Brightcove และ ByteArk นำเสนอสื่อและเทคโนโลยี OTT รูปแบบใหม่ที่เหนือกว่าแก่ลูกค้าในประเทศไทย

Logo

ความร่วมมือครั้งใหม่นี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถมอบประสบการณ์การรับชมที่ราบรื่นให้กับผู้ชมผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยวิธีที่เชื่อถือได้ ปรับขนาดได้ และปลอดภัย

สิงคโปร์–(BUSINESS WIRE)–22 มิถุนายน 2564

Brightcove® Inc. (NASDAQ: BCOV) ผู้นำระดับโลกด้านวิดีโอสำหรับธุรกิจ ประกาศความร่วมมือทางเทคโนโลยีกับ ByteArk ผู้ให้บริการเครือข่ายการจัดส่งเนื้อหา (CDN) ชั้นนำของประเทศไทย ในการสนับสนุนลูกค้าที่ต้องการใช้วิดีโอเพื่อเชื่อมต่อกับผู้ชมทั่วทุกมุมโลก โดย Brightcove และ ByteArk จะร่วมกันส่งเสริมองค์กรสื่อ เจ้าของเนื้อหาที่ใช้แพลตฟอร์ม OTT (over-the-top) และองค์กรต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การรับชมที่ไร้ที่ติที่สามารถดึงดูดและเข้าถึงผู้ชมผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ในขณะที่รับข้อมูลสำคัญที่แจ้งการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญ

เนื่องจากการใช้วิดีโอกลายเป็นแรงผลักดันสำหรับประสบการณ์และความพึงพอใจของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือทางเทคโนโลยีรูปแบบใหม่นี้จะช่วยให้ Brightcove และ ByteArk สามารถใช้ประโยชน์ด้วยกันจากเทคโนโลยีและทรัพยากรเพื่อให้บริการที่ดีขึ้นสำหรับฐานลูกค้าวิดีโอที่กำลังเติบโต ความน่าเชื่อถือ ความสามารถในการปรับขนาด และความปลอดภัยของเทคโนโลยีวิดีโอของ Brightcove เสริมด้วยการประมวลผลประสิทธิภาพสูงของ ByteArk และระบบเว็บที่รองรับการใช้งานจำนวนมาก ตลอดจนเครือข่ายที่กว้างขวางและการเข้าถึงที่กว้างขวาง จะช่วยให้ลูกค้าสามารถนำเสนอสตรีมมิงแบบสดและวิดีทัศน์ตามคำขอ (VOD) คุณภาพสูงได้อย่างราบรื่นให้กับผู้ชมชาวไทยทั่วประเทศ

“วิดีโออยู่ในระดับแนวหน้าของพฤติกรรมการซื้อสินค้า การเรียนรู้ และความบันเทิงในรูปแบบใหม่ และการร่วมมือกับ ByteArk จะมอบโซลูชั่นวิดีโอและ CDN ที่เป็นส่วนตัวและดีที่สุดสำหรับลูกค้าทุกราย ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตามจะอยู่ในเส้นทางการนำวิดีโอไปใช้ได้” Lynn D. Tinney รองประธานฝ่าย Global Partners ของ Brightcove กล่าว “ศักยภาพที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นมากมายสำหรับวิดีโอออนไลน์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการเป็นหุ้นส่วนทางเทคโนโลยีนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ Brightcove ในการลงทุนในภูมิภาคนี้”

“เป็นเวลา 10 ปีที่เราได้นำเสนอเนื้อหาสำหรับผู้ให้บริการโทรทัศน์ระดับแนวหน้าในประเทศไทย เช่นเดียวกับเว็บไซต์เชิงพาณิชย์ยอดนิยม องค์กรจัดงาน และผู้ให้บริการด้านการศึกษา” สมศักดิ์ ศรีประยูรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัท ByteArk กล่าว “วิดีโอยังคงครอบครองจิตใจและความคิดและเชื่อมโยงผู้คนเมื่อเราไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีวิดีโอชั้นนำของอุตสาหกรรมของ Brightcove จะช่วยให้เราสามารถให้คำแนะนำที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นแก่ผู้ชมของเรา และนำเสนอเนื้อหาวิดีโอที่ดีและเชื่อถือได้ ซึ่งผู้บริโภคจะชื่นชอบในวันนี้และในอนาคต”

เกี่ยวกับ ByteArk

ByteArk เป็นผู้นำตลาดสำหรับ CDN และผู้ให้บริการสตรีมมิงที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2551 ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เราให้คำปรึกษาและนำเสนอเนื้อหาทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อบริการลูกค้าของคุณทั่วโลก นอกจากนี้เรายังให้บริการที่คุ้มค่าเพื่อตอบสนองความต้องการและสนับสนุนธุรกิจของคุณให้เป็นผู้นำตลาดที่ยั่งยืน พอร์ตโฟลิโอของเรายังรวมถึงการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงและระบบเว็บที่เปิดใช้งานจำนวนมาก และปัจจุบันเราดูแลและพัฒนาระบบสำหรับแอปพลิเคชัน HPC รวมถึงเว็บไซต์ สื่อออนไลน์ เกม และแอปพลิเคชัน

เกี่ยวกับ Brightcove

เมื่อลงมือทำวิดีโออย่างถูกต้องจะสามารถส่งผลที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เมื่อเปิดใจ ความคิดเปลี่ยน ความคิดสร้างสรรค์ก็งอกงาม ตั้งแต่ปี 2547 Brightcove ได้ช่วยเหลือลูกค้าในการค้นพบและสัมผัสกับพลังอันน่าทึ่งของวิดีโอผ่านเทคโนโลยีที่ได้รับรางวัล ซึ่งช่วยส่งเสริมศักยภาพให้กับองค์กรในกว่า 70 ประเทศทั่วโลกเพื่อเข้าถึงผู้ชมในรูปแบบที่โดดเด่นและสร้างสรรค์

Brightcove ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ และให้การสนับสนุนลูกค้าโดยไม่มีข้ออ้าง และใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและทรัพยากรของโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก วิดีโอเป็นสื่อที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้นที่สุดในโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมได้ที่ www.brightcove.com วิดีโอที่หมายถึงธุรกิจ™

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210621005827/en/

ติดต่อ:

Brightcove
Meredith Duhaime
mduhaime@brightcove.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

EIG-Led Consortium ปิดข้อตกลงโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 12.4 พันล้านดอลลาร์กับ Aramco

Logo

กิจการค้าร่วมประกอบด้วยกลุ่มนักลงทุนที่มีชื่อเสียงจากอเมริกาเหนือ เอเชีย และตะวันออกกลาง

วอชิงตัน–(BUSINESS WIRE)–19 มิถุนายน 2564

EIG สถาบันลงทุนชั้นนำในภาคพลังงานทั่วโลกและหนึ่งในนักลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของโลก ประกาศปิดการทำธุรกรรมที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้กับ Saudi Arabian Oil Co. (“Aramco”) ภายใต้กลุ่มนักลงทุนได้เข้าซื้อกิจการ 49% สัดส่วนการถือหุ้นใน Aramco Oil Pipelines Company (“Aramco Oil Pipelines”) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่โดยมีสิทธิ์ในการชำระภาษีเป็นเวลา 25 ปีสำหรับน้ำมันที่ขนส่งผ่านเครือข่ายท่อส่งน้ำมันดิบที่มีความเสถียรของ Aramco

กระบวนการลงทุนร่วมที่นำโดย EIG ใน Aramco Oil Pipelines ดึงดูดกลุ่มสถาบันลงทุนชั้นนำระดับโลกจากจีน ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เกาหลี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรวมถึงสหรัฐอเมริกา ตามด้วยบริษัท Mubadala Investment Company, นักลงทุน Abu Dhabi Sovereign Investor, กองทุน Silk Road Fund, Hassana และ Samsung Asset Management

R. Blair Thomas ประธานและซีอีโอของ EIG กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้ทำธุรกรรมกับ Aramco ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายด้านพลังงานชั้นนำระดับโลก ความสามารถของสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกนี้ได้รับการพิสูจน์โดยนักลงทุนชั้นนำที่ลงทุนควบคู่ไปกับ EIG เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับกิจการค้าร่วมระดับโลกนี้ และหวังว่าจะได้เป็นหุ้นส่วนระยะยาวและมีผลสำเร็จ”

HSBC Bank plc เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของ EIG เกี่ยวกับการทำธุรกรรมดังกล่าว และ Latham & Watkins ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของ EIG

เกี่ยวกับ EIG 

EIG เป็นสถาบันลงทุนชั้นนำในภาคพลังงานทั่วโลกด้วยเงิน 21.7 พันล้านดอลลาร์ภายใต้การบริหาร ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564  EIG เชี่ยวชาญด้านการลงทุนภาคเอกชนในด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลก ในช่วงประวัติศาสตร์ 39 ปี EIG ได้สร้างมูลค่ากว่า 37 พันล้านดอลลาร์แก่ภาคพลังงานผ่านโครงการหรือบริษัทมากกว่า 370 โครงการใน 37 ประเทศในหกทวีป ลูกค้าของ EIG ประกอบด้วยแผนบำเหน็จบำนาญชั้นนำมากมาย บริษัทประกันภัย กองทุนเงินบริจาค มูลนิธิ และกองทุนความมั่งคั่งอธิปไตยในสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป  EIG มีสำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี และมีสำนักงานในฮูสตัน ลอนดอน ซิดนีย์ ริโอเดจาเนโร ฮ่องกง และโซล  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ EIG ที่ www.eigpartners.com

