Medidata เปิดตัว Clinical Data Studio โดยใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ข้อมูลในการทดลองทางคลินิกให้ทันสมัย

Logo

นำเสนอกิจกรรมการตรวจสอบข้อมูลและการกระทบยอดด้วย AI แบบฝังเร็วขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ทําให้วงจรชีวิตข้อมูลง่ายขึ้นด้วยการเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลจํานวนมาก

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–18 มิถุนายน 2024

Medidata แบรนด์ในเครือ Dassault Systèmes และผู้ให้บริการชั้นนําด้านโซลูชันการทดลองทางคลินิกสําหรับอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ได้ประกาศเปิดตัว Medidata Clinical Data Studio   ซึ่งเป็นประสบการณ์แบบครบวงจรที่ปลดล็อกพลังที่แท้จริงของข้อมูลการวิจัยทางคลินิก เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนี้ช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถควบคุมคุณภาพของข้อมูลได้ดีขึ้น และความสามารถในการส่งมอบการทดลองที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นให้กับผู้ป่วยได้เร็วขึ้น

Clinical Data Studio สร้างขึ้นบน  แพลตฟอร์ม Medidata  โดยผสานข้อมูลจากทั้งแหล่งข้อมูล Medidata และแหล่งข้อมูลที่ไม่ใช่ Medidata เร่งการตัดสินใจตลอดกระบวนการทดลองทางคลินิกเต็มรูปแบบ ส่งมอบข้อมูลแบบองค์รวม และกลยุทธ์ความเสี่ยงที่เชื่อมโยงผู้ป่วย สถานที่ และผู้สนับสนุน ทีมวิจัยสามารถระบุปัญหาข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นและสัญญาณความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้เข้าใจผู้ป่วยได้แม่นยํายิ่งขึ้น สิ่งนี้จะช่วยลดความท้าทายที่เกิดจากระบบข้อมูลแบบไซโล และช่วยให้การตรวจสอบข้อมูลการดําเนินการและการกระทบยอดเร็วขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์

“Clinical Data Studio ปลดล็อกระบบนิเวศของข้อมูลทางคลินิกในวงกว้าง ขับเคลื่อนโดย AI แบบฝัง เรากําลังทําให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นประชาธิปไตย และเปิดเผยสัญญาณ ความเสี่ยง และข้อมูลเชิงลึกที่สําคัญที่สุด สิ่งนี้เมื่อรวมกันแล้วจะช่วยเร่งการดําเนินการทดลองและสร้างข้อมูลที่สมบูรณ์สําหรับการค้นพบใหม่” Tom Doyle ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Medidata กล่าว

Clinical Data Studio นําเสนอพื้นที่ทํางานที่ครอบคลุมสําหรับการบูรณาการ การแปลง และการจัดการข้อมูล ซึ่งรวมถึงการกระทบยอดข้อมูลที่ได้รับความช่วยเหลือจาก AI และการตรวจจับความผิดปกติ รายการข้อมูลแบบบริการตนเอง การจัดการคุณภาพตามความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง และเครื่องมือในการใช้ข้อมูลแบบองค์รวม และกลยุทธ์ความเสี่ยงที่ได้รับการสนับสนุนจากเวิร์กโฟลว์และการแสดงภาพ

“เมื่อปริมาณข้อมูลและแหล่งข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ การจัดการข้อมูลนี้และการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์จึงมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลต่อเวลาในการนำออกสู่ตลาด แต่ยังทําให้การส่งมอบการรักษาแก่ผู้ป่วยล่าช้าอีกด้วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วย” Dr. Nimita Limaye รองประธานฝ่ายวิจัย Life Sciences R&D Strategy and Technology, IDC กล่าว “ด้วยการทำให้ผู้ใช้สามารถจัดการข้อมูลทั้งหมดของตน ทั้งข้อมูล Medidata และข้อมูลที่ไม่ใช่ Medidata ได้ในที่เดียว Medidata Clinical Data Studio มีศักยภาพที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมด้วยการเร่งการทดลองทางคลินิกและรับการรักษาผู้ป่วยได้เร็วขึ้น”

เกี่ยวกับ Medidata

Medidata ขับเคลื่อนการรักษาที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นและผู้คนที่มีสุขภาพดีขึ้นผ่านโซลูชันดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการทดลองทางคลินิก ฉลองครบรอบ 25 ปีของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำในการทดลองมากกว่า 33,000 ครั้ง และผู้ป่วย 10 ล้านคน Medidata นําเสนอความเชี่ยวชาญชั้นนําของอุตสาหกรรมข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ และชุดข้อมูลการทดลองทางคลินิกในอดีตระดับผู้ป่วยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนมากกว่า 1 ล้านคนจากลูกค้ามากกว่า 2,200 ราย ไว้วางใจแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่ราบรื่นของ Medidata เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ป่วย เร่งความก้าวหน้าทางคลินิก และนําการรักษาออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น Medidata ซึ่งเป็นแบรนด์ของ Dassault Systèmes (Euronext Paris: FR0014003TT8, DSY PA) มีสํานักงานใหญ่ในนิวยอร์กซิตี้ และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นําโดย Everest Group และ IDC หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.medidata.com และติดตามเรา @Medidata

เกี่ยวกับ Dassault Systèmes

Dassault Systèmes เป็นตัวเร่งให้เกิดความก้าวหน้าของมนุษย์ เรามอบสภาพแวดล้อมเสมือนจริงสำหรับการทํางานร่วมกันให้กับธุรกิจและผู้คน เพื่อจินตนาการถึงนวัตกรรมที่ยั่งยืน ด้วยการสร้างประสบการณ์แฝดเสมือนจริงของโลกแห่งความเป็นจริง ด้วยแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน 3DEXPERIENCE ลูกค้าของเราสามารถกําหนดกระบวนการสร้าง การผลิต และการจัดการวงจรชีวิตของข้อเสนอใหม่ได้ และด้วยเหตุนี้จึงมีผลกระทบที่มีความหมายในการทําให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้น ความงดงามของ Experience Economy คือ เศรษฐกิจที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางเพื่อประโยชน์ของทุกคน  ทั้งผู้บริโภค ผู้ป่วย และประชาชน Dassault Systèmes นําคุณค่ามาสู่ลูกค้าทุกขนาดมากกว่า 350,000 ราย ในทุกอุตสาหกรรม ในกว่า 150 ประเทศ สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.3ds.com

© Dassault Systèmes สงวนลิขสิทธิ์. 3DEXPERIENCE, โลโก้ 3DS, Compass icon, IFWE, 3DEXCITE, 3DVIA, BIOVIA, CATIA, CENTRIC PLM, DELMIA, ENOVIA, GEOVIA, MEDIDATA, NETVIBES, OUTSCALE, SIMULIA และ SOLIDWORKS เป็นเครื่องหมายการค้า หรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ Dassault Systèmes ซึ่งเป็นบริษัทในยุโรป (Societas Europaea) ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายฝรั่งเศส และจดทะเบียนกับสำนักทะเบียนการค้าและบริษัท Versailles ภายใต้หมายเลข 322 306 440 หรือบริษัทในเครือในสหรัฐอเมริกาและ/หรือประเทศอื่นๆ เครื่องหมายการค้าอื่นๆ ทั้งหมดเป็นของเจ้าของที่เกี่ยวข้อง การใช้เครื่องหมายการค้า Dassault Systèmes หรือบริษัทในเครือจะต้องได้รับการอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดแจ้ง

