SCF เข้าซื้อกิจการ Newpark Fluids Systems

Logo

HOUSTON–(BUSINESS WIRE)–14 กันยายน 2024

SCF Partners, Inc. (“SCF”) มีความยินดีประกาศการเข้าซื้อกิจการธุรกิจ Newpark Fluids Systems business (“NFS”) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและของเหลวความร้อนใต้พิภพชั้นนำระดับโลกจาก Newpark Resources Inc. (NYSE: NR) Newpark Fluids Systems จัดหาผลิตภัณฑ์สำหรับเจาะแบบครบวงจรและบริการทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรองรับโดยชุดซอฟต์แวร์การสร้างแบบจำลองดิจิทัลที่สร้างสรรค์ ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตในการดำเนินงานสำหรับลูกค้าของเรา

David Paterson CEO ของ Newpark Fluid Systems กล่าว “เรารู้สึกตื่นเต้นในการร่วมเป็นพันธมิตรกับ SCF ความร่วมมือครั้งใหม่นี้จเป็นแหล่งสร้างมูลค่ามหาศาลสำหรับทั้งลูกค้าของเราและทีมงาน Newpark Fluids Systems ทุกคน แผนการเติบโตเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของเราจะเร่งตัวภายใต้คณะกรรมการชุดใหม่ที่มุ่งเน้นเฉพาะด้าน ซึ่งมีประสบการณ์และความมุ่งมั่นอย่างมากในด้านพลังงาน ประวัติความสำเร็จที่ไม่มีใครเทียบของ SCF ในอุตสาหกรรมบริการด้านพลังงานระดับโลกเปิดโอกาสอันน่าตื่นเต้นสำหรับเราในอนาคต”

Deviyani Misra-Godwin กรรมการบริหารของ SCF Partners กล่าว “เป็นเวลากว่า 25 ปีแล้วที่ Newpark Fluids Systems ได้รักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดของเหลวสำหรับการขุดเจาะและการผลิตทั่วโลก โดยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของลูกค้าด้วยการให้บริการที่มีคุณภาพระดับชั้นนำของอุตสาหกรรม การดำเนินงานทั่วโลก ประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในระดับควอไทล์ ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชั้นนำ และตำแหน่งที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมพลังงานความร้อนใต้พิภพที่กำลังเติบโตของ Newpark Fluid Systems จะช่วยเสริมความสำเร็จในภูมิทัศน์ด้านพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ร่วมกับทีมผู้นำ เรามุ่งหวังที่จะสร้างมูลค่ามหาศาลให้กับลูกค้าและพนังงานของเราในเส้นทางการเติบโตในอนาคต”

Vinson & Elkins LLP เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายสำหรับ SCF ในการทำธุรกรรมครั้งนี้

เกี่ยวกับ Newpark Fluids Systems

Newpark Fluids Systems เป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์ของเหลวสำหรับการขุดเจาะและการผลิตแบบครบวงจรและบริการทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องให้แก่ลูกค้าสำหรับโครงการน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานนความร้อนใต้พิภพ โดยโครงการส่วนใหญ่อยู่ที่อเมริกาเหนือ ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวมถึงบางประเทศในเอเชียแปซิฟิก NFS ให้แนวทางความรู้ในท้องถิ่นโดยมุ่งเน้นของเหลวใต้พิภพและการเข้าถึงทั่วโลก เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและผลผลิตสำหรับการดำเนินงานของลูกค้าทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.newpark.com

เกี่ยวกับ SCF Partners

SCF ก่อตั้งขึ้นในปี 1989 โดยให้บริการเงินทุนและความช่วยเหลือด้านการเติบโตเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างและขยายบริษัทในภาคส่วนการบริการด้านพลังงาน อุปกรณ์ และเทคโนโลยีชั้นนำที่มีการดำเนินงานทั่วโลก SCF มีการลงทุนในบริษัทแพลตฟอร์มมากกว่า 80 แห่ง และเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมอีกกว่า 400 แห่ง เพื่อพัฒนาบริษัทในภาคส่วนการบริการด้านพลังงานและอุปกรณ์ที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 18 แห่งตลอดประวัติศาสตร์การดำเนินงานของบริษัท บริษัทมีสำนักงานใหญ่ที่ฮูสตัน เท็กซัส และมีสำนักงานที่อเบอร์ดีนและออสเตรเลีย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.scfpartners.com

เกี่ยวกับ Newpark Resources

Newpark Resources, Inc. เป็นบริษัทให้บริการโซลูชันสำหรับโรงงาน โดยมีการผลิต จำหน่าย และให้เช่าผลิตภัณฑ์คอมโพสิตที่ยั่งยืนและเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม พร้อมบริการครบวงจร รวมถึงการวางแผน โลจิสติกส์ และการแก้ไขปัญหา สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.newpark.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54122034/en

ติดต่อ

Paul Bateman
pbateman@scfpartners.com

แหล่งข้อมูล: SCF Partners

พบกับเทรนด์ความงามในอนาคตได้ในรายงานนวัตกรรมความงามระดับโลกฉบับใหม่ของ NielsenIQ (NIQ)

Logo

  • แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่ผสานรวมนวัตกรรมใหม่ในปี 2023 มีแนวโน้มที่จะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า
  • 20% ของการเปิดตัวนวัตกรรมในปี 2023 ในยุโรปเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผม
  • การกระตุ้นอย่างมีประสิทธิผลจะช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายที่มุ่งเน้นโฆษณาให้สูงขึ้น 20%

CHICAGO–(BUSINESS WIRE)–12 กันยายน 2024

ในอุตสาหกรรมความงามที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การทำความเข้าใจและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญเป็นปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลังเกิด COVID-19 วันนี้ NIQ ได้เปิดตัวรายงานนวัตกรรมความงามระดับโลก ซึ่งขับเคลื่อนโดยมาตรการวัดระดับนวัตกรรม NIQ BASES ซึ่งให้มุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสถานะของนวัตกรรมและเทรนด์ในอนาคตของตลาดอุตสาหกรรมความงามทั่วทั้ง 14 แห่ง

แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่ผสานรวมนวัตกรรมใหม่ในปี 2023 มีแนวโน้มที่จะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า เมื่อเทียบกับยอดขายของแบรนด์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมหรือมีการยกเลิกใช้นวัตกรรม นวัตกรรมที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะสามารถดึงดูดผู้ซื้อรายใหม่ๆ สร้างโอกาสการใช้งานใหม่ๆ สามารถปรับราคาขึ้นในระดับพรีเมี่ยม และสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำได้เป็นอย่างดี

แบรนด์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสามารถมองเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้น 30% โดยเฉลี่ยในปีที่ 1 เมื่อเทียบกับแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในอัตราที่ต่ำกว่า การเปิดตัวอย่างมีประสิทธิผลจะช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายที่มุ่งเน้นโฆษณาให้สูงขึ้น 20% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการปรับองค์ประกอบอย่างสร้างสรรค์และเหมาะสม ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีการดำเนินการทางตลาดและส่งเสริมการขายที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี

Claire Marty รองประธานฝ่ายพัฒนาลูกค้าทั่วโลก กล่าว “แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ผู้บริโภคก็ยังคงไม่มีการลดค่าใช้จ่ายด้านความงามเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ FMCG อื่นๆ โดย 80% แสดงความตั้งใจที่จะยังคงระดับหรือเพิ่มการใช้จ่ายในด้านนี้ ความนิยมทั่วโลกของอุตสาหกรรมความงามยังคงเพิ่มขึ้น โดยยอดขายของอุตสาหกรรมยังคงเติบโตในระดับสองหลักในทุกภูมิภาค และคาดว่า จะสามารถเพิ่มสูงถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐในทศวรรษหน้า”