เกี่ยวกับ Aramco

Aramco เป็นบริษัทพลังงานและเคมีภัณฑ์แบบบูรณาการระดับโลกซึ่งขับเคลื่อนโดยความเชื่อหลักที่ว่าพลังงานคือโอกาส จากการผลิตน้ำมันประมาณหนึ่งในทุกๆ แปดบาร์เรลของอุปทานน้ำมันของโลกไปจนถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีพลังงานใหม่ ทีมงานระดับโลกของ Aramco มุ่งมั่นที่จะสร้างผลสะท้อนในทุกสิ่งที่ทำ บริษัทให้ความสำคัญกับการทำให้ทรัพยากรมีความน่าเชื่อถือ ยั่งยืน และมีประโยชน์มากขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาวทั่วโลก www.aramco.com

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210618005526/en/

ติดต่อ:

EIG
Sard Verbinnen & Co.
Kelly Kimberly / Brandon Messina
+1 212-687-8080
EIG-SVC@sardverb.com

Aramco
International Media Relations: international.media@aramco.com
Investor Relations: investor.relations@aramco.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Glamhive & Mary Kay Global Design Studio ประกาศเปิดตัว Step & Repeat เรียลลิตีโชว์การออกแบบระดับโลกครั้งแรกบน TIkTok เพื่อแสดงทักษะการแต่งกาย แต่งหน้า และทำผมของผู้ใช้ TikTok ทั่วโลก

Logo

รายการ Step & Repeat นำเสนอทักษะระดับเซเลบ ซึ่งประกอบไปด้วย สไตลิสต์และดีไซน์เนอร์เครื่องแต่งกายเซเลบอย่าง Johnny Wujek ที่มาเป็นพิธีกร พร้อมด้วยสไตลิสต์เซเลบชื่อดังระดับโลกอย่าง Nicole Chavez ช่างทำผมเซเลบอย่าง Andrew Fitzsimons และซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Fashion Bomb Daily อย่าง Claire Sulmers

ซีแอตเทิลและลอสแอนเจลิส–(BUSINESS WIRE)–17 มิถุนายน 2564

วันนี้ Glamhive และ Mary Kay Global Design Studio ประกาศเปิดตัวรายการ Step & Repeat ที่แสดงการแต่งตัวครั้งแรกบน TikTok โดย Step & Repeat เป็นโปรแกรมการแข่งขันและการให้คำปรึกษาด้านการแต่งตัวเป็นเวลา 5 สัปดาห์ ซึ่งสไตลิสต์เสื้อผ้า ช่างแต่งหน้า และช่างทำผมทั่วโลกเข้าร่วมการแข่งขันกันในแวดล้อมที่มาไวไปไวของ TikTok เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จทางธุรกิจ การแข่งขันระดับโลกนี้จะถ่ายทอดสดและเปิดให้ทุกคนเข้าชมในวันที่ 22 มิถุนายนบน TikTok

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210617005552/en/

CEO & Founder of Glamhive (Step & Repeat Co-Creator) Stephanie Sprangers (Photo: Mary Kay Inc.)

Stephanie Sprangers ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Glamhive (ผู้ร่วมสร้างสรรค์ Step & Repeat) (รูปภาพ: Mary Kay Inc.)

ชุมชนของ TikTok เติบโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่ของโรค COVID-19 และความสามารถใหม่ ๆ ที่ไม่เหมือนใครได้เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มทุกวัน การสนทนาผ่าน TiikTok ได้เปลี่ยนความโด่งดังเป็นโอกาสทางธุรกิจ เปลี่ยนความบันเทิงเป็นการลงทุน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการสนับสนุนและยกย่องจาก Glamhive และ Mary Kay โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ เนื่องจากโลกกำลังเปิดรับ “ความปกติรูปแบบใหม่” ที่มีอาชีพใหม่ ๆ มากมายเกิดขึ้น

ทั้งสองบริษัทเชื่อว่าขณะนี้เป็นเวลาที่ควรตามหาผู้มีทักษะความสามารถ ตั้งแต่ดาราดังไปจนถึงดาราที่กำลังรอเฉิดฉายในวงการ เพื่อช่วยให้พวกเขาพัฒนาแบรนด์ส่วนตัว ซึ่งเป็นหนึ่งในกุญแจสู่วงการการแต่งตัวและความสำเร็จในการลงทุน ดังนั้นพวกเขาจึงประกาศเปิดตัว Step & Repeat การแข่งขันแต่งตัวระดับโลกครั้งแรกบน TikTok โดยจะมอบแผนงาน การรับรอง และรางวัลแก่ผู้ชนะทุกสัปดาห์

Glamhive และ Mary Kay Global Design Studio ได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์ Step & Repeat ให้เป็นเวทีระดับโลกที่เปิดกว้างสำหรับผู้ที่ต้องการแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์บนเวทีระดับนานาชาติ และได้รับการยอมรับในทักษะและความสามารถอันน่าทึ่งด้านการแต่งกาย การแต่งหน้า และการจัดแต่งทรงผม

ในแต่ละสัปดาห์ Johnny Wujek พิธีกรของ Step & Repeat (ซึ่งมีลูกค้าเป็นคนดัง อย่าง Katy Perry และ Mariah Carey) จะประกาศการแข่งขันตามธีม จากนั้นผู้ใช้ TikTok จะต้องออกแบบการแต่งกาย แต่งหน้า หรือจัดแต่งทรงผมที่ดีที่สุดสำหรับธีมนั้น วิดีโอจะรวมเสียงที่กำหนดเองของรายการ “Step & Repeat” แฮชแท็ก #stepandrepeat และแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับแต่ละการแข่งขัน ทำให้ผู้ตัดสินของรายการสามารถค้นพบเห็นผลจากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดได้

กรรมการเซเลบของรายการ ได้แก่ Nicole Chavez (ซึ่งมีลูกค้าเป็นคนดัง เช่น Scarlett Johansson, Kristen Bell และ Catherine Zeta-Jones), Claire Sulmers (ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทด้านสื่อและอีคอมเมิร์ซ Fashion Bomb Daily) และ Andrew Fitzsimons (ซึ่งมีลูกค้าเป็นคนดังอย่างครอบครัว Kardashians) จะประสานกันหาลุคที่ดีที่สุดจากทั่วโลกและโหวตให้ผู้ชนะในแต่ละหมวดหมู่ นอกจากนี้ รายการจะมีแขกรับเชิญพิเศษมาร่วมสร้างความประหลาดใจ ชาว TikTok สามารถจับคู่กันเพื่อผสานลุคและเชียร์ผู้เข้าร่วมที่ชื่นชอบได้ด้วย

ในช่วงท้ายของการแข่งขันแต่ละรายการ พิธีกร Johnny Wujek จะประกาศผู้ชนะในแต่ละหมวดหมู่ ซึ่งประกอบด้วย การแต่งกาย การแต่งหน้า และการจัดแต่งทรงผม ผู้ชนะแต่ละคนจะได้รับรางวัลเงินสดและเซสชั่นการให้คำปรึกษา 1 ชั่วโมงจาก 1 ใน 19 ผู้นำในวงการที่ผันตัวขึ้นมาให้คำปรึกษา

เมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 5 สัปดาห์ Step & Repeat จะประกาศผู้ชนะหนึ่งเดียวในแต่ละหมวดหมู่ โดยจะมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ทำผลงานการแต่งกาย การแต่งหน้า และการจัดแต่งทรงผมที่ดีที่สุดโดยคัดจากผู้เข้าร่วมจากทั่วทุกมุมโลก

Stephanie Sprangers ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Glamhive (ผู้ร่วมสร้างสรรค์ Step & Repeat)
“เป้าหมายของเราคือการเปิดรับความแตกต่าง + โอกาส ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ ทุกคนสามารถชนะได้ และผู้ชนะก็มีโอกาสได้รับคำปรึกษาที่อาจเปลี่ยนชีวิตได้จริง ๆ นี่คือสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคนมากที่สุด”

Sprangers เป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ของ Glamhive ผู้ให้บริการการแต่งตัวส่วนบุคคลออนไลน์ที่นำสไตลิสต์และช่างแต่งหน้าส่วนตัวที่เชี่ยวชาญ คัดเลือกโดยตรงจากฮอลลีวูดและอินสตาแกรมให้กับทุกคน ด้วยความเป็นผู้นำของ Sprangers, Glamhive จึงพัฒนากรรมสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้สไตลิสต์พาลูกค้าไปพบกับประสบการณ์การแต่งตัวผ่านทางออนไลน์ได้ 100% ซึ่งหมายความว่าผู้คนสามารถทำงานร่วมกับสไตลิสต์ได้ทุกที่ในโลก

Johnny Wujek สไตลิสต์เซเลบและนักออกแบบเครื่องแต่งกาย (พิธีกรรายการ Step & Repeat)
“Step and Repeat จะเป็นการเฉลิมฉลองความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ฉันรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นความตื่นเต้นระดับโลกที่จะนำเสนอ”