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ประชาสัมพันธ์ Medidata
Medidata.PR@3ds.com

นักวิเคราะห์สัมพันธ์
Medidata.AR@3ds.com

ที่มา: Medidata

Kirin Holdings เริ่มเตรียมข้อเสนอซื้อ FANCL A เข้าเป็นบริษัทย่อยในเครือ โดยมีการถือหุ้นทั้งหมด

Logo

  • ส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลกผ่านธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • มุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในบริษัทด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก
  • เมื่อรวมเข้ากับการเข้าซื้อกิจการของ Blackmores จะช่วยเพิ่มมูลค่าของกลุ่มบริษัทและเสริมสร้างฐานการดำเนินงานทั่วโลกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อไป

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–14 มิถุนายน 2024

Kirin Holdings Company, Limited (Kirin Holdings) (TOKYO: 2503) ตัดสินใจซื้อหุ้นสามัญของ FANCL Corporation (FANCL) (TOKYO: 4921) เพิ่มเติมผ่านข้อเสนอซื้อหุ้นและใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้น ภายใต้พระราชบัญญัติระบบทางการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน (พระราชบัญญัติฉบับที่ 25 ปี 1948 และข้อแก้ไขเพิ่มเติม) โดยจัดให้ FANCL เป็นบริษัทในเครือ โดยถือหุ้นทั้งหมด

  • ภูมิหลัง

ภายใต้วิสัยทัศน์การบริหารระยะยาวของ Kirin Group Vision 2027 นั้น Kirin Holdings มุ่งมั่นที่จะ “กลายเป็นผู้นำระดับโลกในด้าน CSV โดยการสร้างมูลค่าในภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่อาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนถึงเภสัชกรรม” ด้วยการเปิดตัวธุรกิจในกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ เพิ่มเติมจากภาคส่วนอาหารและเภสัชกรรม และด้วยการเปลี่ยนปัญหาด้านสุขภาพของผู้บริโภคให้เป็นโอกาสในการเติบโต ด้วยความสามารถด้านการวิจัยและการพัฒนาในเทคโนโลยีการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงภูมิคุ้มกันวิทยา ช่วยให้ Kirin Holdings สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งสำหรับธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เพื่อพัฒนาให้เป็นหน่วยธุรกิจที่จะรับผิดชอบการเติบโตในระยะยาวของ Kirin Group ในปี 2019 Kirin Holdings ได้เข้าซื้อหุ้นของ FANCL ประมาณ 33% (ตามสิทธิในการออกสิทธิและเสียง) และได้ทำข้อตกลงด้านการลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ ในปี 2023 Kirin Holdings เข้าซื้อกิจการของ Blackmores Limited (Blackmores) ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติออสเตรเลียซึ่งดำเนินธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ   (สุขภาพเชิงธรรมชาติ) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงทำให้สามารถสร้างรากฐานธุรกิจที่มั่นคงในตลาดต่างประเทศ

ภายใต้วิสัยทัศน์ของ FANCL Group VISION2030 FANCL มุ่งมั่นที่จะทำให้โลกมีสุขภาพที่ดีขึ้นและสวยงามยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็กลายเป็นบริษัทที่ได้รับความนิยมชมชอบทั่วโลก ด้วยการตอบสนองต่อการเปลี่ยนเปลงในสภาพแวดล้อมทางสังคมผ่านมาตรการต่างๆ อาทิเช่น การรับมือกับปัญหาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจาก COVID-19 FANCL ได้กระชับความสัมพันธ์กับผู้บริโภคและเสริมสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืน นับจากนี้ไป FANCL ตั้งเป้าที่จะเสร้มสร้างความมั่นคงให้กับรากฐานการดำเนินงานภายในประเทศ และลงทุนเพื่อกระแสเงินสดในญี่ปุ่นอย่างจริงจังในการดำเนินงานในต่างประเทศของ FANCL เพื่อพัฒนาให้เป็นตัวขับเคลื่อนในการเติบโต

ด้วยปรัชญาและทิศทางเดียวกันในการมุ่งสู่การเติบโตผ่านการแก้ไขปัญหาสังคมด้านสุขภาพ Kirin Holdings และ FANCL ได้กระชับความเข้าใจในแนวเดียวกันโดยการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นับตั้งแต่มีการสรุปข้อตกลงด้านการลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจในปี 2019 นอกเหนือจากนี้ ในขณะที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมภายนอกร่วมกัน เช่น COVID-19 ทั้งสองบริษัทมีการร่วมมือกันในด้านวัสดุ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และแบรนด์ การวิจัยและพัฒนาธุรกิจร่วมกัน และการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน

  • วัตถุประสงค์ในการจัดให้ FANCL เป็นบริษัทในเครือที่มีการถือหุ้นทั้งหมด

จุดแข็งของ Kirin Holding ได้แก่ การวิจัยด้านภูมิคุ้มกันวิทยาที่มีการดำเนินงานมาอย่างยาวนาน โดยมีความสามารถในการพัฒนาและผลิตส่วนผสมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงสำหรับเทคโนโลยีการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพ และฐานธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีการเข้าซื้อกิจการผ่านการเข้าซื้อกิจการของ Blackmores

จุดแข็งของ FANCL อยู่ที่ความสามารถในการเชื่อมต่อและเข้าใจผู้บริโภคผ่านช่องทาง D2C (การจำหน่ายผ่านร้านค้าออนไลน์และทางร้านค้าที่มีการบริหารโดยตรง) ซึ่งคิดเป็น 70% ของยอดขาย และในด้านเทคโนโลยีสำหรับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ โดยใช้ความคิดเห็นจากผู้บริโภคในการวิจัยและพัฒนา เพื่อลดข้อคิดเห็นใน “แง่ลบ” โดยมีความเป็นกลาง ซึ่งมีการดำเนินการมาตลอดอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท

ในการจัดให้ FANCL เป็นบริษัทในเครือที่มีการถือหุ้นทั้งหมด จะช่วยให้ Kirin Holdings สามารถเร่งสร้างโมเดลธุรกิจที่โดดเด่นด้วยการเสริมสร้างจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบริษัทเข้าด้วยกัน และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในการบริหารร่วมกัน และการส่งเสริมการจัดการเชิงบูรณาการ โดยการจำหน่ายส่วนผสมที่สร้างขึ้นผ่านเทคโนโลยีการหมักแบบธรรมชาติ และการใช้ประโยชน์จากความเข้าใจของลูกค้าที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ Kirin Holdings และ FANCL และนำเสนอแก่ผู้บริโภคผ่านหลากหลายช่องทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Kirin Group ยังมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้บริโภคทั้งในธุรกิจเครื่องสำอางค์และอาหารเพื่อสุขภาพ และยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งในตลาดโลกนอกเหนือจากตลาดในญี่ปุ่นอีกด้วย

