการเดินทางที่ดำเนินงานและบริษัทในเครือของ Starr International Company, Inc. และสำหรับธุรกิจการลงทุนของ C. V. Starr & Co., Inc. และบริษัทในเครือ Starr เป็นองค์กรประกันภัยและการลงทุนชั้นนำที่มีสำนักงานอยู่ใน 6 ทวีป บริษัท Starr ให้บริการผลิตภัณฑ์ประกันภัยทรัพย์สิน ความเสียหาย อุบัติเหตุและสุขภาพ ตลอดจนความคุ้มครองเฉพาะทางต่างๆ เช่น การบิน ทางทะเล พลังงาน และประกันภัยอุบัติเหตุส่วนเกินผ่านบริษัทประกันภัยที่ดำเนินงานร่วม บริษัทประกันภัยในเครือของ Starr ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในสหรัฐอเมริกา เบอร์มิวดา จีน ฮ่องกง มอลตา สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ต่างก็ได้รับการจัดอันดับ A.M. Best ในระดับ “A” (ยอดเยี่ยม) ส่วนสมาคม Starr's Lloyd's นั้นได้รับการจัดอันดับ Standard & Poor's ในระดับ “A+” (แข็งแกร่ง)

เยี่ยมเยียนเราได้ที่ www.starrcompanies.com หรือติดตามที่ LinkedIn และ X

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย
ติดต่อ

Charlie Armstrong
รองประธานฝ่ายการตลาด
charlie.armstrong@starrcompanies.com, 646.758.8308

แหล่งที่มา: Starr Insurance