Wujek นักออกแบบเครื่องแต่งกายและสไตลิสต์ในตำนานของ HBO Max เชี่ยวชาญด้านการแต่งตัวในทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่ลุคเสน่ห์เย้ายวน (Kim Kardashian) ไปจนถึงสาวเท่ (Kate Mara) หรือสาวป็อปสุดเท่ (Katy Perry) สไตล์ของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะเขากลายเป็นหนึ่งในสไตลิสต์ที่มีคนต้องการตัวมากที่สุดในโลก

Nicole Chavez สไตลิสต์เซเลบ (ผู้ตัดสิน Step & Repeat)
“ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ให้กำลังใจและสนับสนุนนักออกแบบที่เหมือนกับฉัน เนื่องจากเราทุกคนต่างกำลังเรียนรู้แนวทางของโลกหลังการระบาดของโรค ซึ่งในชีวิตจริงนั้นได้มีการผสมผสานเข้ากับดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนอาชีพของเราไปข้างหน้า”

ปัจจุบัน Chavez เป็นหนึ่งในสไตลิสต์ที่มีคนต้องการตัวมากที่สุด ลูกค้าของเธอมีทั้งดาราดังระดับโลกอย่าง Kristen Bell, Rachel Bilson, Jessica Simpson, Scarlett Johansson, Catherine Zeta-Jones และอีกมากมาย ผลงานของเธอได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารหลายฉบับ ได้แก่ W, InStyle และ Harper's Bazaar

Andrew Fitzsimons ช่างทำผมเซเลบ (ผู้ตัดสิน Step & Repeat)
“ผมทำงานมาทั่วโลก เริ่มตั้งแต่กรุงดับลิน ไปใช้ชีวิตในกรุงปารีสและมหานครนิวยอร์ก ในฐานะคนที่ออกจากโรงเรียนตอนอายุ 13 ปี และหลงใหลในศิลปะอยู่เสมอ ผมจะมองหาใครสักคนที่มีบุคลิกดี คนที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญเพื่อนำความสามารถของคุณไปขาย เพราะคุณต้องทลายกำแพงด้านบุคลิกภาพของตัวเอง”

Fitzsimons เป็นช่างทำผมชื่อดังระดับโลก รายชื่อลูกค้าของเขา ได้แก่ Khloe Kardashian, Kylie Jenner, Shay Mitchell, Ashley Graham, Joan Smalls และอีกมากมาย ผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์ในอย่างนิตยสาร Vogue, Harper's Bazaar, ELLE และอื่น ๆ อีกมากมาย

Claire Sulmers ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Fashion Bomb Daily (ผู้ตัดสิน Step & Repeat)
“ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันที่จะปฏิวัติวงการนี้ และจะยังเป็นแบบอย่างด้านความหลากหลายและการเปิดรับความแตกต่างในวงการแฟชั่นด้วย!”

Sulmers เป็นซีอีโอและผู้ก่อตั้ง FashionBombDaily.com ซึ่งเป็นบริษัทด้านสื่อและอีคอมเมิร์ซ งานบุกเบิกของเธอได้นำคลื่นลูกใหม่ของวงการสื่อดิจิทัลเข้ามา ซึ่งได้หล่อเลี้ยงและเติมไฟให้กับชุมชนผู้รักการแต่งตัวสไตล์แอฟริกันอเมริกันและลาตินที่ยังเข้าไม่ถึง และพวกเขาต้องการรับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์จากวัฒนธรรม นอกเหนือจากการสร้างสรรค์และกำกับเนื้อหาสำหรับ Fashion Bomb Daily และเว็บไซต์ในเครือแล้ว Sulmers ยังมีสไตล์การเขียนมากมายสำหรับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Vogue ItaliaVogue Paris และ ESSENCE Magazine

ผู้ให้คำปรึกษา:
ผู้ให้คำปรึกษาประกอบด้วย สไตลิสต์และช่างแต่งหน้าเซเลบที่ทำงานกับคนดังในฮอลลีวูดและที่อื่น ๆ เช่น Angelina Jolie, Serena Williams, Carolyn Murphy, Naomi Watts, Kristen Bell, Khloe Kardashian, Kristen Stewart, Matthew McConaughey และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงคนดังอื่น ๆ ในวงการการออกแบบเครื่องแต่งกาย สื่อ และกลุ่มทุนที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ประกอบด้วย:

สไตลิสต์เซเลบ
Meg Chapman & Jordan LaValle, The Closet Files

Kesha McCleod, สถาปนิกออกแบบ/สไตลิสต์/นักเขียน

Janelle Miller, สไตลิสต์เซเลบ
Tara Swennen, สไตลิสต์เซเลบ
Sonia Young, สไตลิสต์เซเลบ
Jennifer Rade, สไตลิสต์เซเลบ

ช่างแต่งหน้าเซเลบ
Quinn Murphy, ช่างแต่งหน้าเซเลบ
Mary Wiles, ช่างแต่งหน้าเซเลบ

ช่างทำผมเซเลบ
Laura Rugetti, ช่างทำผมเซเลบและเจ้าของ The Beauty Can
Larry Sims, ช่างทำผมเซเลบ
Quentin Thrash, ช่างทำผมเซเลบและดีไซเนอร์เสื้อผ้าบุรุษ
Sheridan Ward, ช่างทำผมเซเลบ

ดีไซเนอร์เครื่องแต่งกาย
Mandi Line, ดีไซเนอร์เครื่องแต่งกาย

สื่อ
Pandora Amoratis, ผู้อำนวยการฝ่าย US-Style, Daily Mail
Alexis Bennett, นักเขียนเชิงพาณิชย์, Vogue magazine
Kelsey Stiegman, บรรณาธิการอาวุโสด้านสไตล์, Seventeen
Brian Underwood, ผู้อำนวยการฝ่ายความงาม, Oprah Daily

นักลงทุน
Carrie Colbert, หุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิด, Curate Capital

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ https://www.glamhive.com/tiktok

เกี่ยวกับ Glamhive
Glamhive ก่อตั้งโดยผู้ประกอบการ Stephanie Sprangers ในปี 2560 ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะสร้างความเท่าเทียมให้กับการแต่งตัวส่วนตัวและสมมติฐานที่ว่าความมั่นใจที่มาพร้อมกับเสน่ห์ความเย้ายวนใจไม่ควรมีเฉพาะกับคนรวยและคนดังเท่านั้น ประสบการณ์การแต่งตัวออนไลน์ช่วยให้ทุกคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงสไตลิสต์ ซึ่งเป็นผู้ที่จะให้การสนับสนุนสิ่งที่พวกเขาต้องการเพื่อให้เป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตนเอง แพลตฟอร์ม Glamhive เป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่ไร้รอยต่อสำหรับสไตลิสต์ เพื่อช่วยให้พวกเขาขยายเครือข่ายและธุรกิจได้แบบเสมือนจริง 100%

เกี่ยวกับ Mary Kay
Mary Kay Ash คือหนึ่งในผู้ที่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคที่มองไม่เห็น และก่อตั้งบริษัทความงามของตัวเองขึ้นเมื่อ 58 ปีที่แล้ว โดยมีเป้าหมาย 3 ข้อได้แก่ มอบโอกาสให้กับผู้หญิง ผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการ และสร้างโลกให้น่าอยู่ ความฝันของเธอได้เบ่งบานขึ้นกลายเป็นบริษัทที่เติบโตทางการเงินมูลค่าหลายพันล้าน พร้อมพนักงานขายอิสระกว่าล้านคนในเกือบ 40 ประเทศ Mary Kay ทุ่มเทให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังความงาม และผลิตสินค้าบำรุงผิว เครื่องสำอาง อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและน้ำหอมมากมาย และยังทุ่มเทกับการช่วยให้ผู้หญิงและครอบครัวของพวกเขามีพลังด้วยการร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญและสนับสนุนกับการวิจัยด้านมะเร็ง ปกป้องผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงในครอบครัว ทำให้ชุมชนของเราสวยงาม และส่งเสริมให้เด็ก ๆ ทำตามความฝัน วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Mary Kay Ash ยังคงเปล่งประกายและพาเธอสู่ความสำเร็จไปทีละขั้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่ MaryKay.com

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210617005552/en/

ติดต่อ:

Stephanie Sprangers ผู้ก่อตั้งและซีอีโอแห่ง Glamhive
stephanie@glamhive.com
+1.206.851.0446

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย





GIGABYTE นำเสนอนวัตกรรมสุดไฮเทคภายใต้แนวคิด “Bring Smart to Life” ในงาน COMPUTEX 2021

Logo

ไทเป–(BUSINESS WIRE)–10 มิถุนายน 2564

GIGABYTE Technology แบรนด์นวัตกรรมคอมพิวเตอร์ชั้นนำ ตอกย้ำความนิยมภายในงาน COMPUTEX โดยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดนิทรรศการออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม “#COMPUTEXVirtual” อันเป็นผลมาจากสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 30 มิถุนายน นี้ GIGABYTE ได้แบ่งโซนภายใน “GIGABYTE Pavilion” ออกเป็น 10 ส่วน เพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์และโซลูชันต่าง ๆ ซึ่งเป็นการต่อยอดแนวคิด “Bring Smart to Life” โดยผลิตภัณฑ์มีตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลไปจนถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเทคโนโลยี 5G ไปจนถึง edge AI computing

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210604005208/en/

GIGABYTE to “Bring Smart to Life” with High-tech Innovations at COMPUTEX 2021 (Photo: Business Wire)