การเปลี่ยนให้ FANCL เป็นบริษัทในเครือที่มีการถือหุ้นทั้งหมดนี้ คาดว่า จะช่วยให้สามารถสร้างความสามารถที่หลากหลายซึ่งอยู่นอกขอบเขตปัจจุบันในการลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น การเสริมสร้างการใช้ประโยชน์จากฐานการดำเนินงานและข้อมูลการสั่งซื้อในญี่ปุ่นและต่างประเทศ การส่งเสริมการวิจัยร่วมกัน และการปรับใช้เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมเชิงกว้าง ในฐานะบริษัทหลักที่ดำเนินงานในธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพของ Kirin Group FANCL จะมีการเสริมเพิ่ม “ความเป็น FANCL” ในแบรนด์ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงปรัชญาการก่อตั้ง ซึ่งเป็นที่มาของความแข็งแกร่ง นอกเหนือจากการเพิ่มมูลค่าองค์กรของ FANCL แล้ว ทั้งสองบริษัทจะทำงานร่วมกันนอย่างใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ เพื่อให้กลายเป็นหนึ่งในธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และบรรลุเป้าหมายในการเติบโตสำหรับ Kirin Group โดยรวมและเสริมสร้างมูลค่าองค์กรให้ดียิ่งขึ้น

  • โครงร่างการทำธุรกรรม

บริษัทที่จะเข้าซื้อกิจการ

FANCL Corporation (รหัสหลักทรัพย์: 4921)

วิธีการเข้าซื้อกิจการและกระบวนการ

การประมูลเข้าซื้อกิจการ (TOB รวมถึงใบสำคัญแสดงสิทธิในหุ้น)

*หาก TOB ประสบความสำเร็จ และไม่ส่งผลให้ได้มาซึ่งหุ้นทั้งหมด จะมีการดำเนินการ “ความต้องการซื้อหุ้น เช่น การจ่ายเงินสด” หรือ “การรวมบัญชีหุ้น”

ระยะเวลา TOB

ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 17 เดือนมิถุนายน ปี 2024

ถึงวันจันทร์ที่ 29 เดือนกรกฎาคม ปี 2024 (30 วันทำการ)

ราคา TOB

หุ้นสามัญ: 2,690 ต่อหุ้น

(ราคาปิดระดับพรีเมียมในวันที่ 13 เดือนมิถุนายน: 42.74% ค่าเฉลี่ย 3 เดือน: 37.17%, EV/EBITDA 17.8 เท่าของปีงบประมาณ สิ้นสุดเดือนมีนาคม ปี 2024)

สิทธิในการซื้อหุ้น: หนึ่งต่อหนึ่งเยน

จำนวนหุ้นที่จะซื้อ

จำนวนหุ้นที่จะซื้อ: 82,051,400 หุ้น

จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่จะซื้อ: 41,117,700 หุ้น (จำนวนหุ้นจะต้องผ่านมติพิเศษในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ FANCL สำหรับหุ้นจำนวนนี้ รวมกับจำนวนหุ้นที่ถือครองโดย Kirin Holdings)

จำนวนหุ้นสูงสุดที่จะซื้อ: N/A

ราคาซื้อรวม

ประมาณ 220.0 พันล้านเยน

วิธีการระดมทุน

กู้เงินผ่านระบบหนี้แบบมีดอกเบี้ย *จะไม่มีการจัดหาเงินทุนจากตราสารทุน

ผลลัพธ์สำหรับปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 เดือนมีนามคม ปี 2024

รายได้ 110.9 พันล้านเยน กำไรจากการดำเนินงาน 12.6 พันล้านเยน (Japan GAAP)

อื่นๆ

ตามรายงานจากคณะกรรมการพิเศษที่จัดตั้งขึ้นโดย FANCL คณะกรรมการฝ่ายบริหารของ FANCL ในวันที่ 14 เดือนมิถุนายน ปี 2024 ได้มีมติให้ (i) แสดงความเห็นยืนยันเกี่ยวกับข้อเสนอซื้อหุ้น (ii) แนะนำให้ผู้ถือหุ้นทำการประมูลหุ้นในข้อเสนอซื้อหุ้น และ (iii) ให้สิทธิในการตัดสินใจแก่ผู้ถือสิทธิในการเข้าซื้อหุ้นว่า จะเสนอซื้อสิทธิในการเข้าซื้อหุ้นในข้อเสนอซื้อหุ้นหรือไม่

สำหรับข้อสอบถามเกี่ยวกับข้อเสนอซื้อหุ้น

NOMURA SECURITIES CO., LTD (ตัวแทนสำหรับข้อเสนอซื้อหุ้น)

+81-(0)120-043-335

เวลาทำการ 8:40-17:10 JST ในวันธรรมดา, 9:00-17:00 JST ในวันเสาร์ (ยกเว้นวันหยุด)

สามารถดูรายละเอียดได้ที่ “ประกาศเกี่ยวกับการเตรียมข้อเสนอซื้อใบหุ้น เป็นต้น ของ FANCL CORPORATION (รหัสหลักทรัพย์ 4921)” ลงวันที่ 14 เดือนมิถุนายน ปี 2024

เกี่ยวกับ Kirin Holdings

Kirin Holdings Company, Limited เป็นบริษัทต่างชาติที่มีการดำเนินงานในภาคส่วนอาหารและเครื่องดื่ม (ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม) ภาคส่วนเภสัชกรรม (ธุรกิจยา) และภาคส่วนวิทยาศาสตร์สุขภาพ (ธุรกิจวิทยาศาสตร์สุขภาพ) ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก

Kirin Holdings มีรากฐานจาก Japan Brewery ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1885 โดย Japan Brewery ได้เปลี่ยนเป็น Kirin Brewery ในปี 1907 จากนั้น บริษัทมีการขยายธุรกิจด้านเทคโนโลยีการหมักและเทคโนโลยีชีวภาพเป็นเทคโนโลยีหลัก และเข้าสู่ธุรกิจยาในปี 1980 โดยยังคงเป็นศูนย์กลางการเติบโตระดับโลก ในปี 2007 มีการก่อตั้ง Kirin Holdings ขึ้นในฐานะบริษัทโฮลดิ้งเต็มรูปแบบ และในปัจจุบัน มุ่งเน้นในการขยายธุรกิจภาคส่วนวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพ

ภายใต้วิสัยทัศน์ของ Kirin Group Vision 2027 (KV 2027) ซึ่งเป็นแผนการจัดการระยะยาวที่มีการเปิดตัวในปี 2019 โดย Kirin Group มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำระดับโลกใน CSV* โดยสร้างมูลค่าทั่วโลกทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงธุรกิจยา นับจากนี้ไป Kirin Group จะยังคงใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของบริษัทเพื่อสร้างมูลค่าทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจผ่านทางธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืนในมูลค่าองค์กร

* การสร้างมูลค่าร่วม: เป็นการผสานรวมมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้บริโภคและสังคมร่วมกันโดยรวม

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

ผู้ติดต่อสำหรับสื่อ
Corporate Communication Department Kirin Holdings Company, Limited
Nakano Central Park South, 4-10-2 Nakano, Nakano-ku, Tokyo
https://www.kirinholdings.com/en/
kirin-cc@kirin.co.jp