แนวโน้มการพัฒนาที่เร่งการเกิดนวัตกรรมในอุตสาหกรรมความงาม:

  • สะอาดและยั่งยืนแนวโน้มของผลิตภัณฑ์ที่สะอาดและยั่งยืนมีการเติบโตสูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ CPG โดยมุ่งเน้นในการจัดหาอย่างถูกต้องตามจริยธรรม บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการลดปริมาณคาร์บอน ในเกาหลีใต้ ผลิตภัณฑ์ความงามที่สะอาดกลายเป็นทางเลือกในการใช้ชีวิต โดยผู้ผลิตให้ความสำคัญในการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและแนวทางการผลิตที่ยั่งยืน
  • การมุ่งเน้นในส่วนผสมผู้บริโภคทั่วโลกซื้อของโดยคำนึงถึง ‘ส่วนผสมเป็นอันดับแรก’ โดยให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ตามรายการส่วนผสม ผู้บริโภคมีความสนใจในผลิตภัณฑ์ทั้งที่มีและไม่มีส่วนผสม ผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรมีการให้ความสำคัญกับผลลัพธ์และประสิทธิผลเหนือชื่อแบรนด์
  • ที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้ ​: เซเลบริตี้ แพทย์ผิวหนัง และอินฟูลเอนเซอร์ ล้วนเป็นผู้กำหนดการตัดสินใจผ่านโซเชียลมีเดีย ในประเทศจีน จำนนวน Key Opinion Leaders (KOL) สูงเกิน 20 ล้านคนและยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ 80% ของยอดขายจริงมาจาก KOL เพียง 7% เท่านั้น
  • การปรับแต่งและการรวมกลุ่มผู้บริโภคมีความนิยมสูงขึ้นในแบรนด์ที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคล ส่งผลให้มีประสบการณ์ที่ปรับแต่งได้สูงขึ้น เช่น แบบทดสอบเกี่ยวกับเส้นผมและผิวหนัง Afroconsumption เป็นหัวข้อการปรับแต่งและการรวมกลุ่มที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในบราซิล โดยผู้หญิงเลือกที่จะไม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับยืดผม
  • มุ่งเน้นด้านสุขภาพ: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง ส่งผลให้มีความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกาย จิตใจ และอารมณ์ อุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ในฝรั่งเศสใช้ประโยชน์จากประสาทวิทยาที่มุ่งเป้าไปที่ร่างการและจิตใจ แบรนด์หรูกำลังสร้างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปรับปรุงทั้งสภาพผิวและความเป็นอยู่ที่ดีทางอารมณ์
  • ความสะดวกสบายและความสามารถในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง (DTC) และการบำรุงความงามที่ทำได้เองที่บ้านได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วง COVID-19 แนวโน้มนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าเสริมความงามและอุปกรณ์กระตุ้นกล้ามเนื่องได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

สินค้าหรูที่เหมาะสำหรับทุกคนเทรนด์ด้านความงามนี้สะท้อนให้เห็นถึงการที่มีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น การทำให้สินค้าหรูแพร่หลายมากขึ้นนั้นนำโดยแบรนด์ที่มีนวัตกรรมซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและสามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ได้ ผู้บริโภคในซาอุดีอาระเบียให้ความสำคัญกับส่วนผสมที่มีคุณภาพและเต็มใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลและผลิตภัณฑ์เสริมความงาม การเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมความงามนั้น ขึ้นอยู่กับการผสานรวมแนวคิดที่น่าสนใจและผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในสามของการเปิดตัวใหม่นั้นล้มเหลว เนื่องจากขาดการสนับสนุนอย่างเพียงพอในช่วงปีแรก

หากต้องการดูข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มด้านความงาม สามารถ ดาวน์โหลดสำเนา รายงานนวัตกรรมความงามระดับโลกของ NIQ และเข้าร่วมกลุ่ม กลุ่มส่งเสริมด้านความงาม เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกระดับพรีเมียม นอกจากนี้ NIQ ยังมีการแสดงข้อมูลเชิงลึกเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับแนวโน้มผู้บริโภคทั่วโลกเป็นประจำ รวมถึง รายงาน SpendZ ฉบับล่าสุด ซึ่งเป็นภาพรวมแนวโน้มการใช้จ่ายของคนรุ่น Gen Z รายงาน ภาพรวมสำหรับผู้บริโภค ที่มีการวิเคราะห์แนวโน้ม พฤติกรรม และความรู้สึก

เกี่ยวกับ NIQ
NielsenIQ (NIQ) เป็นบริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคชั้นนำของโลก โดยมีการแสดงข้อมูลครอบคลุมเพื่อความเข้าใจในพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค และเปิดเผยเส้นทางใหม่สู่การเติบโต NIQ ได้รวมตัวกับ GfK ในปี 2023 โดยรวมผู้นำอุตสาหกรรมทั้งสองรายที่มีการเข้าถึงทั่วโลกอย่างไม่มีใครเทียบไว้ด้วยกัน ปัจจุบันนี้ NIQ มีการดำเนินงานในกว่า 95 ประเทศ โดยครอบคลุม 97% ของ GDP ด้วยความสามารถในการอ่านข้อมูลค้าปลีกแบบองค์รวมและข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคที่ครอบคลุมที่สุด ช่วยให้สามารถนำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์ขั้นสูงผ่านแพลตฟอร์มที่ทันสมัยใน NIQ ด้วย Full View™

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.niq.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สื่อ:
Sweta Patra
sweta.patra@nielseniq.com

แหล่งข้อมูล: NielsenIQ

Kura Sushi เตรียมเปิดร้านซูชิสายพานที่มีจำนวนที่นั่งมากที่สุดและมีสายพานยาวที่สุดในโลกที่งาน Osaka-Kansai Expo

Logo

ผนังภายนอกทำจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เตรียมเสิร์ฟอาหารจากทั่วทุกมุมโลก

โอซากะ ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–12 กันยายน 2024

Kura Sushi Inc. (สำนักงานใหญ่: เมืองซาไก จังหวัดโอซากะ) หนึ่งในเครือร้านซูชิสายพานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ประกาศเมื่อวันที่ 12 กันยายนว่าจะเปิดร้านซูชิสายพานโดยมีที่นั่ง 338 ที่นั่ง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดในโลกสำหรับร้านของบริษัทที่งาน Osaka-Kansai Expo ซึ่งจะเปิดให้บริการในวันที่ 13 เมษายน 2025 ที่ยูเมะชิมะ จังหวัดโอซากะ

Perspective view (*This perspective view is for illustrative purposes only and is subject to change.) (Graphic: Business Wire)

มุมมองทัศนมิติ (*มุมมองทัศนมิตินี้มีไว้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้นและอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้) (กราฟิก: Business Wire)

ร้านซูชินี้จะตั้งอยู่ในโซน Future Society Showcase ทางฝั่งตะวันตกของสถานที่จัดงาน โดยนอกจากจะมีที่นั่งมากที่สุดในโลกแล้ว ร้านดังกล่าวยังมีสายพานที่ยาวที่สุดในโลกด้วย ซึ่งมีความยาวประมาณ 135 เมตร โดยส่งซูชิและอาหารอื่นๆ ตรงถึงที่นั่งของลูกค้า