GIGABYTE นำเสนอนวัตกรรมสุดไฮเทคภายใต้แนวคิด “Bring Smart to Life” ในงาน COMPUTEX 2021 (รูปภาพ: Business Wire)

GIGABYTE ได้รับการยอมรับว่ามีพอร์ตโฟลิโอ AMD servers สำหรับงานที่มีความต้องการสูงมากที่สุด และยังได้เตรียมเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับโปรเซสเซอร์ 7nm ไว้อย่างครอบคลุมมากที่สุด ซึ่งสามารถปลดล็อคประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของระบบประมวลผลถึง 64 คอร์ และ 128 เธรด ได้ และช่วยให้นักพัฒนาและนักวิทยาศาสตร์สามารถรับมือกับความท้าทายในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบ HPC และคลาวด์คอมพิวติ้ง ในขณะเดียวกัน GIGABYTE ยังเตรียมนำเสนอ Intel servers ที่มาพร้อมระบบประมวลผล Intel® Xeon® เจเนอเรชันที่ 3 แบบขยายขนาดได้ รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที

นอกจากนี้ยังมี NVIDIA Arm HPC Developer Kit ซึ่งอยู่แถวหน้าของวงการพัฒนาเซิร์ฟเวอร์ โดยระบบดังกล่าวประกอบด้วยระบบประมวลผล Ampere Altra หน่วยประมวลผลกราฟิก NVIDIA A100 Tensor Core สองชุด และหน่วยประมวลผลข้อมูล NVIDIA BlueField®-2 สองชุด ทั้งหมดถูกรวมไว้ในเซิร์ฟเวอร์ GIGABYTE G242 สุดล้ำ นอกจากนี้ GIGABYTE ยังจะจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ARM server สี่รายการ โดยทั้งหมดสามารถผสานพลังการทำงานร่วมกับระบบประมวลผล Ampere Altra แบบ 80-core (250W) เพื่อการทำงานอันยอดเยี่ยมทั้งด้านประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และปริมาณ

เมืองอัจฉริยะต่าง ๆ จะได้ประโยชน์ประสิทธิภาพในการประมวลผลของศูนย์ข้อมูลผ่านมาเธอร์บอร์ดระดับอุตสาหกรรมของ GIGABYTE ระบบที่ฝังอยู่ภายใน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ โซลูชันตรวจจับเชิงลึกแบบสามมิติ 3D โซลูชันจดจำภาพ รวมถึงโปรแกรมสำหรับการสอนและการอนุมานโดยใช้เทคโนโลยี AI ที่มีการเรียนรู้เชิงลึก นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น ระบบอัตโนมัติในโรงงานสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 และโซลูชันค้าปลีกอัจฉริยะ กล่อง ECU ในรถยนต์ และแพลตฟอร์ม AI edge computing และระบบจดจำใบหน้าโดยใช้เทคโนโลยี AI

ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะได้เพลิดเพลินกับโน้ตบุ๊กระดับพรีเมียมอย่าง AORUS และ AERO โดยในรุ่นนี้ทำงานโดยใช้ระบบประมวลผลตระกูล Tiger Lake-H เจเนอเรชัน 11 ใหม่ล่าสุดจาก Intel ซึ่งจับคู่มากับการ์ดจอตระกูล RTX 30 แบบเต็มกำลัง และจอ 4K OLED นอกจากนี้ยังมีจอ AORUS 4K สำหรับเล่นเกม ซึ่งอัดแน่นด้วยฟีเจอร์ที่จะยกระดับประสบการณ์การเล่นเกมแนวยุทธวิธีได้อย่างพิเศษ และฟีเจอร์ HDMI 2.1-ready ซึ่งรองรับการใช้งานร่วมกับคอนโซลเกมรุ่นใหม่ ๆ อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงระบบ AORUS ระดับเรือธงที่ติดตั้งมาไว้ให้ล่วงหน้าสองชุดในโน้ตบุ๊กสำหรับเล่นเกมรุ่นแรกของโลกที่ประกอบจากโรงงาน โดยใช้ชิ่นส่วนที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน และมีการปรับแต่งและทดสอบเพื่อมอบความเสถียรและประสิทธิภาพในการทำงานอันยอดเยี่ยมตั้งแต่แกะกล่อง

เยี่ยมชม “GIGABYTE Pavilion”
https://virtual.computextaipei.com.tw/area/gigabyte/

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210604005208/en/

สื่อ: Michael Pao brand@gigabyte.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

LiveArt Market เปิดการซื้อขายแล้ว

Logo

ตลาดสินค้าดิจิทัลแบบ Peer-to-Peer ทำยอดขายได้สูงถึง 5 ล้านดอลลาร์ในช่วงวันแรกของการเปิดตัวซื้อขายแบบจำกัด ซึ่งประกอบไปด้วยราคาตัวเลข 6 หลักจากผลงานของ Amoako Boafo และ Ed Clark

งานศิลปะ 1,000 ชิ้น มูลค่า 120 ล้านดอลลาร์อยู่ระหว่างรอการขาย

นิวยอร์ก–(BUSINESS WIRE)–17 มิถุนายน 2564

LiveArt มีความยินดีที่จะประกาศเปิดตัว LiveArt Market ซึ่งเป็นตลาดสินค้าดิจิทัลแบบ peer-to-peer ที่ให้การควบคุมอยู่ในมือของผู้ขายและผู้ซื้อ LiveArt Market เริ่มซื้อขายแบบจำกัดเฉพาะผู้ได้รับเชิญเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมียอดขายทะลุ 5 ล้านดอลลาร์ โดยมีผลงานศิลปะมากกว่า 1,000 ชิ้นมูลค่าประมาณ 120 ล้านดอลลาร์ที่อยู่ในขั้นตอนเพื่อเตรียมขาย ราคาการซื้อขายอยู่ระหว่าง 50,000 ถึง 500,000 ดอลลาร์ โดยผลงานของ Amoako Boafo และ Ed Clark มีราคารวมด้วยตัวเลข 6 หลัก ข้อเสนอการซื้อขายช่วงแรก ประกอบด้วยผลงานของ Derrick Adams, Jean-Michel Basquiat, Yayoi Kusama, Pablo Picasso และ Andy Warhol เป็นต้น

เอกสารประชาสัมพันธ์นี้มีเนื้อหามัลติมีเดีย ดูอย่างเต็มรูปแบบได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210616005925/en/

Yayoi Kusama, Little Flower, 1952, Gouache, pastel, ink, pen on paper, 11.5 x 8.5 in (Photo: Business Wire)

Yayoi Kusama, Little Flower, 1952, กระดาษวาดด้วยสีน้ำ ดินสอสี หมึกและปากกา ขนาด 11.5 x 8.5 (รูปภาพ: Business Wire)

LiveArt ให้นักสะสมควบคุมตลาดเองโดยมอบปลายทางข้อมูลเรียลไทม์แบบหนึ่งเดียวและตลาดซื้อขายที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการทำธุรกรรมส่วนตัวให้แก่ผู้เข้าร่วม ผู้เข้าร่วม LiveArt Market ทุกคนจะถูกคัดกรองอย่างละเอียด ดังนั้นทุกคนจะสามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่เปิดเผยตัวตนในห้องซื้อขายเสมือนจริง นอกจากนี้ ผู้ขายยังสามารถควบคุมการมองเห็นผลงานศิลปะของพวกเขา รวมถึงแชร์รายละเอียดและรูปภาพจริงได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาพอใจในตัวผู้ซื้อเท่านั้น โดยระบุข้อกังวล 2 ข้อหลักที่ผู้เข้าร่วมตลาดมักยกมา

Marisa Kayyem ประธานฝ่ายเนื้อหาและข้อมูล แห่ง LiveArt กล่าวว่า “ความเป็นส่วนตัวเป็นจุดเด่นของ LiveArt ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการติดตามการขายหรือการซื้อที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ต้องเสี่ยงที่จะเปิดเผยชิ้นงานหรือเปิดเผยกลยุทธ์การสะสม ในเวลาเดียวกัน LiveArt ก็ให้ความโปร่งใสในกระบวนการขายมากกว่าแพลตฟอร์มหรือช่องทางอื่น ๆ ทั้งผู้ขายรายเดียวและผู้ซื้อรายเดียวและค่าธรรมเนียมที่ตรงไปตรงมาและไม่สูงมาก ส่วนห้องซื้อขายเสมือนจริงก็ช่วยให้ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อสามารถควบคุมผลลัพธ์และราคาได้ทั้งหมด”

ผู้ขายสามารถอัปโหลดผลงานศิลปะจากคอลเล็กชันของตนเองไปยังแพลตฟอร์มข้อมูลที่ครอบคลุมซึ่งขับเคลื่อนด้วย AI ของ LiveArt และรับ LiveArt Estimate™ ทันที ดูแนวโน้มราคาและยอดขายเปรียบเทียบ  และตัดสินใจอย่างชาญฉลาดเกี่ยวกับการขายที่อาจเกิดขึ้น

ผู้ซื้อสามารถดูผลงานโดยการเปิด LiveArt Market และดูผลงานที่แสดงต่อสาธารณะ รวมถึงผลงานที่แสดงรายการแบบส่วนตัว โดยจะแสดงผลงานเปรียบเทียบและจะแบ่งปันรายละเอียดเมื่อผู้ขายอนุมัติเท่านั้น เมื่อตัดสินใจดำเนินการขายต่อไปแล้ว ชิ้นงานจะถูกส่งไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยในรัฐเดลาแวร์เพื่อตรวจสอบก่อนที่การขายจะเสร็จสิ้น เงินจะถูกเก็บไว้ในระบบเอสโครว์ก่อนที่จะโอนให้กับผู้ขาย และจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมคงที่ 10% จากผู้ซื้อที่ซื้อขายสำเร็จ