แหล่งข้อมูล: Kirin Holdings Company, Limited

Crayon ได้รับรองความสามารถด้าน SaaS จาก AWS ย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมบนคลาวด

Logo

การรับรองความสามารถนี้ ยืนยันความสามารถของ Crayon ด้าน SaaS และถือเป็น ความสามารถลำดับที่ 2 ที่บริษัทได้รับภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี

ออสโล, นอร์เวย์–(BUSINESS WIRE)–12 มิถุนายน 2024

Crayon บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านบริการ IT และนวัตกรรม ประกาศวันนี้ว่า บริษัทได้รับรองความสามารถด้าน SaaS ของ Amazon Web Services (AWS) การรับรองอันทรงเกียรติครั้งนี้ ยกย่อง Crayon ในฐานะ AWS Partnerที่มีประสบการณ์อันยาวนานในการช่วยองค์กรออกแบบโซลูชัน Software-as-a-Service (SaaS) และโซลูชันบนคลาวด์บน AWS

“การได้รับความสามารถด้าน AWS SaaS เป็นข้อพิสูจน์ถึงความทุ่มเทและความสามารถของทีมเราในการมอบโซลูชันระบบคลาวด์ระดับแนวหน้า” Melissa Mulholland ซีอีโอของ Crayon กล่าว “การได้รับการยอมรับนี้ไม่เพียงแต่เน้นย้ำถึงความสามารถทางเทคนิคของเรา แต่ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นของเราในการช่วยเหลือลูกค้าให้ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงระบบคลาวด์ของตัวเองอีกด้วย”

ความสามารถด้าน AWS SaaS ช่วยให้ Crayon โดดเด่นในฐานะพันธมิตรของ AWS ที่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางเทคนิคและความสำเร็จของลูกค้าที่พิสูจน์แล้วในการออกแบบโซลูชัน SaaS บน AWS ความสามารถนี้ยอมรับความสามารถของ Crayon ในการช่วยให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนจากระบบที่ล้าสมัยไปสู่แพลตฟอร์ม SaaS ที่ทันสมัยได้อย่างราบรื่น Crayon ช่วยลูกค้าในการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับโซลูชัน SaaS ของลูกค้าโดยการออกแบบสถาปัตยกรรมแอปพลิเคชันที่กำหนดเองและกรอบโซลูชันที่ครอบคลุมซึ่งปรับให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย

“การได้รับความสามารถด้าน AWS SaaS ยืนยันตำแหน่งของเราในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในระบบนิเวศคลาวด์” Florian Rosenberg CTO ของ Crayon กล่าว “ความสามารถอย่างลึกซึ้งของทีมเราในโซลูชัน SaaS และคลาวด์เนทีฟบน AWS ช่วยให้เราสามารถสนับสนุนลูกค้าในการบรรลุความเป็นเลิศในการดำเนินงาน”

โปรแกรมความสามารถของ AWS ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลูกค้าในการระบุพันธมิตรของ AWS ที่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางเทคนิคและความสำเร็จที่พิสูจน์ได้ในด้านเฉพาะต่างๆ พันธมิตรที่มีความสามารถด้าน AWS SaaS อย่าง Crayon มีประสบการณ์และความสามารถอย่างกว้างขวางในการช่วยให้องค์กรต่างๆ เปลี่ยนผ่านและประสบความสำเร็จกับโซลูชัน SaaS บน AWS โดยมั่นใจในการผสานรวมและการใช้งานที่ราบรื่นเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า

นี่เป็นความสามารถลำดับที่สองที่ Crayon ได้รับในปีนี้ โดยครั้งแรกคือด้าน Generative AI

Crayon มีความสามารถ AWS ทั้งหมดเจ็ดรายการ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทพร้อมกับ AWS ในการช่วยให้องค์กรในหลากหลายอุตสาหกรรมใช้ศักยภาพของคลาวด์อย่างเต็มที่ ขับเคลื่อนนวัตกรรม และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของพวกเขาให้ดีที่สุด

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Melanie Coffee
melanie.coffee@crayon.com
+47 46 74 8648

แหล่งข้อมูล: Crayon

ระบบจัดการสถานีชาร์จ (CSMS) ของ Autel Energy ได้รับการรับรอง OCPP 2.0.1 ถือเป็นการยกระดับการทำงานร่วมกันและความปลอดภัยในการชาร์จ EV ขั้นสูง

Logo

นครนิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–11 มิถุนายน 2024

Autel Energy ผู้ให้บริการโซลูชั่นและบริการระบบการชาร์จ EV (รถยนต์ไฟฟ้า) ชั้นนำ ได้ประกาศอย่างภาคภูมิใจว่าระบบจัดการสถานีชาร์จ (CSMS) นั้นได้รับการรับรอง OCPP 2.0.1 จาก Open Charge Alliance (OCA) แล้ว ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาความสามารถในการทำงานร่วมกันและความปลอดภัยของโซลูชั่นการชาร์รถไฟฟ้า(EV) และตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมธุรกิจการชาร์จรถไฟฟ้า EV

Autel Energy’s Charging Station Management System (CSMS) Achieves OCPP 2.0.1 Certification (Graphic: Business Wire)

ระบบการจัดการสถานีชาร์จ (CSMS) ของ Autel Energy ได้รับการรับรอง OCPP 2.0.1 (กราฟิก: Business Wire)

OCPP 2.0.1 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ Open Charge Point Protocol (OCPP) ที่ออกโดย OCA ในปี 2020 ถือเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกในด้านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างสถานีชาร์จและซอฟต์แวร์การจัดการสถานีชาร์จ โปรโตคอลนี้มอบความสามารถในการชาร์จอัจฉริยะขั้นสูงและคุณสมบัติในการควบคุมที่ได้รับการปรับปรุงสำหรับสาธารณูปโภค ผู้ดำเนินกิจการสถานีชาร์จ (CPO) และเจ้าของรถไฟฟ้า ปัจจุบัน มีเพียง 14 บริษัททั่วโลกเท่านั้นที่ได้รับการรับรองอันทรงเกียรตินี้

CSMS ของ Autel Energy มีโปรไฟล์ Core และโปรไฟล์ความปลอดภัยขั้นสูงและสมบูรณ์แบบของระบบ OCPP 2.0.1 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น นอกจากนี้ Autel ยังได้สรุปการพัฒนาสำหรับโปรไฟล์ที่เหลืออีก 6 โปรไฟล์ของ OCPP 2.0.1 และพร้อมที่จะได้รับการรับรองเต็มรูปแบบทันทีที่ OCA เปิดกระบวนการรับรองสำหรับโปรไฟล์เหล่านี้

โซลูชั่นซอฟต์แวร์การชาร์จ Autel EV ประกอบด้วย CSMS และแอปพลิเคชั่นการชาร์จ ทั้งยังให้บริการลูกค้ามากกว่า 100,000 รายในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก รองรับการชาร์จมากกว่า 600,000 ครั้งต่อเดือน และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 42 ล้านกิโลกรัม