ผนังภายนอกของร้านจะสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDG) ด้วยการใช้ปูนปลาสเตอร์ที่ทำจากเปลือกหอยแครงที่ถูกทิ้งประมาณ 336,000 ชิ้น โดยผนังได้รับการออกแบบมาเพื่อให้จำได้ทันทีว่าเป็นร้าน Kura Sushi โดยมีรูปภาพซูชิทูน่าใน “ฝาครอบซูชิป้องกันแบคทีเรีย” ซึ่งเป็นหนึ่งในลักษณะเฉพาะของร้าน Kura Sushi

ภายในตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นแบบโมเดิร์นโดยเน้นไม้สีขาว เพดานตกแต่งด้วยจานของร้าน Kura Sushi อีกทั้งยังมีโมเดลฝาครอบซูชิป้องกันแบคทีเรียที่ดึงดูดสายตาลูกค้าอยู่ที่จุดรอคิว

นอกจากนี้ ร้านดังกล่าวจะติดตั้งระบบที่ทันสมัยอันเป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะของ Kura Sushi ซึ่งเป็นมาตรฐานในร้าน Kura Sushi ทุกแห่งในญี่ปุ่น ดังนี้

  • “Kura อัจฉริยะ” ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องติดต่อกับพนักงานตั้งแต่เข้าไปในร้านจนกระทั่งออกจากร้าน
  • ระบบกล้อง AI รุ่นใหม่จะคอยตรวจสอบสายพานอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
  • “ระบบควบคุมการผลิต” ที่ช่วยปรับปริมาณซูชิที่จะวางบนสายพานตามจำนวนของลูกค้าภายในร้าน
  • “ระบบเก็บรวบรวมด้วยน้ำ” ซึ่งนำจานที่รับประทานเสร็จแล้วกลับไปที่ครัวโดยอัตโนมัติด้วยกระแสน้ำ

แน่นอนว่าลูกค้ายังสามารถสนุกกับเกม “Bikkura Pon” ซึ่งซูชิ 5 จานมีค่าเท่ากับ 1 เกม และผู้ชนะจะได้รับรางวัลพิเศษ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ Kura Sushi ได้รับความนิยม

แคปซูลที่บรรจุรางวัล “Bikkura Pon” มักจะทำจากพลาสติก แต่ร้านที่งาน Expo มีแผนที่จะใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Hiroyuki Okamoto ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไปของฝ่ายประชาสัมพันธ์ แผนกโฆษณาและนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัทกล่าวว่า “ในงาน Expo ร้านของเราจะดำเนินการภายใต้แนวคิด ‘สายพานหมุนเชื่อมโยงโลก’ ภายใต้แนวคิดนี้ ลูกค้าจะได้เพลิดเพลินไปกับอาหารจานเด็ดจากแต่ละประเทศที่เข้าร่วมงาน Expo รวมถึงซูชิและเครื่องเคียงยอดนิยมจากร้านของเรา แม้ว่าโลกจะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากมายในปัจจุบัน แต่เราหวังว่านักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกจะยิ้มแย้มในขณะที่อิ่มเอมไปกับซูชิและเมนูต่างๆ จากทั่วโลกผ่านสายพานหมุนที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของเรา ร้านซูชิสายพานได้แพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่นภายหลังงาน Osaka Expo ในปี 1970 ผมก็อยากจะใช้งาน Osaka-Kansai Expo ในปีหน้าเพื่อเป็นโอกาสในการโปรโมตร้านซูชิสายพานนี้ให้แพร่หลายไปทั่วโลกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม”

จากข้อมูล ณ วันที่ 6 กันยายน Kura Sushi ดำเนินกิจการร้านซูชิประมาณ 550 แห่งในญี่ปุ่น, 65 แห่งในสหรัฐอเมริกา, 57 แห่งในไต้หวัน และ 3 แห่งในเซี่ยงไฮ้

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54121119/en

ข้อมูลติดต่อ

สอบถามข้อมูลสำหรับสื่อเกี่ยวกับข่าวเผยแพร่ฉบับนี้ได้ที่ :
Public Relations Department, Kura Sushi, Inc.
อีเมล: prhq_kurasushi@kura-corpo.co.jp

แหล่งที่มา: Kura Sushi, Inc.












Black & Veatch พิสูจน์โอกาสในการดักจับคาร์บอนในเวียดนาม

Logo

ผู้นำด้านวิศวกรรม การก่อสร้าง และการให้คำปรึกษาในระดับโลกที่ศึกษาการนำเทคโนโลยีดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) มาใช้ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โฮจิมินห์ เวียดนาม–(BUSINESS WIRE)–13 กันยายน 2024

Black & Veatch ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ กำลังประเมินความเป็นไปได้และความพร้อมในการปรับใช้เทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในโรงไฟฟ้าถ่านหินของเวียดนามเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเ

สถาบันปิโตรเลียมเวียดนาม (VPI) ได้มอบหมายให้ Black & Veatch ศึกษาเทคโนโลยีการลดการปล่อยคาร์บอนในโรงไฟฟ้าถ่านหิน 3 แห่งซึ่งเป็นของ Vietnam Oil and Gas Group (Petrovietnam หรือ PVN) โรงไฟฟ้าเหล่านี้ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อน Vung Ang 1 ในจังหวัด Ha Tinh โรงไฟฟ้าพลังความร้อน Song Hau 1 ในจังหวัด Hau Giang และโรงไฟฟ้าพลังความร้อน Thai Binh 2 ในจังหวัด Thai Binh โดยแต่ละโรงไฟฟ้ามีกำลังการผลิต 2 x 600 เมกะวัตต์ (MW)

“นี่เป็นการศึกษาการดักจับคาร์บอนครั้งแรกที่ดำเนินการกับโรงไฟฟ้าถ่านหินในเวียดนาม และผลการศึกษานี้สามารถช่วยกำหนดแผนงานและกรอบทางกฎหมาย สำหรับการพัฒนา CCUS ของประเทศเราได้” ดร. Nguyen Huu Luong ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของ VPI กล่าว

วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือการแนวโน้มเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนในปัจจุบัน และประเมินความเป็นไปได้และประสิทธิภาพของการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้กับก๊าซไอเสียจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน

“การปรับใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น CCUS ไปใช้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาคสำหรับผู้ผลิตพลังงานและอุตสาหกรรมหนัก” Narsingh Chaudhary ประธานธุรกิจเอเชียแปซิฟิกและอินเดียของ Black & Veatch กล่าว

“Black & Veatch มุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันที่หลากหลายและล้ำหน้าเพื่อช่วยให้ธุรกิจพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นด้วยแหล่งพลังงานที่มีคาร์บอนต่ำหรือไม่มีคาร์บอน”

ในฐานะส่วนหนึ่งของการศึกษาการโหลดล่วงหน้า (FEL) Black & Veatch จะเตรียมการประเมินเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน และเสนอเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับโรงไฟฟ้าแต่ละแห่ง และพัฒนาการออกแบบโดนสรุปแนวความคิดสำหรับหน่วยดักจับคาร์บอน นอกจากนี้ Black & Veatch จะสรุปกลยุทธ์ในการเชื่อมต่อหน่วยดักจับคาร์บอนกับโรงไฟฟ้าที่มีอยู่