George O’Dell รองประธานบริหาร แห่ง LiveArt กล่าวว่า “LiveArt ยกระดับการเข้าถึงและการค้นหาจากเดิมที่มีให้เฉพาะผู้เข้าร่วมตลาดที่ช่ำชองที่สุดเท่านั้น แพลตฟอร์มนี้เป็นสถานที่ที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักสะสมที่จะได้สัมผัสโดยตรงและตามหาขุมทรัพย์มูลค่าสูงและไม่ปรากฏที่ไหน ได้สังเกตการณ์เทรนด์ล่าสุด และได้พบกับศิลปินที่มักจะสงวนไว้สำหรับกลุ่มคนวงในเล็ก ๆ เท่านั้น ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นักสะสมทั่วโลกจะได้สัมผัสผลงานอันน่าตื่นเต้นและเหมาะกับทุกรสนิยม”

ดูเนื้อหาต้นฉบับที่ businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210616005925/en/

ติดต่อ:

Tommy Napier
tommy.napier@finnpartners.com
212-715-1694

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Hilton ตอบสนองความต้องการด้านการเดินทางที่มีมาอย่างยาวนาน ผ่านการเปิดตัว การยืนยันห้องพักแบบเชื่อมกัน

Logo

บริษัทเปิดตัวรูปแบบการจองที่พักระดับโลกที่จะเอื้อให้นักเดินทางได้จองที่พักได้อย่างราบรื่นและยืนยันห้องแบบเชื่อมกันได้อย่างรวดเร็ว

McLean, Va. – เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564 Hilton ได้ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่จำเป็นต้องวางแผนการเดินทาง โดยเปิดตัวรูปแบบการจองที่พักที่ให้บุคคลจองที่พักได้อย่างง่ายดาย และยืนยันห้องพักแบบเชื่อมกันอย่างน้อย 2 ห้องได้อย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่าง Confirmed Connecting Rooms by Hilton[CH1]  ได้เริ่มเปิดให้ใช้งานทั่วโลกแล้ว และจะใช้บริการได้เมื่อจองผ่าน Hilton.com หรือแอปพลิเคชั่น Hilton Honors ณ โรงแรมที่เข้าร่วมรายการใดก็ได้ภายในแบรนด์ระดับโลก 18 แบรนด์ในเครือ

แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากการศึกษาวิจัยลูกค้าอย่างครอบคลุม รวมถึงความต้องการที่ชัดเจนถึงอิสรภาพและความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้นในการปรับแต่งพื้นที่และประสบการณ์ในการเดินทางของผู้เข้าพักทุกคนที่เพิ่มขึ้น

“ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นว่าธุรกิจต่างเริ่มฟื้นตัวในหลายตลาดทั่วทวีปเอเชีย นักท่องเที่ยวภายในประเทศเองก็เป็นคนกลุ่มแรกที่ได้เริ่มกลับมาวางแผนการเดินทางของตน เนื่องจากพวกเขารอคอยที่จะได้เยี่ยมเยียนและเชื่อมสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนฝูงของตนอีกครั้งหนึ่ง ด้วยประสบการณ์ในด้านการต้อนรับแขกมาเป็นเวลานับศตวรรษของเรา เราตระหนักอยู่เสมอถึงความสำคัญของการที่แขกสามารถยืนยันห้องพักแบบเชื่อมกันได้ ณ เวลาที่จอง และในตอนนี้ เราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ให้บริการการยืนยันห้องพักดังกล่าวนี้ผ่าน Confirmed Connecting Rooms by Hilton” Ben George รองประธานและผู้อำนวยการด้านการค้าระดับอาวุโส ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Hilton กล่าว “ในฐานะเป็นผู้บุกเบิกของอุตสาหกรรม เรามั่นใจว่าบริการนี้จะทำให้โรงแรมของ Hilton ก้าวนำคู่แข่งและจะช่วยสร้างความมั่นใจในประสบการณ์การจองที่พักให้แก่แขกของเราอีกครั้งในช่วงเวลาที่ผู้คนเริ่มกลับมาวางแผนการเดินทางล่วงหน้าเช่นนี้”

สำหรับครอบครัว กลุ่มเพื่อน ผู้มาร่วมงานแต่งงาน และนักเดินทางอื่นๆ ที่เดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ การเข้าพักในห้องพักแบบเชื่อมกันมีข้อดีมากมายมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี กระบวนการการจองอาจไม่ได้ราบรื่นเสมอไป

ในตอนนี้ บุคคลสามารถจองและยืนยันห้องพักแบบเชื่อมกันได้ทันทีใน 3 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

  • ขั้นตอนที่ 1: เลือกจำนวนห้องพักที่ต้องการ พร้อมจุดหมายปลายทาง และวันที่ จากนั้นเลือกโรงแรมของคุณ
  • ขั้นตอนที่ 2: เมื่อเลือกห้องพัก ให้ทำเครื่องหมายที่ช่อง เพื่อระบุว่าสนใจจองห้องพักแบบเชื่อมกัน
  • ขั้นตอนที่ 3: เลือกห้องพักแบบเชื่อมกันแต่ละห้อง ในราคาที่ต้องการ จากนั้นจองห้องพักด้วยการยืนยันแบบทันที

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการจอง Confirmed Connecting Rooms by Hilton โปรดไปที่ Hilton.com/ConnectingRooms

###

เกี่ยวกับ Hilton

Hilton (NYSE: HLT) เป็นบริษัทด้านงานบริการชั้นนำของโลกโดยเป็นเจ้าของแบรนด์ระดับโลก 18 แบรนด์ มีโรงแรมรวมกว่า 6,500 แห่ง ห้องพักกว่า 1 ล้านห้อง ใน 119 ประเทศและอาณาเขต Hilton มุ่งมั่นทำตามวิสัยทัศน์เริ่มต้นที่จะนำพาชีวิตชีวาและความอบอุ่นแห่งการบริการมาสู่โลกใบนี้ โดยได้ต้อนรับแขกกว่า 3 พันล้านคนตลอดระยะเวลา 100 ปี ได้รับการจัดอันดับในรายชื่อสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดของโลกในปี 2563 เป็นอันดับต้นๆ และได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมระดับโลกปี 2563 ใน Dow Jones Sustainability Indices ซึ่งในปี 2563 ได้มีการเปิดตัว Hilton CleanStay ที่ได้สร้างมาตรฐานที่เป็นเอกลักษณ์ของอุตสาหกรรมในด้านความสะอาดและการฆ่าเชื้อโรคให้แก่โรงแรมต่างๆ ทั่วโลก บริษัทยังได้มีโปรแกรมสมาชิกสำหรับแขกซึ่งเป็นโปรแกรมที่ได้รับรางวัลอย่าง Hilton Honors โดยให้คะแนนแก่สมาชิกที่จองที่พักโดยตรงกับ Hilton มาแล้วกว่า 115 ล้านราย เพื่อการเข้าพักและประสบการณ์ในรูปแบบโรงแรมที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ แขกที่เข้าพักสามารถใช้แอปพลิเคชั่น Hilton Honors บนโทรศัพท์มือถือเพื่อจองที่พัก เลือกห้องพัก เช็คอิน ปลดล็อกประตูด้วยดิจิทัลคีย์ และเช็คเอาท์ ทั้งหมดนี้ทำได้จากสมาร์ทโฟนของตน โปรดไปที่ newsroom.hilton.com เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม แล้วเชื่อมต่อกับ Hilton บน FacebookTwitterLinkedInInstagram และ YouTube

สามารถรับชมภาพในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่https://www.businesswire.com/news/home/52441960/en

ข้อมูลติดต่อสำหรับสื่อเท่านั้น:

Cheryl Chan

ผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Cheryl.Chan@Hilton.com

หุ่นยนต์ UVD ได้รับเลือกจาก ISS ซึ่งเป็นบริษัทจัดการอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก ให้เป็นผู้จัดหาหุ่นยนต์ฆ่าเชื้ออัตโนมัติ

Logo

ความร่วมมือครั้งใหม่นี้จะยกระดับมาตรฐานสุขอนามัยและการปกป้องคุ้มครองในสถานที่ทำงาน เพื่อให้พนักงานสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ

โอเดนเซ่ เดนมาร์ก–(BUSINESS WIRE)–16 มิ.ย. 2564

Blue Ocean Robotics ผู้ผลิตหุ่นยนต์ UVD สำหรับการฆ่าเชื้อด้วย UV-C แบบอัตโนมัติ ได้ประกาศในวันนี้ว่าได้รับเลือกจาก ISS World Services ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสถานที่ทำงานและประสบการณ์ในที่ทำงานชั้นนำระดับโลก ให้เป็นผู้จัดหาหุ่นยนต์อัตโนมัติสำหรับการฆ่าเชื้อโดยเป็นส่วนหนึ่งของ ข้อเสนอระดับโลกของ ISS

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นแบบมัลติมีเดีย ดูฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210616005504/en/