ด้วยการได้รับการรับรอง OCPP 2.0.1 Autel รับประกันความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นผ่านการใช้โปรโตคอล Transport Layer Security (TLS) ซึ่งรองรับกลไกการเข้ารหัสและการตรวจสอบสิทธิ์การใช้งานที่จำเป็น ด้วยการใช้โปรโตคอลการสื่อสารที่ได้มาตรฐาน CSMS รับประกันการรับส่งข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ โดยมีการเข้ารหัสการรับส่งข้อมูลทั้งหมดระหว่างสถานีชาร์จและระบบคลาวด์เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล การปลอมแปลง และการโจมตี การตรวจสอบสิทธิ์แบบสองทางระหว่างสถานีชาร์จและระบบคลาวด์ทำให้มั่นใจได้ว่าปลายทั้งสองด้านของการสื่อสารนั้นเชื่อถือได้ ช่วยป้องกันการเข้าถึงอุปกรณ์โดยไม่ได้รับอนุญาต CSMS นำเสนอความสามารถในการทำงานร่วมกันที่ยอดเยี่ยมและความเสถียรของระบบที่เป็นเลิศ สามารถผสานรวมอุปกรณ์ชาร์จจากผู้ผลิตหลายรายได้อย่างราบรื่น ทำให้มีความมั่นใจได้ถึงความเข้ากันได้ในวงกว้าง อีกทั้งยังมีความคล่องตัว ตลอดจนความเสถียรสูงและน่าเชื่อถือ

ความสำเร็จนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ ของระบบการจัดการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ของ Autel Energy ในด้านนวัตกรรมและศักยภาพทางเทคโนโลยี รวมถึงโปรโตคอลหลักของอุตสาหกรรม เพิ่มความไว้วางใจของลูกค้าและความสามารถในการแข่งขัน ความยืนยัน และความมุ่งมั่นของเรา ในการจัดหาโซลูชันการชาร์จคุณภาพสูง ที่มีความปลอดภัย และทำงานร่วมกันได้กับทุกระบบ

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/54038346/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

Tom Rakoczy ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
tomr@autel.com

แหล่งที่มา: Autel Energy

Kioxia และ Xinnor ร่วมมือกันเพื่อส่งมอบโซลูชัน PCIe 5.0 NVMe SSD RAID ประสิทธิภาพสูงสําหรับแอปพลิเคชันระดับองค์กรและศูนย์ข้อมูล

Logo

โตเกียว–(BUSINESS WIRE)–05 มิถุนายน 2024

Kioxia Corporation ผู้นําระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจํา ประกาศในวันนี้ว่า KIOXIA PCIe® 5.0 NVMe™ SSD ได้รับการทดสอบความเข้ากันได้ และความสามารถในการทํางานร่วมกันกับโซลูชัน Xinnor, Ltd. (“Xinnor”) RAID และประสบความสําเร็จในการรัน PostgreSQL มากกว่าโซลูชัน RAID ของซอฟต์แวร์ที่มีการกําหนดค่าฮาร์ดแวร์เดียวกันถึง 25 เท่า(1). โซลูชันนี้จะสาธิตในบูธ KIOXIA ที่งาน COMPUTEX TAIPEI ซึ่งจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายนถึง 7 มิถุนายน

KIOXIA CM7 Series PCIe(R) 5.0 NVMe(TM) SSDs (Photo: Business Wire)

KIOXIA CM7 Series PCIe(R) 5.0 NVMe(TM) SSD (ภาพ: Business Wire)

PostgreSQL (พร้อมส่วนขยาย pgvector) และฐานข้อมูลเวกเตอร์มีความสําคัญมากขึ้นสําหรับระบบ generative AI และ RAG (Retrieval Augmented Generation) มากกว่าเดิม และผลลัพธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นโดยใช้โซลูชัน xiRAID Opus และ KIOXIA PCIe® 5.0 NVMe™ SSD ของ Xinnor สําหรับแอปลิเคชัน generative AI และ RAG

เซิร์ฟเวอร์ใหม่ที่มีอินเทอร์เฟซ PCIe® 5.0 และ SSD ความเร็วสูงที่สอดคล้องกัน เป็นที่ต้องการสําหรับแอปพลิเคชันประสิทธิภาพสูง เช่น generative AI และความสําคัญของ SSD ที่เข้ากันได้กับ PCIe® 5.0 เพื่อรองรับความต้องการที่กำลังเพิ่มมากขึ้น โซลูชัน RAID ซอฟต์แวร์ประสิทธิภาพสูงของ Kioxia และ Xinnor ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของ PCIe® 5.0 SSD สําหรับ AI, Machine Learning (ML) และแอปพลิเคชันการวิเคราะห์ข้อมูลในศูนย์ข้อมูลขององค์กรภายในองค์กร KIOXIA CM7 Series SSD ประสบความสําเร็จในการทดสอบความเข้ากันได้ที่ดําเนินการโดยทั้งสองฝ่าย

ความสําเร็จของโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลรุ่นต่อไปจะขึ้นอยู่กับการทํางานร่วมกันของระบบนิเวศและความพยายามในการทดสอบการทํางานร่วมกันเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคตทํางานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และส่งมอบตามที่คาดไว้ ในฐานะผู้นําด้าน SSD ระดับองค์กรและศูนย์ข้อมูล Kioxia มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไปข้างหน้าด้วยโซลูชันหน่วยความจําที่เป็น นวัตกรรมใหม่ที่ขับเคลื่อนคลื่นลูกใหม่ของแอปพลิเคชันและบริการ Kioxia จะยังคงสนับสนุนระบบนิเวศ PCIe® 5.0 ต่อไป และเพิ่มมูลค่าสูงสุดของ PCIe® 5.0 NVMe™ SSD ประสิทธิภาพสูง

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง: กลุ่มผลิตภัณฑ์ KIOXIA Enterprise SSD
https://www.kioxia.com/en-jp/business/ssd/enterprise-ssd.html

หมายเหตุ

(1) เมื่อเทียบกับโซลูชัน RAID มาตรฐานใน Linux (mdraid / mdadm) ในโหมดลดระดับโดยที่ไดรฟ์ตัวหนึ่งล้มเหลว ในการดําเนินการอ่านฐานข้อมูล (สืบค้น)

*Xinnor และ xiRAID เป็นเครื่องหมายการค้าของ Xinnor, Ltd.