แผนแม่บทพลังงานแห่งชาติของเวียดนามสำหรับปี 2021-2030 ซึ่งมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2050 ส่งเสริมการนำโซลูชัน CCUS มาใช้ในโรงงานผลิตอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า เพื่อให้บรรลุศักยภาพในการดักจับประมาณ 1 ล้านเมตริกตัน (mt)ต่อปี ภายในปี 2040 และ 3 ล้านถึง 6 ล้านเมตริกตันต่อปี ภายในปี 2050

Black & Veatch เป็นผู้นำตลาดในการศึกษาวิจัยและนำเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนมานานกว่า 30 ปี บริษัทมีประสบการณ์มากมายในการวิเคราะห์และออกแบบรายละเอียดการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รวมถึงระบบบีบอัดและจัดการ CO2 บริษัทได้ประเมินเทคโนโลยีหลาบแบบที่สามารถนำ CO2 มาใช้ เช่น การผลิตเมทานอลและก๊าซธรรมชาติสังเคราะห์ รวมถึงกระบวนการทางชีวภาพที่ใช้ CO2 อีกทั้ง Black & Veatch ยังมีประสบการณ์ในการประเมินและสนับสนุนการเติบโตและการวางแผนโครงการดักจับและใช้หรือกักเก็บคาร์บอน

ติดต่อ Contact Black & Veatch เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ Black & Veatch

Black & Veatch เป็นบริษัทวิศวกรรม จัดซื้อ ที่ปรึกษา และก่อสร้างระดับโลกที่พนักงานเป็นเจ้าของ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีประสบการณ์ด้านนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนมานานกว่า 100 ปี ตั้งแต่ปี 1915 เราได้ช่วยให้ลูกค้าของเราปรับปรุงชีวิตของผู้คนทั่วโลกโดยเน้นที่ความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเรา ติดตามเราได้ที่ www.bv.com และใน LinkedIn Facebook X (Twitter) และ Instagram

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ข้อมูลการติดต่อสำหรับสื่อมวลชน:
EMILY CHIA | +65 6335 6623 P | | Chialp@bv.com
อีเมลสำหรับสื่อตลอด 24 ชั่วโมง| Media@bv.com

แหล่งที่มา: Black & Veatch

สตาร์ตอัปของอดีตผู้บริหาร Google อย่าง Crackle Technologies ในสิงคโปร์ ซึ่งมุ่งเน้นบริษัทผู้เผยแพร่ ระดมทุนได้ 1.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพลิกโฉมเทคโนโลยีการโฆษณาด้วยโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI

Logo

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–11 กันยายน 2024

Crackle Technologies ระดมทุนช่วงทดสอบไอเดียได้ 1.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ AI ในการช่วยให้ผู้เผยแพร่เพิ่มรายได้จากเทคโนโลยีการโฆษณาของตนให้ได้มากที่สุด รอบการระดมทุนนี้นำดำเนินการโดย We Founder Circle และ AC Ventures ผู้ลงทุนรายอื่นที่เข้าร่วม ได้แก่ ผู้ก่อตั้ง Impetus Technologies, Sunicon Ventures, Global DeVC และ Misfits Capital ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ก่อตั้งบริษัทเผยแพร่ชั้นนำอย่าง Ludo King, Dainik Jagran, Amar Ujala และรายอื่น ๆ ก็ยังได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อทีมงาน Crackle ผ่านการร่วมเป็นผู้ลงทุนด้วยเช่นกัน ซึ่ง Crackle จะขยายขอบเขตการดำเนินงานไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยมุ่งเน้นที่เวียดนามและอินโดนีเซีย

Crackle Co-Founders (L-R) Harsh Mittal, Shashank Dudeja and Jaivir Singh Nagi (Photo: Business Wire)

ผู้ร่วมก่อตั้ง Crackle (จากซ้ายไปขวา) Harsh Mittal, Shashank Dudeja และ Jaivir Singh Nagi (รูปภาพ: Business Wire)

เงินทุนจะถูกนำไปใช้ในด้านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเป็นหลัก รวมถึงขยายการดำเนินงานทั่วโลกเพื่อสนับสนุนผู้เผยแพร่รายต่าง ๆ ในด้านเกม แอป ข่าว และ OTT (ผ่านการจัดการปัญหาสำคัญ ซึ่งรวมถึง Fill Rate ที่ต่ำ และ eCPM) เทคโนโลยีอันเป็นกรรมสิทธิ์ของ Crackle ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและการจำลองโมเดลเชิงคาดการณ์ขั้นสูงเพื่อยกระดับรายได้จากโฆษณาของผู้เผยแพร่ รวมถึงจัดการขั้นตอนการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ และส่งมอบประสบการณ์ที่ชั้นเลิศให้แก่ผู้ใช้

Crackle มีการก่อตั้งขึ้นโดยอดีตผู้บริหาร Google สามราย ได้แก่ Harsh Mittal, Shashank Dudeja และ Jaivir Singh Nagi โดยทั้งสามมีประสบการณ์รวมกันถึง 18 ปีในอุตสาหกรรมการสร้างรายได้สำหรับผู้เผยแพร่ ซึ่งจากประสบการณ์ระดับมืออาชีพนี้ เหล่าผู้ก่อตั้งได้บริหารจัดการเงินหลายพันล้านในด้านรายได้จากโฆษณาและช่วยให้ผู้เผยแพร่หลายรายขยับขยายการสร้างรายได้จากโฆษณาของตนได้ถึง 10 เท่าด้วยการใช้นวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมหลายรายการ โดย Crackle มุ่งมั่นที่จะช่วยให้ผู้เผยแพร่เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ของตนให้ได้มากที่สุดและสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน

Vikash Jaiswal ผู้สร้าง Ludo King ยอดนิยมที่มียอดการดาวน์โหลดกว่า 1 พันล้านครั้งแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนว่า “ประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการสร้างรายได้จากโฆษณาในเกมของทีมผู้ก่อตั้งส่งผลให้ Crackle อยู่ในระดับแนวหน้าด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีการโฆษณา ผมเองก็ตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางของพวกเขา”

Jaivir ผู้ร่วมก่อตั้ง Crackle แสดงความขอบคุณต่อความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากผู้ลงทุน โดยกล่าวเสริมว่า “เงินทุนนี้เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันพันธกิจของเรา เพื่อเพิ่มรายได้ของผู้เผยแพร่ให้ได้มากที่สุดและส่งเสริมระบบนิเวศอันประกอบไปด้วยเนื้อหาที่หลากหลายซึ่งกำลังเติบโตก้าวหน้า ทั้งนี้ก็เพื่อให้โลกอินเทอร์เน็ตน่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อทุกคนต่อไป”

Harsh ผู้ร่วมก่อตั้ง Crackle ระบุเพิ่มเกี่ยวกับการขยายการดำเนินงานไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า “แวดวงเทคโนโลยีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังพร้อมสำหรับนวัตกรรม เราตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับผู้พัฒนาเกมและแอปเพื่อช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของผู้พัฒนาด้วยโซลูชันเทคโนโลยีการโฆษณาของเรา”

นับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2023 ทาง Crackle ได้รับความสนใจอย่างมากผ่านการสร้างผลตอบแทนจำนวนมากให้กับผู้เผยแพร่ที่ได้รับผลกระทบจากอัตราการสร้างรายได้ต่ำและการครอบครองตลาดของแพลตฟอร์มเทคโนโลยีรายใหญ่

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54119780/en

ข้อมูลติดต่อ

หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ Shashank Sethi ที่ shashank.sethi@ihorizoncommunications.com

แหล่งที่มา: Crackle Technologies

การจัดอันดับของ OAG เผยให้เห็นว่ากัวลาลัมเปอร์ยังคงเป็นสนามบินที่มีการเชื่อมต่อมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก

Logo

การค้นพบที่สําคัญ

  • เอเชียแปซิฟิกเป็นที่ตั้งของ 3 ใน 5 ศูนย์กลางการบินระดับโลกชั้นนำ ได้แก่ KUL อันดับ 2 HND อันดับ 3 และ ICN อันดับ 5
  • กัวลาลัมเปอร์เป็นอันดับ 1 ที่มีเที่ยวบินราคาประหยัดเชื่อมต่อถึงกันมากที่สุด
  • การเติบโตของการเชื่อมต่อในเอเชียขยายตัวโดยมีศูนย์กลางการบินระดับโลก 17 แห่งจากทั้งหมด 50 แห่งในภูมิภาคนี้
  • โตเกียวนาริตะขยับขึ้น 45 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 15 ของโลกจากอันดับที่ 60 ในปี 2023

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–11 กันยายน 2024

OAG แพลตฟอร์มข้อมูลชั้นนําสําหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก ได้เปิดตัว Megahubs 2024 ซึ่งเป็นการจัดอันดับสนามบินที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศมากที่สุด 50 อันดับแรกของโลก

OAG Megahubs ไม่เพียงแต่วิเคราะห์ จํานวนจุดหมายปลายทางทั้งหมดที่ ให้บริการเท่านั้น แต่ยังรวมถึง จํานวนการต่อเครื่องตามกําหนดการไปและกลับจากจุดหมายปลายทางระหว่างประเทศ รวมถึงการจัดอันดับตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกและสําหรับสายการบินราคาประหยัด

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นที่ตั้งของ 3 ใน 5 ศูนย์กลางการบินชั้นนํา ได้แก่ กัวลาลัมเปอร์ (KUL) โตเกียวฮาเนดะ (HND) และโซลอินชอน (ICN) ซึ่งช่วยยืนยันว่าตลาดเหล่านี้กลับมาคึกคักอีกครั้งและมีแนวโน้มเติบโตต่อไป

การเติบโตของการเชื่อมต่อในเอเชียแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง โดยมีศูนย์กลางการบินอีก 4 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดอยู่ในรายชื่อ (CGK, BKK, MNL และ SIN) และอีก 7 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ (NRT, PVG, HKG, FUK, CAN, TPE และ PEK) สนามบินนาริตะ ของโตเกียว (NRT) ทำสถิติก้าวกระโดดครั้งใหญ่เมื่อเทียบเป็นรายปี จากอันดับที่ 60 ในปี 2023 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 15 ในปี 2024

สําหรับ การเชื่อมต่อราคาประหยัด สนามบินในเอเชียแปซิฟิกครองตําแหน่ง คิดเป็น 64% ของ LCC Megahubs 25 อันดับแรก กัวลาลัมเปอร์ (KUL) ครองอันดับหนึ่ง โดยให้บริการเชื่อมต่อราคาประหยัด 14,583 เส้นทางในจุดหมายปลายทาง 137 แห่ง AirAsia เป็นสายการบินที่โดดเด่นด้วยส่วนแบ่ง 35% ของเที่ยวบินทั้งหมดและ 48% ของความจุ LCC ทั้งหมด

มะนิลา (MNL) ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 2 ในรายชื่อ Low-Cost Megahubs ในปีนี้ แซงหน้าอินชอน (ICN) ด้วยอัตราส่วนการเชื่อมต่อกับจุดหมายปลายทางที่สูงถึง 97  แห่ง

“ในขณะที่เอเชียแปซิฟิกยังคงไต่อันดับสูงขึ้นในระดับโลก OAG Megahubs จึงสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่เพิ่มขึ้นของการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศและความต้องการการเดินทางราคาประหยัดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้น” Mayur Patel หัวหน้า ASPAC ของ OAG กล่าว

สําหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมและวิธีการทั้งหมด โปรดดูการวิเคราะห์ ที่นี่

เกี่ยวกับ OAG

OAG เป็นแพลตฟอร์มข้อมูลชั้นนําสําหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเดินทางทั่วโลก ซึ่งขับเคลื่อนการเติบโตและนวัตกรรมของระบบนิเวศการเดินทางทางอากาศ โดยมีเครือข่ายข้อมูลเที่ยวบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2023 OAG ได้เข้าซื้อกิจการ Infare ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านข้อมูลการเดินทางทางอากาศของคู่แข่ง ปัจจุบัน OAG และ Infare ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มข้อมูลที่เชื่อถือได้มากที่สุดสําหรับการบิน

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

pressoffice@oag.com

ที่มา: OAG

Toshiba เริ่มจัดส่งตัวอย่างวงจรรวมตัวขับเกตสําหรับมอเตอร์กระแสตรงแบบแปรงถ่านในยานยนต์ที่จะช่วยลดขนาดอุปกรณ์

Logo

คาวาซากิ ประเทศญี่ปุ่น–(BUSINESS WIRE)–10 กันยายน 2024

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation (“Toshiba”) ได้เริ่มจัดหาตัวอย่างทางวิศวกรรมของ “TB9103FTG” ซึ่งเป็นตัวขับเกต[1] สําหรับมอเตอร์กระแสตรงแบบแปรงถ่านในยานยนต์ รวมถึงมอเตอร์สลัก[2] และมอเตอร์ล็อค[3] ในประตูหลังไฟฟ้าและประตูสไลด์ไฟฟ้า และมอเตอร์ขับเคลื่อนกระจกไฟฟ้าและเบาะนั่งไฟฟ้า

Toshiba: TB9103FTG, a gate driver IC for automotive brushed DC motors. (Graphic: Business Wire)

โตชิบา: TB9103FTG วงจรรวมตัวขับเกตสําหรับมอเตอร์กระแสตรงแบบแปรงถ่านในยานยนต์ (กราฟิก: Business Wire)

ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ก่อนหน้านี้ปรับด้วยมือปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้ไฟฟ้า ซึ่งทำให้ความต้องการทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและจำนวนที่รวมเข้าในยานยนต์เพิ่มมากขึ้น จํานวนไดรเวอร์ที่ใช้ในมอเตอร์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ต้องลดขนาดและรวมระบบโดยรวมเข้าด้วยกันนอกจากนี้ยังมีการใช้งานมอเตอร์บางตัวที่ไม่ต้องการการควบคุมความเร็วรอบ และจําเป็นต้องมีไดรเวอร์ที่มีฟังก์ชันและประสิทธิภาพที่เรียบง่ายสําหรับการใช้งานเหล่านี้

TB9103FTG นําเสนอฟังก์ชันและประสิทธิภาพการทำงานของตัวขับเกตที่ปรับปรุงใหม่ สําหรับมอเตอร์กระแสตรงแบบแปรงถ่านที่ไม่ต้องการการควบคุมความเร็ว ซึ่งเปิดทางสู่การออกแบบที่กะทัดรัดยิ่งขึ้น มีวงจรปั๊มชาร์จในตัว[4] ที่รองรับแรงดันไฟฟ้าที่จําเป็นในการจ่ายไฟให้กับ MOSFETs ภายนอกเพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันการตรวจสอบเกตที่ป้องกันการสร้างกระแสไหลผ่าน โดยการควบคุมเวลาเอาต์พุตของสัญญาณเกตไปยัง MOSFETs ภายนอกด้านสูงและด้านต่ำโดยอัตโนมัติ