UVD Robots are helping to ensure outstanding cleaning and disinfection excellence. Unlike many stationary disinfection systems, the UVD Robot is a mobile, fully autonomous robot integrating UV-C light to disinfect against all known bacteria and viruses including Covid-19 not only on surfaces, but the air as well, providing a fully comprehensive infection control and prevention solution. UVD Robots enable facilities to reduce disease transmission by eliminating 99.99 percent of bacteria and viruses in any room. The robots have been rolled out to more than 70 countries worldwide. (Photo: Business Wire)

หุ่นยนต์ UVD ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความเป็นเลิศในการทำความสะอาดและการฆ่าเชื้อโรค หุ่นยนต์ UVD ต่างจากระบบฆ่าเชื้อแบบตั้งอยู่กับที่หลาย ๆ ตัว เพราะเป็นหุ่นยนต์ที่เคลื่อนที่อัตโนมัติที่ทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งมีการใช้แสง UV-C เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่เป็นที่รู้จักทั้งหมด ซึ่งรวมถึง Covid-19 ไม่เพียงแต่บนพื้นผิวแต่ยังรวมไปถึงในอากาศอีกด้วย จึงทำให้เครื่องสามารถให้การควบคุมและป้องกันการติดเชื้อแบบครอบคลุมรอบด้าน  หุ่นยนต์ UVD ช่วยให้โรงงานต่าง ๆ ลดการแพร่กระจายของโรคด้วยการกำจัดแบคทีเรียและไวรัสร้อยละ 99.99 ในห้องใด ๆ ก็ได้ ทั้งนี้ หุ่นยนต์ดังกล่าวได้รับการเปิดตัวในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก (ภาพ: Business Wire)

ข้อตกลงดังกล่าวทำให้ ISS สามารถให้บริการการฆ่าเชื้อในระดับเดียวกับของโรงพยาบาล แก่ลูกค้ากว่า 60,000 ราย ในกว่า 30 ประเทศ ในด้านการดูแลสุขภาพ เภสัชกรรม ชีววิทยาศาสตร์ การธนาคารและบริการทางการเงิน ภาคอุตสาหกรรมและการผลิต หุ่นยนต์ UVD ช่วยให้โรงงานต่าง ๆ ลดการแพร่กระจายของโรคด้วยการกำจัดแบคทีเรียและไวรัสร้อยละ 99.99 ในห้องใด ๆ

“เมื่อเรากลับไปทำงาน บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องสร้างปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพใหม่อีกครั้ง โดยการนำพนักงานกลับสู่สภาพแวดล้อมการทำงานอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยที่สูงขึ้น และพวกเขาจำเป็นต้องฟื้นฟูการเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างกัน และการสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของสถานที่ทำงานของพนักงาน ฉะนั้นความสามารถในการฆ่าเชื้อ ซึ่งรวมถึงการใช้หุ่นยนต์ UVD จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและสร้างประสิทธิผลสำหรับบริษัทของเราในการตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของลูกค้า” Anders Høj ผู้อำนวยการ วิธีการและเทคโนโลยีด้านการทำความสะอาดของ ISS World Services กล่าว

Claus Risager ซีอีโอของ Blue Ocean Robotics ตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับ ISS “หุ่นยนต์ของเรายังคงมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจตอบสนองความต้องการที่เกิดจากการระบาดใหญ่และเหตุการณ์อื่น ๆ ส่งผลให้การติดเชื้อในสถานที่ทำงานลดลงเป็นอย่างมาก พร้อม ๆ ไปกับการลดการลาป่วยของพนักงาน หุ่นยนต์ UVD มีความสามารถเฉพาะตัวในการตรวจจับ บันทึก และแสดงให้ผู้ใช้เห็นว่ามีการฆ่าเชื้อที่ดีในพื้นที่นั้นเพียงใด ช่วยให้ผู้ใช้ปรับกระบวนการและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วในกรณีจำเป็น ซึ่งคุณลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถพบได้ในหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อ UV-C ตัวอื่น ๆ “

เอกสารสำหรับสื่อ

เกี่ยวกับ ISS

ISS ซึ่งเป็นบริษัทจัดการด้านประสบการณ์สถานที่ทำงานและอาคารสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำ ให้บริการโซลูชั่นที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้น และทำให้ชีวิตง่ายขึ้น มีประสิทธิผลและสนุกสนานมากขึ้น ทั้งนี้ ISS ให้บริการด้วยมาตรฐานระดับสูงโดยผู้ที่ใส่ใจอย่างแท้จริง เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ issworld.com

เกี่ยวกับ UVD Robots

UVD Robots เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาหุ่นยนต์บริการ Blue Ocean Robotics ซึ่งรวมถึงแบรนด์  GoBe Robots และ PTR Robots โดย Blue Ocean Robotics มีสำนักงานใหญ่ในเดนมาร์ก และเพิ่งได้รับตำแหน่ง ท็อป 10 จากการจัดอันดับ 'Most Innovative Robotics Companies 2021 หรือ บริษัทหุ่นยนต์ที่มีนวัตกรรมมากที่สุดประจำปี 2564' ของ Fast Company

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210616005504/en/

ติดต่อ:

Camilla Almind Knudsen,

ผู้ประสานงานประชาสัมพันธ์  Blue Ocean Robotics

+45 61 10 02 74

cak@blue-ocean-robotics.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Emerson ฉลองครบรอบ 100 ปีเทคโนโลยี Copeland™ นวัตกรรมระบบปรับอากาศและระบบทำความเย็น

Logo

เทคโนโลยี Copeland™ ผสมผสาน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ กับความเชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนาน ในการแก้ปัญหาความท้าทายด้วยความยั่งยืนแก่ลูกค้าทั่วโลก

ฮ่องกง, 17 มิถุนายน 2564 – อิเมอร์สัน (Emerson, NYSE: EMR) ฉลองการครบรอบ 100 ปี ของแบรนด์ Copeland™ ซึ่งได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำด้านการออกแบบและผลิตคอมเพรสเซอร์ระบบปรับอากาศและระบบทำความเย็นที่ประหยัดพลังงานและน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปกป้องสิ่งแวดล้อมทั้งในที่ทำงานและที่พักอาศัย เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่สำคัญนี้ ในอีก 12 เดือนข้างหน้า อิเมอร์สันเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ของ Copeland™ อย่างต่อเนื่อง และรับมือกับความท้าทายที่สำคัญของอุตสาหกรรม

เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสานต่อนวัตกรรมของ Copeland™  และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ปัญหาที่สำคัญของลูกค้า อิเมอร์สันได้ลงทุนกว่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการขยายโรงงาน Copeland™ ในเมืองซิดนีย์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา การลงทุนครั้งนี้ครอบคลุมการสร้างห้องปฏิบัติการทางวิศวกรรมใหม่ ขนาด 110,000 ตารางฟุต สำหรับการวิจัยผลิตภัณฑ์ การพัฒนาและการทดสอบคอมเพรสเซอร์และระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเทคโนโลยีที่สำคัญอื่นๆ สำหรับอุตสาหกรรมการทำความร้อน การระบายอากาศ เครื่องปรับอากาศ และเครื่องทำความเย็น (HVACR) ระดับโลก งานส่วนใหญ่ในห้องปฏิบัติการที่เมืองซิดนีย์จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีคอมเพรสเซอร์ รวมถึงสารทำความเย็น ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีค่าที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนที่ต่ำกว่าเดิม (GWP) เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อบังคับด้านประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถตอบโจทย์เชิงการออกแบบของลูกค้า การลงทุนครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายศูนย์การวิจัยและพัฒนา (R&D) และศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ทั่วโลกของอิเมอร์สัน ทั้งในประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี เพื่อขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในอุตสาหกรรมและการใช้งานที่หลากหลาย

นายเจมี่ โฟรดจ์ ประธานบริหารฝ่ายธุรกิจโซลูชันเพื่อการพาณิชย์และที่อยู่อาศัย ของ อิเมอร์สัน กล่าวว่า “แบรนด์ Copeland™  มีมรดกอันน่าภาคภูมิใจและศักยภาพที่แข็งแกร่ง เทคโนโลยีเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นได้มีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์และความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของ Copeland™  อิเมอร์สันจะยังคงยึดมั่นในแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ และอาศัยความเชี่ยวชาญอันยาวนานของเราในอุตสาหกรรมนี้ ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อโลกที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น”

แบรนด์ Copeland™ กำเนิดขึ้นจากการคิดค้นของนักประดิษฐ์ เอ็ดมันด์ โคปแลนด์ ผู้ก่อตั้งบริษัท ในเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ในปี 1921 เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็นผ่านสิ่งประดิษฐ์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา เมื่อธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ทรัพย์สินของบริษัทถูกขายและธุรกิจถูกย้ายไปที่เมืองซิดนีย์ รัฐโอไฮโอ ในปี 1937 โดยในเมืองซิดนีย์มีกลุ่มวิศวกรรุ่นใหม่ซึ่งมีวิสัยทัศนด้านธุรกิจ 4 คนของบริษัท ได้เล็งเห็นโอกาสในอนาคต จึงได้ซื้อกิจการและสิทธิบัตรคอมเพรสเซอร์ของบริษัท ต่อมา เมื่ออิเมอร์สันเข้าซื้อกิจการ Copeland™ ในปี 1986 บริษัทยังคงคำนึงถึงจิตวิญญาณขององค์กรและความคิดสร้างสรรค์ที่หลอมรวมโดยผู้ก่อตั้งและผู้บุกเบิกธุรกิจกลุ่มแรกของแบรนด์นี้