*NVMe เป็นเครื่องหมายจดทะเบียนหรือไม่ได้จดทะเบียนของ NVM Express, Inc. ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ

*PCIe เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของ PCI-SIG

*ชื่อบริษัท ชื่อผลิตภัณฑ์ และชื่อบริการอื่นๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทบุคคลที่สาม

เกี่ยวกับ Kioxia

Kioxia เป็นผู้นําระดับโลกด้านโซลูชันหน่วยความจํา ซึ่งทุ่มเทให้กับการพัฒนา การผลิต และการขายหน่วยความจําแฟลชและโซลิดสเตตไดร์ฟ (SSD) ในเดือนเมษายน 2017 Toshiba Memory รุ่นก่อนได้แยกตัวออกจาก Toshiba Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่คิดค้นหน่วยความจําแฟลช NAND ในปี 1987 Kioxia มุ่งมั่นที่จะยกระดับโลกด้วย “หน่วยความจํา” โดยนําเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และระบบที่สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าและหน่วยความจำ – คุณค่าพื้นฐานสำหรับสังคม เทคโนโลยีหน่วยความจําแฟลช 3 มิติที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของ Kioxia อย่าง BiCS FLASH™ กําลังกําหนดอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในแอปพลิเคชันที่มีความหนาแน่นสูง รวมถึงสมาร์ทโฟนขั้นสูง พีซี SSD ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล

สอบถามข้อมูลลูกค้า:

Kioxia Group
สำนักงานขายทั่วโลก
https://business.kioxia.com/en-jp/buy/global-sales.html

*ข้อมูลในเอกสารนี้ รวมถึงราคาและข้อมูลจําเพาะของผลิตภัณฑ์ เนื้อหาบริการ และข้อมูลการติดต่อ ถูกต้อง ณ วันที่ประกาศ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54031655/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

สอบถามข้อมูลสื่อ:
Kioxia Corporation
ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์การขาย
Koji Takahata
Tel: +81-3-6478-2404

ที่มา: Kioxia Corporation

PSP เปิดเผยเกี่ยวกับธุรกิจซื้อขายหุ้นมูลค่า 500 ล้านบาทในกองทุน CPFam-LDA Asia Growth ตามสัญญาซื้อขายหุ้น

Logo

BANGKOK–(BUSINESS WIRE)–04 มิถุนายน 2024

P.S.P. Specialties Public Company Limited (“PSP”) (SET:PSP) เปิดเผยเกี่ยวกับหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับกองทุน CPFam-LDA Asia Growth (“กองทุน”) เป็นมูลค่าสูงถึง 500 ล้านบาท

เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2023 LDA และตระกูลเจียรวนนท์—เจ้าของกลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์—ได้เปิดตัวกองทุน CPFam-LDA Asia Growth เพื่อลงทุนในบริษัทที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และก่อนการเสนอขายหุ้น IPO ที่มีการเติบโตสูงทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การทำงานร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกจาก LDA และเครือข่ายระดับภูมิภาคจากกลุ่มบริษัท CP คาดว่าจะช่วยขับเคลื่อนความก้าวหน้าในภาคส่วนต่างๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น กลุ่มเทคโนโลยี การเกษตร และพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน

PSP มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันหล่อลื่นและผลิตภัณฑ์เฉพาะด้าน ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญสำหรับการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมและการบริการด้านยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือระหว่าง PSP และกองทุน CPFam-LDA Asia Growth ไม่เพียงช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรมและการขยายธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนภาคส่วนอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศไทยอีกด้วย

“การทำธุรกรรมร่วมกับ PSP ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับกองทุน” Anthony Romano ผู้อำนวยการกองทุนกล่าว “การดำเนินการนี้เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของเราต่อภูมิภาคและเป็นตัวอย่างความสามารถเชิงกลยุทธ์ที่เรามุ่งหวังในการยกระดับความร่วมมือของเรา PSP เป็นตัวแทนของบริษัทที่มีศักยภาพสูงที่เรามองหามานาน — ซึ่งมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมและเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตและการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

สามารถเข้าดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข่าวสารนี้ได้ที่ https://shorturl.at/LSYJO

เกี่ยวกับ PSP

PSP เป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านน้ำมันหล่อลื่นชั้นนำสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นยานยนต์และอุตสาหกรรม รวมถึงผลิตภัณฑ์เฉพาะด้าน เช่น จาระบี น้ำมันสำหรับกระบวนการผลิตยาง และน้ำมันหม้อแปลง บริษัทเป็นผู้ผลิตอิสระที่มีกำลังการผลิตสูงสุดในประเทศไทย และครองส่วนแบ่งการตลาดในผลิตภัณฑ์ต่างๆ สูงที่สุด

เกี่ยวกับ CP Group

กลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ (“CP Group”) เป็นหนึ่งในบริษัทโฮลดิ้งที่มีความหลากหลายสูงที่สุดในเอเชีย โดยมีรายได้สูงกว่า 82 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินทรัพย์มูลค่า 25 พันล้านเหรียญสหรัฐ และพนักงาน 450,000 คนใน 21 ประเทศ ตระกูลเจียรวนนท์เจ้าของ CP Group นี้เป็นหนึ่งในตระกูลที่มีความร่ำรวยที่สุดในเอเชีย

เกี่ยวกับ LDA Capital

LDA Capital เป็นกลุ่มบริษัทลงทุนทางเลือกระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกรรมข้ามพรมแดนทั่วโลก ทีมงานมีการดำเนินธุรกรรมรวมมากกว่า 300 รายการในตลาดระดับกลางทั้งภาครัฐและเอกชนใน 43 ประเทศ โดยมีมูลค่าธุรกรรมรวมกว่า 11 พันล้านเหรียญสหรัฐ

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

P.S.P. Specialties Public Company Limited
Chotdhanin Temsiripong
Investor Relations
chotdhanin@psp.co.th

แหล่งที่มา: P.S.P. Specialties Public Company Limited

ส่องสว่างบนยอดตึกไทเป 101 GIGABYTE กำหนดนิยามใหม่ให้กับวิวัฒนาการของ AI ที่เร่งด้วยการประมวลผลแบบยุคใหม่ที่งาน COMPUTEX

Logo

ไทเป–(BUSINESS WIRE)–03 มิถุนายน 2024

GIGABYTE Technology ผู้มีกิตติศัพท์ระดับโลกในด้านความสามารถในการวิจัยและพัฒนา จะจัดแสดงผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นของตนที่งาน COMPUTEX ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน ถึง 7 มิถุนายน ภายใต้หัวข้อ “ACCEVOLUTION” โดยยกย่องยุคใหม่ของการเร่งการประมวลผลและเวลาของ AI AI ซึ่งยังคงเป็นเทรนด์สำคัญ โดยได้ดึงดูดผู้นำอุตสาหกรรม รวมถึงซีอีโอจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของงาน COMPUTEX และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง อาคารไทเป 101 จะมีการประดับไฟเพื่องาน COMPUTEX โดยคำว่า GIGABYTE จะส่องสว่างในวันที่ 4 มิถุนายน ตั้งแต่เวลา 18.30 น. ถึง 22.00 น. เพื่อเป็นการส่งเสริมกิจกรรม AI และต้อนรับแขกจากต่างประเทศ

Shining Bright atop Taipei 101, GIGABYTE Redefines AI Evolution Accelerated by Next-Generation Computing at COMPUTEX (Photo: Business Wire)

ส่องสว่างบนยอดตึกไทเป 101 GIGABYTE กำหนดนิยามใหม่ให้กับวิวัฒนาการของ AI ที่เร่งด้วยการประมวลผลแบบยุคใหม่ที่งาน COMPUTEX (ภาพ: Business Wire)