วงจรรวมใหม่ยังสามารถใช้เป็น H-bridge หนึ่งช่องสัญญาณหรือฮาล์ฟบริดจ์สองช่องสัญญาณ นอกจากจะใช้งานเป็นไดรเวอร์มอเตอร์แล้ว ยังสามารถใช้ร่วมกับ MOSFET ภายนอกเพื่อแทนที่รีเลย์เชิงกลและสวิตช์เชิงกลอื่นๆ  ได้ ซึ่งช่วยให้การทํางานเงียบขึ้นและความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์สูงขึ้น

TB9103FTG บรรจุอยู่ในแพ็คเกจ P-VQFN4.0-0404-0404-0.50-003 ขนาด 4.0 มม. ×4.0 มม. (ทั่วไป) และมีส่วนช่วยในการลดขนาดอุปกรณ์

หมายเหตุ:

[1] ไดรเวอร์สำหรับขับเคลื่อน MOSFETs

[2] มอเตอร์ที่ใช้ในระบบปิดประตู

[3] มอเตอร์ที่ใช้ในระบบล็อคและปลดล็อกประตูร่วมกับการทํางานหลักเพื่อป้องกันอาชญากรรม

[4] วงจรที่ใช้ตัวเก็บประจุและสวิตช์เพื่อเพิ่มแรงดันไฟฟ้า

การใช้งาน

อุปกรณ์ยานยนต์

  • มอเตอร์สลักขับเคลื่อนและมอเตอร์ล็อคสําหรับประตูหลังไฟฟ้าและประตูสไลด์ไฟฟ้า และมอเตอร์ขับเคลื่อนสําหรับหน้าต่าง เบาะไฟฟ้า ฯลฯ

คุณสมบัติ

  • ลดฟังก์ชันและประสิทธิภาพเพื่อรองรับการลดขนาด
  • แพ็คเกจขนาดเล็ก
  • สแตนด์บายพลังงานต่ำพร้อมฟังก์ชันพักเครื่องในตัว
  • สามารถทํางานเป็นไดรเวอร์เกตสําหรับ H-bridge หนึ่งช่องสัญญาณหรือฮาล์ฟบริดจ์สองช่องสัญญาณ

ข้อมูลจําเพาะหลัก

หมายเลขชิ้นส่วน

TB9103FTG

มอเตอร์ที่รองรับ

มอเตอร์กระแสตรงแปรงถ่าน

จํานวนช่องเอาต์พุต

หนึ่งช่องสัญญาณ (เมื่อใช้เป็น H-bridge / สองช่องสัญญาณ (เมื่อใช้เป็นฮาล์ฟบริดจ์)

ฟังก์ชันหลัก

ฟังก์ชันหลับ ปั๊มชาร์จในตัว การทํางานของ H-bridge การทํางานของฮาล์ฟบริดจ์ การควบคุมเวลาวิกฤต

การตรวจจับความผิดพลาดหลัก

การตรวจจับแรงดันไฟต่ำของแหล่งจ่ายไฟ การตรวจจับแรงดันไฟสูงของปั๊มชาร์จ การตรวจจับความร้อนสูงเกินไป การตรวจจับ VGS และ VDS ของ MOSFET ภายนอก

พิกัดสูงสุดสัมบูรณ์ (Ta=-40 ถึง 125°C)

แรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟ 1 VB
Vb (V)

-0.3 ถึง 18

18 ถึง 40 (ภายในหนึ่งวินาที)

แรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟ 2 VCC
Vcc (V)

-0.3 ถึง 6

อุณหภูมิแวดล้อม Ta (°C)

-40 ถึง 125

ช่วงการทํางาน (Ta=-40 ถึง 125°C)

ช่วงการทํางานของแรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟ 1 VB
VBrng (V)

7 ถึง 18

ช่วงการทํางานของแรงดันไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟ 2  VCC
VCCrng (V)

4.5 ถึง 5.5

ช่วงการทํางานของอุณหภูมิย่านการทำงาน
Tjrng (°C)

-40 ถึง 150

แพ็คเกจ

ประเภท

P-VQFN24-0404-0.50-003

ขนาด (มิลลิเมตร)

ประเภท

4.0×4.0

ความน่าเชื่อถือ

ได้รับการรับรอง AEC-Q100 (เกรด 1)

ไปที่ลิงค์ด้านล่างเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่
TB9103FTG

ไปที่ลิงค์ด้านล่างสําหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ Toshiba สําหรับไดรเวอร์มอเตอร์กระแสตรงแบบแปรงถ่านสําหรับยานยนต์
Automotive Brushed DC Motor Driver ICs

* ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง

* ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจําเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาของบริการ และข้อมูลการติดต่อ เป็นข้อมูล ณ วันที่ประกาศ แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

เกี่ยวกับ Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation ซัพพลายเออร์ชั้นนําด้านเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงและโซลูชั่นการจัดเก็บข้อมูล โดยใช้ประสบการณ์และนวัตกรรมกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อนําเสนอผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์แบบแยกส่วน ระบบ LSI และผลิตภัณฑ์ HDD ที่โดดเด่นแก่ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ

พนักงาน 19,400 คนทั่วโลกมีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงสุด และส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าในการร่วมสร้างคุณค่าและตลาดใหม่ บริษัทมมุ่งหวังที่จะสร้างและมีส่วนร่วมในอนาคตที่ดีกว่าสําหรับผู้คนทั่วโลก

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ TDSC ได้ที่ https://toshiba.semicon-storage.com/ap-en/top.html

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54117192/en

ติดต่อ

สอบถามข้อมูลลูกค้า:
ฝ่ายขายและการตลาดอุปกรณ์อนาล็อกและยานยนต์

โทรศัพท์: +81-44-548-2219
ติดต่อเรา

สอบถามสื่อ:
Chiaki Nagasawa

ฝ่ายการตลาดดิจิทัล
Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

semicon-NR-mailbox@ml.toshiba.co.jp
 

ที่มา: Toshiba Electronic Devices & Storage Corporation

ซาอุดีอาระเบียจัดแสดงการลงทุนด้านการท่องเที่ยวเชิงกลยุทธ์ ที่งาน IHIF Asia เปิดประตูสู่นักลงทุน

Logo

ฮ่องกง–(BUSINESS WIRE)–10 กันยายน 2024

ซาอุดีอาระเบียกําลังสร้างตัวเองให้เป็นผู้นําระดับโลกอย่างรวดเร็วในด้านการท่องเที่ยว โดยความสําเร็จอันน่าทึ่งของซาอุดิอาระเบียในปี 2023 ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมนี้ ความก้าวหน้าครั้งนี้จัดแสดงให้เห็นอย่างเต็มที่ในงาน IHIF Asia International Hospitality Investment Forum ที่ฮ่องกง ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวของซาอุดีอาระเบียได้เน้นย้ำถึงศักยภาพอันมหาศาลสําหรับนักลงทุนต่างชาติ ในการใช้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยวของซาอุดีอาระเบียที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีความหลากหลาย

Tareq Al-Shaghrood, General Manager of Investment Planning and Attraction, speaking at IHIF Asia (Photo: AETOSWire)

Tareq Al-Shaghrood ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนการลงทุนและสถานที่ท่องเที่ยว กล่าวในงาน IHIF Asia (ภาพ: AETOSWire)