อิเมอร์สันได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สโครลคอมเพรสเซอร์ (คอมเพรสเซอร์แบบก้นหอย) รุ่นใหม่ที่ Copeland™ กำลังพัฒนาในช่วงเวลาที่ซื้อกิจการ และในปี 1987 บริษัทก็ได้เปิดตัวสโครลคอมเพรสเซอร์ตัวแรกที่จำหน่ายภายใต้แบรนด์ Copeland™  ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์นี้ได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นทั่วโลกด้วยประสิทธิภาพที่สูงและน่าเชื่อถือ นำไปสู่การเปิดตัวสโครลคอมเพรสเซอร์ตระกูลใหม่ของ Copeland™  สำหรับการใช้งานหลากหลาย ตั้งแต่เครื่องปรับอากาศในที่พักอาศัยและเชิงพาณิชย์ ไปจนถึงระบบทำความเย็นสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและสุขภาพ รวมถึงคอนเทนเนอร์สำหรับการขนส่งทางทะเล

อิเมอร์สันยังคงมุ่งมั่นที่จะยกระดับนวัตกรรมกลุ่มผลิตภัณฑ์ Copeland™ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาโซลูชันที่ยั่งยืน ทั้งในด้านประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และอนุรักษ์ทรัพยากร นอกจากเหนือจากสโครลคอมเพรสเซอร์จาก Copeland™ แล้ว อิเมอร์สันยังออกแบบ ผลิต และทำการตลาดคอมเพรสเซอร์แบบลกึ่งลูกสูบและแบบลูกสูบของ Copeland™ แบบครบวงจร รวมถึงชุดควบแน่น(Condensing unit)สำหรับการใช้งานทำความเย็นเชิงพาณิชย์ โดยผลิตภัณฑ์ของ Copeland™ จำนวนมากยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะ สำหรับตรวจสอบและการป้องกัน การวินิจฉัย การวัดการใช้พลังงาน และความสามารถในการสื่อสารขั้นสูงอีกด้วย

แบรนด์ Copeland™ ยังยืนหยัดที่จะสานต่อเส้นทางแห่งการสร้างสรรค์ ตอบสนองความต้องการเฉพาะของแต่ละตลาดในภูมิภาค โดยครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา การออกแบบและวิศวกรรม ไปจนถึงการทดสอบและการผลิตขั้นสูงที่ศูนย์นวัตกรรมและโรงงานทั่วโลก

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอมเพรสเซอร์ของ Copeland™ ได้ที่ Emerson.com/Copeland หรือ Emerson.com

เกี่ยวกับ Emerson

Emerson (NYSE: EMR) เป็นบริษัทชั้นนำของโลกด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมที่นำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันสำหรับลูกค้าในภาคอุตสาหกรรม การพาณิชย์ และกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลก โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เซนต์หลุยส์ มลรัฐมิสซูรี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ธุรกิจโซลูชันระบบอัตโนมัติของอิเมอร์สัน (Emerson Automation Solutions) มุ่งสนับสนุนให้ผู้ผลิต ทั้งผู้ผลิตแบบกระบวนการ แบบนับชิ้น และแบบไฮบริด สามารถเพิ่มกำลังการผลิต ปกป้องบุคลากรและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและงบประมาณในการดำเนินธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจโซลูชันเพื่อการพาณิชย์และที่พักอาศัย (Emerson Commercial and Residential Solutions) มุ่งส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีและสุขภาพของมนุษย์ ปกป้องคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร เพิ่มการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Emerson.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

Smiths Medical ออกแจ้งเตือนทั่วโลกเกี่ยวกับการเรียกคืน Jelco® Hypodermic Needle-Pro® Fixed Needle Insulin Syringe ที่มีเครื่องหมายกระบอกตวงที่เอียงไป

Logo

มินนีแอโพลิส–(BUSINESS WIRE)–17 มิถุนายน 2564

Smiths Medical ได้ตระหนักถึงรุ่นและรหัสที่เฉพาะเจาะจงและ Jelco® Hypodermic Needle-Pro® Fixed Needle Insulin Syringes ที่อาจแสดงเครื่องหมายกระบอกตวงตรงเส้นเลขคี่ที่เอียงบนกระบอกฉีดยา มีการระบุเครื่องหมายที่เอียงประมาณ 20 องศาขึ้นไป

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้มีมัลติมีเดีย รับชมฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.businesswire.com/news/home/20210616005888/en/

Jelco® Hypodermic Needle-Pro® Fixed Needle Insulin Syringes skewed graduation marking on the syringe barrel. (Photo: Business Wire)

Jelco® Hypodermic Needle-Pro® Fixed Needle Insulin Syringe ที่มีเครื่องหมายกระบอกตวงที่เอียงไปบนกระบอกฉีดยา (ภาพ: Business Wire)

รุ่นและรหัสกำกับสินค้าที่ได้รับผลกระทบ:

เลขหมายของรุ่น

ชื่อสินค้า

รหัสกำกับสินค้า

4428-1

Jelco® Hypodermic Needle-Pro® Fixed Needle Insulin Syringe 28Gx1/2” 1CC

4046543 and 4062235

4429-1

Jelco® Hypodermic Needle-Pro® Fixed Needle Insulin Syringe 29Gx1/2” 1CC

4014096, 4031846, 4031845, 4040734, 4043536, 4046545, 4046546, 4062239, 4062240, 4062238 and 4062242

โปรดอ้างอิงเอกสารแนบสำหรับภาพประกอบของการทำเครื่องหมายกระบอกตวงที่เอียงบนกระบอกฉีดยา

จากปัญหานี้ มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับอินซูลินในปริมาณที่ไม่เหมาะสม โดยอาจส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (อาจนำไปสู่ภาวะเลือดเป็นกรด) หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (อาจนำไปสู่อาการชัก) และอาจส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรงหรือถึงแก่ชีวิตได้

Smiths Medical ยังไม่ได้รับรายงานการเสียชีวิตหรือการบาดเจ็บสาหัสที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้

Smiths Medical ได้ออกใบแจ้งการเรียกคืนและแบบฟอร์มตอบกลับไปยังผู้รับของรุ่นและรหัสกำกับสินค้าที่ได้รับผลกระทบ เพื่อแนะนำให้พวกเขาต้องกักกันและส่งคืนผลิตภัณฑ์

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม:

การดำเนินการนี้ได้รับการกำหนดให้เป็นการเรียกคืนประเภท 1 โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA)

สภาพแวดล้อมการดูแลสุขภาพที่บ้าน

รหัสกำกับสินค้าสามารถหาดูได้ที่บรรจุภัณฑ์ของกระบอกฉีดยา ห้ามใช้กระบอกฉีดยาที่มีรหัสกำกับสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ผู้ป่วยหรือผู้ดูแลควรติดต่อร้านขายยา ผู้ให้บริการดูแลสุขภาพที่บ้าน หรือสถานพยาบาลที่จัดหากระบอกฉีดยาเพื่อจัดเตรียมการส่งคืนและเปลี่ยนเข็มฉีดยา

ข้อมูลติดต่อของ Smith Medical

ผู้บริโภคที่มีคำถามเกี่ยวกับการเรียกคืนนี้สามารถติดต่อ Smiths Medical ทางโทรศัพท์ได้ที่ 1-(800)-258-5361

ผู้บริโภคสามารถติดต่อ Smiths Medical ทางออนไลน์ได้ที่ https://smiths-medical.custhelp.com

คำถามเฉพาะเกี่ยวกับการเรียกคืนสินค้าโปรดส่งไปที่ fieldactions@smiths-medical.com

การรายงาน FDA MedWatch

สามารถรายงานอาการไม่พึงประสงค์หรือปัญหาด้านคุณภาพที่เกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปยังโปรแกรม MedWatch ของ FDA โดยช่องทางต่อไปนี้:

  • เว็บไซต์ MedWatch ที่ www.fda.gov/medwatch
  • โทร: 1-800-FDA-1033
  • แฟกซ์: 1-800-FDA-0178
  • ส่งจดหมาย: MedWatch, HF-2, FDA, 5600 Fishers Lane, Rockville, MD 20852

เกี่ยวกับ Smiths Medical

ผู้จัดจำหน่ายชั้นนำด้านเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เฉพาะทางสำหรับตลาดทั่วโลก โดยมุ่งเน้นที่การส่งมอบยา การดูแลที่สำคัญและกลุ่มตลาดอุปกรณ์ความปลอดภัย สำหรบข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมได้ที่ www.smiths-medical.com

เกี่ยวกับ Smiths Group

บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่เปิดดำเนินการมาเกือบ 170 ปี โดยนำส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับเทคโนโลยีทางการแพทย์ การรักษาความปลอดภัยและการป้องกันอุตสาหกรรมทั่วไป พลังงานและอวกาศ และตลาดการบินและอวกาศเชิงพาณิชย์ทั่วโลก Smiths Group plc มีพนักงาน 23,000 คนในกว่า 50 ประเทศและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมได้โปรดเยี่ยมชมได้ที่ www.smiths.com

รับชมเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.comhttps://www.businesswire.com/news/home/20210616005888/en/

ติดต่อ:

Doug Shook
619-886-0504
douglas.shook@smiths-medical.com

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย

LiveRamp และ Carrefour ร่วมเป็นพันธมิตร เพื่อนำเสนอการค้าปลีกแห่งยุคอนาคต

Logo

ผู้นำระดับโลกด้านการทำงานร่วมกันของข้อมูลที่เปิดใช้งานความเป็นส่วนตัว ช่วยให้ผู้ค้าปลีกปลดล็อกโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และยกระดับความสัมพันธ์ของคู่ค้าซัพพลาย

ซานฟรานซิสโก-(BUSINESS WIRE)–15 มิ.ย. 2564

LiveRamp® (NYSE: RAMP) ประกาศขยายความร่วมมือระดับโลกกับ Carrefour (OTCMKTS: CRERF) เพื่อเปิดใช้งาน การทำงานร่วมกันของข้อมูล ความสามารถในการวิเคราะห์และนวัตกรรมผ่าน Safe Haven ของ LiveRamp ทั้งนี้ การใช้เทคโนโลยีรักษาความเป็นส่วนตัวที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมของ LiveRamp จะทำให้ผู้ค้าปลีก แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค (CPG) และพันธมิตรของ Carrefour สามารถดำเนินการใช้และประสานข้อมูลได้อย่างปลอดภัย เรียบง่าย และมีประสิทธิภาพในระดับโลก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ปัจจุบัน Safe Haven มีให้บริการในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย และ Carrefour กำลังขยายตัวไปยังสเปน อิตาลี เบลเยียม โปแลนด์ โรมาเนีย อาร์เจนตินา บราซิล และไต้หวัน อนึ่ง Safe Haven ของ LiveRamp เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยธุรกิจใหม่ที่ Carrefour กำลังเปิดตัวในโอกาสนี้: “Carrefour Links” การเป็นหุ้นส่วนได้รับการประกาศในงานแถลงข่าวที่ปารีสในวันนี้

“LiveRamp จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงของคาร์ฟูร์ให้กลายเป็นผู้ค้าปลีกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลชั้นนำของอุตสาหกรรม” Elodie Perthuisot กรรมการบริหาร E-Commerce, Data and Digital Transformation Carrefour Group กล่าว “เรากำลังส่งมอบคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ด้วยการทำงานร่วมกันมากขึ้นกับ CPG และพันธมิตรผู้ค้าปลีกของเรากับ Carrefour Links เรารู้สึกตื่นเต้นกับการเป็นพันธมิตรกับ LiveRamp ในการทำงานร่วมกันเพื่อส่งมอบข้อมูลเชิงลึกและความสามารถใหม่ ๆ สำหรับผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ให้แก่พันธมิตร CPG ของเราในระดับโลก”

ด้วยการนำเสนอ การเชื่อมต่อข้อมูล และการจัดการข้อมูลประจำตัวในสภาพแวดล้อมที่เป็นกลาง ปลอดภัย และที่ได้รับอนุญาตแล้ว LiveRamp ทำให้วิธีการใช้งานและช่องทางรายได้ใหม่ ๆ เป็นไปได้สำหรับผู้ค้าปลีก ในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนวิธีการทำงานร่วมกับพันธมิตรซัพพลาย ส่วน การใช้ Safe Haven ผ่าน Carrefour Links  ช่วยให้คาร์ฟูร์เป็นพันธมิตรอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตร CPG ในตลาดต่างประเทศ 9 แห่งผ่านอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อมอบความสามารถในการทำงานร่วมกันด้านข้อมูลที่ได้รับการพัฒนามากขึ้น ซึ่งรวมถึง:

  • ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น一รายงานแบบครบถ้วนให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแคมเปญ การจัดการหมวดหมู่ และการวิเคราะห์นักช้อป Safe Haven ยังช่วยมอบความสามารถสำหรับทีมวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพื่อใช้สำหรับแบบจำลองและการเรียนรู้ของเครื่องอีกด้วย
  • การเปิดใช้งานการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลายช่องทาง一เปิดใช้งานแคมเปญ CPG โดยใช้ข้อมูลของ Carrefour ในแพลตฟอร์มโซเชียลและเว็บแบบเปิดและทรัพย์สินที่ Carrefour เป็นเจ้าของและดำเนินการ
  • การวัดที่ดีขึ้น一CPG สามารถเข้าใจผลกระทบของกิจกรรมทางการตลาดที่มีต่อการขายโดยใช้ข้อมูลการค้าปลีกได้ดีขึ้น และผลักดันให้มีการขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สำคัญ ๆ

“ข้อมูลกำลังเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของลูกค้าทั่วโลก – และCarrefour เป็นผู้นำเทรนด์นี้ด้วยแพลตฟอร์ม Carrefour Links” Warren Jenson ประธาน LiveRamp กล่าว “ด้วยการใช้ LiveRamp Safe Haven แบรนด์ต่าง ๆ และพันธมิตรสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างปลอดภัยเพื่อมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้นและขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจ เราภูมิใจที่ได้เริ่มใช้งานความสามารถที่ก้าวล้ำนี้สำหรับ Carrefour ในเครือข่ายพันธมิตร CPG และในกว่า 9 ประเทศ”

การขยายความร่วมมือของ LiveRamp กับ Carrefour ส่งสัญญาณถึงโมเมนตัมที่เพิ่มขึ้นของ Safe Haven ซึ่งขณะนี้ให้บริการลูกค้ามากกว่า 45 รายในร้านค้าปลีก ร้านขายของชำ CPG เครื่องใช้ไฟฟ้า และร้านค้าประเภทอื่น ๆ การเข้าซื้อกิจการ DataFleets ล่าสุดของ LiveRamp นำเทคโนโลยีที่ยกระดับความเป็นส่วนตัวชั้นนำของอุตสาหกรรมชิ้นนี้ มาสู่ Safe Haven ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้การควบคุมข้อมูลที่กำหนดค่าได้ Safe Haven ของ LiveRamp ทำให้การทำงานร่วมกันของข้อมูลปลอดภัยและง่ายดายสำหรับลูกค้า โดยไม่ต้องคำนึงถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคหรือแพลตฟอร์มคลาวด์ที่แต่ละฝ่ายใช้ โดยไม่ต้องย้ายข้อมูล

“Safe Haven ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำงานร่วมกันข้ามคลาวด์ ข้ามพันธมิตร และพรมแดน เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม มอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน” Jenson กล่าวต่อ “ในเวลาเพียงหนึ่งปีนับตั้งแต่การประกาศ Safe Haven เราได้รับส่วนแบ่งการตลาด 30% ภายในร้านขายของชำในสหรัฐอเมริกาและร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ส่วนในยุโรปกำลังบุกเบิกแนวทางกับ Carrefour และร้านค้าปลีกชั้นนำอื่นๆ โดยในขณะที่เราขยายธุรกิจไปทั่วโลก เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะให้บริการมากกว่าร้อยละ 30 ของ CPG ที่ใหญ่ที่สุดทั่วโลกกว่า 50 ราย  ในขณะนี้”

เยี่ยมชมเว็บไซต์ LiveRamp เพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Safe Haven และ Safe Haven สำหรับการค้าปลีก

เกี่ยวกับ Carrefour Group

ด้วยเครือข่ายหลายรูปแบบของร้านค้ากว่า 13,000 แห่งในกว่า 30 ประเทศ Carrefour Group เป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกอาหารชั้นนำของโลก Carrefour มียอดขายรวม 78.6 พันล้านยูโรในปี 2020 มีพนักงานมากกว่า 320,000 คนที่ช่วยทำให้คาร์ฟูร์เป็นผู้นำระดับโลกในด้านการส่งต่ออาหารสำหรับทุกคน โดยให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารคุณภาพสูงและราคาไม่แพงได้ทุกวันในทุกสถานที่

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.carrefour.com หรือตามเราบน Twitter(@GroupeCarrefour) และ LinkedIn (Carrefour)

เกี่ยวกับ LiveRamp

LiveRamp เป็นแพลตฟอร์มการเชื่อมต่อข้อมูลชั้นนำสำหรับการใช้ข้อมูลอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ขับเคลื่อนโดยความสามารถในการแก้ไขข้อมูลประจำตัวหลักและเครือข่ายที่ไม่มีใครเทียบได้ LiveRamp ช่วยให้บริษัทและคู่ค้าสามารถเชื่อมต่อ ควบคุม และเปิดใช้งานข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ของลูกค้าและสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่มีคุณค่ามากขึ้น โครงสร้างพื้นฐานที่ทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์และเป็นกลางของ LiveRamp มอบความสามารถในการเป็นสถานที่ตั้งแบบครบวงจรหรือ end-to-end สำหรับแบรนด์ เอเจนซี่ และผู้เผยแพร่ชั้นนำของโลก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.LiveRamp.com.

ดูเวอร์ชันต้นฉบับบน businesswire.com: https://www.businesswire.com/news/home/20210615005755/en/

ติดต่อสำหรับสื่อ

Michelle Millsap ในนามของ LiveRamp

liveramp@havasformula.com

619-857-2384

เนื้อหาใจความในภาษาต้นฉบับของข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เป็นฉบับที่เชื่อถือได้และเป็นทางการ การแปลต้นฉบับนี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกเท่านั้น และควรนำไปเทียบเคียงอ้างอิงกับเนื้อหาในภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่มีผลทางกฎหมาย