ผู้นำที่โดดเด่นด้านการพัฒนาชิพระดับโลกจะเข้าร่วมงาน COMPUTEX โดยมีเป้าหมายที่จะยืนยันอิทธิพลของพวกเขาในยุค AI และกระชับความสัมพันธ์กับห่วงโซ่อุปทานของไต้หวัน GIGABYTE ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ รู้สึกเป็นเกียรติที่จะเชิญ CEO เหล่านี้มาที่บูธเพื่อสำรวจเทคโนโลยีล่าสุด กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของ GIGABYTE ครอบคลุมทั้งวงจรชีวิตของ AI โดยมีเทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรมและโซลูชั่นเซิร์ฟเวอร์ที่ยืดหยุ่น ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผลในอนาคตด้วยโซลูชั่นระบายความร้อนขั้นสูง จะถูกจัดแสดงในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนที่งาน COMPUTEX นอกจากนี้ GIGABYTE จะนำเสนอผลิตภัณฑ์พีซีที่ได้รับรางวัล Red Dot Award สาธิตผลิตภัณฑ์ใหม่ และมอบประสบการณ์ AI ให้กับเหล่านักเล่นเกมและผู้สร้าง

GIGABYTE ได้คงความเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่เร็วที่สุดในตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยเซิร์ฟเวอร์ AI ที่หลากหลายที่สุด ในปีนี้ เซิร์ฟเวอร์ซีรีส์ AI รุ่นเรือธง G593 ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านฟีเจอร์ความหนาแน่นสูง (HD) และการออกแบบที่ยืดหยุ่น ได้รับการจัดแสดงเพื่อรองรับชิปรุ่นใหม่ของ NVIDIA H200 และ B100 รวมถึงรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับ MI300X ของ AMD นอกจากนี้ ในงานแสดงจะนำเสนอเซิร์ฟเวอร์ซีรีส์ X รุ่นใหม่ ซึ่งใช้การออกแบบโมดูลาร์ MGX ของ NVIDIA ที่ช่วยลดเวลาในการพัฒนาและเร่งการปรับใช้ศูนย์ข้อมูล ลูกค้าสามารถเลือกระหว่างCPU AMD EPYC, Intel Xeon x86 หรือซุปเปอร์ชิพ NVIDIA Grace Hopper Arm ซึ่งนำเสนอการกำหนดค่าที่ปรับให้เหมาะกับความต้องการด้านการคำนวณโดยเฉพาะ

โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ได้รับความนิยมมากขึ้นใน AI เพื่อรองรับจำนวนพารามิเตอร์ที่เพิ่มขึ้น GIGABYTE จึงได้จัดแสดงเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับสถาปัตยกรรม Blackwell รุ่นล่าสุดของ NVIDIA โดยมีการออกแบบที่มีความหนาแน่นสูง (HD) ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง พร้อมด้วยซุปเปอร์ชิพ B100 และ B200 อันทรงพลัง โดย B100 จะเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ซีรีส์ G593 ในขณะที่ประสิทธิภาพระดับถัดไปของ B200 ทำให้เกิดความท้าทายด้านความร้อนที่เกินกว่าความสามารถในการระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิม GIGABYTE ได้จัดการกับเรื่องนี้ด้วยวิศวกรรมการระบายความร้อนชั้นนำของอุตสาหกรรมอันได้แก่ direct liquid cooling นอกจากนั้น GB200 ที่ได้รับการคาดหวังอย่างสูงจะถูกจัดแสดงในตู้ระบายความร้อนด้วยของเหลวในชื่อ GB200 NVL72 ซึ่งทำหน้าที่เป็น GPU ขนาดใหญ่ที่สามารถบรรลุประสิทธิภาพการอนุมานถึง 30 เท่าของ GPU H100 ในจำนวนที่เท่ากัน สิ่งนี้ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมไม่เพียงแต่ได้เห็นนวัตกรรมเหล่านี้โดยตรง แต่ยังมีส่วนร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับอนาคตของการพัฒนา AI และการใช้งานคอมพิวเตอร์อีกด้วย

ขอแนะนำ GIGA POD ซึ่งเป็นโซลูชันการรวมแร็คแบบครบวงจรของ GIGABYTE โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านเซิร์ฟเวอร์และประสบการณ์มากกว่า 20 ปีที่ได้รับจากพันธมิตรอย่าง CSP GIGA POD เป็นการบูรณาการระบบที่สมบูรณ์ รวมถึงการวางแผนสถาปัตยกรรม การรวมอุปกรณ์ การติดตั้งซอฟต์แวร์ และการทดสอบหลังการใช้งาน มีการกำหนดค่าเซิร์ฟเวอร์ AI ที่แตกต่างกันด้วย NVIDIA SXM หรือ AMD Instinct GPUs หรือซุปเปอร์ชิพ NVIDIA และกำลังค่อยๆ ขยายไปยังเซิร์ฟเวอร์ AI ที่ติดตั้ง GPU ระดับบนสุดในอนาคต GIGA POD ยังเป็นการสาธิตที่สำคัญของวิศวกรรมการระบายความร้อนของ GIGABYTE โดยติดตั้งโมดูล HGX ในแชสซี 5U ของเซิร์ฟเวอร์ G593 ที่ระบายความร้อนด้วยอากาศ เซิร์ฟเวอร์ที่มีความหนาแน่นสูงดังกล่าวช่วยให้ลูกค้ามีตัวเลือกในการเลือกการกำหนดค่า 9 แร็คพร้อมเซิร์ฟเวอร์ AI 4 เซิร์ฟเวอร์ต่อแร็ค 42U หรือการกำหนดค่า 5 แร็คพร้อมเซิร์ฟเวอร์ AI 8 แร็คต่อแร็ค 48U ทำให้ได้พื้นที่การใช้งานเกือบสองเท่าและปรับปรุงประสิทธิภาพของทรัพยากรได้อย่างมาก GIGABYTE ยังได้เชิญ Northern Data Group ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของโซลูชันการประมวลผลคลัสเตอร์ (GIGA POD) และผู้ให้บริการคลาวด์ Generative AI รายใหญ่ที่สุดของยุโรป ให้เข้าร่วมในกิจกรรมพิเศษ “Executive Dialogue with AI Visionaries” กับผู้จัดการทั่วไปของบริษัทย่อยของ GIGABYTE อย่าง Giga Computing การพูดคุยแบบไลฟ์สดจะครอบคลุมถึงการทำงานร่วมกัน กุญแจสู่ความสำเร็จ และมุมมองเกี่ยวกับอนาคตของ AI

การพัฒนา AI ขยายขอบเขตไปไกลกว่าการคำนวณ GPU ไปสู่โครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลที่ครอบคลุม รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลและการส่งข้อมูลเครือข่าย ความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาของ GIGABYTE ในด้านอุณหภูมิ กลไก และการออกแบบโมดูลาร์ทำให้มั่นใจได้ถึงผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายสำหรับสถาปัตยกรรมไอที