ที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ของซาอุดีอาระเบียที่เป็นจุดตัดของสามทวีป และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นกับเอเชีย ตอกย้ำถึงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก ในปี 2023 ซาอุดิอาระเบียต้อนรับนักท่องเที่ยวจากเอเชียมากกว่า 20.9 ล้านคน ซึ่งใช้จ่ายเงินรวมกัน 25.7 พันล้านดอลลาร์ การหลั่งไหลเข้าอย่างมีนัยสําคัญนี้เน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของตลาดเอเชียที่มีต่อศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของซาอุดีอาระเบียและโอกาสอันน่าดึงดูดใจที่นำเสนอให้กับนักลงทุน ความน่าดึงดูดใจของซาอุดิอาระเบียต่อนักท่องเที่ยวชาวเอเชียนั้นเห็นได้จากการเติบโตอย่างมากของรายรับจากการท่องเที่ยว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งสําหรับซาอุดีอาระเบียในฐานะจุดหมายปลายทางที่มีความหลากหลายและมั่งคั่งทางวัฒนธรรม

เพื่อใช้ประโยชน์จากแรงผลักดันนี้ ซาอุดิอาระเบียจึงได้เปิดตัวโครงการ Tourism Investment Enablers Program (TIEP) โดยมีโครงการ Hospitality Investment Enablers (HIE) ทําหน้าที่เป็นรากฐานที่สําคัญ HIE ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านที่พักในพื้นที่ท่องเที่ยวสําคัญอย่างมีนัยสําคัญ ส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 11 พันล้านดอลลาร์ และGDP ต่อปีเพิ่มขึ้น 4.3 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ความคิดริเริ่มนี้ยังมีเป้าหมายที่จะสร้างงานใหม่ 120,000 ตําแหน่ง ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในวงกว้างของซาอุดีอาระเบีย สิ่งจูงใจที่สําคัญ ได้แก่ การยกเว้นภาษีนิติบุคคล การลดภาษีมูลค่าเพิ่ม และการเข้าถึงที่ดินของรัฐบาลภายใต้เงื่อนไขที่เอื้ออำนวย ทําให้นักลงทุนเข้าสู่ตลาดได้ง่ายและคุ้มค่ายิ่งขึ้น

ไฮไลท์ของการเข้าร่วมของซาอุดีอาระเบียในงาน IHIF Asia คือการอภิปรายในหัวข้อ “Invest, Enable, Prosper: Empowering Tourism Destinations” การสนทนาแบบเป็นกันเองครั้งนี้นําโดย Mr. Tareq Al-Shaghrood ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนการลงทุนและสถานที่ท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย ได้สํารวจแนวทางเชิงกลยุทธ์ของราชอาณาจักรในการพัฒนาระบบนิเวศการท่องเที่ยวระดับโลกที่มีความหลากหลาย “ความมุ่งมั่นของซาอุดีอาระเบียในการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หลากหลาย ตั้งแต่มรดกทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ไปจนถึงการท่องเที่ยวที่หรูหราและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ได้รับการสนับสนุนจากกรอบแรงจูงใจและการสนับสนุนที่แข็งแกร่งสําหรับนักลงทุน วิสัยทัศน์ของเราคือการสนับสนุนและเสริมพลังให้กับผู้ร่วมเดินทางกับเราในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจถึงความเจริญรุ่งเรืองสําหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด” Al-Shaghrood กล่าว

ผลการดําเนินงานด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศของซาอุดีอาระเบียในปี 2023 นั้นน่าประทับใจ โดยอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลกในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเพิ่มขึ้น 11 อันดับเมื่อเทียบกับปี 2019 นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบียยังอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลกในด้านรายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ โดยขยับขึ้น 15 อันดับเมื่อเทียบกับปี 2019 จากข้อมูลของ UN Tourism Barometer (พฤษภาคม 2024) ซาอุดีอาระเบียอยู่ในอันดับหนึ่งในบรรดาจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด ในแง่ของอัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ และรายได้จากการท่องเที่ยวเมื่อเทียบกับระดับก่อนเกิดโรคระบาด

ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียยังคงก้าวขึ้นเป็นผู้นำจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว ราชอาณาจักรจึงเชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลกให้คว้าโอกาสที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ธรรมดานี้ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ และความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ในการเติบโตอย่างยั่งยืน ซาอุดีอาระเบียจึงมอบโอกาสที่ไม่มีใครเทียบได้สําหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในตลาดที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและให้ผลตอบแทนสูง

*ที่มา: AETOSWire

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54119274/en

ติดต่อ

Najla AlKhalifa

ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการสื่อสาร
Najla@mt.gov.sa

ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย

DishHome ของเนปาลยกระดับข้อเสนอและประสบการณ์ของลูกค้าด้วย Hansen

Logo

เมลเบิร์น ออสเตรเลีย–(BUSINESS WIRE)–10 กันยายน 2024

Hansen Technologies (ASX:HSN) ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และบริการชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมการสื่อสาร พลังงาน และน้ำ มีความยินดีที่จะประกาศว่า DishHome ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) ชั้นนำของเนปาลได้อัปเกรด Hansen CCB เวอร์ชันของตน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดเครื่องมือการสื่อสาร เทคโนโลยี และสื่อของ Hansen (Hansen Suite for Communications, Technology & Media) นอกจากนี้ บริษัทจะใช้ประโยชน์จากระบบการดูแลลูกค้าและการเรียกเก็บเงินแบบครบวงจรของ Hansen สำหรับบรอดแบนด์และเคเบิลด้วย เนื่องจากบริษัทมุ่งมั่นที่จะมอบบริการในระดับที่ดีขึ้นแก่ฐานลูกค้าที่กำลังเติบโตทั่วประเทศ

ก่อนการอัปเกรดครั้งนี้ ลูกค้าที่รับสัญญาณโทรทัศน์ตรงจากดาวเทียมและลูกค้าไฟเบอร์เน็ตของ DishHome จะถูกเรียกเก็บเงินแยกกันสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ตนสมัครใช้บริการ แต่ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ Hansen รุ่นล่าสุดทำให้ลูกค้าของ DishHome สามารถชำระค่าบริการสำหรับการเชื่อมต่อและความบันเทิงเพียงครั้งเดียวได้ ลูกค้าจึงไม่ต้องชำระบิลหลายใบหรือชำระเงินให้ผู้ให้บริการหลายราย

สำหรับ DishHome ประสิทธิภาพและการประหยัดต้นทุนเป็นเพียงเหตุผลส่วนเล็กๆ ที่ทำให้บริษัทตัดสินใจอัปเกรดในครั้งนี้ เนื่องจากประโยชน์ที่จะได้รับคือการที่บริษัทสามารถเปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์และข้อเสนอที่น่าสนใจมากขึ้นในตลาดได้ง่ายกว่าเดิม โดยลูกค้ายังสามารถใช้ส่วนลดและคูปองต่างๆ รวมถึงใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์เพิ่มเติมภายในข้อเสนอวอลเล็ตได้อีกด้วย

Sudeep Acharya ผู้อำนวยการบริษัท Dish Media Network Limited ให้ความเห็นว่า: “Hansen เป็นพันธมิตรหลักด้านเทคโนโลยีของ DishHome มาตั้งแต่ปี 2016 การอัปเกรดเทคโนโลยีล่าสุดนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์ของ Hansen เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและความเป็นพันธมิตรที่แท้จริงระหว่างทีมของเราด้วย ความสามารถของพวกเขาในการรับรู้ถึงความต้องการของลูกค้าและโอกาสทางการตลาดทำให้เราสามารถมอบประสบการณ์ที่ทันสมัยและยืดหยุ่นให้กับลูกค้าได้ ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าสำคัญของพวกเขาในฐานะพันธมิตร เรารอคอยที่จะได้สำรวจโอกาสเพิ่มเติมร่วมกันเพื่อขยายบริการที่ DishHome สามารถมอบให้กับลูกค้าได้ในอนาคต”