GIGABYTE เป็นผู้บุกเบิกโซลูชั่น advanced cooling solutions เทคโนโลยีการเรียนรู้ เช่น การระบายความร้อนด้วยของเหลวโดยตรง และการ immersion cooling ด้วยความเชี่ยวชาญในการบูรณาการข้ามสาขาวิชา GIGABYTE ได้พัฒนาแผ่นเย็น, แร็ควาง DLC และถังแช่ของตัวเอง โดยนำเสนอโซลูชั่นการระบายความร้อนที่ครอบคลุม ที่งาน COMPUTEX นั้น GIGABYTE จะจัดแสดงระบบทำความเย็นแบบจุ่มเฟสเดียว ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวโดยตรง และแร็ควางเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนที่ประตูหลัง (RDHx) แบบใหม่ ด้วยความร่วมมือกับ nVent นั้น GIGABYTE ได้ติดตั้ง Hyperion ซึ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์อันดับสามของสเปน โดยใช้เซิร์ฟเวอร์ฟูลแร็คที่มี RDHx การตั้งค่านี้เชื่อมต่อกับเครื่องทำความเย็นกลางแจ้ง โดยสามารถกระจายความร้อนได้สูงสุดถึง 54,000 วัตต์ต่อชั่วโมง ช่วยลดความต้องการเครื่องปรับอากาศ และจัดการฮอตสปอตทางคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

GIGABYTE นำเสนอทั้งความสามารถในการฝึกอบรมโมเดล AI ที่แข็งแกร่งและแอปพลิเคชัน AI ที่ใช้งานได้จริงผ่านคอมพิวเตอร์ฝังตัวระดับอุตสาหกรรม การสาธิตครอบคลุมโรงงานอัจฉริยะที่มีวิชันซิสเต็มที่ใช้ AI และคอมพิวเตอร์ฝังตัวที่มีความเสถียรสูงสำหรับการควบคุมระยะไกล รวมถึงบาร์ร้านค้าปลีกที่ใช้แผงพีซีรวมกับการจดจำ AI และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ความก้าวหน้าใน AI และ CPU/GPU รุ่นต่อไปยังสนับสนุนแอปพลิเคชันยานยนต์อัจฉริยะ เพิ่มประสิทธิภาพ ADAS และอุปกรณ์ Telematic ในรถยนต์

การเพิ่มขึ้นของ AI กำลังเปลี่ยนแปลงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เมนบอร์ด GIGABYTE ซีรีส์ Z790 ได้รับการออกแบบมาสำหรับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และรองรับกราฟิกการ์ดซีรีส์ RTX 40 SUPER ซึ่งมอบประสิทธิภาพสูงสุดด้วยจำนวนคอร์ที่ได้รับการปรับปรุง VRAM และความเร็วหน่วยความจำ กราฟิกการ์ดใช้การเร่งความเร็ว AI นำเสนอการประมวลผลและการประมวลผลกราฟิกที่ยอดเยี่ยมสำหรับงานระดับมืออาชีพและเกม AAA ในขณะเดียวกันก็เตรียมผู้ใช้สำหรับแอปพลิเคชันใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI อีกด้วย แล็ปท็อป AORUS 17X และ 16X AI มี AI Nexus ของ GIGABYTE พร้อมด้วยฟีเจอร์ AI Boost AI Generator และ AI Power Gear ซึ่งมอบประสิทธิภาพที่ดีขึ้น การสร้าง AI ที่ราบรื่น และเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น ในพื้นที่สำหรับมอบประสบการณ์ AI ของบูธของเรา ผู้เข้าชมสามารถสำรวจแอปพลิเคชัน AI ล่าสุดและโต้ตอบแบบเรียลไทม์ ซึ่งรวมถึง NVIDIA ACE และ ChatRTX ที่จะเจาะลึกเข้าไปในเทคโนโลยี AI ที่ล้ำสมัยได้

เยี่ยมชมงาน COMPUTEX ของ GIGABYTE ได้ที่ event page

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54023006/en

ติดต่อ

ผู้ประสานการติดต่อสื่อมวลชน: Michael Pao brand@GIGABYTE.com

แหล่งที่มา: GIGABYTE Technology






สมาคมผู้ผลิตสาเกและโซจูของญี่ปุ่นจะมีการจัดงาน “Japanese Sake Fair 2024” ที่ประเทศญี่ปุ่นในเดือนกรกฎานี้!!

Logo

TOKYO–(BUSINESS WIRE)–31 พฤษภาคม 2024

ในทุกปี สมาคมผู้ผลิตสาเกและโซจูของญี่ปุ่นจะมีการจัดงานสาเกแฟร์ โดยมีผู้ผลิตสาเกมากกว่า 400 รายจากเมืองต่างๆ ของญี่ปุ่นเข้าร่วมงาน งาน All Japan Sake Fair ครั้งที่ 16 นี้จะมีการจัดขึ้นที่ Ikebukuro Sunshine City กรุงโตเกียว ในวันที่ 5 และ 6 เดือนกรกฏาคม ปี 2024 ซึ่งเป็นงานแสดงสาเกที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยคุณสามารถลิ้มลองสาเกได้มากกว่า 1,000 แบรนด์และสามารถพูดคุยกับผู้ผลิตสาเกได้โดยตรง จะมีการจัดบูธแยกเป็น 45 ภูมิภาค และคุณจะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิภาคการผลิตในเมืองต่างๆ ของญี่ปุ่น ลักษณะเฉพาะ และแนวโน้มของผู้ผลิตสาเก นอกจากนี้ ยังมีบริการเปิดให้ชิมสาเกที่ระดับอุณหภูมิต่างๆ และการอภิปรายเกี่ยวกับเทคนิคการผลิตสาเกโดยผู้ผลิตสาเกอีกด้วย

All Japan Sake Fair (The photo shows the event in 2023) (Photo: Business Wire)

All Japan Sake Fair (ภาพแสดงงานเมื่อปี 2023) (ภาพถ่ายo: Business Wire)

ในเวลาเดียวกัน จะมีการเปิดให้ชิมสาเก Daiginjo  ซึ่งเป็นสาเกที่คว้ารางวัลกว่า 390 รายการจากงาน Annual Japan Sake Awards 2024 ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันวิจัยการกลั่นสุราแห่งชาติและสมาคมผู้ผลิตสาเกและโซจูของญี่ปุ่น ปีนี้เป็นการแข่งขันครั้งที่ 112 โดยมีประวัติศาสตร์และมีประสบการณ์มายาวนานกว่า 100 ปี ที่งาน Annual Japan Sake Awards 2024 จะมีการตัดสินรางวัลผู้ชนะเลิศสำหรับสาเก Ginjo ที่ผลิตตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2023 จนถึงเดือนมีนาคม ปี 2024 โดยผู้เชี่ยวชาญในการชิมสาเกแบบไม่มีการระบุชื่อ โดยการตัดสินจากกลิ่นหอม รสชาติ และคุณภาพโดยรวม

ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป จะมีการเปิดจำหน่ายบัตรเข้าร่วมงานแต่ละประเภทให้กับผู้ชื่นชอบสาเกญี่ปุ่นและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากในโอกาสพิเศษนี้ เพื่อสัมผัสประสบการณ์ของสาเกญี่ปุ่นในปัจจุบัน อย่าลืมวางแผนที่จะเข้าร่วมงาน 2025 Japan Sake Fair ที่จะมีการจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนปีหน้าด้วยเช่นกัน

เว็บไซต์จำหน่ายบัตรเข้าร่วมงาน: https://ars-sunshine.triplabo.jp/home?lang=en

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่: https://www.businesswire.com/news/home/54020058/en

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

ติดต่อ

LINKTIVITY, Inc.
helpcenter@linktivity.co.jp

แหล่งข้อมูล: The Japan Sake and Shochu Makers Association