Scott Weir ประธานฝ่ายสื่อสารของ Hansen ให้ความเห็นว่า: “การเปลี่ยนเนปาลให้ทันสมัยอย่างรวดเร็วไม่เพียงแต่จะส่งผลให้ความต้องการการเชื่อมต่อที่เร็วขึ้นและข้อเสนอความบันเทิงที่ราบรื่นเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้ความคาดหวังของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย เรามีความยินดีที่จะสานต่อความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานกับ DishHome และยินดีที่จะเสนอความยืดหยุ่นที่มากขึ้นในชุดผลิตภัณฑ์และข้อเสนอ ความสามารถในการลดจำนวนบิลที่ต้องชำระ รวมทั้งส่วนลดและคูปองใหม่ๆ การปรับปรุงเหล่านี้จะส่งผลให้ลูกค้าของเราประหยัดค่าใช้จ่ายและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการบำรุงรักษาฐานข้อมูล การรักษาความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว”

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Hansen Technologies ได้ที่ www.hansencx.com

เกี่ยวกับ Hansen

Hansen Technologies (ASX: HSN) เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และบริการชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมพลังงาน น้ำ และการสื่อสาร Hansen ให้บริการลูกค้าในกว่า 80 ประเทศ โดยช่วยให้ลูกค้าสร้าง ขาย และมอบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ตลอดจนจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า รวมถึงควบคุมการจัดการรายได้ที่สำคัญและกระบวนการสนับสนุนลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ที่ได้รับรางวัลของตน

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hansencx.com

DishHome

Dish Media Network Limited หรือ ‘DishHome’ เป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรมการออกอากาศและบริการอินเทอร์เน็ตของเนปาล DMN ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 โดยเป็นผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบรับสัญญาณตรงจากดาวเทียม (DTH) รายแรกและรายเดียวของเนปาล บริษัทดังกล่าวให้บริการครัวเรือนโดยตรงกว่า 2 ล้านครัวเรือนผ่านหลากหลายแพลตฟอร์ม เช่น ทีวีผ่านดาวเทียมและไฟเบอร์เน็ต (Dish Media Network), ทีวีเคเบิล (SIM TV), T2 TV และ IPTV (Prabhu Digital) จุดแข็งที่สำคัญข้อหนึ่งของ DMN อยู่ที่เครือข่ายตัวแทนจำหน่าย ตัวแทนจำหน่ายรายย่อย และแฟรนไชส์บริการมากกว่า 5,000 ราย ซึ่งสามารถให้บริการลูกค้าของเราได้ในทันที

หลังจากสั่งสมประสบการณ์และประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานกว่า 13 ปีในการให้บริการโทรทัศน์แบบชำระเงิน DishHome ก็ได้เปิดตัวบริการอินเทอร์เน็ต FTTH ภายใต้ชื่อแบรนด์ 'DishHome Fibernet' ในปี 2020 จนถึงตอนนี้ DishHome Fibernet ได้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ลูกค้ารายย่อยที่มีความพึงพอใจในบริการมากกว่า 300,000 รายผ่านวิศวกรและช่างเทคนิคที่ผ่านการรับรองและมากประสบการณ์

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.dishhome.com.np/

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ข้อมูลติดต่อ

Adnan Bashir
Global Lead, External Communications
Hansen Technologies
+1 647-204-0999

แหล่งที่มา: Hansen Technologies

เปิดตัวงาน Zhejiang International Trade Exhibition 2024 อย่างเป็นทางการ

Logo

กรุงเทพฯ –(BUSINESS WIRE)–06 กันยายน 2024

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2024 งาน Zhejiang International Trade Exhibition 2024 (ไทย) ซึ่งจัดโดยกรมการค้ามณฑลเจ้อเจียง ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการที่ศูนย์แสดงสินค้าและการปชุมอิมแพ็คอันทรงเกียรติในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ในพิธีเปิด แขกผู้มีเกียรติจากกระทรวงพลังงานของประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมพาณิชย์และเศรษฐกิจสถานเอกอัครราชทูตจีน ประจําราชอาณาจักรไทย และสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมและมีส่วนร่วมในการทัวร์นิทรรศการวีไอพีพิเศษ เพื่อเป็นเวทีสําหรับเหตุการณ์สําคัญในการค้าระหว่างประเทศ โดยแขกเหล่านี้กล่าวชื่นชมแบรนด์ในประเทศที่มีชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่โดดเด่นของ “สินค้าเจ้อเจียงที่มีคุณภาพ”

(Photo: Business Wire)

(ภาพ: Business Wire)

นิทรรศการซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่สาม เน้นย้ำถึงความได้เปรียบในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแสงสว่าง เมืองอัจฉริยะ การดำรงชีวิตอัจฉริยะ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องของเจ้อเจียง และยังสอดคล้องกับธีมของ “Zhejiang Made All Need” อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับประเทศไทยในการเชื่อมต่อกับบริษัทผู้ผลิตชั้นนำจากมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งได้แก่ Hikvision, Tuya, Meka และ VOC ซึ่งจัดแสดงผลิตภัณฑ์นวัตกรรมล้ำสมัย นอกเหนือจากแบรนด์บุกเบิกอย่าง Hikvision และ Dahua Technology ที่หยั่งรากลึกในตลาดประเทศไทยแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Tuya ในฐานะองค์กรระดับยูนิคอร์นในอุตสาหกรรมจีน ได้จับมือกับบริษัทชั้นนําของไทย เช่น SCG และ T3 Technology เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบ้านอัจฉริยะในประเทศไทย และเป็นพันธมิตรในการพัฒนาระบบนิเวศ IoT ของประเทศไทย

ประเทศไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสามของจีนในอาเซียน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 จีนและไทยได้สร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าทวิภาคี ปีนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 10 ปีอันเป็นมงคลของโครงการริเริ่ม Belt and Road เหตุการณ์สําคัญครั้งนี้ช่วยเร่งการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างเจ้อเจียงและไทย และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในฐานะมหาอํานาจทางเศรษฐกิจที่สําคัญ และเป็นศูนย์กลางการค้าต่างประเทศที่สําคัญในประเทศจีน เจ้อเจียงจึงอยู่ในตําแหน่งที่ดีที่จะได้รับประโยชน์จากความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นนี้

นิทรรศการที่จัดขึ้นเป็นเวลาสามวันจะรวมบริษัทกว่าพันแห่ง รวมถึงผู้ซื้อและผู้ขาย ส่งเสริมการเชื่อมโยงทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นผ่านฟอรัมอุตสาหกรรม การประชุม คณะผู้แทนระดับวีไอพี การประชุมแบบพบหน้า และโอกาสที่น่าสนใจอื่นๆ ในอีกสองวันข้างหน้าบริษัทต่างๆ ในเจ้อเจียงจะเพลิดเพลินไปกับเครือข่ายธุรกิจที่ขยายออกไป พร้อมกับผู้ซื้อและผู้เยี่ยมชมระดับวีไอพีที่ผ่านจุดสัมผัสของนิทรรศการต่างๆ รวมถึงบูธเฉพาะที่มีการจัดแสดงสินค้าและการสาธิต การประชุมแบบพบหน้า และการเชิญประชุมออนไลน์กับผู้ซื้อและผู้เยี่ยมชมระดับวีไอพี

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54118306/en 

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Robby Mex, +91-9899890048

ที่มา: Zhejiang International Trade Exhibition